Wednesday, 26 June 2024
TheStatesTimes

‘เจ๊ไฝ’ เจ้าของร้านดัง ได้รับแต่งตั้งเป็น ‘ทูตกิตติมศักดิ์ การท่องเที่ยวเกาหลี-ไทย’ จับมือ!! ‘ชินรามยอน’ ออกบะหมี่รสชาติใหม่ ชูซอฟต์พาวเวอร์ ‘ความอร่อยแบบไทย’

(25 พ.ค. 67) หลังจากปีที่แล้ว ‘เจ๊ไฝ’ ประตูผี ร้านอาหารแบบสตรีทฟู้ดแห่งแรกและแห่งเดียวในไทยที่ได้รับรางวัล 1 ดาวมิชลิน ส่งซอฟต์พาวเวอร์ความอร่อยแบบไทย ๆ ออกไปสู่ต่างประเทศ ด้วยการร่วมมือกับ ‘ชินรามยอน’ แบรนด์บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปของเกาหลี ด้วยการออกบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปรสชาติใหม่ รสต้มยำ และรสต้มยำแห้ง ส่งไปขายทั้งที่เกาหลีใต้และที่เมืองไทย

ในปีนี้ ‘เจ๊ไฝ’ ก็ได้สร้างชื่ออีกครั้ง เมื่อได้รับการแต่งตั้งให้เป็น ‘ทูตกิตติมศักดิ์การท่องเที่ยวเกาหลี-ไทย’

โดย ‘องค์กรการท่องเที่ยวแห่งสาธารณรัฐเกาหลี’ ได้แต่งตั้ง ‘เจ๊ไฝ’ สุภิญญา จันสุตะ เชฟและเจ้าของร้านอาหารเจ๊ไฝ ประตูผี เป็น ‘ทูตกิตติมศักดิ์การท่องเที่ยวไทย-สาธารณรัฐเกาหลี’ ประจำปี 2566-2567 ซึ่งจะช่วยส่งเสริมความสัมพันธ์ไทย-สาธารณรัฐเกาหลี ผ่านรามยอน ที่บริษัทนงชิมให้เจ๊ไฝคิดสูตรให้

ซึ่งในอินสตาแกรมของร้าน ‘เจ๊ไฝ’ ได้ลงภาพพิธีการแต่งตั้งดังกล่าว รวมถึงภาพการไปเยือนเกาหลีใต้ของเจ๊ไฝ และโพสต์ข้อความว่า 

"ถือเป็นเกียรติและยินดีอย่างยิ่งที่ได้รับการเสนอชื่อให้เป็นทูตกิตติมศักดิ์การท่องเที่ยวไทย-สาธารณรัฐเกาหลี ขอแสดงความขอบคุณอย่างจริงใจต่อองค์การการท่องเที่ยวเกาหลี การท่องเที่ยวเกาหลีแห่งประเทศไทย และโดยเฉพาะอย่างยิ่งพันธมิตรที่เป็นครอบครัวของเรา"

ผบ.ทร.เปิดกิจกรรม รักษ์ทะเล รักษ์แสมสาร เฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า

ที่พิพิธภัณฑ์ธรรมชาติวิทยาเกาะและทะเลไทย เขาหมาจอ อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี พลเรือเอก อะดุง พันธุ์เอี่ยม ผู้บัญชาการทหารเรือ พร้อมด้วย นายพรชัย จุฑามาศ รองผู้อำนวยการโครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริฯ และหัวหน้าสำนักงานโครงการฯ มาเป็นประธานในพิธี เปิดกิจกรรม รักษ์ทะเล รักษ์แสมสาร" เฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ ภายใต้โครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี สยามบรมราชกุมารี โดยมี คุณ กีรตา พันธุ์เอี่ยม นายกสมาคมภริยาทหารเรือ คณะผู้บังคับบัญชาหน่วยขึ้นตรง ข้าราชการ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น หน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน นักเรียน ตลอดจนประชาชน ในพื้นที่ จำนวน 400 คน เข้าร่วมกิจกรรม

ตามที่ กองทัพเรือ ได้เข้าร่วมสนองพระราชดำ สมเด็จในงานอนุรักษ์พันธุ์กรรมพืช โดยดำเนินโครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ๆ สยามบรมราชกุมารี ในการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชโดนดำเนินโครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืช อันเนื่องมาจากพระราชดำริ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ๆ สยามบรมราชกุมารี กองทัพเรือ (อพ.สธ. - ทร.) ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2541 และเมื่อวันที่31 พฤษภาคม 2544 สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯสยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินเกาะแสมสารเพื่อทอดพระเนตรความก้าวหน้าการดำเนินงานของ อพ.สธ. – ทร และได้ฝากงานอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติทางทะเลไว้ต่อกองทัพเรือกองทัพเรือได้น้อมนำแนวทางพระราชทานมาดำเนินงานโครงการๆ ซึ่งได้ดำเนินการสำรวจและจัดเก็บข้อมูลของพันธุ์ไม้นานาชนิด สัตว์ต่าง ๆในระบบนิเวศ รวมทั้งด้านภูมิศาสตร์ ธรณีวิทยา และอุตุนิยมวิทยาตลอดจนได้จัดสร้างพิพิธภัณฑ์ธรรมชาติวิทยาเกาะและทะเลไทยขึ้น ที่บริเวณเขาหมาจอ ตำบลแสมสาร อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรีโดยมุ่งหวังให้ผู้เยี่ยมชมตระหนักเห็นความสำคัญและคุณค่าของการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติโดยกองทัพเรือได้ให้การสนับสนุนการดำเนินโครงการฯ ตั้งแต่เริ่มโครงการจนถึงปัจจุบันมาอย่างต่อเนื่อง

