Wednesday, 3 July 2024
TheStatesTimes

‘เบลล่า’ นำคณะถวายผ้าป่า 2 วัดติด ยอดเกือบ 4 ล้านบาท หนุนอุปกรณ์การแพทย์ - ทำพิธีปิดทองพระนางพญาองค์ใหญ่

(24 มิ.ย.67) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ครอบครัวสายบุญอย่างดาราสาว ‘เบลล่า’ หรือ นส.ราณี แคมเปญ และคุณแม่ปราณี แคมเปญ ,คุณวีณา เฆมกำเนิดชัย ,ผู้จัดการส่วนตัว พร้อมด้วย ผู้จัดคู่บุญ คุณหน่อง อรุโณชา ภาณุพันธุ์ และคณะ ได้เริ่มเดินสายขึ้นเหนือไปร่วมทอดผ้าป่าถวายเงินบูรณะปิดทองคำแท้ องค์สมเด็จนางพญาองค์ใหญ่ ที่วัดราชบูรณะ จังหวัดพิษณุโลก 

โดยมียอดผ้าป่า ที่กัลยาณมิตรบุญและแฟนคลับร่วมบุญกับคุณเบลล่า ถึง 2,679,756.31 บาท เพื่อหวังให้สถานที่ดังกล่าว เป็นสถานที่ท่องเที่ยวและเป็นที่เคารพศรัทธาทางใจของประชาชน และช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจให้ชาวจังหวัดพิษณุโลกด้วย 

จากนั้น เมื่อวานนี้ทางครอบครัวคุณเบลล่า พร้อมด้วยคุณแม่ปราณี ยังเดินทางต่อไปที่วัดสันป่ายางหลวง จังหวัดลำพูน เพื่อนำเงิน 1 ล้านบาทที่น้องเบลล่า และคุณแม่ได้ร่วมกันเป็นสะพานบุญ บอกบุญไปยังพุทธศาสนิกชนที่สนใจจะร่วมบุญกับเบลล่าและครอบครัวในการทอดผ้าป่ามหากุศล เพื่อสมทบทุนซื้ออุปกรณ์ทางการแพทย์ สนับสนุนโรงพยาบาลจังหวัดลำพูน เพื่อจัดสร้างหน่วยพยาธิวิทยากายวิภาคเป็นจำนวน 10 ล้านบาท 

ทั้งนี้ เบลล่า ราณี และคณะได้ร่วมถวายปัจจัย 1 ล้านบาท โดยมีพระเทพรัตนายกเจ้าคณะจังหวัดลำพูนเจ้าอาวาสวัดหริกุญชัย เป็นประธานฝ่ายสงฆ์ พร้อมกับพุทธศาสนิกชนชาวลำพูนที่มาร่วมงานบุญกันอย่างคับคั่ง สร้างความประทับใจมาสู่เบลล่าและครอบครัว เป็นอย่างมาก งานนี้ต้องขอชื่นชม คุณเบลล่า ราณี และคุณแม่ ที่ได้เป็นตัวอย่างของบุคคลที่มีชื่อเสียง และทำประโยชน์ตอบแทนสังคม 

โดยเบลล่า ราณี ได้กล่าวกับประชาชนที่มาร่วมบุญว่า “ความจริงแล้วการทำบุญไม่จำเป็นต้องใช้เงินเสมอไป หากเรามีแรงกายแรงใจ ก็มาร่วมสร้างบุญด้วยกันได้ค่ะ ขออนุโมทนาบุญกับทุกท่านในการทำบุญครั้งนี้ค่ะ”

สมุทรปราการ-โครงการส่งเสริมการผลิต สร้างมูลค่าเพิ่มสินค้าเกษตรปลอดภัยได้มาตรฐาน "ปลาสลิดบางบ่อ” ออนไลน์ทั่วโลก

นายสุจินต์ วาจากิจ รองผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรปราการ เป็นประธานเปิดงาน "ปลาสลิดบางบ่อ ออนไลน์ทั่วโลก" ภายใต้โครงการส่งเสริมการผลิต และสร้างมูลค่าเพิ่มสินค้าเกษตรปลอดภัยได้มาตรฐาน ประจำปี พ.ศ. 2567

โดยมี นายสาธิต กล่อมสวัสดิ์ พาณิชย์จังหวัดสมุทรปราการ คุณโอฬาร กิจเลิศไพโรจน์ รองประธานกรรมการผู้จัดการใหญ่ ศูนย์การค้าอิมพีเรียลเวิลด์ สำโรง ตลอดจนเจ้าหน้าที่แขกผู้มีเกียรติ และสื่อมวลชน ร่วมในพิธีเปิดงานในครั้งนี้ ณ เวทีกิจกรรม บริเวณ Grand Hall ชั้น 1 ศูนย์การค้า อิมพีเรียล เวิลด์ สำโรง ต.สำโรงเหนือ อ.เมือง จ.สมุทรปราการ วัตถุประเพื่อขยายช่องทางการตลาด และประชาสัมพันธ์ผลิตภัณฑ์สิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ปลาสลิดบางบ่อให้มากยิ่งขึ้น พัฒนาขีดความสามารถทางการแข่งขันให้กับผู้ประกอบการ หรือกลุ่มเกษตรกร เพื่อสร้างรายได้ให้กับระบบเศรษฐกิจฐานราก (Local Economy) โดยสำนักงานพาณิชย์จังหวัดสมุทรปราการ ได้รับการจัดสรร สนับสนุนจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 ของจังหวัดจังหวัดสมุทรปราการ

ภายในงานมีผู้ผลิต ผู้ประกอบการเข้าร่วมแสดงและจำหน่ายสินค้า จำนวนกว่า 40 ราย ซึ่งประกอบไปด้วยสินค้า เช่น ผลิตภัณฑ์แปรรูปจากปลาสลิด สินค้ากลุ่ม OTOP/SMEs กลุ่มวิสาหกิจชุมชน สินค้าเครือข่าย MOC Biz Club เป็นต้น นอกจากนี้ภายในงานยังมีกิจกรรมเจรจาธุรกิจเพื่อเพิ่มช่องทางการจำหน่ายให้เพิ่มมากขึ้น กิจกรรมพิเศษอื่นๆ เช่น กิจกรรมนาทีทองที่ทุกท่านจะสามารถซื้อสินค้าภายในงานได้ในราคาถูก, กิจกรรมจับสลากลุ้นรางวัลทุกวัน มูลค่ารวมกว่า 100,000 บาท ตลอดการจัดงาน และในทุกวันยังมีกิจกรรมสาธิตเมนูจากสินค้า G1 จ.สมุทรปราการ จากเชฟชื่อดังทุกวัน จัดขึ้นระหว่างวันที่ 22-26 มิถุนายน 2567

