Sunday, 27 April 2025
TheStatesTimes

เฟื่องวิชชุ์ อนิรุทธเทวา นำทีมพลังงานไทย สู่เวทีนานาชาติ IEA Summit 2568

เมื่อวันที่ (24 เม.ย. 68) พันเอก เฟื่องวิชชุ์ อนิรุทธเทวา ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงพลังงาน ผู้แทน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน นำคณะผู้บริหารและเจ้าหน้าที่กระทรวงพลังงาน เข้าร่วมประชุม IEA Summit on the Future of Energy Security ณ กรุงลอนดอน สหราชอาณาจักร 

ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 24-25 เมษายน 2568 โดยมี IEA / UK Government และผู้แทนกว่า 50 ประเทศ, 60 บริษัทพลังงาน และนายกรัฐมนตรีสหราชอาณาจักร เข้าร่วมประชุม

เจ้าสัวธนินท์ เจียรวนนท์ ยกนิสัยคนจีนรักการเรียนรู้ จุดแข็งขับเคลื่อนเศรษฐกิจโลก

เจ้าสัวธนินท์ เจียรวนนท์ ประธานอาวุโสเครือเจริญโภคภัณฑ์ ได้ให้สัมภาษณ์กับ ครูพี่ป๊อป ดร. ณัฐพงศ์ นำศิริกุล ในการบรรยายพิเศษ ที่มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย

บทบาท ‘ทรัพยากรเชิงชาติพันธุ์’ ของชาวไทยเชื้อสายจีน เบื้องหลัง!! ความสัมพันธ์เศรษฐกิจ ‘จีน – ไทย’

(26 เม.ย. 68) แม้ว่าประเทศไทยและจีนจะมีความสัมพันธ์อันดีในหลายมิติ แต่เมื่อพูดถึงคำว่า 'พี่น้องไทย - จีน' แล้ว ที่มาและความหมายที่แท้จริงของคำนี้คือความเป็นพี่น้องทางสายเลือดจริง ๆ ซึ่งถ้าใครอยู่ในวงการความสัมพันธ์ไทย-จีนนั้น ก็น่าจะเคยได้ยินฝ่ายจีนใช้คำว่า '血脉相连 - เสว่ ม่าย เซียง เหลียน' ซึ่งแปลว่า 'เชื่อมต่อกันทางสายเลือด' โดยหมายถึงชาวไทยเชื้อสายจีน หรือชาวจีนที่เกิดในประเทศไทยและเป็นเชื้อสายของผู้อพยพชาวจีน หรือชาวจีนโพ้นทะเล ที่มีอยู่ประมาณ 10 ล้านคนในประเทศไทย คิดเป็น 11–14% ของจำนวนประชากรทั้งหมดของประเทศ ที่จำนวนมากเติบโตและประสบความสำเร็จด้านการค้าขาย เป็นผู้นำองค์กร เป็นผู้ถือครองทรัพย์สินจำนวนมาก บ้างก็มีตำแหน่งสำคัญในราชการ 

นายกรัฐมนตรีไทยจำนวน 19 จาก 31 คน ล้วนมีเชื้อสายจีนทั้งสิ้น

แม้ว่าคนไทยเชื้อสายจีนจำนวนมากจะถูกกลืนกินทางวัฒนธรรมจนกลายเป็นคนไทยโดยสมบูรณ์แล้ว แต่ก็ยังมีเครือข่ายสายสัมพันธ์กับคนจีนจากแผ่นดินใหญ่ ซึ่งได้กลายมาเป็น 'ทรัพยากรเชิงชาติพันธุ์' และกลายเป็น 'สะพาน' ในการเชื่อมสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจไทย-จีน อย่างมีนัยยะสำคัญมาโดยตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมา

ในยุคที่จีนดำเนินนโยบายตามกรอบแนวคิดริเริ่ม 'หนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง' (Belt and Road Initiative - BRI - 一带一路) และยุทธศาสตร์ 'เดินออกไปข้างนอก' (Going Out Strategy - 走出去战略) ของรัฐบาลจีน ซึ่งเริ่มต้นขึ้นในช่วงต้นทศวรรษ 2000 มีเป้าหมายในการผลักดันบริษัทจีนออกไปลงทุนในต่างประเทศ ขยายเครือข่ายธุรกิจ และสร้างความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระดับโลก

อย่างไรก็ตาม การตัดสินใจลงทุนของนักลงทุนจีนไม่ได้พิจารณาเพียงปัจจัยทางเศรษฐกิจหรือสภาพแวดล้อมทางธุรกิจเท่านั้น หากยังได้รับอิทธิพลจากเครือข่ายทางสังคมและวัฒนธรรม โดยเฉพาะชุมชนชาวจีนโพ้นทะเล ซึ่งเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ที่มีบทบาทสำคัญในการเชื่อมโยงระหว่างจีนและประเทศเป้าหมายในระดับพื้นที่ ซึ่งกลายเป็น 'ทรัพยากรเชิงชาติพันธุ์' ซึ่งเป็นต้นทุนสำคัญตามทฤษฎีเศรษฐกิจเชิงชาติพันธุ์ (Ethnic Economy)

ประเด็นนี้เป็นปัจจัยสำคัญสำหรับประเทศกำลังพัฒนาอย่างประเทศไทย ที่การเข้ามาของ FDI นั้น มักต้องอาศัยพันธมิตรในท้องถิ่น ความรู้เชิงบริบท และการเข้าถึงระบบราชการ ซึ่งทำให้นักลงทุนต่างชาติต้องพึ่งพา 'กลุ่มตัวกลาง' ในท้องถิ่น ในการอำนวยความสะดวกในด้านต่าง ๆ ตามทฤษฎีการตัดสินใจของ FDI ในตลาดเกิดใหม่ (FDI Decision-making in Emerging Markets) รวมถึงทฤษฎีเครือข่ายทางสังคม (Social Network Theory) ที่มองว่าความสัมพันธ์ทางสังคมมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะในบริบทที่มีความไม่แน่นอนสูง เช่น การลงทุนข้ามชาติในประเทศเกิดใหม่ ประเทศที่การเมืองไม่มั่นคง หรือประเทศที่มีอัตราการคอร์รัปชันสูงในระดับท้องถิ่น