การจัดกิจกรรมในวันนี้/มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมให้ทุกภาคส่วน เข้าใจถึงความสำคัญของการอนุรักษ์พันธุกรรมพืช เกิดการตระหนักถึงคุณค่าของทรัพยากรทางทะเลส่งเสริมให้ประชาชนได้มีส่วนร่วมในการบริหารจัดการทรัพยากรในพื้นที่อย่างเหมาะสม รวมถึงทรัพยากรต่างรู้จักหวงแหนและใช้ประโยชน์อย่างยั่งยืน

‘คาโบสุ’ สุนัขพันธุ์ชิบะอินุ ที่โด่งดังไปทั่วโลก จากไปด้วยวัย 17 ปี เจ้าของสุดเศร้าใจ!! เตรียมจัดงานอำลาให้ ในวันพรุ่งนี้ที่ ‘เมืองนาริตะ’

(25 พ.ค. 67) เจ้าของเจ้า 'คาโบสุ' (Kabosu) สุนัขพันธุ์ชิบะอินุ เจ้าของมีม 'Doge' สุดโด่งดังไปทั่วโลก ได้ออกมาโพสต์ภาพพร้อมแจ้งข่าวเศร้า 'คาโบจัง' ได้จากโลกนี้ไปแล้ว ด้วยวัย 17 ปี โดยข้อความได้ระบุว่า 

"เราจะจัดงานเลี้ยงอำลาคาโบจังในวันอาทิตย์ที่ 26 พฤษภาคมนี้ จะจัดขึ้นที่ Flower Kaori ใน Kotsu no Mori เมืองนาริตะ ตั้งแต่เวลา 13.00-16.00 น."

หลังจากที่ก่อนหน้านี้เจ้าของได้ออกมาเปิดเผยว่า 'คาโบจัง' กำลังเผชิญกับอาการป่วยด้วยโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวและโรคตับอักเสบ ทำให้น้องมีอาการตัวเหลืองและต้องได้รับยาปฏิชีวนะ อีกทั้งด้วยอายุที่มากถึง 17 ปีแล้ว ทำให้เจ้าของและแฟน ๆ ต่างทำใจไว้ล่วงหน้าว่า ร่างกายเจ้าคาโบจังจะไม่แข็งแรงดังเดิม แต่ก็ต่างภาวนาให้น้องหายป่วยโดยเร็ว จนในเดือน พ.ค. 2567 'คาโบสุ' ก็ได้จากโลกนี้ไปท่ามกลางความโศกเศร้าของเจ้าของและแฟน ๆ ของเจ้าหมาชิบะ 

'คาโบสุ' (Kabosu) สุนัขพันธุ์ชิบะอินุ อาศัยอยู่ที่ประเทศญี่ปุ่น เจ้าของคือคุณอัตซึโกะ ซาโตะ เธอเคยช่วยชีวิตลูกหมาตัวน้อยนี้เอาไว้ และเป็นลูกหมาที่เธอพาไปทำงานด้วยทุกวัน ที่โรงเรียนอนุบาลแห่งหนึ่ง และแล้ววันหนึ่งเจ้าหมาน้อยได้โด่งดังเป็นอย่างมาก เมื่อเจ้าของได้ลงรูปสุดน่ารักของเจ้าคาโบสุในบล็อกส่วนตัวของเธอเมื่อปี 2553 โดยเป็นภาพของน้องหมาชิบะหันหน้าด้านข้างมองกล้องพร้อมรอยยิ้มเล็กน้อย จนกลายเป็นมีม 'Doge' จนเป็นไวรัลจนมาถึงปัจจุบัน

ต่อมามีมเจ้าหมา 'คาโบสุ' นำมาทำเป็นภาพสัญลักษณ์บนเหรียญ 'Dogecoin' ก็ยิ่งทำให้เจ้าหมาคาโบสุกลายเป็นภาพจำของโลกคริปโตด้วย จนถึงขนาดที่ในปี 2564 ภาพต้นฉบับมีม Doge ได้ถูกขายออกไปในฐานะ NFT ราคาสูงถึง 4 ล้านดอลลาร์ แสดงให้เห็นถึงความเป็นที่นิยมและมูลค่าของเจ้าคาโบสุ ที่ต่อจากนี้จะหลงเหลือไว้แต่ตำนานมีม 'Doge' ตลอดไป