คิว-ข่าวสมุทรปราการ รายงาน

ผนึกพลัง ตำรวจ - เอไอเอส เปิดยุทธการทลายเครือข่าย “แก๊งตระเวนลักแบตเตอรี่สำรองเสาสัญญาณโทรศัพท์มือถือ”

ภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ท.สมประสงค์ เย็นท้วม ผบช.ภ.2, พล.ต.ต.ฉัตรชัย สุรเชษฐพงษ์ รอง ผบช.ภ.2, พล.ต.ต.ธีระชัย ชำนาญหมอ ผบก.สส.ภ.2, พ.ต.อ.พัฒนา ปรีชานันท์ รอง ผบก.สส.ภ.2, พ.ต.อ.พัลลภ สุภิญโญ รอง ผบก.สส.ภ.2, พ.ต.อ.วราวุธ เจริญชนม์ รอง ผบก.สส.ภ.2, พ.ต.อ.กฤตยา เลาประสพวัฒนา รอง ผบก.สส.ภ.2, พ.ต.อ.เอนก บุตรอินทร์ รอง ผบก.สง.ก.ต.ช. ปฏิบัติราชการ บก.สส.ภ.2

พร้อมด้วยชุดสืบสวน บก.สส.ภ.2 ทำการสืบสวนเนื่องจากได้รับแจ้งว่ามีเหตุคนร้ายตระเวนลักทรัพย์แบตเตอรี่(ลิเธียม)ที่ติดตั้งกับเสาสัญญาณโทรศัพท์มือถือของบริษัท แอดวานซ์ ไวร์เลส เน็ทเวิร์ค จำกัด ในกลุ่ม เอไอเอส จำนวนหลายท้องที่ในพื้นที่ภาคตะวันออก ซึ่งเป็นพื้นที่รับผิดชอบของ กองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 2 จากการประสานของมูลจาก บริษัท แอดวานซ์ ไวร์เลส เน็ทเวิร์ค จำกัด ว่าในห้วงระยะเวลา ตั้งแต่ 1 ม.ค. 2566 ถึงปัจจุบัน พบว่าเกิดเหตุคนร้ายได้ตระเวนก่อเหตุในลักษณะเดียวกัน กว่า 150 ครั้ง ได้ทรัพย์สินเป็นแบตเตอรี่ ไม่ต่ำกว่า 300 ลูก ทำให้บริษัทได้รับความเสียหายคิดเป็นมูลค่าความเสียหายมากกว่าสิบล้านบาท คนร้ายได้ตระเวนลักทรัพย์ในพื้นที่หลายจังหวัดในภาคตะวันออก โดยเลือกพื้นที่ห่างไกลและไม่ค่อยมีกล้องวงจรปิด ออกตระเวนลักทรัพย์อย่างต่อเนื่อง และจากแผนประทุษกรรมการก่อเหตุพบว่าคนร้ายเป็นผู้มีความรู้ความชำนาญเกี่ยวกับระบบเสาสัญญาณโทรศัพท์เป็นอย่างดี ซึ่งคาดว่าคนร้ายเป็นกลุ่มคนที่เคยประกอบอาชีพเกี่ยวกับการติดตั้งระบบในเสาสัญญาณโทรศัพท์

ด้านนายสมภพ กิตติวิรุฬห์วัฒน รักษาการหัวหน้างานปฏิบัติการภูมิภาค-ภาคตะวันออก เอไอเอส กล่าวว่า “จากกรณีที่มีมิจฉาชีพขโมยแบตเตอรี่ สถานีฐานโทรศัพท์เคลื่อนที่ ของเอไอเอส ในช่วงที่ผ่านมา ส่งผลกระทบกับความเสี่ยงของการให้บริการสัญญาณเครือข่ายอย่างยิ่ง เนื่องจากทำให้สถานีฐานขาดระบบสำรองแหล่งพลังงาน อันอาจทำให้ไม่สามารถให้บริการสัญญาณได้ตามปกติ ดังนั้นทีมวิศวกร และฝ่ายกฎหมายของเอไอเอส จึงเดินหน้าทำงานสืบสวนในเชิงลึกร่วมกับตำรวจ โดยกองบังคับการสืบสวน สอบสวนตำรวจภูธร ภาค 2 มาอย่างต่อเนื่อง เพื่อติดตามกลุ่มมิจฉาชีพและสามารถเข้าจับกุมรายใหญ่ได้ในครั้งนี้ ซึ่งในนามของเอไอเอส ต้องขอขอบคุณเจ้าหน้าที่ตำรวจทุกท่านอย่างยิ่ง ที่ให้ความสำคัญกับคดีนี้ ทั้งนี้เชื่อมั่นว่า ในพื้นที่อื่นๆ หากมีการผนึกกำลังร่วมกันระหว่างภาครัฐและเอกชนในลักษณะนี้ จะทำให้สามารถติดตามจับกุม และนำทรัพย์สินกลับมาเพื่อให้สามารถส่งมอบสัญญาณเครือข่ายได้อย่างมีคุณภาพต่อไป อย่างไรก็ตามหากประชาชนพบเหตุต้องสงสัย สามารถแจ้งมาที่บริษัทฯ หรือ เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ตลอดเวลาเช่นกัน”

สำหรับ แบตเตอรี่ลิเธียม ที่ได้ทำการติดตั้งกับเสาสัญญาณโทรศัพท์ มีไว้สำหรับเป็นกระแสไฟฟ้าสำรองกรณีหากมีเหตุไฟฟ้าดับ แบตเตอรี่จะทำงานจ่ายกระแสไฟฟ้าให้กับเสาสัญญาณโทรศัพท์ทำให้ประชาชนที่มีพื้นที่การใช้งานบริเวณเสาสัญญาณนั้นๆ ยังสามารถใช้สัญญาณโทรศัพท์ในการติดต่อสื่อสารได้ บริษัทจึงต้องใช้แบตเตอรี่ลิเธียมที่มีกำลังวัตต์สูง เพื่อสำรองกระแสไฟฟ้าให้เพียงพอที่จะทำให้สัญญาณโทรศัพท์ไม่ขัดข้องในกรณีที่ไฟฟ้าดับ โดยในเสา 1 ต้น จะติดตั้งประมาณ 2-3 ลูก ราคาอยู่ที่ประมาณ ลูกละ 40,000 บาท ซึ่งแบตเตอรี่ลิเธียม ประเภทนี้จะไม่ได้มีการนำมาขายตามท้องตลาด ทางบริษัทนำเข้าแบตเตอรี่ จะจำหน่ายให้กับบริษัทที่จะต้องนำไปใช้งานจริงเท่านั้น

