Sunday, 16 June 2024
TheStatesTimes

โรงพยาบาลตำรวจ นำทีมแพทย์ พยาบาล ตรวจสุขภาพฟรี ตามโครงการจิตอาสา "ตำรวจรักษ์ประชาชน" เนื่องในโอกาสมหามงคลวันเฉลิมพระชนมพรรษา สมเด็จพระนางเจ้าสุทิดา พัชรสุธาพิมลลักษณ พระบรมราชินี 3 มิถุนายน 2567

วันพฤหัสบดีที่ 23 พ.ค.2567 ณ ศูนย์กีฬาชุมชนห้วยขวาง กรุงเทพมหานคร  พล.ต.ท. ทวีศิลป์ เวชวิทารณ์ นายแพทย์ใหญ่(สบ 8) โรงพยาบาลตำรวจ พร้อมคณะผู้บังคับบัญชา ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมและมอบขวัญกำลังใจแก่คณะเเพทย์  พยาบาลผู้ปฏิบัติหน้าที่ออกหน่วยแพทย์เคลื่อนที่บริการตรวจสุขภาพให้แก่ข้าราชการตำรวจ และครอบครัว รวมถึงประชาชนทั่วไปที่เข้ารับบริการตรวจสุขภาพฟรี ตามโครงการจิตอาสา "ตำรวจรักษ์ประชาชน" เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา สมเด็จพระนางเจ้าสุทิดา พัชรสุธาพิมลลักษณ พระบรมราชินี 3 มิถุนายน 2567  ในการนี้ พล.ต.ต.สามารถ ม่วงศิริ นายแพทย์(สบ 7) โรงพยาบาลตำรวจให้การต้อนรับ

ทั้งนี้ พล.ต.ท. ทวีศิลป์ เวชวิทารณ์ นายแพทย์ใหญ่ (สบ 8) โรงพยาบาลตำรวจ เปิดเผยว่า โครงการ "ตำรวจรักษ์ประชาชน" เป็นโครงการที่โรงพยาบาลตำรวจ ขานรับนโยบาย พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ รักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ที่ให้ทุกหน่วยงานในสังกัด ขับเคลื่อนการปฏิบัติงานตามอำนาจหน้าที่ ความรับผิดชอบให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม มีประสิทธิภาพ เสริมสร้างความเชื่อมั่น ความศรัทธา ความรักความเข้าใจระหว่างตำรวจกับประชาชน

โดยในส่วนของ พ.ต.อ.หญิง ศิริกุล  ศรีสง่า โฆษกโรงพยาบาลตำรวจ เปิดเผยว่า โครงการจิตอาสา "ตำรวจรักษ์ประชาชน" เป็นการดำเนินงานอย่างต่อเนื่องตามนโยบายสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ในการสานต่อในเรื่องของการดูเเลด้านสุขภาพทั้งร่างกาย และจิตใจของข้าราชการตำรวจ ครอบครัวและประชาชน  โดยมีกลุ่มงานเวชศาสตร์ครอบครัว โรงพยาบาลตำรวจ เป็นกลุ่มงานหลักในการดำเนินงาน พร้อมทีมแพทย์ พยาบาล ทั้ง 28 กลุ่มงาน ลงพื้นที่นำอุปกรณ์ เครื่องมือแพทย์ที่ทันสมัยตรวจสุขภาพร่างกายฟรี อาทิ บริการฝังเข็มระงับปวด คัดกรองโรคไทรอยด์ ตรวจโรคไขมันพอกตับ ตรวจหมู่โลหิต คัดกรองสุขภาพเพศสตรี คัดกรองโรคเบาหวานด้วย การเจาะเลือดปลายนิ้ว ตรวจสุขภาพฟัน ตรวจดวงตา หูดีมีสุข คัดกรองความเสี่ยงโรคกระดูกพรุน ให้การอบรมกู้ชีพพื้นฐานสำหรับประชาชน เป็นต้น หากพบภาวะเจ็บป่วย ทีมแพทย์จะให้คำแนะนำในการรักษาพยาบาล ถ้าอยู่ในภาวะฉุกเฉิน จะส่งตัวรักษาที่โรงพยาบาลตำรวจหรือโรงพยาบาลใกล้บ้านทันที

นอกจากนี้ การดำเนินกิจกรรมในครั้งนี้  ได้รับเกียรติจากสมาคมช่างผมเสริมสวยแห่งประเทศไทย ในการสนับสนุนทีมจิตอาสาบริการตัดผมฟรีให้ผู้เข้าร่วมกิจกรรมฯ จำนวนทั้งสิ้น 100 ราย พร้อมได้รับเกียรติจากศิลปินผู้มีชื่อเสียง อาทิ คุณชรัส เฟื่องอารมณ์, คุณสุดา ชื่นบาน, คุณวินัย พันธุรักษ์, คุณสุทธิพงษ์ วัฒนจัง และ คุณกัณพล ปรีดาปราโมช วงฟรุตตี้, และคุณหนู มิเตอร์ ในการมาขับกล่อมบทเพลงอันไพเราะร่วมกับวงดนตรีจิตอาสา "PGH BAND" ของโรงพยาบาลตำรวจ ซึ่งภายในงานยังได้มีบริการแจกจ่ายเครื่องดื่มสมุนไพรและขนม อาหารว่าง (น้ำแข็งไส และไอศกรีม) ซึ่งได้รับการสนับสนุนจาก คุณอรพินทร์ เพชรทัต ที่ปรึกษา รมว.พลังงาน อีกด้วย