‘คารม’ เผยความคืบหน้าส่ง ‘แรงงานไทย’ ไปตปท. แล้วกว่า 6 หมื่นคน ย้ำ!! เร่งเดินหน้า เพื่อส่งเสริมให้ ‘มีรายได้มั่นคง-มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น’

(25 พ.ค. 67) นายคารม พลพรกลาง รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยผลสำเร็จความคืบหน้าการจัดส่งแรงงานไทยไปทำงานต่างประเทศ ว่า ล่าสุดกรมการจัดหางาน กระทรวงแรงงาน ได้ส่งแรงงานไทยไปทำงานต่างประเทศแล้ว จำนวน 60,769 คน หรือร้อยละ 60.7 ใน 139 ประเทศ ซึ่ง 5 อันดับแรกที่มีการจัดส่งแรงงานไทยไปทำงานมากที่สุด ได้แก่ ไต้หวัน สาธารณรัฐเกาหลี ญี่ปุ่น สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว และสหรัฐอเมริกา ตามลำดับ 

นายคารม กล่าวว่า แรงงานไทยที่จะเดินทางไปทำงานต่างประเทศอย่างถูกต้องตามกฎหมายจะต้องผ่านการอบรมคนหางาน เพื่อเตรียมความพร้อมให้แรงงานไทยได้มีความรู้เข้าใจขั้นตอนการไปทำงานในต่างประเทศและปฏิบัติได้ถูกต้อง ทราบเงื่อนไขตามสัญญาจ้างงาน สภาพการจ้าง และขนบธรรมเนียม วัฒนธรรม ประเพณี มีความพร้อมในการทำงานและเกิดความมั่นใจ รวมทั้งรู้ช่องทางขอความช่วยเหลือ ทราบสิทธิประโยชน์ และการคุ้มครองคนหางานตามกฎหมาย รวมทั้งแนะนำการสมัครสมาชิกกองทุนเพื่อช่วยเหลือคนหางานไปทำงานในต่างประเทศ เพื่อรับความคุ้มครอง และสิทธิประโยชน์ที่กฎหมายกำหนด หากเกิดเหตุไม่คาดคิด หรือเกิดสถานการณ์ฉุกเฉินในขณะเป็นสมาชิกกองทุนฯ เช่น กรณีถูกทอดทิ้งในต่างประเทศ กรณีประสบอันตราย ก่อนไปทำงานหรือขณะทำงานในต่างประเทศ กรณีถูกเลิกจ้างจากสาเหตุประสบอันตราย กรณีประสบอันตรายจนพิการ กรณีถูกส่งกลับเนื่องจากเป็นโรคต้องห้าม และกรณีประสบปัญหาจากภัยสงคราม ภัยธรรมชาติ หรือโรคระบาด

“สำหรับผู้ที่สนใจเดินทางไปทำงานต่างประเทศ สามารถติดตามข่าวสารการประกาศรับสมัครได้ที่เว็บไซต์ doe.go.th/overseas และสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ สำนักงานจัดหางานจังหวัดทุกจังหวัด หรือสำนักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1-10 หรือที่สายด่วนกระทรวงแรงงาน โทร.1506 กด 2 กรมการจัดหางาน หรือสายด่วนกรมการจัดหางาน โทร. 1694” นายคารม กล่าวทิ้งท้าย

‘กกต.’ เผยตัวเลขยอดผู้สมัคร ‘สว.’ ทั่วประเทศ 4 หมื่นกว่าคน วันสุดท้ายมีผู้สนใจสมัครมากที่สุด ‘ศรีสะเกษ’ ครองแชมป์สูงสุด

(25 พ.ค. 67) ยอดผู้สมัครรับเลือกเป็นสมาชิกวุฒิสภา 2567 หรือ สว. ตั้งแต่วันที่ 20-24 พ.ค.2567 รวม 5 วัน มีผู้สมัครรวม 48,117 คน โดยแบ่งเป็นวันแรกมีผู้สมัคร 4,642 คน วันที่สองมีผู้สมัคร 6,607 คน วันที่สามมีผู้สมัคร 9,434 คน วันที่สี่มีผู้สมัคร 13,486 คน และวันที่ห้ามีผู้สมัคร 13,948 คน   

จังหวัดที่มีผู้สมัครมากที่สุด คือจังหวัดศรีสะเกษ 2,764 คน อันดับที่สอง คือกรุงเทพมหานคร 2,489 คน อันดับที่สามเชียงใหม่ 2,000 คน อันดับที่สี่บุรีรัมย์ 1,836  คน และอันดับที่ห้านครศรีธรรมราช 1,798 คน  

ส่วนจังหวัดที่มีผู้สมัครน้อยที่สุด คือ จังหวัดน่าน 98 คน อันดับสอง ตาก 102 คน อันดับสาม สมุทรสงคราม 128 คน อันดับสี่ พังงา 134 คน และอันดับห้า อุตรดิตถ์และนครพนม จังหวัดละ 150 คน