คนร้ายได้กระทำกันเป็นขบวนการเครือข่าย โดยหลังจากที่คนร้ายได้ทำการลักทรัพย์แบตเตอรี่แล้ว จะรีบนำไปส่งขายให้กับกลุ่มรับซื้อของโจร ในราคาลูกละ 5,000-8,000 บาท จากนั้น กลุ่มคนรับซื้อของโจรจะดำเนินการปลด Alert ในตัวแบตเตอรี่ แล้วนำไปลงขายใน Social ตลาดมืด ในราคาลูกละ 12,000 – 14,000 บ. และหากซื้อจำนวนมากๆ ราคาจะถูกลง ซึ่งตลาดมืดที่มีความต้องการแบตเตอรี่ประเภทนี้สูงที่สุด คือ กลุ่มตลาดที่รับติดตั้งแผงโซล่าเซลล์ เนื่องจากเป็นแบตเตอรี่ ที่มีกำลังวัตต์สูง ในการเก็บไฟฟ้า รองลงมาจะเป็น กลุ่มเครื่องเสียงรถยนต์ กลุ่มเครื่องเสียงรถแห่ กลุ่มทำเหมืองขุดบิทคอย เป็นต้น

ชุดสืบสวน บก.สส.ภ.2 ได้ รายงานให้ผู้บังคับบัญชาทราบและได้ร่วมกันประชุมวางแผนกับเจ้าหน้าที่ฝ่ายกฎหมายและวิศวกร ของบริษัท แอดวานซ์ ไวร์เลส เน็ทเวิร์ค จำกัด เพื่อประสานข้อมูลในการสืบสวนหาตัวผู้กระทำความผิดมาลงโทษ และทำลายเครือข่ายขบวนการลักแบตเตอรี่เสาสัญญาณโทรศัพท์ ในครั้งนี้ ซึ่งชุดสืบสวนสามารถรวบรวมพยานหลักฐาน ขออนุมัติศาลออกหมายจับผู้ต้องหา จำนวน 7 คน และขออนุมัติศาลขอหมายค้นเพื่อตรวจยึดของกลาง อีกจำนวน 8 จุด ซึ่งได้ดำเนินการวางแผน Operation ตั้งแต่ วันที่ 21–23 มิ.ย. 67 ซึ่งรายละเอียดผลการปฏิบัติการ มีดังนี้

จับกุมผู้ต้องหาตามหมายจับ จำนวน 6 ราย ประกอบด้วย

1.นายอัศวิน สงวนนามสกุล

2.นายอิบรอฮีม สงวนนามสกุล

3.นายนาวิน สงวนนามสกุล

4.นายรุ่งอนัน สงวนนามสกุล

5.นายศราวุธ สงวนนามสกุล

6.นายปริวัฒน์ สงวนนามสกุล

7.นายวีระวุฒฺ สงวนนามสกุล หลบหนีการจับกุม

รวมจับกุม 6 คน ตรวจยึดของกลางรวม จำนวน 114 ลูก

ซึ่งการตรวจยึดจากผู้ที่รับซื้อรวมถึงคนกลางที่รับซื้อแบตเตอรี่ซึ่งถูกขายบน Social ด้วยจากการขยายผลพบกลุ่มผู้กระทำความผิดที่เป็นตัวลงมือลักทรัพย์และตัวกลางรับซื้ออีกหลายราย ซึ่งจะได้จับกุมให้หมดทั้งขบวนการและได้ประสานงานกับชุดสืบสวน บก.สส.ภ.3,กก.สืบสวน ภ.จว.นครราชสีมา,กก.สืบสวน ภ.จว.ชลบุรี การตรวจยึดในครั้งนี้

การกระทำของผู้ลงมือและตัวกลางรับซื้อ เป็นความผิดฐานลักทรัพย์/รับของโจร ซึ่งมีอัตราโทษสูงถึง 5 ปี และหากมีพฤติการณ์ลักทรัพย์ อันมีลักษณะเป็นปกติธุระ หรือรับของโจร เฉพาะที่เกี่ยวกับการช่วยจำหน่าย ซื้อ รับจำนำ หรือรับไว้ด้วยประการใด ซึ่งทรัพย์ที่ได้มาโดยการกระทำความผิดอันมีลักษณะเป็นการค้า ผู้นั้นกระทำความผิดฐานฟอกเงิน อีกส่วนหนึ่ง ต้องระวางโทษตั้งแต่ 1 ปี ถึง 10 ปี หรือปรับตั้งแต่ 20,000 บาท ถึง 200,000 หรือทั้งจำทั้งปรับ และจะถูกดำเนินการตามมาตรการยึดทรัพย์

ในส่วนตัวกลางรับซื้อ รับจำหน่าย ได้มีการอายัดบัญชีไว้แล้ว กว่า 1,000,000 บาท และจะถูกดำเนินคดีทุกกรรม เป็นกระทงความผิดไป

‘ทบ.’ โต้!! ‘สส.ก้าวไกล’ หลังให้ข้อมูลคลาดเคลื่อน ยัน!! ‘ที่ดินทหาร’ เป็นไปตามกฎหมาย-ระเบียบราชพัสดุ

(24 มิ.ย. 67) พันเอก ริชฌา สุขสุวานนท์ รองโฆษกกองทัพบก (ทบ.) กล่าวถึงกรณีนายจิรัฏฐ์ ทองสุวรรณ์ สส.ก้าวไกล ในฐานะกรรมาธิการการทหาร ตั้งข้อสังเกตพื้นที่ทหารซึ่งเป็นที่ราชพัสดุ แต่เจ้าของพื้นที่ไร้อำนาจเรียกคืน เปรียบเป็นพื้นที่เอกราชของกองทัพที่ไม่มีใครเข้าไปตรวจสอบได้ ว่า ข้อมูลดังกล่าวอาจสร้างความเข้าใจคลาดเคลื่อนให้กับสังคม ในประเด็นที่เกี่ยวกับที่ดินทหารในหลายประการ กองทัพบกจึงขอให้ข้อมูลที่ถูกต้องเพื่อความเข้าใจที่ถูกต้อง และป้องกันการบิดเบือนข้อมูลทั้งที่เจตนาและด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ดังนี้