โดยกิจกรรมวันนี้มี ตำรวจ ครอบครัวตำรวจ และประชาชน ให้ความสนใจ มารับบริการด้านสุขภาพ เป็นจำนวนมากถึง 400 ราย และมีผู้มารับบริการตัดผมฟรีจำนวน 42 ราย ทั้งนี้ ข้าราชการตำรวจ, ครอบครัวข้าราชการตำรวจ และประชาชน ที่มีความประสงค์ที่จะปรึกษา หรือเข้ารับการตรวจรักษา สามารถติดต่อไปยังโรงพยาบาลในสังกัดโรงพยาบาลตำรวจในพื้นที่ของท่านทั่วประเทศ หรือติดต่อมายังโรงพยาบาลตำรวจ ผ่านช่องทาง facebook Fanpage รวมถึงช่องทางให้คำปรึกษาสุขภาพจิตความรุนแรงในครอบครัว ที่สายด่วน 081-932-0000 และ เพจ Depress We Care , Because We Care  ได้ตลอด 24 ชั่วโมง

ขอนแก่น - “เหล่ากาชาดขอนแก่น” ส่งมอบบ้านกาชาดให้แก่ผู้ยากไร้

มอบบ้านพักอาศัยตามโครงการช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาสในสังคมเฉลิมพระเกียรติเทิดไท้องค์ราชัน พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทร มหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว เฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567  และโครงการช่วยเหลือผู้ยากไร้ในระบบการพัฒนาคนแบบชี้เป้า ตามโครงการเพื่อขับเคลื่อนการขจัดความยากจนและพัฒนาคนทุกช่วงวัยอย่างยั่งยืนตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง เมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ.2567 ที่ บ้านเลขที่ 57 บ้านหัวสระ หมู่ที่ 6 ตำบลดอนช้าง อำเภอเมืองขอนแก่น  จังหวัดขอนแก่น นางกรรณิกา กองฉลาด นายกเหล่ากาชาดจังหวัดขอนแก่น เป็นประธานในพิธีมอบบ้านพักอาศัยตามโครงการช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาสในสังคมเฉลิมพระเกียรติเทิดไท้องค์ราชัน พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทร มหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว เฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567 และโครงการช่วยเหลือผู้ยากไร้ในระบบการพัฒนาคนแบบชี้เป้า (Thai people map and Analytics Platform TPMAP) ตามโครงการเพื่อขับเคลื่อนการขจัดความยากจนและพัฒนาคนทุกช่วงวัยอย่างยั่งยืนตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง (ศจพ.) ในระดับพื้นที่ มิติด้านที่อยู่อาศัย และในระบบ ThaiQM ให้แก่ครอบครัวของนายตะวัน ตีนแท่น บ้านเลขที่ 57 บ้านหัวสระ หมู่ที่ 6 ต.ดอนช้าง อ.เมืองขอนแก่น จ.ขอนแก่น โดยมีรองนายกเหล่ากาชาดจังหวัดขอนแก่น หัวหน้าส่วนราชการ กำนัน-ผู้ใหญ่บ้าน ร่วมมอบ ซึ่งได้รับการสนับสนุนงบประมาณการก่อสร้างจากเหล่ากาชาดจังหวัดขอนแก่น จำนวน 40,000 บาท และยังได้รับการสนับสนุนงบประมาณและวัสดุอุปกรณ์จากโครงการกองบุญแห่งการให้อำเภอเมืองขอนแก่น จำนวน 63,800 บาท และส่วนราชการ องค์การบริหารส่วนตำบลดอนช้าง กำนัน ผู้ใหญ่บ้านในพื้นที่ตำบลดอนช้าง รวมทั้งได้รับการสนับสนุนแรงงานจากประชาชนในหมู่บ้าน.

ผบ.ทร./ รอง ผอ.ศรชล. และคณะ เดินทางตรวจเยี่ยม ศรชล.ภาค 1 พื้นที่จังหวัดชุมพร

พล.ร.อ.อะดุง พันธุ์เอี่ยม ผบ.ทร./ รอง ผอ.ศรชล. และคณะ เดินทางตรวจเยี่ยม ศรชล.ภาค 1 พื้นที่จังหวัดชุมพร โดยมี น.อ.ชำนาญ สอนแพง รอง ผอ.ศรชล.จว.ชพ. พร้อมด้วย น.อ.กุลเชษฐ์ ศิริสืบหน.ศคท.จว.ชพ. ให้การต้อนรับและบรรยายสรุปผลการปฏิบัติงานในปี 2567 ทีjผ่านมา โดย ผบ.ทร/รอง.ผอ.ศรชล ได้กล่าวให้กำลังใจ แนวทางการปฏิบัติงานและรับฟังปัญหา เวลา 14.30 น. ผบ.ทร./รอง ผอ.ศรชล. เดินทางไปยังศาลากลางจังหวัดชุมพร โดยมีนายธนนท์ พรรพีภาส รองผู้ว่าราชการจังหวัดชุมพร ให้การต้อนรับและหารือข้อราชการที่สำคัญ ณ ห้องรับรองหาดทรายรี หลังจากนั้นได้ตรวจเยี่ยมห้องปฏิบัติงาน ศรชล.จว.ชพ. ชั้น 2 ศาลากลางจังหวัดชุมพร ในโอกาสเดียวกันนี้ด้วย