‘SIR’ เผย ผลจัดอันดับสถาบันที่มีผลงานวิจัย ในระดับนานาชาติ ชี้!! ‘วิศวกรรมโยธา พระจอมเกล้าฯ ลาดกระบัง’ ครองอันดับ 1

(25 พ.ค. 67) ภาควิชาวิศวกรรมโยธา คณะวิศวกรรมศาสตร์ พระจอมเกล้าฯลาดกระบัง เผยผลจากจัดอันดับมหาวิทยาลัยไทยที่เปิดสอนด้านวิศวกรรมโยธาและโครงสร้าง จาก SCImago Institutions Rankings (SIR) อยู่ในอันดับ 1 ในปี 2567 ซึ่งโดดเด่นด้านวิศวกรรมโยธาและโครงสร้าง ที่เด็กอยากเข้าเรียนมากที่สุด

รองศาสตราจารย์ ดร.คมสัน มาลีสี อธิการบดี สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) กล่าวว่า ปัจจุบันเนื่องจากสถานการณ์ที่ประเทศประสบปัญหาทางด้านการก่อสร้างที่เปลี่ยนไป ทางภาควิชาวิศวกรรมโยธาจึงได้ปรับเปลี่ยนเนื้อหาหลักสูตรจากหลักสูตรวิศวกรรมการก่อสร้างเป็นหลักสูตรวิศวกรรมโยธา และได้เปลี่ยนชื่อเป็น ‘ภาควิชาวิศวกรรมโยธา’

จนถึงปัจจุบัน ซึ่งเนื้อหาหลักจะเป็นการคำนวณ การวิเคราะห์ การออกแบบ และด้านการบริหารการก่อสร้าง รวมทั้ง มีการพัฒนาหลักสูตรอย่างต่อเนื่อง เพื่อตอบโจทย์ภาคอุตสาหกรรม ทั้งในด้านอุปกรณ์การเรียน การสอน การวิจัย ทําให้บัณฑิตที่จบการศึกษา เป็นที่รู้จักและได้รับการยอมรับจากภาครัฐและเอกชนเป็นอย่างดี

รศ.ดร.ชลิดา อู่ตะเภา หัวหน้าภาควิชาคณะวิศวกรรมศาสตร์ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) กล่าวว่า ภาควิชาได้ดําเนินการจัดการเรียนการสอน และการวิจัยในด้านวิศวกรรมโยธาให้มีประสิทธิภาพ เพื่อสามารถผลิตวิศวกรโยธาที่มีความเชี่ยวชาญในด้านการก่อสร้าง การบริหาร สิ่งแวดล้อม การวิเคราะห์และออกแบบคํานวณ การพัฒนาด้านวัสดุ เทคโนโลยีการก่อสร้างที่ทันสมัย โดยมีแขนงวิชาในหลักสูตร ประกอบด้วย วิศวกรรมชลศาสตร์, การสํารวจ, การบริหารงานก่อสร้าง, วิศวกรรมการขนส่งและจราจร, วิศวกรรมแหล่งนํ้า, วิศวกรรมโครงสร้าง, คอนกรีตเสริมเหล็ก, ไม้และเหล็ก นอกจากนี้ยังได้รับการยอมรับจากหน่วยงานภายนอก ภาคอุตสาหกรรม โดยเราสอนทั้งภาคทฤษฎี และภาคปฏิบัติอย่างเข้มข้นดังนั้นบัณฑิตที่จบไปจึงสามารถทำงานได้ทันที

วิศวกรรมโยธา เป็นงานที่เกี่ยวเนื่องกับสิ่งรอบตัว ทั้งการก่อสร้างถนน สะพาน อุโมงค์ ซึ่งทักษะสำคัญเบื้องต้น ผู้เรียนต้องคำนวณได้ระดับหนึ่ง รู้เรื่องกฎหมาย หรือพ.ร.บ.เกี่ยวกับการก่อสร้าง การทำงานอยู่ในกรอบและกฎระเบียบ มีจรรยาบรรณในวิชาชีพ คำนึงถึงความปลอดภัยเป็นสิ่งสำคัญ เพราะผู้คนที่เกี่ยวข้องล้วนให้ความไว้วางใจให้ดูแลความปลอดภัย การทำงานจึงต้องอดทนได้ทุกสภาพแวดล้อม ทั้งอากาศและฝนตก และอาจจะมีความเสี่ยงระหว่างการทำงาน

โดย SCImago Institutions Rankings (SIR) เป็นหน่วยงานการจัดอันดับสถาบันที่มีผลงานวิจัยในระดับนานาชาติ ซึ่งดำเนินการจัดอันดับองค์กรที่มีผลงานวิจัยทั่วโลก 7,533 แห่งทั่วโลก ซึ่งจะไม่ได้นับเฉพาะมหาวิทยาลัย แต่จะนับรวมสถาบันเฉพาะทางด้วย เช่น สถาบันเทคโนโลยี วิทยาลัย โรงพยาบาล สถาบันวิจัย เป็นต้น ซึ่งเป็นการจัดอันดับมหาวิทยาลัยรวมทั้งสถาบันวิจัยในแง่ของความสามารถในการเผยแพร่ผลงานวิชาการทุกประเภทของสถาบัน หรือมหาวิทยาลัยบนฐานข้อมูล