ที่ดินทหาร คือ ที่ดินราชพัสดุ ตาม พ.ร.บ. ที่ราชพัสดุ พ.ศ.2562 โดยมีกระทรวงการคลัง เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ ส่วนกองทัพบก เป็นผู้ใช้ที่ราชพัสดุ ตามกฎกระทรวง การใช้ที่ราชพัสดุ พ.ศ.2563 โดยเป็นการใช้ตามอำนาจหน้าที่ของกองทัพ ด้านความมั่นคง และการพัฒนาประเทศ ซึ่งยังคงต้องปฏิบัติตามกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องกับการใช้ที่ราชพัสดุ และเนื่องจากพื้นที่ของกองทัพบก เป็นพื้นที่เพื่อความมั่นคง มีชั้นความลับทางราชการทหาร จึงทำให้บุคคลภายนอกเข้าถึงได้ยาก การไม่ได้รับรู้ข้อมูลเชิงลึก อาจทำให้ถูกมองว่ากองทัพบก ทำอะไรได้ตามใจ ซึ่งแท้จริงแล้วกองทัพบกก็ยังคงต้องปฏิบัติตามกฎหมาย และระเบียบต่าง ๆ

พื้นที่ไม่ลงสี หรือสีขาวนั้น กรมโยธาธิการและผังเมือง ได้กำหนดข้อยกเว้นสำหรับที่ดินของกองทัพ เพื่อกำหนดเป็นพื้นที่ตั้งของสิ่งปลูกสร้างที่สำคัญต่าง ๆ เช่น คลังอาวุธยุทโธปกรณ์ รวมถึงที่ตั้งโรงงานต่าง ๆ ของกองทัพ รวมถึงระบบด้านความปลอดภัยและสาธารณูปโภคที่สนับสนุนเกื้อกูลกัน

ทั้งนี้ การก่อสร้างอาคารและสิ่งปลูกสร้างต่าง ๆ กองทัพบก ยังคงต้องเป็นไปตามกฎหมาย และระเบียบที่เกี่ยวข้องเช่นกัน หากหน่วยงานใดมีความประสงค์จะขอใช้ที่ราชพัสดุในความครอบครอง ดูแลและใช้ประโยชน์ ของกองทัพก็สามารถกระทำได้ตาม กฎกระทรวง การใช้ที่ราชพัสดุ พ.ศ.2563 ข้อ 3 โดยขอความเห็นชอบจากกองทัพในฐานะส่วนราชการที่มีหน้าที่ดูแลรับผิดชอบ แล้วยื่นคำขอไปยังกรมธนารักษ์ หรือสำนักงานธนารักษ์พื้นที่ ซึ่งในปัจจุบันกองทัพก็ได้ยินยอมให้ส่วนราชการใช้หลายพื้นที่ เช่น บริเวณที่ตั้งของรัฐสภา , มอเตอร์เวย์ทั้งสายตะวันตกและสายตะวันออกเฉียงเหนือ รวมถึงที่ตั้งสำนักงานของส่วนราชการอื่น ๆ เป็นต้น

กองทัพบกตระหนักดีว่าการได้รับการบริการในด้านต่าง ๆ ของประชาชน เป็นสิทธิขั้นพื้นฐานตามกฎหมายรัฐธรรมนูญ แต่ผู้ที่เข้าไปยึดถือครอบครอง (บุกรุกที่ดินของรัฐ) ในพื้นที่ครอบครองของกองทัพบกโดยมิชอบ ซึ่งบางพื้นที่เป็นพื้นที่ความมั่นคงตามแนวชายแดน ถือเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย ซึ่งในปัจจุบันกองทัพบก ได้นำที่ดินที่ไม่ส่งผลกระทบต่อการปฏิบัติภารกิจของกองทัพบก ร่วมกับกรมธนารักษ์ จัดทำโครงการ 'ธนารักษ์เอื้อราษฎร์' ซึ่งเป็นการจัดสรรพื้นที่ราชพัสดุที่อยู่ในความรับผิดชอบของส่วนราชการต่าง ๆ นำมาให้ประชาชนใช้ประโยชน์ จึงขอให้ประชาชนที่สนใจสามารถเข้าร่วมโครงการและติดตามข่าวสารได้ที่สำนักงานธนารักษ์และหน่วยทหารในพื้นที่

2 กรกฎาคม พ.ศ. 2531 พระราชพิธีรัชมังคลาภิเษก ‘ในหลวง ร.9’ เนื่องในวโรกาสครองราชย์ยาวนานที่สุด

พระราชพิธีรัชมังคลาภิเษก เป็นพระราชพิธีที่จัดขึ้นเนื่องในโอกาสทรงครองราชย์สมบัติยาวนานกว่าพระมหากษัตริย์ไทยทุกพระองค์ เกิดขึ้นเป็นครั้งแรกในปี พ.ศ. 2451 สมัยรัชกาลที่ 5 เมื่อทรงครองราชย์ยาวนานกว่าสมเด็จพระบรมไตรโลกนารถ ซึ่งทรงครองราชย์ถึง 40 ปี นานกว่ากษัตริย์ทุกพระองค์ของกรุงสุโขทัยและกรุงศรีอยุธยา

ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตั้งการพระราชพิธีรัชมังคลาภิเษกขึ้นเฉลิมฉลองเป็นงานใหญ่ในวันที่ 11 ถึงวันที่ 18 เดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2451 และทรงครองราชย์ต่อมาจนเสด็จสวรรคตในวันที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2453 รวมเวลาในรัชสมัยได้ 42 ปี 22 วัน

ต่อมาในวันที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2531 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ทรงครองสิริราชสมบัติ เสมอด้วยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระบรมอัยกาธิราช จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ตั้งการพระราชพิธีรัชมังคลาภิเษกขึ้นเป็นเวลา 3 วัน ตามพระราชประเพณีเมื่อครั้งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว คือ…

ในวันที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2531 ทรงบำเพ็ญพระราชกุศลทักษิณานุปทาน อุทิศถวายแด่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ณ พระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย และทรงถวายเครื่องสักการะพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร และพระพุทธรูปประจำรัชกาลพระมหากษัตริย์กรุงศรีอยุธยา กรุงธนบุรี ที่หอพระราชกรมานุสร และพระพุทธรูปประจำรัชกาลพระมหากษัตริย์กรุงรัตนโกสินทร์ที่หอพระราชพงศานุสร ในวัดพระศรีรัตนศาสดาราม

วันที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2531 ซึ่งเป็นวันสมโภชสิริราชสมบัติรัชมังคลาภิเษก ทรงบวงสรวงสังเวยพระสยามเทวาธิราช ซึ่งอัญเชิญจากพระวิมานในพระที่นั่งไพศาลทักษิณ ออกประดิษฐาน ณ บุษบกมุขเด็จพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท แล้วโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้พราหมณ์เบิกแว่นเวียนเทียนสมโภชนพปฎลมหาเศวตฉัตร เครื่องราชกกุธภัณฑ์ ดวงพระบรมราชสมภพ พระสุพรรณบัฏพระปรมาภิไธย เป็นการสมโภชสิริราชสมบัติรัชมังคลาภิเษก เพื่อความไพบูลย์แห่งราชอาณาจักร ราชบัลลังก์ และอาณาประชาชนทั้งปวง