นิราช/นันทพล ทิพย์ศรี รายงาน 0909535645

ผบ.ทร./รอง ผอ.ศรชล. เยี่ยมให้กำลังใจ ศรชล.ภาค 1

พล.ร.อ.อะดุง พันธุ์เอี่ยม ผู้บัญชาการทหารเรือ (ผบ.ทร.) ในฐานะรองผู้อำนวยการ ศูนย์อำนวยการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล (รอง ผอ.ศรชล.) พร้อมด้วยคณะติดตาม เดินทางตรวจเยี่ยม ศรชล.ภาค 1 พื้นที่จังหวัดเพชรบุรี โดยมี น.อ.ชลทัย รัตนเรือง รองผอ.ศรชล.จว.พบ. ให้การต้อนรับและบรรยายสรุปผลการปฏิบัติงานในปี 2567 ที่ผ่านมา โดยพล.ร.อ.อะดุง พันธุ์เอี่ยม ผบ.ทร/รอง.ผอ.ศรชล ได้กล่าวให้กำลังใจ จนท.กำลังพล ศรชล.จว.พบ.ในการปฏิบัติงาน 

จากนั้นเวลา 10.10 น. พล.ร.อ.อะดุง พันธุ์เอี่ยม ผบ.ทร/รอง​ ผอ.ศรชล. ได้เดินทางไปยังศาลากลางจังหวัดเพชรบุรี โดย นายณัฏฐชัย นำพูลสุขสันติ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดเพชรบุรี/ผอ.ศรชล.จว.พบ. ได้มอบหมายให้ นายภคพัส ส่งวัฒนายุทธ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเพชรบุรีให้การต้อนรับและหารือข้อราชการที่สำคัญ ณ ห้องรับรอง​ ชั้น 2 ศาลากลางจังหวัดเพชรบุรี​ ในโอกาสเดียวกันนี้ด้วย

‘ก.ยุติธรรมสหรัฐฯ’ จ่อยื่นฟ้อง ‘Live Nation’ บ.ยักษ์ใหญ่ด้านบันเทิง คดีแข่งขันทางการค้า หลังเผชิญคำวิจารณ์หลายด้านจากแฟนคลับ

เมื่อวานนี้ (23 พ.ค.67) แหล่งข่าววงในหลายคนเผยกับสำนักข่าวซีบีเอส นิวส์ พันธมิตรของบีบีซีว่า กระทรวงยุติธรรมสหรัฐ (ดีโอเจ) เตรียมยื่นฟ้อง ‘ไลฟ์ เนชั่น เอ็นเทอร์เทนเม้นท์’ (Live Nation Entertainment) บริษัทยักษ์ใหญ่ด้านการบันเทิง ด้วยคดีเกี่ยวกับการแข่งขันทางการค้าในช่วงเช้าของวันนี้

โดยแหล่งข่าวคาดว่า อัยการอาจดำเนินคดีที่สร้างความท้าทายต่อการดำเนินธุรกิจของบริษัทแม่ของทิกเก็ตมาสเตอร์ (Ticketmaster) ซึ่งเป็นบริษัทจำหน่ายตั๋วคอนเสิร์ตที่ใหญ่ที่สุดในโลก

จากหลายคดีที่ผ่านมาเมื่อดีโอเจยื่นฟ้องร้องเกี่ยวกับปัญหาด้านการแข่งขัน หน่วยงานจะพยายามบังคับให้บริษัทแยกธุรกิจของตนเองออกจากกัน หรือเปลี่ยนแนวทางการบริหาร

ซีบีเอส นิวส์ รายงานว่า รัฐบาลเตรียมเข้าไปมีส่วนร่วมเกี่ยวกับการดำเนินคดีทางกฎหมายที่มีความท้าทายนี้ ซึ่งจะมีอัยการสูงสุดระดับรัฐเข้าร่วมจำนวนมาก

ความเคลื่อนไหวดังกล่าวเกิดขึ้นหลังจาก หน่วยงานต่อต้านการผูกขาดของดีโอเจเข้าไปตรวจสอบบริษัทอยู่เป็นเวลาหลายปี โดยในปี 2565 ซีบีเอส นิวส์ รายงานว่าดีโอเจกำลังจับตาไลฟ์ เนชั่นอยู่ รวมถึงบริษัทในเครืออย่าง ‘ทิกเก็ตมาสเตอร์’ ด้วย

ด้านดีโอเจปฏิเสธแสดงความเห็นเมื่อบีบีซีติดต่อไป ขณะที่ไลฟ์ เนชั่น ยังไม่ออกมาแสดงความเห็นใด ๆ

อนึ่ง ไลฟ์ เนชั่น เอ็นเทอร์เทนเม้นท์ ก่อตั้งมาจากการรวมธุรกิจไลฟ์ เนชั่น ผู้ให้บริการโปรโมตงานต่าง ๆ ซึ่งตั้งอยู่ในสหรัฐ กับบริษัททิกเก็ตมาสเตอร์ ผู้ให้บริการจำหน่ายตั๋ว เมื่อปี 2553

ที่ผ่านมาไลฟ์ เนชั่น เอ็นเทอร์เทนเม้นท์ เผชิญกับการวิพากษ์วิจารณ์จากแฟนคลับ ผู้บัญญัติกฎหมาย ศิลปิน และคู่แข่งมากขึ้น และถูกกล่าวหาว่า มีอิทธิพลต่องานบันเทิงสดมากเกินไปในสหรัฐ และในหลายประเทศทั่วโลก

ในเดือน พ.ย.2565 แฟนคลับเทย์เลอร์ สวิฟต์ ต่างไม่พอใจทิกเก็ตมาสเตอร์อย่างมาก เนื่องจากเว็บไซต์จองตั๋วล่มในระหว่างพรีเซลล์คอนเสิร์ต Eras Tour