'อ.วีระศักดิ์' ชี้!! 'โลกร้อน' อีกสาเหตุสำคัญทำเครื่องบินตกหลุมอากาศ พร้อมแนะทางออกภาคการท่องเที่ยวไทยในสภาวะโลกกำลังเดือด

รายการ THE TOMORROW มหาชนต้องรู้ ได้พูดคุยกับ อ.วีระศักดิ์ โควสุรัตน์ รองประธานกรรมาธิการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม วุฒิสภา อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ในประเด็น 'เครื่องบินตกหลุมอากาศ กับ ภาวะโลกร้อน และการปรับตัวของภาคท่องเที่ยวไทย?' 

อ.วีระศักดิ์ เริ่มต้นด้วยกับประเด็นที่ว่าการตกหลุมอากาศลึกกว่า 2 กิโลเมตร ของสายการบินสิงคโปร์แอร์ไลน์ มีสาเหตุจากอะไร? โดยกล่าวว่า เรารู้แล้วว่าทำไมโลกถึงร้อน เพราะว่าแสงอาทิตย์ที่ส่องกระทบโลก มันสะท้อนกลับไปในอวกาศได้ไม่หมด เพราะมันมีก๊าซเรือนกระจกขวางอยู่ ตอนที่แสงส่องลงมามันเป็นคลื่นความถี่สูงทะลุทะลวงได้ดี เมื่อกระทบพื้นดินหรือพื้นน้ำ มันกลายเป็นคลื่นความถี่ต่ำ ทำให้สะท้อนอยู่ภายในโลกของเรา อุณหภูมิของโลกจึงอุ่นขึ้น โดยเฉพาะแถบเส้นศูนย์สูตรที่มีการรับแสงแดดจากดวงอาทิตย์โดยตรง น้ำจะระเหยเยอะ

ดังนั้น พอน้ำระเหย พวกมันจะเจอความร้อนตามขึ้นมาเรื่อย ๆ ตลอดเวลา ทำให้ลอยตัวสูงมากถึงชั้นที่เครื่องบินกำลังลอยตัวกันอยู่ เรียกว่า ลมพายกลอยตัว 

ตอนลอยตัวขึ้นไปเจอกับความเย็น บางช่วงอากาศมันก็จะกดตัวลงเมื่อเจอกับความเย็น เหมือนเป็นท่อลำเลียงให้อากาศและไอน้ำลอยขึ้นอย่างรวดเร็ว เมื่อถึงจุด ๆ หนึ่งมันก็จะเทลง เครื่องบินที่บินมาอาจเจออากาศพายกขึ้น และถ้าเจออากาศที่มันกดลงพอดี เรียกว่า 'แรงเฉือนของลม'

ในโลกใบนี้ยังมีลมหมุนจากทิศตะวันตกมาทิศตะวันออก หรือเรียกว่า Jet Stream (กระแสลมกรด) ส่วนใหญ่การตกหลุมอากาศมักเกิดขึ้นตอนกลางวัน และช่วงเย็น ๆ ทางแก้ไขในเรื่องนี้คือ เวลาโดยสารเครื่องบินต้องคาดเข็มขัดนิรภัยตามประกาศของนักบิน หรือถ้าบินในระยะทางสั้น ๆ บินเที่ยวเช้าก็น่าจะพอช่วยได้

ทั้งนี้เมื่อถามถึงผลกระทบจากโลกร้อน จะมีผลต่อภาคการท่องเที่ยวไทยด้วยแค่ไหน และควรรับมืออย่างไร? อ.วีระศักดิ์ กล่าวว่า ทุกฝ่ายทั้งภาครัฐและเอกชนต้องสนใจ ทำความเข้าใจ และต้องตั้งใจช่วยลดโลกร้อนอย่างจริงจัง โดยเฉพาะการท่องเที่ยว

เราต้องทำให้การท่องเที่ยวมีความสุข สบาย สะดวก ส่งมอบประสบการณ์ที่ดีให้กับนักท่องเที่ยวมากขึ้น เพราะนักท่องเที่ยวในโลกนี้ต่อไปจากนี้ จะเป็นกลุ่มครอบครัวและผู้สูงอายุมากขึ้น ฉะนั้นสภาวะโลกร้อนปัจจุบัน ที่เรากำลังเจอในลักษณะ ร้อน-แห้ง และร้อน-เปียก ต้องถูกวางแผนให้กับภาคการท่องเที่ยวให้สอดคล้องกับสภาวะอากาศที่จะเกิดขึ้น 