วันที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2531 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เสด็จพระราชดำเนินโดยรถไฟพระที่นั่งจากสถานีรถไฟสวนจิตรลดา ไปยังจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ทรงประกอบพระราชพิธีบวงสรวงสังเวยพระมหากษัตริย์ของกรุงศรีอยุธยา ณ พลับพลาตรีมุข พระราชวังโบราณ ทรงหลั่งทักษิโณทกพระราชอุทิศพระราชกุศลถวายสมเด็จพระมหากษัตริย์ในอดีต เป็นเสร็จการพระราชพิธี

สำหรับวันประวัติศาสตร์ในปี พ.ศ. 2531 นี้ มีสิ่งที่สร้างขึ้นเพื่อเป็นที่ระลึกก็คือ สนามราชมังคลากีฬาสถาน สนามกีฬาขนาดใหญ่ที่สุดของประเทศไทย ซึ่งรองรับผู้เข้าชมในอาคารได้ถึง 80,000 คน และบนอัฒจันทร์ได้อีก 49,722 ที่นั่ง เป็นสนามกีฬาขนาดใหญ่อันดับ 55 ของโลก และอันดับที่ 17 ของเอเชีย และรัฐบาลยังได้สร้างโรงเรียนรัชมังคลาภิเษก เป็นโรงเรียนระดับสามัญศึกษา เพื่อเป็นที่ระลึกถึงวันมหามงคลนี้อีกกว่า 30 โรงเรียนด้วย

นึกถึงวันนี้แล้วก็คิดถึง ‘พ่อ’ คงไม่มีใครประเสริฐกว่านี้อีกแล้ว

3 กรกฎาคม พ.ศ. 2566 ‘รถไฟฟ้าสายสีเหลือง’ เปิดให้บริการอย่างเป็นทางการ ถือเป็นรถไฟฟ้ายกระดับแบบรางเดี่ยว สายแรกของไทย

รถไฟฟ้ามหานคร สายนัคราพิพัฒน์ (ลาดพร้าว-ศรีนครินทร์-สำโรง) หรือ รถไฟฟ้ามหานคร สายสีเหลือง ซึ่งเรียกตามสีที่กำหนดในแผนแม่บทโครงการระบบขนส่งมวลชนทางรางในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล เป็นโครงการระบบขนส่งมวลชนรองในพื้นที่กรุงเทพมหานครฝั่งตะวันออก ตลอดจนถึงพื้นที่ส่วนเหนือของจังหวัดสมุทรปราการ ดำเนินการโดย บริษัท อีสเทิร์น บางกอกโมโนเรล จำกัด โดยได้รับสัญญาสัมปทานจาก การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย ดำเนินการในรูปแบบรถไฟฟ้ายกระดับแบบรางเดี่ยว หรือ โมโนเรล เริ่มก่อสร้างในปี พ.ศ. 2559 ก่อนหยุดการก่อสร้างไประยะหนึ่งเนื่องจากสถานการณ์การระบาดทั่วของโควิด-19 ในประเทศไทย ตั้งแต่ พ.ศ. 2563 - พ.ศ. 2564 จนในที่สุดได้เปิดให้สาธารณชนทดลองใช้งานในวันที่ 3 มิถุนายน พ.ศ. 2566 และมีพิธีเปิดทดลองการเดินรถอย่างเป็นทางการในวันที่ 19 มิถุนายน และเปิดให้บริการอย่างเป็นทางการในวันที่ 3 กรกฎาคมปีเดียวกัน 

โดยคณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติโครงการเมื่อวันที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2559 ในรูปแบบหุ้นส่วนมหาชน-เอกชน (Public Private Partnership: PPP) โดยให้รัฐบาล โดย รฟม. เป็นผู้ลงทุนจัดสรรกรรมสิทธิ์ที่ดิน และการเวนคืนที่ดินเพื่อใช้ในโครงการ และเอกชนเป็นผู้ลงทุนในงานโยธา ระบบรถไฟฟ้า ตลอดจนดำเนินระบบรถไฟฟ้าและกิจการจนครบสัญญา

ทั้งนี้ นาม ‘นัคราพิพัฒน์’ เป็นชื่อที่พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระราชทานเพื่อเป็นชื่ออย่างเป็นทางการของโครงการรถไฟฟ้ามหานคร สายสีเหลือง ช่วงลาดพร้าว-สำโรง มีความหมายว่า ‘ความเจริญแห่งเมือง’ โดยกระทรวงคมนาคมเป็นผู้รับมอบนามเมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2567

เส้นทางสายนี้เกิดขึ้นครั้งแรกใน พ.ศ. 2543 โดยเป็นการรวมเส้นทางระบบขนส่งมวลชนรองช่วงรัชโยธิน-ศรีเอี่ยม และสำโรง-ศรีสำโรง ให้เป็นเส้นทางเดียวกัน แต่ได้ถูกนำออกไปเมื่อครั้งปรับปรุงแผนแม่บทปี พ.ศ. 2547 และนำกลับมาอีกครั้งในการปรับปรุงแผนแม่บท พ.ศ. 2549 โดยพิจารณาแยกเส้นทางออกเป็นสองช่วง คือช่วงแรกให้เป็นรถไฟฟ้ารางเดี่ยวตั้งแต่ รัชดา-ลาดพร้าว จนถึงพัฒนาการแล้วเปลี่ยนเป็นรถไฟฟ้ารางหนักไปจนถึงสถานีสำโรง และใน พ.ศ. 2551 ได้มีการปรับปรุงเส้นทางสายสีเหลืองให้เป็นรถไฟฟ้าวงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานคร ก่อนปรับปรุงใหม่อีกครั้งใน พ.ศ. 2553 โดยลดเส้นทางเหลือเพียงช่วง ลาดพร้าว–สำโรง และให้ดำเนินการเป็นระบบรถไฟฟ้ารางเดี่ยวทั้งสาย

‘5 ป.’ ปิด-ปรับ-ปลด-เปลี่ยน-ปลูก สูตรสำเร็จประหยัดพลังงาน

แม้กรมอุตุนิยมวิทยาจะประกาศว่าประเทศไทยสิ้นสุดฤดูร้อนไปแล้วเมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม 2567 ปัจจุบันเข้าสู่ฤดูฝน และหลาย ๆ บ้านน่าจะเห็นตัวเลขค่าไฟฟ้าที่ลดลงจากช่วงอากาศร้อนจัดเมื่อ 1-2 เดือนที่ผ่านมา แต่อย่าลืมว่า เราเป็นประเทศผู้นำเข้าพลังงานสุทธิ ไม่ว่าจะเป็นน้ำมันดิบที่นำเข้ามากลั่นเป็นน้ำมันสำเร็จรูป หรือ ก๊าซ LNG ที่นำเข้ามาเพื่อเป็นเชื้อเพลิงผลิตไฟฟ้า 