ทั้งนี้ บทบาทของชาวไทยเชื้อสายจีนตามกรอบแนวคิดและทฤษฎีข้างต้นนี้ โดยหลักแล้วถือว่าเป็น 'ตัวกลางทางเครือข่าย' รวมถึงเป็น 'กลุ่มผลประโยชน์' และ 'พันธมิตรสนับสนุน' (advocacy coalition) ความร่วมมือในด้านต่าง ๆ โดยเฉพาะบทบาทการเชื่อมโยงนักลงทุนและรัฐบาลท้องถิ่น ทั้งการสนับสนุนด้านข้อมูลทางกฎหมาย นโยบาย การทลายกำแพงด้านภาษาและวัฒนธรรม รวมถึงการสร้างอำนาจต่อรอง บริหารและจัดสรรผลประโยชน์ของทุกฝ่ายบนหน้าฉากก็ดี... หลังฉากก็ดี... (กรณีนี้คือว่ากันตามหลักการ ในความเป็นจริงอาจมีประเด็นผลประโยชน์ส่วนตัวและการคอร์รัปชัน ที่เป็นต้นตอของปัญหาเรื่องทุนต่างชาติสีเทาในปัจจุบัน)

ในรูปธรรมของการก่อตัวเป็นกลุ่มผลประโยชน์ของคนไทยเชื้อสายจีนนั้น สามารถเห็นได้จากการตั้งองค์กรในรูปแบบต่าง ๆ อาทิ สมาคมการค้า หอการค้า สภาธุรกิจ หรือมูลนิธิอาสา ซึ่งกลายเป็นแพลตฟอร์มสำคัญที่จัดกิจกรรมต่าง ๆ เช่น จัดงานเลี้ยง งานประชุม งานอาสาต่าง ๆ หรือแม้กระทั่งการสร้างชุมชน China town ซึ่งเป็นศูนย์กลางของชาวจีนโพ้นทะเลในท้องถิ่นต่าง ๆ เพิ่มโอกาสในการพบปะทางสังคม และมีบทบาทในการสร้างเครือข่ายผลประโยชน์ ส่งต่อกันแบบรุ่นสู่รุ่น ไม่ว่าจะในระดับประเทศ หรือระดับท้องถิ่น เป็นพื้นที่ที่นักลงทุนทั้งสองฝ่ายรู้สึก 'ปลอดภัย' และ 'เข้าถึงง่าย' ช่วยให้สามารถเข้าถึงตลาด ทำให้นักธุรกิจจีนเกิดความรู้สึก 'เหมือนอยู่บ้าน'

ในทางกลับกัน ฝ่ายรัฐบาลท้องถิ่นที่ต้องการดึงดูดการลงทุนโดยตรงจากภายนอกนั้น ก็สามารถดำเนินการประสานด้านข้อมูลและใช้เครือข่ายขององค์กรสมาคมการค้าและมูลนิธิต่าง ๆ เหล่านี้ เพื่อสร้างแรงจูงใจในการเข้ามาลงทุนของนักลงทุนจีนเช่นกัน

องค์กรรูปแบบนี้สามารถพบเห็นได้ในแทบจะทุกจังหวัดของประเทศไทย จะมีมากและเข้มแข็งเป็นพิเศษในเมืองยุทธศาสตร์สำคัญทางเศรษฐกิจ เช่น กรุงเทพฯ, สมุทรปราการ หาดใหญ่, เชียงใหม่, ภูเก็ต, กลุ่มจังหวัดโซน EEC และหลายจังหวัดในภาคอีสาน (ที่อาจเป็นทางผ่านของรถไฟความเร็วสูง)

ทั้งหมดนี้สะท้อนว่า นัยยะสำคัญของความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างไทยกับจีนไม่ได้ขึ้นอยู่แค่กับข้อตกลงหรือเอกสารทางการต่าง ๆ เท่านั้น แต่มาจากความสัมพันธ์ของผู้คน ความเชื่อใจ ความใกล้ชิด และเครือข่ายที่ยึดโยงกันข้ามรุ่น จากบทบาทของคนไทยเชื้อสายจีนในฐานะ 'ตัวกลาง' ที่เข้าใจทั้งสองฝั่งอย่างลึกซึ้ง

ไม่เพียงแค่ไทยเท่านั้น ชาวจีนโพ้นทะเลจำนวนมากที่กระจายอยู่ทั่วโลกก็กำลังมีบทบาทเช่นเดียวกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ประเทศในกลุ่ม ASEAN ที่มีชุมชนชาวจีนโพ้นทะเลที่ค่อนข้างเข้มแข็งและมีบทบาทต่อเศรษฐกิจ

ด้วยเหตุเช่นนี้ การ 'เดินออกไปข้างนอก' ตามยุทธศาสตร์ Going Out Strategy นั้น จึงเป็นการ 'เดินออกไปข้างนอกแต่ก็ยังเจอเพื่อน' ที่จะช่วยแนะนำที่ทางในการค้าขาย และเป็น 'กันชนทางวัฒนธรรม' ที่ทำหน้าที่ลด culture shock และสร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่าง 'เจ้าบ้าน' และ 'แขกหน้าใหม่' พร้อมสร้างความร่วมมือที่ทุกฝ่ายได้รับประโยชน์ร่วมกันอย่างเป็นวัฒนธรรมและระบบ เกิดความยั่งยืนจากการส่งต่อแบบรุ่นสู่รุ่น

ผู้บัญชาการทหารเรือ ร่วมสังเกตการณ์การทดสอบความสามารถในการป้องกันภัยคุกคามทางอากาศรูปแบบใหม่ 

ภัยคุกคามจากอาวุธปล่อยและอากาศยานไร้คนขับ รวมทั้งทดสอบระบบการเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างเรือที่ออกปฏิบัติงานร่วมกันภายในกองเรือ และการปฏิบัติการร่วมระหว่างเรือ - อากาศยานของกองทัพอากาศ บนเรือหลวงจักรีนฤเบศร
 
เมื่อวานนี้ (25 เม.ย.68) เวลา 12.30 น. พลเรือเอกจิรพล ว่องวิทย์ ผู้บัญชาการทหารเรือ พร้อมด้วยคณะนายทหารระดับสูงของกองทัพเรือ ร่วมสังเกตการณ์การทดสอบขีดความสามารถในการป้องกันภัยคุกคามทางอากาศรูปแบบใหม่ เช่น ภัยคุกคามจากอาวุธปล่อยนำวิธีและอากาศยานไร้คนขับเป็นต้น การทดสอบระบบการเชื่อมโยงข้อมูลทางยุทธวิธีระหว่างเรือที่ออกปฏิบัติงานร่วมกันภายในกองเรือ เพื่อหาข้อขัดข้องข้อจำกัดและแนวทางการพัฒนาในอนาคต รวมทั้งติดตามผลการฝึกปฏิบัติการร่วม ระหว่าง ทร. - ทอ. 