ยกตัวอย่าง เช่น ภาวะร้อน-แห้ง ควรจัดแผนการท่องเที่ยวอย่างไรให้นักท่องเที่ยวอยู่ในที่ร่มได้ ไม่เที่ยวกลางแจ้งมากนัก ส่วนภาวะร้อน-เปียก ควรจัดแผนการท่องเที่ยวตั้งแต่การเลือกเส้นทางมีน้ำท่วมหรือไม่ ต้องวางแผนล่วงหน้า เป็นต้น 

ส่วนเรื่องการเดินทางควรสนับสนุนให้มีการซื้อประกันการเดินทางท่องเที่ยวมากขึ้น ซึ่งระบบประกันของไทยยังสามารถเติบโตได้อีกมาก ทำให้มีความรู้สึกว่ามีมืออาชีพดูแลสร้างความสบายใจได้ตลอดทริป 

สรุปแล้วภาครัฐและผู้ประกอบการต้องปรับตัวและอำนวยความสะดวกเพื่อสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับนักท่องเที่ยว สร้างความประทับใจ ทำให้ตลาดท่องเที่ยวของประเทศไทยมีโอกาสเติบโตไปกับภาวะโลกร้อนต่อไป

'วิทยุการบินฯ' เผยความพร้อมบริการในสถานการณ์ 'ปกติ-ฉุกเฉิน' ตัวแปรสำคัญผลักดันไทยก้าวสู่ศูนย์กลางการบินในภูมิภาค

(25 พ.ค.67) นายสุรพงษ์ ปิยะโชติ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่าได้รับรายงานกรณีเหตุการณ์เครื่องบินของสายการบินสิงคโปร์แอร์ไลน์ส เที่ยวบินที่ SQ 321 ขอความช่วยเหลือทางการแพทย์และขอลงฉุกเฉินที่สนามบินสุวรรณภูมิ เมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม 2567 บริษัท วิทยุการบินแห่งประเทศไทย จำกัด (บวท.) ได้ปฏิบัติหน้าที่ตามขั้นตอนได้อย่างมีประสิทธิภาพ สามารถนำเครื่องบินลงจอดได้อย่างปลอดภัย พร้อมทั้งประสานหน่วยงานภาคพื้นให้เข้าช่วยเหลือได้อย่างรวดเร็ว จนได้รับคำชื่นชมจากหน่วยงานการบินทั้งในประเทศ และต่างประเทศ รวมถึงคำชื่นชมจากรัฐบาลสิงคโปร์และอีกหลาย ๆ ประเทศทั่วโลก แสดงให้เห็นว่า บวท. มีความพร้อมในการให้บริการจราจรทางอากาศได้เป็นอย่างดี ทั้งในสถานการณ์ปกติและสถานการณ์ฉุกเฉิน 

นอกจากนั้นเรื่องความพร้อมในการศูนย์กลางการบินในภูมิภาคตามนโยบายรัฐบาล บวท. ยังได้เพิ่มประสิทธิภาพและศักยภาพในการให้บริการการเดินอากาศ เพื่อรองรับปริมาณเที่ยวบินให้ได้สูงสุด และเป็นไปตามมาตรฐานสากล พร้อมบูรณาการดำเนินงานอย่างเป็นรูปธรรม ทั้งนโยบายเรื่องการขับเคลื่อนให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการบินในภูมิภาค โดยการนำนวัตกรรม และเทคโนโลยีอันทันสมัย พร้อมทั้งพัฒนาบุคลากรขององค์กรให้มีความรู้ความสามารถ เพื่อผลักดันการขนส่งทางอากาศของประเทศให้เป็นที่ยอมรับ โดยมุ่งมั่นรักษามาตรฐานการบริการการเดินอากาศของประเทศให้อยู่ในระดับสากล 

นอกจากนี้ ได้เตรียมพร้อมรองรับการให้บริการการเดินอากาศและเพิ่มศักยภาพการให้บริการตามนโยบายของรัฐบาล เรื่องการเปิดดำเนินงาน 24 ชั่วโมง ของสนามบิน เชียงใหม่, เชียงราย และหาดใหญ่ อีกทั้งยังมีแผนการขยายขีดความสามารถในการรองรับปริมาณเที่ยวบิน ได้แก่ การจัดสร้างเส้นทางบินใหม่ ให้เป็นแบบเส้นทางบินคู่ขนาน หรือ Parallel Route เพิ่มเติมขึ้นจากในปัจจุบันที่เป็นแบบเส้นทางบินเดียว หรือ One way route รวมทั้งการออกแบบและพัฒนาโครงสร้างห้วงอากาศและเส้นทางบิน เข้า-ออก สำหรับกลุ่มสนามบินที่มีความซับซ้อนของการจราจรทางอากาศสูง หรือ Metroplex จำนวน 3 กลุ่มสนามบินหลักของประเทศ ได้แก่ กลุ่มที่ 1 สนามบินสุวรรณภูมิ ดอนเมือง อู่ตะเภา กลุ่มที่ 2 สนามบินภูเก็ต กระบี่ อันดามัน (พังงา) และ กลุ่มที่ 3 สนามบินเชียงใหม่ ลำปาง ล้านนา (ลำพูน) ซึ่งจะทำให้โครงสร้างพื้นฐานการเดินอากาศของประเทศไทย มีศักยภาพสูงมากยิ่งขึ้น รวมถึงมีแผนการนำเทคโนโลยีที่ทันสมัยที่สุดในขณะนี้เข้ามาใช้งาน เช่น ระบบหอบังคับ การบินอัจฉริยะ ระบบเชื่อมต่อข้อมูล การบริหารความคล่องตัวการจราจรทางอากาศ และระบบการเดินอากาศด้วยดาวเทียม เป็นต้น 