ดังนั้น จึงอยากจะขอย้ำเตือนไว้เสมอว่า ตราบใดที่เราใช้น้ำมันและไฟฟ้าอย่างประหยัด มีประสิทธิภาพ นอกจากจะช่วยประหยัดเงินในกระเป๋าของตัวเองแล้ว ยังเป็นการช่วยลดการขาดดุลการค้าให้กับประเทศ และช่วยรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจของประเทศในภาพรวมด้วย

ที่สำคัญคือ การประหยัดพลังงานทำได้ทุกวัน โดยไม่จำเป็นต้องรอแคมเปญกระตุ้น หรือการรณรงค์จากหน่วยงานใด ๆ

การประหยัดน้ำมัน ทำได้ง่าย ๆ คือการวางแผนการเดินทาง การหมั่นตรวจเช็กลมยาง หรือการเดินทางแบบคาร์พูล รถคันเดียว นั่งไปพร้อมกันได้หลายคน

ส่วนการประหยัดไฟฟ้า  สูตรสำเร็จ 5 ป. คือ ปิด ปรับ ปลด เปลี่ยน ปลูก ก็ยังใช้ได้ผล ได้แก่

1. ปิดไฟดวงที่ไม่จำเป็น : ปิดไฟดวงที่ไม่ใช้งาน แม้จะเป็นแค่ช่วงเวลาสั้น ๆ ก็ช่วยประหยัดไฟได้มาก

2. ปรับอุณหภูมิเครื่องปรับอากาศให้อยู่ที่ 26 องศา: ปรับอุณหภูมิแอร์ให้เย็นสบายโดยไม่ต้องหนาวเกินไป ช่วยให้ประหยัดไฟได้ถึง 10%

3. ปลดปลั๊กเมื่อไม่ใช้งาน: ถอดปลั๊กเครื่องใช้ไฟฟ้าทุกครั้งเมื่อไม่ใช้งาน เพื่อป้องกันการกินไฟแอบแฝง

4. เปลี่ยนมาใช้อุปกรณ์ไฟฟ้าที่มีฉลากประหยัดไฟฟ้าเบอร์ 5: ยิ่งเป็นฉลากโฉมใหม่ 5 ดาว ยิ่งช่วยให้ประหยัดไฟได้มากกว่า

5. ปลูกต้นไม้ สร้างร่มเงา รักษาสิ่งแวดล้อม: ปลูกต้นไม้ใหญ่รอบบ้าน ช่วยลดความร้อนภายในบ้าน ประหยัดไฟจากการเปิดเครื่องปรับอากาศ

รู้แบบนี้แล้วก็ลองนำไปใช้กันดู แล้วเปรียบเทียบค่าใช้จ่ายต่อเดือนกันระหว่างเดือนที่ใช้น้ำมันและไฟฟ้าแบบปกติ กับแบบที่ประหยัดตามข้อแนะนำ จะได้รู้ว่ามีเงินเหลือในกระเป๋าเพิ่มขึ้นมามากแค่ไหน…

4 กรกฎาคม วันคล้ายวันประสูติ สมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมพระศรีสวางควัฒน วรขัตติยราชนารี

สมเด็จพระเจ้าน้องนางเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี กรมพระศรีสวางควัฒน วรขัตติยราชนารี ประสูติเมื่อ วันพฤหัสบดีที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2500 ณ พระที่นั่งอัมพรสถาน พระราชวังดุสิต

ทรงเป็นพระราชธิดาพระองค์เล็กในพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง

ได้รับพระราชทานพระนามว่า สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี

พระนาม ‘จุฬาภรณ์’ หมายถึง การอัญเชิญพระนาม 'จุฬา' ในพระปรมาภิไธยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มาเป็นคำต้นพระนามของพระองค์ เนื่องด้วยในวันประสูตินั้น เป็นวันมหาปีติของนิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 เสด็จฯ ไปพระราชทานปริญญาบัตรแก่ผู้สำเร็จการศึกษา

ทรงเริ่มศึกษาระดับอนุบาลที่โรงเรียนจิตรลดา ตั้งแต่ทรงพระเยาว์ทรงได้รับการปลูกฝังทางศิลปะ นาฏศิลป์และดนตรี จากพระอาจารย์ทั้งชาวไทยและต่างชาติ ทั้งยังทรงสนพระทัยวิชาคำนวณและวิทยาศาสตร์ ขณะเดียวกันโปรดศึกษาวิชาภาษาต่างประเทศ และวิชาศิลปะควบคู่กันไป โดยทรงเลือกเรียนสายวิทยาศาสตร์ ในระดับมัธยมปลาย เพื่อนำความรู้มาต่อยอดทำประโยชน์เพื่อความสุขของประชาชน

เมื่อสำเร็จการศึกษาระดับมัธยมปลาย ทรงเข้าศึกษาระดับปริญญาตรีคณะวิทยาศาสตร์ สาขาอินทรีย์เคมี เกียรตินิยมอันดับ 1 จากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ทรงสอบได้ที่ 1 ในวิชาเคมีและชีววิทยา อีกทั้งยังทรงได้รับรางวัลเรียนดีจากมูลนิธิศาสตราจารย์ ดร.แถบ นีละนิธิ

พ.ศ. 2528 ทรงสำเร็จการศึกษาปริญญาดุษฎีบัณฑิต สาขาอินทรีย์เคมี มหาวิทยาลัยมหิดล ทั้งนี้ยังทรงสำเร็จการอบรมระดับหลังปริญญาเอก จากมหาวิทยาลัยอูล์ม สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี

พ.ศ. 2550 ทรงสำเร็จการศึกษาปรัชญาดุษฎีบัณฑิต สาขาเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ คณะประมง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์

พ.ศ. 2557 ทรงสำเร็จการศึกษาปรัชญาดุษฎีบัณฑิต สาขาวิทยาศาสตร์ชีวภาพสัตวแพทย์ (หลักสูตรนานาชาติ) จากคณะสัตวแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เพื่อนำความรู้ไปช่วยเหลือสัตว์ต่าง ๆ

ทรงมีพระธิดา 2 พระองค์ คือ พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าสิริภาจุฑาภรณ์ และ พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอทิตยาทรกิติคุณ

สมเด็จพระเจ้าน้องนางเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ฯ ทรงอุทิศพระวรกายเพื่ออาณาประชาราษฎร์ให้มีความสุข อยู่ดีกินดี และร่วมพัฒนาประเทศให้เจริญก้าวหน้าทัดเทียมอารยประเทศ ไม่ว่าจะในแขนงใด

ด้านวิทยาศาสตร์และการแพทย์นั้น ทรงมีพระราชปณิธานในการนำวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมาใช้ในการพัฒนาประเทศ โดยทรงแลกเปลี่ยนความร่วมมือกับต่างประเทศในการพัฒนาวิทยาศาสตร์ ทำให้เป็นที่ประจักษ์ของชาวโลก

ทรงได้รับการทูลเกล้าฯ ถวายเหรียญทองอัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ จากยูเนสโก ในปี พ.ศ.2530

ทรงก่อตั้งมูลนิธิจุฬาภรณ์ขึ้น ก่อนพัฒนาเป็นสถาบันวิจัยจุฬาภรณ์ต่อมา เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนการศึกษาวิจัย ทั้งทรงก่อตั้งโรงพยาบาลจุฬาภรณ์ ให้บริการทางการแพทย์และการเงินแก่ผู้ป่วย โดยเฉพาะผู้ป่วยมะเร็งยากไร้ ทำให้ทรงได้รับการยกย่องเป็น ‘เจ้าฟ้านักวิทยาศาสตร์’

ทรงดำรงตำแหน่งประธานกิตติมศักดิ์มูลนิธิแพทย์อาสาสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี (พอ.สว.) และได้เสด็จฯไปทรงร่วมกับหน่วยแพทย์เคลื่อนที่มูลนิธิ พอ.สว. ให้การรักษาแก่ผู้ป่วยทุกภูมิภาคของไทย

ทรงมีพระเมตตาแผ่ถึงบรรดาสัตว์ป่วยอนาถา ทรงรับเป็นประธานกรรมการขับเคลื่อนการดำเนิน โครงการสัตว์ปลอดโรค คนปลอดภัย จากโรคพิษสุนัขบ้า ตามพระปณิธาน ทั้งยังมีพระดำริให้ก่อตั้งโรงพยาบาลสัตว์ขึ้นในภูมิภาคต่าง ๆ ของประเทศด้วย

พระอัจฉริยภาพด้านศิลปวัฒนธรรมของพระองค์ยังได้ฉายชัด ทรงดนตรี ทรงขับร้องเพลง ทรงนิพนธ์เพลง ทรงวาดภาพ และทรงออกแบบเครื่องประดับและเครื่องแต่งกาย ทรงเชี่ยวชาญเปียโน และกีตาร์

พ.ศ. 2543 ขณะเสด็จฯ ไปทรงเยือนสาธารณรัฐประชาชนจีน รัฐบาลจีนได้บรรเลง 'กู่เจิง' ถวาย ทำให้ทรงประทับใจและมุ่งมั่นศึกษา ฝึกซ้อมอย่างจริงจัง จนถึงระดับสูงสุด โดยทรงมีพระดำริให้จัดการแสดงดนตรีและวัฒนธรรม 'สายสัมพันธ์สองแผ่นดิน' กระชับสัมพันธไมตรีไทยกับจีน

ทรงออกแบบเครื่องประดับผนวกกับงานการกุศล เช่นโครงการ 'ถักร้อย สร้อยรัก' และโครงการ 'ดร.น้ำจิต' นำรายได้สมทบทุนมูลนิธิจุฬาภรณ์ ทั้งยังทรงจัดนิทรรศการภาพวาดฝีพระหัตถ์ของพระองค์เองด้วย

ด้านการศาสนา ทรงดำรงพระองค์เป็นพุทธมามกะ และพุทธศาสนูปถัมภก เอาพระทัยใส่ในพุทธศาสนา ทั้งยังทรงเป็นประธานของโครงการก่อสร้างพิพิธภัณฑ์ธรรมเจดีย์ พระธรรมวิสุทธิมงคล (หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน) ณ วัดป่าบ้านตาด

เมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2562 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้อาลักษณ์อ่านประกาศกระแสพระบรมราชโองการเฉลิมพระนาม สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี เป็น ‘สมเด็จพระเจ้าน้องนางเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี กรมพระศรีสวางควัฒน วรขัตติยราชนารี’ เข้าเฝ้าฯ รับพระราชทานน้ำพระมหาสังข์ ใบมะตูม ทรงเจิม พระราชทานพระสุพรรณบัฏและเหรียญรัตนาภรณ์ ร.10 ชั้นที่ 1

นราธิวาส-รอง ผอ.รมน.ภาค 4 สน. ตรวจเยี่ยมกำลังพล ย้ำมาตรการในการปฏิบัติงานดูแลความสงบเรียบร้อย ตามแนวชายแดนไทย-มาเลเซีย ให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ

พลตรี ไพศาล  หนูสังข์ รองผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า พร้อมคณะฯ ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมการปฏิบัติงาน และให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ ณ กองร้อยป้องกันชายแดนที่ 4 ตำบลเจ๊ะเห อำเภอตากใบ จังหวัดนราธิวาส และตรวจเยี่ยมหน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานที่ 11 ตำบลโล๊ะจูด อำเภอแว้ง จังหวัดนราธิวาส พร้อมรับทราบปัญหาข้อขัดข้อง ในการปฏิบัติงานของหน่วยเพื่อเป็นการเน้นย้ำการปฏิบัติงาน และสร้างความเข้มแข็ง ในการดูแลความสงบเรียบร้อยตามแนวชายแดนระหว่างไทย- มาเลเซีย ให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ

โอกาสนี้ พลตรี ไพศาล  หนูสังข์ รองผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า และคณะ ได้ตรวจเยี่ยมและร่วมรับฟังผลการปฏิบัติงานที่ผ่านมาของหน่วย รวมถึงรับทราบปัญหาข้อขัดข้องในการปฏิบัติงาน พร้อมได้มอบแนวทางข้อแนะนำต่าง ๆ ในการปฏิบัติงาน อีกทั้งได้นำนโยบายข้อสั่งการของ ผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 มาเน้นย้ำแก่เจ้าหน้าที่ให้นำไปปฏิบัติอย่างเคร่งครัด และทุกภารกิจที่ได้รับมอบหมายต้องมีการวางแผนการปฏิบัติงานอย่างรัดกุม ปฏิบัติงานด้วยความระมัดระวังไม่ประมาท และให้มีการประสานการทำงานร่วมกันระหว่าง ผู้นำท้องที่ ผู้นำท้องถิ่น เครือข่ายภาคประชาชนได้เข้ามามีส่วนร่วมในการผนึกกำลังยับยั้งการกระทำผิดกฎหมาย โดยเจ้าหน้าที่จะต้องปรับเปลี่ยนยุทธวิธีไป ตามสถานการณ์ต่าง ๆ เพื่อควบคุมบุคคลหรือสิ่งผิดกฎหมายทุกชนิด ผ่านเข้า-ออก และป้องกันการก่อเหตุในทุกรูปแบบ ตามแนวชายแดนไทย-มาเลเซีย
ข่าว.แวดาโอ๊ะ หะไร / อัสมา บินมะนุ จ.นราธิวาส 