ทั้งนี้ หลังมีข่าวดีโอเจจ่อยื่นฟ้อง หุ้นไลฟ์ เนชั่น ร่วงมากกว่า 6% หลังช่วงเวลาซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์ก

'พิธา' โผล่!! เวทีประชุมความเป็นผู้นำแห่งเอเชีย ประเทศเกาหลีใต้ ย้ำ!! ‘ก้าวไกล’ เป็น ‘สะพาน’ เชื่อมช่องว่างความขัดแย้งของสังคม

เมื่อวานนี้ (23 พ.ค.67) พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคก้าวไกล ได้ขึ้นเวทีเสวนาในงานประชุม Asian Leadership Conference (งานประชุมความเป็นผู้นำแห่งเอเชีย) ณ กรุงโซล ประเทศเกาหลีใต้

ทั้งนี้ ระหว่างเสวนา พิธาได้ตอบคำถามจากพิธีกรหลายคำถาม เริ่มด้วยการอธิบายแนวคิดและยุทธศาสตร์ของพรรคก้าวไกลที่ทำให้ชนะการเลือกตั้ง และเหตุการณ์ทางการเมืองต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในช่วงการจัดตั้งรัฐบาล รวมถึงผลกระทบต่อการพัฒนาประชาธิปไตยของประเทศไทย เป็นการแลกเปลี่ยนประสบการณ์และบทเรียนต่อนักการเมืองและผู้นำรุ่นใหม่ที่เข้าร่วมฟังการเสวนาในวันนี้

โดยพิธายังได้อธิบายถึงการต่อสู้ของประชาชนต่อระบอบอำนาจของชนชั้นนำและผลพวงของระบอบรัฐประหาร พร้อมย้ำถึงความพยายามและความจริงใจของพรรคก้าวไกลในการหาฉันทามติใหม่ของสังคมไทย

พิธากล่าวถึงช่องว่างความขัดแย้งต่าง ๆ ในสังคมไทย และย้ำว่าพรรคก้าวไกลได้เสนอตัวและมองตัวเองเป็น ‘สะพาน’ ที่เชื่อมระหว่างความขัดแย้งเหล่านี้ โดยหวังให้ผู้มีอำนาจมองถึงความจริงใจ นอกจากนี้ พิธาได้กล่าวถึงความจำเป็นในการปฏิรูปสถาบันทางการเมืองต่าง ๆ ของการเมืองไทย ด้วยความหวังที่จะลดโอกาสของความรุนแรงและการสูญเสียที่อาจจะเกิดขึ้น

เมื่อพิธีกรถามว่าเขามองความเปลี่ยนแปลงอย่างไรในเมื่อกลุ่มหนึ่งอยากให้เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว อีกกลุ่มหนึ่งอาจไม่อยากให้มีการเปลี่ยนแปลง ซึ่งพิธาตอบว่าการเปลี่ยนแปลงต้องมีจังหวะทั้งช้าทั้งเร็วเหมือนทำนองดนตรี บางอย่างที่สำคัญก็อาจต้องเปลี่ยนแปลงก่อน บางอย่างที่ต้องใช้ความรอบคอบและใช้เวลาก็อาจจะต้องใช้เวลานานกว่า และดำเนินการอย่างค่อยเป็นค่อยไป ให้ทุกคนรู้สึกมีส่วนร่วมต่ออนาคตของประเทศไทยอย่างแท้จริง

จากนั้นพิธาได้เน้นย้ำถึงความฝันของคนไทย เมื่อพิธีกรถามว่าเขามองอนาคตประเทศไทยอย่างไร พิธาตอบว่าความฝันของคนไทยนั้นเรียบง่าย คืออยากเห็นครอบครัวคนไทยที่สามารถมีชีวิตที่ดี มีปากท้องที่ดี สามารถทำงานและเลี้ยงครอบครัวได้ และคนรุ่นใหม่ก็ต้องมองเห็นอนาคตของตัวเองด้วย แต่ความฝันเหล่านี้จะเกิดขึ้นไม่ได้เลย หากการเมืองไทยยังไม่ดี

ปัญหานมโรงเรียน ไย 'มหาดไทย' เงียบ ปล่อย 'ธรรมนัส-ปศุสัตว์' เต้นฝ่ายเดียว

"ขณะนี้ทราบข้อมูลว่า มีบริษัทใหญ่บางแห่งกีดกันไม่ให้มีการส่งนมโรงเรียน หลังการปรับหลักเกณฑ์ใหม่ ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบ หากพบเป็นผู้ประกอบการรายใดกระทำผิด จะตัดสิทธิ์โควตานมโรงเรียนทันที พร้อมดำเนินคดีตามกฎหมายกีดกันทางการค้า ส่วนการแก้ปัญหาจัดส่งนมระยะเร่งด่วน สั่งการให้ อสค. ส่งนมไปยังพื้นที่ที่เกิดปัญหา ย้ำว่าวันนี้หรือภายในสัปดาห์นี้ ปัญหาต้องหมด"

นี่คือคำกล่าวของ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่ค่อนข้างกล่าวด้วยอารมณ์ฉุนเฉียว หลังทราบว่า เปิดเรียนมาเป็นสัปดาห์ที่สองหลายโรงเรียน เด็กนักเรียนไม่ได้กินนมโรงเรียน ทั้งเชียงใหม่, นครสวรรค์, นครศรีธรรมราช และอีกหลายจังหวัด 