ในขณะเดียวกัน บวท. ยังได้มีการประสานความร่วมมือระหว่างหน่วยงานทหารและพลเรือน เพื่อเพิ่มศักยภาพการใช้งานห้วงอากาศของประเทศร่วมกัน ให้เกิดประโยชน์สูงสุด อีกทั้ง ยังบูรณาการความร่วมมือกับหน่วยงานทางการบินต่าง ๆ เพื่อยกระดับภาคการบินของประเทศ พร้อมรองรับการขับเคลื่อนไปสู่การเป็นศูนย์กลางการบินของภูมิภาค

‘หมอวรงค์’ ชี้ ‘ข้าว 10 ปี’ คือ มรดกการโกงจำนำข้าว ที่ทุจริตทุกขั้นตอน ฟาด!! ‘ภูมิธรรม’ ไม่โปร่งใส-ไม่ตรงไปตรงมา-พูดความจริงน้อยมาก

(25 พ.ค. 67) นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม ประธานที่ปรึกษาพรรคไทยภักดี โพสต์เฟซบุ๊กเกี่ยวกับ ‘ข้าว 10 ปี’ ว่า …

#ข้าว 10 ปี มรดกการโกงจำนำข้าว

สิ่งที่น่าแปลกใจ นายภูมิธรรมพยายามพูดเสมอว่า นี่คือข้าวเก่า ข้าวหอมมะลิ และทางเจ้าของคลังดูแลอย่างดี ราคาประมูลตอนนี้ ยังไงก็ดีกว่า 5 บาท กลายเป็นของเน่าไป ข้าว 10 ปี ยังทำได้ ก็ต้องกลับไปทบทวน

นายภูมิธรรมพูดมีความจริงน้อยมาก เพื่อให้ประชาชนทบทวนความทรงจำ หลังจากรัฐบาลยิ่งลักษณ์ถูกยึดอำนาจ มีข้าวในโครงการรับจำนำข้าวค้างคลัง 18.6 ล้านตันตามบัญชี แต่ปริมาณข้าวจริงประมาณ 17.7ล้านตัน

เนื่องจากโครงการรับจำนำข้าว มีการทุจริตทุกขั้นตอน ทั้งต้นน้ำ กลางน้ำและปลายน้ำ ช่วงต้นน้ำ มีการโกงความชื้น โกงตาชั่ง สิ่งเจือปน ขายสิทธิ์ใบประทวน ช่วงกลางน้ำ ปัญหาหลักคือเอาข้าวไม่ได้มาตรฐาน ข้าวเสื่อมคุณภาพ ข้าวต่างชาติ เวียนเทียนข้าว

ในส่วนปลายน้ำ มีการระบายข้าวเป็นข้าวถุง แต่สุดท้ายข้าวไม่ถึงมือชาวบ้าน ถูกตรวจสอบพบการทุจริต จึงยุติโครงการ มีการส่อทุจริตไปแล้ว 1.1 ล้านตัน จากเป้าหมาย 2.5 ล้านตัน

อีกกรณีคือการระบายแบบจีทูจี ที่นางสาวยิ่งลักษณ์ ปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ไม่สั่งระงับ ทั้ง ๆ ที่รู้การทุจริต จึงถูกศาลพิพากษาจำคุก 5 ปี

ปัญหาของข้าวในโกดัง ที่เป็นการทุจริตกลางน้ำ จากการตรวจสอบข้าวในคลัง ของโครงการรับจำนำข้าว ข้อมูลของTDRI รายงานว่า มีข้าวไม่ได้มาตรฐานสูงถึง 85%

การระบายข้าวในสมัยพลเอกประยุทธ์ เนื่องจากมีข้าวไม่ได้มาตรฐานสูงถึง 85% จึงต้องแบ่งเกรดข้าว เป็น 1.ข้าวมาตรฐาน คือข้าวปกติทุกอย่าง 2. ข้าวเกรด A 3.เกรด B และ4.เกรด C

สิ่งที่นายภูมิธรรมพูดจริงบางส่วน คือข้าวที่ขายในราคากิโลละ 6 บาท ไม่ใช่ 5 บาท คือข้าวเกรด C ที่มีเชื้อราเป็นก้อน ๆ ในกระสอบข้าวสาร เขาจึงตีเป็นข้าวเกรด C ขายเพื่ออุตสาหกรรม เช่นทำปุ๋ยหรือแอลกอฮอล์