“ภูมิธรรม”มอบ สศท. จับมือพาณิชย์ พันธมิตร ต่อยอดงานศิลปหัตถกรรมไทย ชูใช้อัตลักษณ์ท้องถิ่นปรับให้ทันโลก พร้อมสร้างทายาทคนรุ่นใหม่สืบทอด

วันที่ 24 มิถุนายน 2567 เวลา 13.00 น.นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยภายหลังมอบนโยบายการขับเคลื่อนสถาบันส่งเสริมศิลปหัตถกรรมไทย(องค์การมหาชน) สศท. หรือ sacit ที่ อ.บางไทร จ.พระนครศรีอยุธยา เพื่อสืบสานงานสมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวง ชูงานศิลปหัตถกรรมที่เป็น Soft Power ช่วยผลักดันเศรษฐกิจ สร้างเม็ดเงินเข้าประเทศ โดยเน้นย้ำให้ สศท.เดินหน้า “สืบสาน รักษา พัฒนาต่อยอด”งานศิลปหัตถกรรม พร้อมเป็นศูนย์กลางด้านองค์ความรู้ในงานหัตถศิลป์ทรงคุณค่า ควบคู่การ บูรณาการการทำงานร่วมกับกระทรวงพาณิชย์ และหน่วยงานพันธมิตร สร้างความยั่งยืนให้แก่งานศิลปหัตถกรรมไทย โดยมีนายวุฒิไกร ลีวีระพันธุ์ ปลัดกระทรวงพาณิชย์ ดร.เสรี นนทสูติ ประธานกรรมการ สศท. นางพรรณวิลาส แพพ่วง รักษาการแทนผู้อำนวยการ สศท. ร่วมด้วย

นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า สถาบันส่งเสริมศิลปหัตถกรรมไทยเป็นหน่วยงานที่มีภารกิจสำคัญในการส่งเสริมและสนับสนุนงานศิลปหัตถกรรมไทยในทุกมิติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการสร้างความเข้มแข็งให้กับผู้สร้างสรรค์งานศิลปหัตถกรรม ซึ่งนับว่าเป็นกลไกสำคัญที่ผลักดันให้งานศิลปหัตถกรรมเป็น Soft Power ของประเทศที่สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจ นอกจากนี้ ภารกิจที่สำคัญอีกด้านหนึ่งของ สศท.คือการรวบรวมองค์ความรู้และฐานข้อมูลเกี่ยวกับ ครูศิลป์  ของแผ่นดิน ครูช่างศิลปหัตถกรรม ทายาทช่างศิลปหัตถกรรม ซึ่งถือเป็นภูมิปัญญาอันทรงคุณค่าของชาติที่จะต้องสืบสาน รักษา และต่อยอดให้คงอยู่

“ต้องให้โอกาสเอาช่างฝีมือที่ทันต่อโลก ทันยุคสมัย มาปรับเปลี่ยนกับของเดิมที่มีอัตลักษณ์ของไทยโดยไม่เสียอัตลักษณ์ ให้คนใหม่ๆหรือต่างประเทศเข้าสู่งานศิลป์ของไทยได้เพิ่มขึ้นทันกับโลกที่เปลี่ยนแปลง เข้าถึงได้กับคนรุ่นใหม่ รัฐบาลไทยให้ความสำคัญกับซอฟต์พาวเวอร์ เป็นงานที่มีความสำคัญอย่างยิ่งในการส่งเสริมศิลปหัตถกรรมไทย  ดูแล สร้างสรรค์ภูมิปัญญา ด้วยนวัตกรรม เทคโนโลยี  เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจให้กับผู้สร้างสรรค์อย่างเป็นรูปธรรม วันนี้โลกเปลี่ยนแปลงไปเร็ว ถ้าเราจะอยู่ในโลกนี้ได้ต้องปรับตัวให้ทันกับโลก“ นายภูมิธรรมกล่าว

รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยเพิ่มเติมว่า SACIT อยู่กับกระทรวงพาณิชย์ ซึ่งเป็นกระทรวงมีศักยภาพที่จะทำให้ชุมชน วิสาหกิจชุมชนและประชาชนเติบโตได้ ทั้งเรื่องทรัพย์สินทางปัญญา การจดทะเบียน การส่งเสริมการส่งออกทุกส่วนต้องบูรณาการการทำงานร่วมกันกับพันธมิตร ดึงคุณค่าอัตลักษณ์ของไทยให้ออกมาได้อย่างมีศักยภาพ ให้คนไทยรู้สึกภาคภูมิใจในงานหัตถกรรมและการรักษาหัตถกรรมไทยให้ยั่งยืนต้องมีทายาท สร้างคนรุ่นใหม่เข้ามา เด็กรุ่นใหม่มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ ให้เกิดการประสานงานกันของคนทั้ง 3 รุ่น ทั้งรุ่นใหญ่ รุ่นกลาง รุ่นใหม่ จะเกิดองค์ความรู้มาพัฒนาสอดรับกับยุคสมัย ให้เราเป็น Craft Center ของประเทศ รัฐบาลพร้อมสนับสนุน

ซึ่งที่นี่มีภาระค่าใช้จ่ายดูแลต้องเข้ามาช่วยกันแก้ไขปัญหา และตนได้ให้นโยบายว่าทำอย่างไรให้ที่นี่เป็นศูนย์กลางให้จังหวัดต่างๆในภาคกลางมาใช้จัดแสดงงาน ใช้สถานที่และเป็นศูนย์ท่องเที่ยวประสานงานกับพันธมิตรเป็นศูนย์กลางในระดับประเทศต่อไป  และกระทรวงพาณิชย์ก็จะให้หน่วยงานต่างๆเข้ามาใช้สถานที่ พร้อมให้คนรุ่นใหม่เข้ามาใช้ได้เป็นศูนย์กลางการเรียนรู้วัฒนธรรม หัตถกรรมไทย ถ่ายทอดให้ชาวต่างชาติเห็นถึงจิตวิญญาณของคนไทย


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top