สำหรับการทดสอบความสามารถในการป้องกันภัยคุกคามทางอากาศรูปแบบใหม่ในครั้งนี้  มีการทดสอบระบบอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้อากาศยานแบบ Mistral จากระบบป้องกันตนเองระยะประชิดแบบ Sadral บนเรือหลวงจักรีนฤเบศร  โดยครั้งนี้ เป็นการทดสอบอาวุธปล่อยนำวิถีกับเป้า Banshee ซึ่งเป็นเครื่องบินบังคับวิทยุที่ถูกปล่อยขึ้นบินด้วยเครื่องดีดหรือเครื่องปล่อย โดยสมมุติให้เป็นอาวุธปล่อยของข้าศึกที่บินเข้าหากองเรือ โดยเรือหลวงจักรีนฤเบศรจะทำการป้องกันภัยทางอากาศและใช้อาวุธป้องกันตนเอง

อาวุธปล่อยแบบ Mistral เป็นอาวุธป้องกันภัยทางอากาศที่ติดตั้งบนเรือหลวงจักรีนฤเบศร นำวิถีด้วยระบบ Infrared passive homing โดยการฝึกยิงในวันนี้  จัดกำลังประกอบด้วยเรือหลวงภูมิพลอดุลยเดช เป็นเรือตรวจจับและส่งค่าเป้าผ่าน Link เรือหลวงจักรีนฤเบศร เป็นเรือยิงอาวุธปล่อย และเรือหลวงนเรศวรเป็นเรือรักษาความปลอดภัยสนามยิง โดยการทดสอบระบบอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้อากาศยานแบบ Mistral จากระบบป้องกันตนเองระยะประชิดแบบ Sadral ในวันนี้เป็นไปตามแผนและตรงตามวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ 

การฝึกปฏิบัติการร่วม ระหว่าง ทร. - ทอ. ได้ดำเนินการระหว่าง 22 - 23 เม.ย.68 ในพื้นที่อ่าวไทย โดยกองทัพอากาศได้บูรณาการการทดสอบใช้กำลังทางอากาศประจำปี 2568 มาเข้าร่วมการฝึก โดยมีหัวข้อการฝึกที่สำคัญประกอบด้วย การฝึกป้องกันภัยทางอากาศของกองเรือ  การฝึกโจมตีกระบวนเรือ การฝึกการควบคุมอากาศยาน ทอ.โจมตีเป้าหมายเรือผิวน้ำข้าศึก และสกัดกั้นอากาศยานของข้าศึก รวมทั้งการฝึกแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างเรือและอากาศยาน ผ่านระบบเชื่อมโยงข้อมูลทางยุทธวิธี (Tactacal Data Link : TDL) มีกำลังเข้าร่วมการฝึก ประกอบด้วย เรือรบจำนวน 9 ลำ อากาศยานจำนวน 4 เครื่อง และ กองทัพอากาศได้จัดอากาศยานแบบ F-16 จำนวน 4 เครื่อง อากาศยานแบบ Gripen จำนวน 4 เครื่อง และ อากาศยานควบคุมและแจ้งเตือน แบบ SAAB-340 จำนวน 1 เครื่อง เข้าร่วมการฝึก

การฝึกและการทดสอบฯ ครั้งนี้ เป็นส่วนหนึ่งของการฝึกภาคสนาม/ทะเล ในการฝึกกองทัพเรือประจำปี 2568 ซึ่งถือเป็นการฝึกที่มีความสำคัญสูงสุดของกองทัพเรือ ทั้งยังบูรณาการทางยุทธวิธีร่วมกับกองทัพอากาศ ในการปฏิบัติการทางทะเลและทางอากาศ โดยฝึกตั้งแต่กระบวนการวางแผน การควบคุมสั่งการทางทหาร และการรบทางยุทธวิธี และใช้แนวความคิดในการฝึกว่า “รบอย่างไร ฝึกอย่างนั้น” ซึ่งในปีนี้เป็นการฝึกป้องกันประเทศ โดยกำหนดสถานการณ์ตั้งแต่ในขั้นปกติสถานการณ์วิกฤตไปถึงขั้นป้องกันประเทศ ซึ่งมีการทดสอบและสร้างความคุ้นเคยทางด้านแนวความคิดหลักการ หลักนิยม ไปจนถึงขีดความสามารถของกำลังรบในแต่ละประเภท โดยส่วนต่าง ๆ ของกองทัพเรือ ทั้งในกองอำนวยการฝึกและหน่วยรับการฝึกทุกหน่วย ได้มีการเตรียมและดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการฝึกอย่างเต็มกำลังความสามารถ อันจะนําพากองทัพเรือไปสู่ความเป็น ”กองทัพเรือที่ประชาชนเชื่อมั่นและภาคภูมิใจ“ และจะทําให้ทะเลไทยมีความมั่นคงตลอดไป

สำนักข่าวอิศรา เปิดธุรกิจ ‘กัน จอมพลัง’ ลูกน้องคนสนิท ‘ผู้กองธรรมนัส’ จากร้านบะหมี่ สู่ ‘คนขายหวย - รักษาความปลอดภัย’ รายได้!! หลายสิบล้าน

(26 เม.ย. 68) ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) พะเยา ประธานที่ปรึกษาพรรคกล้าธรรม ให้สัมภาษณ์นักข่าวที่ จ.นครศรีธรรมราชเมื่อ 24 เมษายน 2568 ที่ผ่านมา

โดยได้ออกมายอมรับแล้วว่าเป็นผู้สนับสนุนและอยู่เบื้องหลังนายกัณฐัศว์ พงศ์ไพบูลย์เวชย์ หรือ ‘กัน จอมพลัง’ ในการช่วยเหลืองานสังคม รวมทั้งให้ความช่วยเหลือกรณีนายประจักษ์ ดวงใย อายุ 65 ปี และนางสมศรี ดวงใย อายุ 64 ปี สองผัวเมีย ถูกนายสมิทธิพัฒน์ หรือพีช หลีนวรัตน์ ลูกชายนายกฤษฎา หลีนวรัตน์ หรือ ‘นายกเบี้ยว’ อดีตนายกเทศมนตรีตำบลธัญบุรี ขับรถเก๋งบีเอ็มดับเบิลยู สี เบียดปาด เหตุเกิดบนถนนกาญจนาภิเษก กม.22 มุ่งหน้าบางปะอิน จนได้รับบาดเจ็บและรถยนต์เสียหายเป็นข่าวดังครึกโครม และยังบอกกรณีนักการเมืองรายหนึ่งออกมาปูดมีคนตั้งค่าหัวนายกัณฐัศว์ 5 แสนบาทว่า ไม่มีใครทำอะไร‘กัน จอมพลัง’ได้หรอก ถ้ามีใครทำอะไร ‘กัน จอมพลัง’ ก็เหมือนทำเขาด้วย เพราะทำงานด้วยกันตั้งแต่ ‘กัน จอมพลัง’ ยังไม่ดัง