ร.อ.ธรรมนัส พุ่งตรงไปยังองค์การส่งเสริมกิจการโคนม (อสค.) ด้วยการสั่งให้ส่งนมให้กับโรงเรียนภาคในพรุ่งนี้ หรือสัปดาห์หน้า และเหมือนกับรู้ปัญหาบางอย่าง เช่น บริษัทผู้ผลิตนมโรงเรียนเจ้าใหญ่ก่อปัญหา ซึ่งก็เป็นข้อเท็จจริงบางส่วน แต่ไม่ใช่ข้อเท็จจริงทั้งหมด

อคส.แค่เป็นฝ่ายเลขานุการของคณะกรรมการจัดสรรพื้นที่ และการแบ่งโซนจำหน่าย และที่ผ่านมา อคส.ก็ถูกกีดกันไม่ให้รับรู้ข้อมูลบางอย่าง เช่น ปริมาณนมดิบที่แต่ละสหกรณ์ผลิตได้ และทำสัญญาขายให้กับโรงนมที่ไหน เพื่อใช้เป็นข้อมูลในการจัดสรรการผลิตและพื้นที่จำหน่าย อคส.มารู้ข้อมูล 3 วันสุดท้ายก่อนการประชุม และ 6 วันก่อนเปิดเทอม

ใครผิดใครพลาดไปว่ากันให้ชัด? ทำไมการประชุมเพื่อแบ่งโควตาจึงมีขึ้นเมื่อวันที่ 13 พ.ค.ก่อนเปิดเทอมเพียงสามวัน? ขั้นตอนการปฏิบัติมีปัญหาอะไร? ตรงไหน?

อีกประการหนึ่งนมโรงเรียน จัดซื้อผ่านองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในแต่ละพื้นที่ โรงเรียนมีหน้าที่แค่รับไปแจก

อำนาจการจัดซื้ออยู่ที่ท้องถิ่น เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงพื้นที่การจำหน่ายตามปริมาณน้ำนมดิม บางพื้นที่จึงต้องมีการเปลี่ยนแปลงผู้จำหน่าย

วัวเคยค้าม้าเคยขี่ "เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงผู้จำหน่าย ผู้บริหารท้องถิ่นบางแห่งจึงยังไม่เซ็นสัญญาซื้อนม เด็กจึงอดกินนม ต้องมีมาเจรจาผลประโยชน์กันใหม่"

ประเด็นนี้ ทางกระทรวงเกษตรฯ จะไปบี้ อสค.อย่างเดียวไม่ได้ มหาดไทยต้องเข้ามาเกี่ยวข้อง

"มหาดไทยกำกับดูแลท้องถิ่น ต้องถามไปยังท้องถิ่นว่ามีปัญหาอะไร ทำไมไม่เซ็นสัญญาจัดซื้อนมโรงเรียนกับโรงเรียน จนก่อปัญหาเด็กไม่ได้กินนม" แหล่งข่าวกล่าว

ต้องยอมรับความจริงว่าวงการค้านมโรงเรียนคือ แหล่งผลประโยชน์ใหญ่ของผู้ประกอบการรายใหญ่ ไปกดรายเล็ก ทำนอง 'ปลาใหญ่กินปลาน้อย' และมีผู้ประกอบการโรงนมรายใหญ่เป็นคนกำหนดเกม กดดัน

"งานนี้จะโทษกระทรวงเกษตรฯ, กรมปศุสัตว์ และ อสค.อย่างเดียวไม่ได้ มหาดไทยต้องร่วมรับผิดชอบด้วย ก.เกษตรฯ ก็อย่ามัวแต่ขู่ จัดการให้จริงจังครับ" แหล่งข่าวสำทับ

ทว่า หลังจากรัฐมนตรีเกษตรฯ สั่งการว่านมโรงเรียนต้องจัดการให้เรียบร้อยในสัปดาห์หน้า กรมปศุสัตว์ก็เร่งโทรเช็กไปยังโรงนมอย่างกระตือรือร้น แต่โดนตอกกลับหน้าแตก

"ผมพร้อมส่งนมให้โรงเรียนทุกแห่งในพื้นที่รับผิดชอบ แต่ในเมื่อผู้บริหารท้องถิ่นไม่ยอมเซ็นสัญญา จะจัดส่งได้อย่างไร จะเก็บเงินจากใคร" แหล่งข่าวผู้ประกอบการ กล่าว

เอาเป็นว่า ปัญหานมโรงเรียนอาทิตย์หน้าไม่จบหรอก จนกว่าผลประโยชน์จะลงตัว

‘สวทช.’ ผนึกกำลังหน่วยงานเกี่ยวข้อง จัดตั้ง ‘ธนาคารอาหาร’ หวังแก้วิกฤตปริมาณขยะอาหาร ด้วยการจัดการอาหารส่วนเกิน

เมื่อวานนี้ (23 พ.ค. 67) เพจเฟซบุ๊ก ‘Salika’ โพสต์ข้อความระบุว่า…

ดร.จุฬารัตน์ ตันประเสริฐ รองผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กล่าวว่า ประเทศไทยกำลังเผชิญกับวิกฤตขยะอาหารที่ส่งผลกระทบร้ายแรงต่อสิ่งแวดล้อม และความมั่นคงทางอาหารของประชาชนกลุ่มเปราะบาง

