Wednesday, 26 June 2024
TheStatesTimes

มันไม่สำคัญว่าเราจะอยู่ตรงกลางหรือเปล่า เราสามารถไชน์ได้จากทุกที่

‘แพร ภริตา’ 1 ในสาวไทยจากวง ‘BABYMONSTER’ เปิดใจถึงรุ่นพี่ ‘ลิซ่า BLACKPINK’ ผ่านบทสัมภาษณ์ใน Teen Vogue #BABYMONSTER โดยระบุว่า…

หนูรู้สึกว่าพี่ลิซ่าเปิดประตูสู่ความสำเร็จหลาย ๆ อย่างให้พวกเรามาถึงจุดนี้ค่ะ เพราะงั้นหนูเลยรู้สึกขอบคุณมาก ๆ

คำสอนจากพี่ลิซ่าที่ติดอยู่ในใจหนูมากที่สุดคือ… "มันไม่สำคัญว่าเราจะอยู่ตรงกลางหรือเปล่า เราสามารถไชน์ได้จากทุกที่"

เชียงใหม่-นบ.ยส.35 แถลงผลการปฏิบัติการสกัดกั้นและปราบปรามยาเสพติดสารตั้งต้นและเคมีภัณฑ์ ชายแดนภาคเหนือ ห้วง 6 เดือน

เมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม ที่ห้องพลอยไพลิน โรงแรมกรีนเลค รีสอร์ท อ.เมืองเชียงใหม่ จ.เชียงใหม่ พล.อ.นฤทธิ์ ถาวรวงษ์ ผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการสกัดกั้นและปราบปรามยาเสพติดสารตั้งต้นและเคมีภัณฑ์ ชายแดนภาคเหนือ (ผบ.นบ.ยส.35) นางจิตติวรรณ เอมมณีรัตน์ อธิบดีอัยการภาค 5 นายศิรินทร์ยา สิทธิชัย ที่ปรึกษา ป.ป.ส. นายอภิกิต ฉ.โรจน์ประเสริฐ ผอ.ปปส.ภ.5 นายศราวุธ ภักดี ผอ.ปปส.ภ.6 นายประเสริฐ จิตต์พลีชีพ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย พล.ต.ต.สัมฤทธิ์ เอมกมล ผบก.ภ.จว.ตาก พ.อ.กิดากร จันทรา รอง ผบ.กล.ผาเมือง และ พ.อ.ไมตรี ชูปรีชา รอง ผบก.กกล.นเรศวร ร่วมกันแถลงผลการปฏิบัติการสกัดกั้นและปราบปรามยาเสพติดสารตั้งต้นและเคมีภัณฑ์ ชายแดนภาคเหนือ ในช่วง 6 เดือน 

ตามที่ รัฐบาลได้ประกาศพื้นที่ที่มีความจำเป็นเร่งด่วน 11 อำเภอ ของจังหวัดเชียงใหม่ และเชียงราย (อำเภอเวียงแหง, เชียงดาว, ฝาง, ไชยปราการ, แม่อาย, แม่จัน, แม่ฟ้าหลวง, แม่สาย, เชียงแสน, 
เวียงแก่น และ เชียงของ) ตั้งแต่เดือน ธันวาคม 2566 จนถึงปัจจุบัน รวมระยะเวลาร่วม 6 เดือน 

ผลการปฏิบัติการสกัดกั้น มีเหตุการณ์สำคัญ 74 เหตุการณ์ โดยมีการปะทะกับกลุ่มขบวนการ 30 ครั้ง ตรวจยึด/จับกุม 40 ครั้ง และขยายผลยึดทรัพย์ 4 ครั้ง ตรวจยึดยาบ้ารวม 129 ล้านเม็ดเศษ, ไอซ์ 1,890 กก., เฮโรอีน 249 กก., ฝิ่นดิบ 188 กก. จับกุมผู้ต้องหา 1,507 ราย กลุ่มขบวนการเสียชีวิต 25 ศพ 