จากการสืบค้นข้อมูลพบว่า นายกัณฐัศว์ พงศ์ไพบูลย์เวชย์ เคยเป็นเจ้าของร้านขายบะหมี่ ‘จอมพลัง’ซึ่งมีร้านหนึ่งอยู่แถวอุโมงค์ ถ.ราชพฤกษ์ จ.นนทบุรี ตอนนี้ปิดตัวแล้ว ปัจจุบัน นายกัณฐัศว์ มีชื่อเป็นกรรมการและถือหุ้น 3 บริษัท

1.บริษัท สลากรวยดี จำกัด ชื่อเดิม บริษัท เสือแดงลอตเตอรี่ ออนไลน์ จำกัด จดทะเบียนวันที่ 22 ม.ค.2564 ทุน 1 ล้านบาท ประกอบกิจการจำหน่ายสลากกินแบ่งรัฐบาลและสลากทุกชนิดที่สำนักงานกินแบ่งรัฐบาลพิมพ์จำหน่าย ที่ตั้งเลขที่ 428/72 ถนนพระยาสุเรนทร์ แขวงบางชัน เขตคลองสามวา กรุงเทพมหานคร นายกัณฐัศว์ เป็นคนจดทะเบียนก่อตั้ง นายกัณฐัศว์ , นายธานี มั่งมี ถือหุ้นคนละ 4,995 หุ้น และ นายพิตฒิพัฒน์ ตุ้มสุวรรณ 10 หุ้น รวม 10,000 หุ้น มูลค่าหุ้นละ 100 บาท นายกัณฐัศว์ และ นายธานี มั่งมี เป็นกรรมการ ที่ตั้งปัจจุบัน 305/241 ซอยรามอินทรา 123 ถนนรามอินทรา แขวงมีนบุรี เขตมีนบุรี กรุงเทพฯ ล่าสุด 18 ธันวาคม 2567 จดทะเบียนเปลี่ยนชื่อเป็น บริษัท สลากรวยดี จำกัด ผู้ถือหุ้นยังคงเดิม

ข้อมูลงบการเงิน วันที่ 31 พ.ค.2567 นำส่งงบการเงินรอบปีบัญชีสิ้นสุด 31 ธ.ค.2566 งบกำไรขาดทุน รายได้รวม 59,965,429.89 บาท ต้นทุนขาย 52,975,000 บาท ค่าใช้จ่ายดำเนินงาน 8,945,202.41 บาท ขาดทุนสุทธิ 1,965,295.40 บาท งบดุล สินทรัพย์รวม 2,982,132.17 บาท หนี้สิน 551,515.24 บาท กำไรสะสม 1,430,616.93 บาท

2.บริษัท ไทยคิงเทค จำกัด จดทะเบียนวันที่ 19 ม.ค.2564 ทุน 1 ล้านบาท ประกอบกิจการติดตั้งระบบซอฟต์แวร์ ระบบคอมพิวเตอร์ และให้คำปรึกษาทางด้านซอฟต์แวร์ทุกประเภท ที่ตั้งสำนักงานเดียวกับ บริษัท เสือแดงลอตเตอรี่ ออนไลน์ จำกัด เลขที่ 428/72 ถนนพระยาสุเรนทร์ แขวงบางชัน เขตคลองสามวา นายกัณฐัศว์ พงศ์ไพบูลย์เวชย์ , นายธานี มั่งมี ถือหุ้นคนละ 4,000 หุ้น และ นายพิตฒิพัฒน์ ตุ้มสุวรรณ 2,000 หุ้น รวม 10,000 หุ้น มูลค่าหุ้นละ 100 บาท นายกัณฐัศว์ และ นายธานี เป็นกรรมการ
ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็น บริษัท ไทยคิงดี จำกัด ซึ่งเป็นชื่อปัจจุบัน เพิ่มทุนจดทะเบียนเป็น 5 ล้านบาท และย้ายสำนักงานที่ตั้งเลขที่ 1 ซอยนนทบุรี 32 ตำบลท่าทราย อำเภอเมืองนนทบุรี จังหวัดนนทบุรี แจ้งวัตถุประสงค์ ประกอบกิจการ จัดงานนิทรรศการต่างๆ บริการรับจัดงานอีเว้นตรมสถานที่ทุกประเภทประกอบกิจการนำเข้า ส่งออก และจำหน่าย ผักสด ผลไม้สด และสินค้าทางการเกษตร พืช ผัก ผลไม้ แปรรูป ทุกชนิด บัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้น (บ.อบจ.5) วันที่ 30 เม.ย.2567 นายกัณฐัศว์, นายธานี ถือหุ้นคนละ 24,000 หุ้น และ นายพิตฒิพัฒน์ 2,000 หุ้น รวมทั้งสิ้น 50,000 หุ้น มูลค่าหุ้นละ 100 บาท

ข้อมูลงบการเงิน วันที่ 31 พ.ค.2567 นำส่งงบการเงินรอบปีบัญชีสิ้นสุด 31 ธ.ค.2566 งบกำไรขาดทุน รายได้รวม 1,093,903.89 บาท ขาดทุนสุทธิ 752,866.45 บาท งบดุล สินทรัพย์รวม 331,638.86 บาท หนี้สิน 101,505.31 บาท ขาดทุนสะสม 769,866.45 บาท

3.บริษัท จอมพลัง รวยดี จำกัด จดทะเบียนวันที่ 20 เม.ย. 2566 ทุน 1 ล้านบาท ประกอบกิจการกิจกรรมการรักษาความปลอดภัยส่วนบุคคล ที่ตั้งเลขที่ 1 ซอยนนทบุรี 32 ตำบลท่าทราย อำเภอเมืองนนทบุรี จังหวัดนนทบุรี (ที่ตั้งเดียวกับ บริษัท ไทยคิงดี จำกัด) นายกัณฐัศว์ และ นายธานี มั่งมี ถือหุ้นคนละ 5,000 หุ้น รวม 10,000 หุ้น มูลค่าหุ้นละ 100 บาท และร่วมกันเป็นกรรมการ

ข้อมูลงบการเงิน วันที่ 31 พ.ค.2567 นำส่งงบการเงินรอบปีบัญชีสิ้นสุด 31 ธ.ค.2566 งบกำไรขาดทุน รายได้รวม 6,731.51 บาท ขาดทุนสุทธิ 768.49 บาท (ทั้ง 3 บริษัท ยังไม่มีข้อมูลงบการเงินปี 2567)

ในทางการเมือง อาจไม่เกินคาดหมาย หากจะมีชื่อ ‘เสี่ยกัน’ เป็นผู้สมัคร สส.พรรคกล้าธรรม ในวันข้างหน้า!!