นอกเหนือจากการกำหนดแนวทางการแก้ปัญหาขยะอาหารแล้ว การลดการสูญเสียอาหารตั้งแต่ต้นทางก็เป็นอีกหนึ่งแนวทางสำคัญในการลดวิกฤตปัญหาขยะอาหาร จากข้อมูลที่ได้มีการศึกษาพบว่า ประเทศไทยมีอาหารส่วนเกินมากถึงเกือบ 4 ล้านตันต่อปี ในขณะที่มีการรายงานตัวเลขของประชากรของประเทศที่มีรายได้น้อยและมีแนวโน้มที่จะประสบปัญหาการเข้าถึงอาหารอยู่ถึง 3.8 ล้านคน

และเมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2567 ที่ผ่านมา สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ร่วมกับ มูลนิธิ SOS และหน่วยงานพันธมิตรทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม โดยการสนับสนุนงบประมาณจากสำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร (องค์การมหาชน) หรือ สวก. กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จึงได้เปิดตัว ‘โครงการจัดตั้งธนาคารอาหารของประเทศไทย (Thailand’s Food Bank) : การบริหารจัดการอาหารส่วนเกิน คำตอบในการสร้างความมั่นคงทางอาหารและความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม’

เพื่อสร้างต้นแบบระบบการบริหารจัดการอาหาร ส่งต่ออาหารส่วนเกินไปยังกลุ่มเปราะบางของสังคมไทย มุ่งลดปริมาณขยะอาหารด้วยการจัดการอาหารส่วนเกิน ลดค่าใช้จ่ายในการกำจัดอาหารส่วนเกิน และลดความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงอาหาร ส่งเสริมเป้าหมายด้านการผลิตและการบริโภคที่ยั่งยืน

‘นักเขียนซีไรต์’ ชี้!! สมัยนี้อาการ ‘เกลียดงาน’ แพร่ระบาดไปทั่ว สมัยรุ่นพ่อแม่ ต้อง ‘ขยัน-ไม่เกี่ยงงาน’ ไม่อย่างนั้นก็อดตาย

(24 พ.ค.67) นายวินทร์ เลียววาริณ นักเขียนรางวัลซีไรต์ และ ศิลปินแห่งชาติ สาขาวรรณศิลป์ ประจำปี พ.ศ. 2556 ได้โพสต์ข้อความลงในเฟซบุ๊ก โดยระบุว่า…

ลูกของเพื่อนคนหนึ่งยังเรียนไม่จบ ทำงานในบริษัทแห่งหนึ่งเพื่อหารายได้พิเศษได้สองวัน ก็เลิก อีกคนหนึ่งอยู่ได้สองเดือน ก็ลาออก เพราะมองไม่เห็นความก้าวหน้า

เด็กจบใหม่หมาด ๆ ทำงานได้สองเดือน คาดหวังว่าจะก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งสูงทันที ออกจะรีบร้อนไปนิด

คนยุคนี้ดูเหมือนจะมีความอดทนต่ำ มองไปทางไหน เราได้ยินคนบ่นเรื่องงาน เจ้านายตลอดเวลา

อาจเพราะเราอยู่ในโลกที่พ้นภาวะความอดอยากมาแล้ว จนลืมไปว่าการไม่มีกินเป็นอย่างไร

ในเดือนตุลาคม ปี ค.ศ. 1929 สหรัฐอเมริกาเกิดเหตุการณ์ตลาดหุ้นล่ม เป็นผลให้เศรษฐกิจล่ม (The Great Depression) ชาวอเมริกันสิบห้าล้านคนตกงาน กระเทือนไปทั่วโลกนานสิบปี

เวลานั้นทุกเช้าที่หน้าโรงงานต่าง ๆ มีคนไปรอหางานทำ แต่โรงงานจะเรียกคนเพียงจำนวนหนึ่งไปทำงานคนที่ถูกเรียกได้ค่าแรงของวันนั้นไปต่อชีวิต คนที่ไม่ถูกเรียกก็กลับบ้าน รุ่งขึ้นก็ไปรอใหม่เผื่อถูกเรียกตัว

ผมเกิดปลายยุค ‘เสื่อผืนหมอนใบ’ นั่นคือพ่อแม่ผ่านความลำบากแบบสุดขีดมาแล้ว แต่ก็ยังต้องทำงานหนักทุกวัน วันไหนไม่ทำงานก็อด สิ่งที่ผมเรียนรู้คือคนสมัยนั้นไม่เกี่ยงงานจริง ๆ

คนจีนยุค ‘เสื่อผืนหมอนใบ’ ไม่คิดว่างานสนุกหรือไม่สนุก เพราะถือคติว่า ‘งานที่มีก็คืองานที่ดี’

ญาติผู้ใหญ่ของผมเคยสั่งสอนหลานคนหนึ่งที่ลังเลว่าจะไปทำงานเป็นบ๋อยโรงแรมดีหรือไม่ ผู้ใหญ่บอกว่า เงินเดือนของบ๋อยไม่มาก แต่มักได้รับทิป อีกทั้งแขกที่มาพักมักจะให้บ๋อยไปซื้อข้าวมาให้ และเลี้ยงบ๋อยด้วย วันละห่อสองห่อ ก็ประหยัดค่าข้าวได้มาก อย่ารังเกียจงานที่คนอื่นมองว่าต่ำต้อย เป็นบ๋อยก็สามารถมีเงินเก็บได้

ตั้งแต่เด็กผมเห็นญาติทุกคนทำงานตัวเป็นเกลียว คนนี้ทำงานเป็นลูกจ้าง คนนั้นกรีดยางในสวน ค้าขายในตลาด ฯลฯ ทำอะไรก็ได้ เป้าหมายเพื่อไม่อดตาย เพราะเชื่อว่า ถ้าทำดีพอ ก็ลืมตาอ้าปากได้ ผมไม่เคยได้ยินใครบ่นสักคำว่า “งานน่าเบื่อ” หรือ “ชั่วโมงยาว” หรือ “ทำงานวันเสาร์หรือเปล่า?”