ที่สำคัญ ข้าวที่เหลือล็อตสุดท้ายนี้ (1.5หมื่นตัน หรือ1หมื่นตัน ตัวเลขยังไม่มีการชี้แจง) เคยขายในราคากิโลละ 27-28 บาท ผู้ชนะซื้อเป็นข้าวหอมมะลิ แต่มีข้าวขาวปลอมปน เขาจึงรับข้าวไปบางส่วน และไม่ยอมรับที่เหลือ

อย่างน้อยนายภูมิธรรมต้องรู้ว่า ข้าวล็อตสุดท้ายนี้ ไม่ได้ขาย 5 บาท ตามที่นายภูมิธรรมพูดแบบจินตนาการ ที่สำคัญก็เป็นการตอกย้ำ การสอดไส้ข้าว มรดกการโกงจำนำข้าวสมัยยิ่งลักษณ์ ที่ยังหลงเหลืออยู่ ยังไม่นับรวมสิ่งที่กระทำแบบไม่ตรงไปตรงมา ไม่โปร่งใสยุคนายภูมิธรรม

ช่องโหว่สังคมไทย!! ปล่อยให้ต่างชาติเข้ามาอย่างไม่ถูกต้อง อาจช่วยฟอกขาวให้คนทำผิด กลายเป็นผู้บริสุทธิ์ในที่สุด

ความจริงเรื่องนี้เอย่าได้รับทราบมานานแล้ว เพียงแต่ในอดีตคนที่ทำแบบนี้ส่วนใหญ่คือ 'คนชายขอบ' ที่มีบ้านติดชายแดน และมีจำนวนไม่มากนัก 

แต่หลังจากที่เมียนมาเกิดรัฐประหาร คนพม่าก็หลั่งไหลมาที่ไทย โดยเฉพาะตามชายแดนเป็นจำนวนมาก คนเหล่านี้จะอาศัย 'ชาวชาติพันธุ์' หรือคนพม่าที่มีถิ่นพำนักตามชายแดนของไทยในการหาซื้อที่ดินและบ้าน โดยพวกที่อพยพมาใหม่จะเทครัวลูกหลานมาอยู่ไทยด้วยการข้ามแดนแบบผิดกฎหมาย

จากนั้นจะรอให้ทางการไทยเปิดลงทะเบียนผู้ไร้สถานะ ซึ่งจะได้บัตรชมพูและสามารถอาศัย-พักพิงในไทยได้ ส่วนลูกหลานของคนเหล่านี้ เมื่อได้สถานะก็สามารถส่งเข้าโรงเรียนได้และเมื่อเรียนจบปริญญาตรี ทางการไทยก็มีช่องกฎหมายให้บุคคลเหล่านี้สามารถขอสัญชาติไทยได้

การทำแบบนี้ ทำให้คนกลุ่มดังกล่าวกลายเป็นบุคคลสองสัญชาติไปโดยปริยายและหลายครอบครัวก็มีการซ่องสุมอาวุธและเงินทุนให้กับฝ่ายต่อต้านรัฐบาลทหาร

ยิ่งไปกว่านั้น ในส่วนของที่ดินที่คนเหล่านี้จับจองนั้น ส่วนใหญ่จะใช้คนไทยหรือคนที่มีสัญชาติไทยถือครอง ทำให้ยากต่อการตรวจสอบจากทางภาครัฐ และส่งผลให้ราคาที่ดินที่ตารางวาหลักละไม่กี่พันกี่หมื่น ดีดตัวไปเป็นหลักล้านเมื่อขายให้กับคนกลุ่มนี้

นี่คือ หนี่งในสิ่งที่เกิดขึ้นในประเทศไทยที่ทางภาครัฐของไทยอาจจะเมินเฉยหรือมีส่วนร่วมรู้เห็นในการกระทำแบบนี้ก็มิอาจทราบได้ เฉกเช่นเดียวกันกับเรื่อง Airport VIP Pass ที่จ่ายหลักพันก็ผ่าน ตม. ไทยได้อย่างสบาย โดยไม่ได้สนใจว่าเขาเหล่านั้นจะเข้ามาเป็นผีน้อยในไทยหรือไม่ก็ตาม ซึ่งจนถึง ณ วันนี้ก็ไม่มีคำตอบจากสำนักงานตำรวจตรวจคนเข้าเมือง

เอย่ามองว่าคนไทยต้อนรับชาวต่างชาติทุกคนที่มาอย่างถูกต้อง แต่การที่คนต่างชาติเลือกจะเข้ามาอย่างไม่ถูกต้องหรือซิกแซ็ก นั่นคือสิ่งที่แสดงให้เห็นถึงเจตนาอันไม่บริสุทธิ์ในการที่จะเข้ามาในประเทศไทย  

สุดท้ายก็จะนำไปสู่การฟอกขาวให้คนทำผิดกลายเป็นผู้บริสุทธิ์ในที่สุด


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top