เผยโฉมครั้งแรก 'คอรัปชั่น ฟ้องดู' แพลตฟอร์มคอร์รัปชันเทคปราบทุจริตฟื้นศักยภาพประเทศ 'อลงกรณ์-เอฟเคไอไอ.' ชี้เป็นแนวรบใหม่ใช้เทคโนโลยีดิจิตอล เอไอ.ต้านโกง เริ่มทดสอบระบบวันนี้ ก่อนคิกออฟเดือนพฤษภาคม

นายอลงกรณ์ พลบุตร ประธานสถาบันเอฟเคไอไอ ไทยแลนด์ (FKII Thailand) เปิดเผยระหว่างการบรรยายเรื่องการป้องกันและปราบปรามคอรัปชั่นที่จังหวัดเชียงใหม่ ว่า

(26 เม.ย.) 'คอรัปชั่น ฟ้องดู' ภายใต้โครงการใยแมงมุมเริ่มทดสอบระบบเป็นครั้งแรกในวันนี้ก่อนคิกออฟเปิดใช้เป็นทางการในเดือนพฤษภาคม

“ปัญหาคอรัปชั่นอยู่ในขั้นวิกฤตเหมือนมะเร็งร้ายทำลายศักยภาพของประเทศทั้งปัจจุบันและอนาคต ซึ่ง 'คอรัปชั่น ฟ้องดู' แพลตฟอร์มดิจิตอลคอรัปชั่นเทคจะเป็นแนวรบใหม่ในการป้องกันและปราบปรามการทุจริต หากขจัดคอรัปชั่นได้มากเท่าใดก็จะช่วยฟื้นศักยภาพประเทศและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันได้มากเท่านั้น”

อดีตรัฐมนตรีอลงกรณ์ยังเปิดเผยต่อไปว่า สถาบันเอฟเคไอไอ.ไทยแลนด์และดร.วสันต์ ภัทรอธิคม ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สวทช. ผู้บุกเบิกแพลตฟอร์ม ทราฟฟี ฟองดู(Traffy Fondue)ร่วมมือกันพัฒนาแพลตฟอร์มเทคโนโลยีดิจิตอลเอไอ.'คอรัปชั่น ฟ้องดู' ประกอบด้วย
1. แพลตฟอร์มทราฟฟี ฟองดู
2.เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์
3..Line official
4.ผู้แจ้งเบาะแส(Whistleblower)
5.เชื่อมโยงทำงานร่วมสื่อมวลชน หน่วยงานรัฐภาครัฐ ภาคเอกชน สถาบันวิชาการและเครือข่ายต่อต้านคอรัปชั่น

“การผสมผสานเทคโนโลยีกับกลไกตรวจสอบที่เข้มแข็งและการมีส่วนร่วมของประชาชนอย่างเปิดกว้างจะช่วยแก้ไขปัญหาคอรัปชั่นให้ลดน้อยลง ไม่ใช่ถอยหลังเข้าคลอง สิ่งสะท้อนสถานะคอรัปชั่นล่าสุดคือ ดัชนี CPI ของไทย ซึ่งในปี 2567 ได้คะแนนเพียง 34 คะแนน อยู่ในอันดับ 107 ของโลก นับเป็นคะแนนต่ำสุดในรอบ13ปีตั้งแต่ปี 2555 เป็นต้นมา สงครามปราบทุจริตเป็นสมรภูมิที่ประเทศไทยต้องชนะให้ได้ เป็นเวลาที่ต้องเงยหน้าขึ้น ร่วมมือกันก้าวไปข้างหน้าด้วยกัน ”

ผู้แทนชาวน่าน เข้าขอบคุณ ‘นิพนธ์ บุญญามณี’ หลังช่วยผลักดัน!! ออกโฉนดที่ดิน ได้สำเร็จ

(26 เม.ย. 68) ที่โรงแรมมิราเคิล แกรนด์ กรุงเทพฯ นายบุญยงค์ สดสอาด นายกสมาคมสื่อมวลชนจังหวัดน่าน และอดีตผู้สมัคร สส.น่าน เขต 1 นายเรืองเดช จอมเมือง อดีตผู้สมัคร สส.น่าน เขต 3 ซึ่งเดินทางมาจาก ต.สะเนียน อ.เมืองน่าน จ.น่าน เป็นตัวแทนประชาชนจังหวัดน่าน ในการแสดงความขอบคุณต่อนายนิพนธ์ บุญญามณี อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ที่ได้ผลักดันให้การออกโฉนดที่ดินในพื้นที่จังหวัดน่านสำเร็จเป็นรูปธรรม เมื่อครั้งตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย หลังประชาชนต้องรอคอยการพิสูจน์สิทธิและกระบวนการทางกฎหมายยาวนานกว่า 30 ปี โดยการดำเนินการครั้งนี้ครอบคลุมเฉพาะพื้นที่ที่ไม่อยู่ในเขตจำแนกเป็นป่าไม้ถาวร หรือที่ดินต้องห้ามออกโฉนดตามข้อ 14 แห่งกฎกระทรวง ฉบับที่ 43 (พ.ศ. 2537) ออกตามพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ. 2497 เช่น พื้นที่สาธารณประโยชน์ เขตป่าสงวนแห่งชาติ เขตอุทยานแห่งชาติ พื้นที่ลาดชันเกิน 35 เปอร์เซ็นต์ และที่สงวนหวงห้ามอื่น ๆ