ถึงงานจะไม่สนุกหรือทรมาน ก็อดทน ความอดทนเป็นโหมดบังคับของชีวิต

ผมเข้าใจความรู้สึกแบบนี้ดี เพราะสมัยผมใช้ชีวิตอยู่ที่อเมริกา ต้องทำงานที่ไม่ชอบเพื่อหาเงินมาเรียนต่อ และผมก็ผ่านชีวิตช่วงนั้นมาได้เพราะจดจำภาพญาติ ๆ ที่ทำงานหนักโดยไม่บ่น ทำให้เราบ่นไม่ออก

ตอนคนเราไม่มีกิน ไม่ค่อยเลือกงาน

แปลกที่ในสมัยนี้คนบางคนไม่มีกิน แต่ยังเลือกงาน แม้ไม่มีทางเลือกมาก ก็ยังเกี่ยงงาน

อาการเกลียดงานแพร่ระบาดไปทั่ว บ้างเป็นความเกลียดบนพื้นฐานที่มีเหตุผล เช่นงานเลวร้ายต่อสุขภาพ ทำให้ครอบครัวแย่ลง เจ้านายเอาเปรียบจริง บ้างก็เป็นแค่การมองโลกในแง่ลบ ได้งานดีแค่ไหนก็บ่น

นี่ไม่ใช่ความรู้สึกที่กระทบจากงาน แต่เป็นนิสัยขี้บ่นเท่านั้น เป็นนิสัยไม่เคยพอใจงานที่มี ครอบครัวที่มี สิ่งที่มี

ชาวโลกจำนวนมากมีภาพว่า งานที่ตนทำเลวร้ายกว่างานของคนอื่นเสมอ มันอาจเป็นความจริงหรือไม่เป็นความจริงก็ได้ การงานของบางคนเลวร้ายจริง ๆ ทว่าคนที่ประสบพบงานที่เลวร้ายจริง ๆ  ก็สามารถเปลี่ยนงานโดยไม่จำเป็นต้องก่นด่าโลก

แต่คนบางคนมองชีวิตในมุมลบ บ่นทุกอย่างที่ขวางหน้า

นิสัยขี้บ่นแบบนี้จะทำให้ไม่มีความสุขในชีวิต ไม่เฉพาะเรื่องงาน แต่ลามไปถึงเรื่องครอบครัว เพื่อน เพื่อนบ้าน หรือกระทั่งคู่ชีวิต

เมื่อสวมแว่นดำทึบ ทุกภาพที่เห็นย่อมมืดหม่น

การบ่นเป็นนิสัยมีแต่ทำให้โลกหมองเศร้า ทว่าหากไม่สามารถเปลี่ยนทัศนคติของตัวเองให้ดีขึ้นได้ ก็ลองวิธีง่าย ๆ คือ หยุดเปรียบชีวิตตนกับคนที่ดีกว่า

ลองเปรียบกับคนในยุค The Great Depression ลองจินตนาการว่าตนเองอยู่ในยุคนั้น กำลังยืนหน้าโรงงานรอลุ้นว่าเขาจะเรียกเราไปทำงานหรือไม่ ถ้าเขาไม่เรียก เรากับครอบครัวก็ไม่มีกินในวันนั้น

งานน่าเบื่ออาจดีกว่าไม่มีงาน

เมื่อกำลังลอยคอกลางทะเล เราจะสนใจหรือว่าขอนไม้ที่เราเกาะพยุงสวยหรือไม่สวย

เรียนรู้ที่จะพอใจในชีวิตที่ตนมี ทำให้อะไร ๆ ในชีวิตง่ายขึ้น ปลอดโปร่งขึ้นมาก

จาก เหตุผลที่ตื่นขึ้นมาในตอนเช้า 

สมาคมเพื่อผู้บกพร่องทางจิตแห่งประเทศไทย ประชุมใหญ่สามัญประจำปี 2566 สุดยิ่งใหญ่แห่งปี

สมาคมเพื่อผู้บกพร่องทางจิตแห่งประเทศไทยประชุมใหญ่สามัญประจำปี 2566 จัดอบรมโครงการพัฒนาศักยภาพแกนนำเครือข่ายกับการลดพฤติกรรมความรุนแรงในสังคม เสริมพลังครอบครัวคนพิการ ด้านการส่งเสริมอาชีพ รวมทั้งเสริมพลังองค์กรเครือข่ายให้เข้มแข็ง และประชุมใหญ่สามัญประจำปี 2566 ระหว่างวันที่ 22 – 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2567 ณ ห้องประชุมสิรินภา โรงแรมหรรษา เจบี ต.หาดใหญ่ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา

โดยงานครั้งนี้ 'นางวิไลวรรณ สุวรรณรักษา' พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ จังหวัดสงขลา​ให้เกียรติเป็นประธานเปิดงาน โครงการพัฒนาศักยภาพแกนนำเครือข่ายกับการลดพฤติกรรมความรุนแรงในสังคม เสริมพลังครอบครัวคนพิการ ด้านการส่งเสริมอาชีพ รวมทั้งเสริมพลังองค์กรเครือข่ายให้เข้มแข็ง และประชุมใหญ่สามัญประจำปี 2566 พร้อมมอบโล่รางวัล โดยมี 'นางสาวฐิติพร พริ้งเพลิด'  อุปนายกคนที่ 2 สมาคมเพื่อผู้บกพร่องทางจิตแห่งประเทศไทย กล่าวถึงความเป็นมาและวัตถุประสงค์ของโครงการฯ ให้ทราบพอสังเขปดังนี้

1. เพื่อให้ผู้เข้าร่วมอบรมรวมทั้งครอบครัวคนพิการ มีความรู้ความเข้าใจเรื่องการดูแล การฟื้นฟู และการให้ความช่วยเหลือคนพิการทางจิตที่มีพฤติกรรมรุนแรงอย่างถูกต้องและเหมาะสม รวมทั้งส่งเสริมอาชีพ แก่คนพิการและครอบครัว และแกนนำชมรมเครือข่าย ด้วยการเปิดบูธจำหน่ายผลิตภัณฑ์
2. เพื่อจัดทำแผนขับเคลื่อนงานของสมาคมฯรวมทั้งเครือข่ายภาค เขต และชมรมตะวันทอแสงปี 2568
3. จัดประชุมใหญ่สามัญประจำปี 2566 และรายงานผลการดำเนินงานที่ผ่านมาของสมาคมฯ
​​​​​สมาคมเพื่อผู้บกพร่องทางจิตแห่งประเทศไทย  ก่อตั้งเมื่อวันที่  27  มีนาคม  2546 จนถึงปัจจุบัน รวมระยะเวลา  21 ปี

​​การจัดโครงการฯในวันนี้ จะดำเนินการระหว่างวันที่  22 – 25 พฤษภาคม 2567 โดยมีกลุ่มเป้าหมายที่เข้าร่วมโครงการ มาจากแกนนำเครือข่ายเพื่อผู้บกพร่องทางจิตระดับภาค/เขต คนพิการทางจิตและผู้ดูแลจากพื้นที่ต่างๆ ผู้แทนจากสถานคุ้มครองคนไร้ที่พึ่ง จังหวัดพิษณุโลก ผู้แทนจากสถานคุ้มครองคนไร้ที่พึ่ง จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ผู้แทนจากสถานคุ้มครองคนไร้ที่พึ่ง จังหวัดนครราชสีมา ผู้แทนจากกรมสุขภาพจิต ผู้แทนจากหน่วยงานสาธารณสุข ผู้แทนจากกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ ผู้แทนจากสำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดสงขลา ผู้แทนจากตำรวจภูธรจังหวัดสงขลา ผู้แทนจาก สปสช.เขต 12 ผู้แทนจากศูนย์สุขภาพจิตที่ 12 จังหวัดสงขลา กองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอปต.) และหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง รวมจำนวน 871 คน  

“สำหรับงานในครั้งนี้จัดขึ้นเพื่อประชาสัมพันธ์ให้สังคมรับรู้ว่า ปัจจุบันผู้บกพร่องทางจิตสามารถดำรงชีวิตอยู่ในสังคมได้อย่างปกติเหมือนคนทั่วไป และมีความสุข อยากจะให้ทุกๆคนในสังคมหันกลับมาให้ความสำคัญและช่วยทำให้ความเท่าเทียมกันเกิดขึ้นในสังคมไทย”

ภายในงานมีกิจกรรมมากมาย เช่น การออกบูธจำหน่ายสินค้าจากผู้บกพร่องทางจิตทั่วทุกภูมิภาค และการออกบูธขององค์กรภาครัฐด้านสุขภาพจิต เพื่อให้คำแนะนำ ปรึกษาทางออกด้านสุขภาพจิตให้กับผู้ที่มาร่วมงานโดยมีทีมจิตเวช ที่จะคอยดูแลตลอดระยะเวลาให้คำปรึกษา (กอช.) การออมแห่งชาติแนะนำการเก็บออมเงินให้กับคนพิการ บูธนิทรรศการจากหน่วยงานต่าง ๆ เช่น สนง.พมจ.สงขลา บูธของ รพ.จิตเวชสงขลา บูธปฐมพยาบาลจาก รพ.หาดใหญ่ บูธจาก ม.สงขลานครินทร์ บูธจาก สปสช.เขต 12 และอื่น ๆ ภายในงานมีการเสวนาแลกเปลี่ยนความเห็นจากนักวิชาการ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญ และผู้บกพร่องทางจิตที่เข้ารับการรักษาฟื้นฟูจนหายกลับมาสู่การใช้ชีวิตปกติ การแสดงมากมายจากผู้บกพร่องทางจิตทั่วทุกภูมิภาค และกิจกรรมอีกมากมายภายในการจัดงานครั้งนี้

นางนุชจารี คล้ายสุวรรณ นายกสมาคมฯ พร้อมด้วยคณะกรรมการบริหารและที่ปรึกษาสมาคมเพื่อผู้บกพร่องทางจิตแห่งประเทศไทย กล่าวถึงงานในครั้งนี้ว่า “เป็นโอกาสดีที่สังคมจะได้รู้และเข้าใจคนพิการทางจิตมากขึ้น และหันมาให้ความสนใจกับความสำคัญของการอยู่ร่วมกันของคนในสังคม เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้บกพร่องทางจิตได้กลับคืนสู่สังคม บนเส้นทางที่พร้อมจะสร้างโอกาส สร้างอาชีพ สร้างรายได้และสร้างตัวตน ยืนหยัดในสังคมด้วยความเท่าเทียม และเป็นมิตรกับทุก ๆ คน”


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top