ในครั้งนั้น นายนิพนธ์ ในฐานะผู้กำกับดูแลกรมที่ดิน ได้สั่งการให้กรมที่ดิน กระทรวงมหาดไทย สำรวจพื้นที่ที่ประชาชนได้รับผลกระทบ โดยนายนิพนธ์ ได้มอบโฉนดที่ดินให้แก่ประชาชนที่ผ่านการเดินสำรวจและตรวจสอบสิทธิแล้ว เฉพาะในพื้นที่จังหวัดน่านกว่า 2,300 แปลง โดยมีตัวแทนประชาชนจากอำเภอเมืองน่าน เข้ารับมอบโฉนดที่ดิน จำนวนกว่า 50 แปลง ณ และนายนิพนธ์ ยังได้ลงพื้นที่ไปมอบโฉนดถึงบ้านเรือนประชาชนผู้สูงอายุเพิ่มเติมอีกจำนวนกว่า 10 แปลง เพื่ออำนวยความสะดวกและแสดงความห่วงใยต่อพี่น้องประชาชนในพื้นที่

โดยในวันนี้ ผู้แทนประชาชนจังหวัดน่าน ที่ได้รับมอบโฉนดที่ดินดังกล่าว ได้เดินเข้าพบนายนิพนธ์ เพื่อแสดงความขอบคุณอย่างเป็นทางการแทนกลุ่มประชาชนที่ได้รับสิทธิ์ในที่ดินทำกิน ซึ่งสะท้อนถึงความยินดีและความซาบซึ้งใจที่ประชาชนมีต่อนายนิพนธ์ และทีมงาน ที่ได้ดำเนินการผลักดันเรื่องนี้จนประสบความสำเร็จ หลังจากที่ชาวบ้านต้องรอคอยการแก้ไขปัญหามานานหลายทศวรรษ

ผอ.รพ.สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ฯ ต้อนรับคณะหลักสูตรเวชศาสตร์ ทอ. ศึกษาดูงาน รพ.ฯ

พล.ร.ต.พัฒนชัย เฉลิมวรรณ์ ผอ.รพ.สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ กรมแพทย์ทหารเรือ ให้การต้อนรับคณะศึกษาดูงานหลักสูตร เวชศาสตร์ทหารอากาศ สำหรับผู้ปฏิบัติ กรมแพทย์ทหารอากาศ โดยมี น.อ.อัศวิน คนชม รอง ผอ.ศูนย์ปฏิบัติการแพทย์ทหารอากาศ เป็นหัวหน้าคณะในการศึกษาดูงานในครั้งนี้ ซึ่งกิจกรรมประกอบด้วย การรับฟังการบรรยายสรุป ณ ห้องประชุม ป.4 อาคารอำนวยการ และเยี่ยมชมศูนย์เวชศาสตร์ความดันบรรยากาศสูง ของ รพ.สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ฯ โดยมีผู้แทนหน่วยงานของ รพ.สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ฯ ร่วมให้คำแนะนำขีดความสามารถของหน่วยหน้างาน ในครั้งนี้ 

หลักสูตรเวชศาสตร์​ทหารอากาศ​สำหรับ​ผู้ปฏิบัติ​นี้ มีวัตถุประสงค์และความมุ่งหมาย เพื่อให้ผู้เข้ารับการศึกษามีความรู้ด้านเวชศาสตร์ทหารอากาศ สามารถนำหลักวิชาไปปรับใช้ให้เหมาะสมกับสถานการณ์ด้านยุทธการและภัยพิบัติ มีทักษะการช่วยเหลือด้านการแพทย์ทหาร ในภาวะวิกฤติฉุกเฉิน ภัยพิบัติ และภัยคุกคามด้านเคมี ชีวะ กัมมันตรังสี สามารถตอบสนองต่อภารกิจของกองทัพอากาศ และสามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ มีระยะเวลาการศึกษา 12 สัปดาห์ ระหว่าง 21 เมษายน ถึง 18 กรกฎาคม 2568    

ไม่ใช่เรื่องง่ายที่ ‘Apple’ จะย้ายโรงงานผลิต จากจีนไปอินเดีย ต้องผ่านมาตรการศุลกากร ข้อบังคับทางการค้า ด้านการส่งออก

(26 เม.ย. 68) เพจเฟซบุ๊ก ‘Ethan Hunts’ ได้โพสต์ข้อความระบุว่า ...

อินฟลูเปรียบเทียบประโยคที่ เมื่อครั้งนายเจียง เจ๋อหมิน อดีตประธานาธิบดีจีน และอดีตเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์ สอนนักข่าวฮ่องกง ถามเรื่องการลงสมัครเป็นผู้ว่าการเกาะฮ่องกงของนายถัง ซึ่งเป็นผู้ว่าการฯในขณะนั้น โดยใช้มุกสัมภาษณ์ควาย ๆ ยิงคำถามเดิมซ้ำ ๆ และคาดเดานัยของคำตอบซึ่งไม่ถูกใจ ด้วยการถามใหม่ปรับเปลี่ยนบางคำในประโยคคำถามนั้น คล้ายว่าหากตอบไม่ตรงกับความตั้งใจที่แฝงมากับคำถาม ก็จะทู่ซี้ถามอีก นายเจียง ตัดบทหลายครั้งหลังตอบคำถามเมื่อถูกถามว่าตนสนับสนุนนายถังหรือไม่? และตอบไปแล้วว่าโดยส่วนตัวเขาสนับสนุน แต่นักข่าวต้องการคำตอบว่าจีนกดดันฮ่องกงให้เลือกนายถังหรือเปล่า? นายเจียงถามนักข่าวว่าไปเอาความคิดนี้มาจากไหน? นักข่าวชี้ว่ามาจากสื่อตะวันตก นายเจียงจึงสอนนักข่าวว่า “ในฐานะสื่อฯ คุณไม่ควรคาดเดาเอาเอง หรือมโนฯเพียงสัมผัสลม ก็ฟันธงว่ามีฝน พวกคุณต้องพิจารณาว่าแหล่งข่าวน่าเชื่อถือหรือไม่ แล้วตัดสินใจก่อนจะนำมา ต่อเรื่องเป็นตุเป็นตะ พวกคุณยังอ่อนวัยเกิน, คิดว่าทุกสิ่งทุกอย่างมันง่าย ๆ จนทำตัวเองให้ดูเหมือนพวกอ่อนต่อโลก (เอเคเอ ปัญญาอ่อน)” 

แอปเปิ้ลก็มีข่าวว่า วางแผนจะย้ายฐานการผลิตจากจีนไปอินเดีย จากนโยบายสุดระห่ำของไอ้บ้า 'คนขายส้ม' เอเคเอ ดิ ออเรนจ์แมน (ฉายาที่สื่อฯอเมริกันใช้นิยามทรัมป์) ซึ่งคาดว่าการย้ายฐานการผลิตจะเกิดขึ้นภายในปี 2026 แต่ที่ทิม คุ๊ก ซีอีโอแอปเปิ้ล อาจแสร้ง หรือคาดไม่ถึงคือ จีนเห็นการย้ายฐานการผลิตของแอปเปิ้ลเป็นเรื่องที่ “คิดได้ ถึงกล้าทำแต่มันไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ” แอปเปิ้ลอาจคิดว่าจีน เป็นแค่โรงงานรับจ้างผลิต ทั้งยังเป็นตลาดขนาดใหญ่รองรับสินค้านับหลายร้อยล้านเครื่องต่อปี จึงคิดว่าแค่ย้ายโรงงานไม่ใช่เรื่องใหญ่ หรือดำเนินการยากแต่อย่างใด

แต่เอาเข้าจริง การส่งออกวัตถุดิบตลอดจนเครื่องจักรจากจีน เพื่อที่จะย้ายไปอินเดียนั้น แบบไม่ต้องประกาศอย่างโจ๋งครึ่มแต่อย่างใด ทางการจีนสามารถใช้มาตรการทางศุลกากร และข้อบังคับทางการค้า ด้านการส่งออก เป็นเครื่องมือในการปิดประตูหน้า, ขวางประตูข้าง และทิ้งช่องประตูด้านหลังโรงงานเล็ก ๆ ไว้ให้ กว่าแอปเปิ้ลจะดำเนินการจนแล้วเสร็จคาดว่า อาจหมดสมัยทรัมป์ไปแล้ว หรือแย่กว่านั้น ระหว่างตั้งโรงงาน สหรัฐดันคุยกับจีนแล้วตกลงกันได้ ทิม คุ๊ก ก็อาจมีสภาพต้องกินอาหารเม็ดไปเลยก็เป็นได้

มหากาพย์แห่งสงครามอินโดจีน EP#15 ปฏิบัติการทางทหารครั้งใหญ่ที่สุด ในสงครามเวียตนาม

การรุกตรุษญวน (Tet Offensive) เป็นปฏิบัติการทางทหารครั้งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งในสงครามเวียตนาม เริ่มต้นขึ้นในวันที่ 30 มกราคม 1968 โดยกองกำลังเวียตกง (VC) และกองทัพประชาชนเวียตนามเหนือ (PAVN) กับกองกำลังเวียตนามใต้ สหรัฐอเมริกา และพันธมิตร เป็นการรบแบบการจู่โจมต่อที่ตั้งของกองบัญชาการทหารและพลเรือน ตลอดจนศูนย์ควบคุมและสั่งการทั่วประเทศเวียตนามใต้ การรุกนี้ได้ชื่อจากวันหยุดตรุษญวน (Tết) ด้วยกำลังผสมของกองกำลังเวียตกงและกองทัพประชาชนเวียตนามเหนือประมาณ 5 แสนนาย เปิดฉากการบุกโจมตีพร้อมกันหลาย ๆ จุดในหลาย ๆ เมืองของเวียตนามใต้ จนเป็นการสู้รบที่ดุเดือดต่อเนื่องยาวนานหลายเดือนไปจนถึงวันที่ 23 กันยายน 1968

ฝ่ายคอมมิวนิสต์ได้มีการตระเตรียมกำลังพลถึง 1 ใน 3 (กว่าสี่แสนนาย) ของกองทัพประชาชนเวียตนามเหนือ (PAVN) และระดมกำลังพลของเวียตกงอีกประมาณ 70,000 คน โดยผู้บัญชาการทหารของฝ่ายเวียตนามเหนือ พลเอกโวเหงียนเกี๊ยบได้เลือกเอาวันที่ 31 มกราคม ซึ่งเป็นวันปีใหม่ในปฏิทินจันทรคติของชาวเวียตนามเป็นการเปิดฉากจู่โจมในครั้งดังกล่าว โดยพลเอกเกี๊ยบได้วาดหวังผลทางยุทธศาสตร์เอาไว้ว่า การบุกจู่โจมดังกล่าวจะสามารถพิชิตกองทัพของฝ่ายเวียตนามใต้ (ARVN : Army of the Republic of Vietnam) ลงได้ ทั้งยังจะสามารถสร้างความวุ่นวายและปลุกปั่นกระแสต่อต้านรัฐบาลเวียตนามใต้ได้มากยิ่งขึ้น นอกจากนี้เขายังต้องการที่จะกระตุ้นตอกย้ำรอยร้าวของความสัมพันธ์ที่ระหองระแหงระหว่างรัฐบาลเวียตนามใต้กับรัฐบาลสหรัฐฯ เพื่อให้สหรัฐฯ หาทางเจรจาและต้องถอนกำลังทหารออกไปจากเวียตนามใต้

ฝ่ายคอมมิวนิสต์ได้ทำการโจมตีเป็นระลอกในกลางดึกของวันที่ 30 มกราคมในเขตยุทธวิธีที่ 1 และที่ 2 ของกองทัพเวียตนามใต้ การโจมตีช่วงแรกนี้ไม่นำไปสู่มาตรการป้องกันอย่างกว้างขวาง เมื่อปฏิบัติการหลักของคอมมิวนิสต์เริ่มในเช้าวันรุ่งขึ้น การรุกก็ลามไปทั่วประเทศและมีการประสานงานอย่างดี จนสุดท้ายมีกำลังคอมมิวนิสต์กว่า 80,000 นายเปิดฉากโจมตีเมืองต่าง ๆ กว่า 100 แห่ง ซึ่งรวมเมืองหลักของ 36 จาก 44 จังหวัด เขตปกครองตนเอง 5 จาก 6 แห่ง เมืองรอง 72 จาก 245 แห่ง และกรุงไซ่ง่อน เมืองหลวงของเวียตนามใต้ ในเวลานั้น การโจมตีครั้งนี้เป็นปฏิบัติการทางทหารใหญ่ที่สุดของทั้งสองฝ่าย การโจมตีในระยะแรกทำให้กองทัพสหรัฐฯ และเวียตนามใต้สับสนจนเสียการควบคุมในหลายเมือไปชั่วคราว แต่ที่สุดก็สามารถจัดกำลังใหม่จนสามารถต่อต้านการโจมตีและตีโต้จนฝ่ายคอมมิวนิสต์ต้องล่าถอยกลับไป 

แผนการบุกจู่โจมของฝ่ายคอมมิวนิสต์เริ่มขึ้นตรงตามที่ได้มีการวางวางแผนไว้ ในกรุงไซง่อนซึ่งเป็นเมืองหลวงของสาธารณรัฐเวียตนาม ที่มั่นของฝ่ายรัฐบาลเวียตนามใต้ เช่น สถานทูตสหรัฐฯ ถูกก่อวินาศกรรมโดยหน่วยกล้าตายเวียตกงประมาณ 19 นาย หน่วยจู่โจมดังกล่าวปะทะกับทหารเวียตนามใต้และสหรัฐฯ และสามารถยึดที่มั่นสำคัญของฝ่ายเวียตนามใต้แห่งนี้ได้นานถึง 6 ชั่วโมง ก่อนที่จะถูกกราดยิงจากเฮลิคอปเตอร์ของฝ่ายเวียตนามใต้และสหรัฐฯ จนเสียชีวิตหมด หน่วยกล้าตายเวียตกงอีกหน่วยสามารถบุกไปยังทำเนียบประธานาธิบดี สถานีวิทยุ ศูนย์กลางกองทัพเรือ กองพลทหารพลร่ม ศูนย์กลางตำรวจ รวมถึงคลังน้ำมันที่ 4, 5. 6, 7, 8 ในกรุงไซง่อน ความสำเร็จในการบุกจู่โจมกรุงไซง่อนของเวียตกงได้แสดงให้ถึงสถานการณ์ที่แท้จริงของสงครามว่า ฝ่ายคอมมิวนิสต์ไม่ได้เป็นฝ่ายที่เพลี่ยงพล้ำอย่างที่ทางรัฐบาลสหรัฐฯ เคยบอกตลอดมา นอกจากนี้ความจริงดังกล่าวยังเป็นการทำลายขวัญกำลังใจของทหารอเมริกัน ในวันเดียวกันของการเริ่มปฏิบัติการที่เมืองเว้ ฝ่ายคอมมิวนิสต์สามารถบุกยึดเมืองดังกล่าวได้สำเร็จ และปล่อยนักโทษที่ถูกฝ่ายตรงข้ามคุมขังให้เป็นอิสระได้ถึง 2,000 คน

ในกรุงไซง่อนการขับไล่กองกำลังฝ่ายคอมมิวนิสต์ของทหารเวียตนามใต้และอเมริกันเป็นไปด้วยความยากลำบาก หน่วยจู่โจมฝ่ายคอมมิวนิสต์แทรกซึมอยู่ทั่วกรุงไซง่อนมาหลายสัปดาห์แล้ว อาศัยเสบียงที่พอจะประทังชีวิตได้ รวมทั้งอาวุธยุทโธปกรณ์ต่าง ๆ กองทัพอเมริกันได้โต้กลับด้วยวิธีการที่รุนแรงด้วยการใช้เครื่องบินทิ้งระเบิดและปืนใหญ่เข้าทำลายพื้นที่ทั้งหมดในทั้งกรุงไซง่อนและพื้นที่อื่น ๆ ที่มีกำลังของฝ่ายคอมมิวนิสต์อยู่ ระหว่างยุทธการที่เมืองเว้มีการสู้รบอย่างดุเดือดกินเวลาถึงหนึ่งเดือน ทำให้กองกำลังสหรัฐต้องทำลายเมืองเว้จนเสียหายอย่างหนัก และระหว่างการยึดครองเมืองเว้ฝ่ายคอมมิวนิสต์ก็ได้ประหารชีวิตประชาชนหลายพันคน (เหตุการณ์การสังหารหมู่ที่เมืองเว้) 

ขณะเดียวกัน ยังมีการสู้รบบริเวณรอบ ๆ ฐานทัพสหรัฐฯ ที่เคซานต่อมาอีกสองเดือน แม้ว่าปฏิบัติการจู่โจมดังกล่าวจะไม่ได้ประสบกับความสำเร็จอย่างสมบูรณ์ ทำให้ฝ่ายคอมมิวนิสต์ต้องสูญเสียกำลังพลมหาศาล และถือเป็นความพ่ายแพ้ทางทหารสำหรับฝ่ายคอมมิวนิสต์ แต่กลับสร้างผลกระทบอย่างใหญ่หลวงต่อรัฐบาลสหรัฐฯ เพราะทำให้สาธารณชนชาวอเมริกันต้องตกตะลึงจากความเชื่อซึ่งถูกผู้นำทางการเมืองและการทหารบอกว่า ฝ่ายคอมมิวนิสต์กำลังปราชัย และไม่สามารถดำเนินความพยายามขนาดมโหฬารเช่นนี้ได้ การสนับสนุนสงครามของสาธารณชนชาวอเมริกันจึงลดลงเรื่อย ๆ และในที่สุดสหรัฐฯ ต้องแสวงหาการเจรจาเพื่อยุติสงคราม

การรุกในวันตรุษญวนทำให้ทหารของกองทัพประชาชนเวียตนามเหนือ (PAVN) และเวียตกง (VC) เสียชีวิตกว่า 1 แสนนาย ทหารของกองทัพสหรัฐฯ เวียตนามใต้ และพันธมิตรเสียชีวิตกว่า 10,000 นาย เหตุการณ์นี้กองกำลังทหารไทยในเวียตนามใต้ได้มีส่วนร่วมในการสู้รบด้วย แม้ว่าฝ่ายคอมมิวนิสต์จะได้รับความเสียหายอย่างหนัก แต่การรุกในวันตรุษญวนส่งผลในทางจิตวิทยาเป็นอย่างมาก โดยเป็นการแสดงศักยภาพด้านการทหารของฝ่ายคอมมิวนิสต์ เป็นการจุดกระแสต่อต้านสงครามเวียตนามในสหรัฐฯ จนติด และนำไปสู่การถอนทหารสหรัฐฯ จากเวียตนามใต้ และที่สุดนำไปการล่มสลายของเวียตนามใต้ (สาธารณรัฐเวียตนาม) ในวันที่ 30 เมษายน ค.ศ.1975

หมายเหตุ ผู้เขียนใช้คำว่า “เวียตนาม” ตัว ‘ต’ สะกด เพราะเอกสารสมัยก่อนใช้เช่นนี้ ต่อมาภายหลังจึงเปลี่ยนมาเป็น “เวียดนาม” สะกดด้วยตัว ‘ด’


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top