ในปัจจุบัน รัฐบาลมีนโยบายที่จะเร่งแก้ไขปัญหาการลักลอบนำเข้ายาเสพติดในทุกพื้นที่ชายแดนของประเทศ ให้เห็นผล และมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด 
จึงได้มีมติ เมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม 2567 เห็นชอบให้เพิ่มพื้นที่ที่มีความจำเป็นเร่งด่วนในพื้นที่ชายแดนภาคเหนืออีก 7 อำเภอ ได้แก่ อำเภอปาย และปางมะผ้า จังหวัดแม่ฮ่องสอน, อำเภอเทิง จังหวัดเชียงราย, อำเภอภูซาง จังหวัดพะเยา, อำเภอเฉลิมพระเกียรติ จังหวัดน่าน และ อำเภอแม่สอด, อำเภอพบพระ จังหวัดตาก

ทั้งนี้ พลเอกนฤทธิ์ ถาวรวงษ์ ผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการสกัดกั้นและปราบปรามยาเสพติด สารตั้งต้นและเคมีภัณฑ์ ชายแดนภาคเหนือ(ผบ.นบ.ยส.35) ได้เปิดเผยว่า ในห้วงที่ผ่านมามีการจับกุมยาบ้าได้เป็นจำนวนมากในพื้นที่รับผิดชอบ อีกทั้งยังพบว่ากลุ่มขบวนลักลอบขนยาเสพติด ใช้พื้นที่จังหวัดเชียงใหม่, เชียงราย และพื้นที่ข้างเคียงเป็นทางผ่านเพื่อส่ง ไอซ์ และ เฮโรอีน ออกไปต่างประเทศมากขึ้น จึงได้เชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการสกัดกั้นและปราบปรามยาเสพติดในพื้นที่สำคัญเร่งด่วน และพื้นที่อนุมัติเพิ่มเติม ได้แก่ ตำรวจภูธรภาค 5, ตำรวจภูธรภาค 6, ตำรวจปราบปรามยาเสพติด, กองกำลังผาเมือง, กองกำลังนเรศวร, ผู้ว่าราชการจังหวัด เชียงใหม่, เชียงราย, แม่ฮ่องสอน, พะเยา, น่าน และ ตาก ปปส.ภาค 5 และ ปปส.ภาค 6 ตลอดจนที่ปรึกษาด้านการต่างประเทศ และ อุตสาหกรรม ร่วมกันพิจารณาหารือ ถึงแนวทางในการขับเคลื่อนงานด้านการสกัดกั้น และปราบปรามยาเสพติด ได้แก่การเพิ่มกำลังในพื้นที่ หรือการเพิ่มความถี่ในการปฏิบัติการ ซึ่ง นบ.ยส.35 จะต้องจัดส่วนแยกออกไปดำเนินการ ประสานการทำงานเป็นไปในทิศทางเดียวกันทั้ง 6 จังหวัด18 อำเภอ ให้บรรลุ
ตามวัตถุประสงค์ของรัฐบาล

นอกจากนี้ นบ.ยส.35 ยังมุ่งเน้นการประสาน และหารือกับประเทศเพื่อนบ้าน ในการส่งหมายจับของผู้ต้องหา เพื่อขอความร่วมมือในการส่งผู้ร้ายข้ามแดนกลับมารับโทษ ซึ่งจะต้องขอความร่วมมือ
จากสื่อมวลชน ให้ประโคมข่าวผู้ต้องหาหลบหนีข้ามแดน ก็จะเป็นการกดดันหน่วยงานที่รับผิดชอบในประเทศเพื่อนบ้านได้เร่งรัดและให้ความสำคัญ จากกระแสสื่อสังคมอีกทางหนึ่ง

การประชุมในครั้งนี้ จะเกิดประโยชน์ต่อทุกหน่วยงาน โดยเฉพาะในเรื่องของการประสานงาน และการบูรณาการ การปฏิบัติในระดับพื้นที่ หน่วยที่มาประชุมได้ ร่วมพิจารณาการนำเสนอข้อมูลของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนปัญหาอุปสรรค และข้อเสนอแนะต่างๆ อันนำไปสู่แนวทางในการปรับปรุงพัฒนาการปฏิบัติ เพื่อลดระดับความรุนแรงของปัญหายาเสพติดในพื้นที่ชายแดนภาคเหนือ ให้ได้ผลอย่างเป็นรูปธรรมยิ่งๆ ขึ้นไป 

ย้อนประวัติศาสตร์ก่อนผลัดแผ่นดินสมัยรัชกาลที่ ๓ ผู้ใด? มีรายชื่อสืบราชสมบัติ และผู้ใดไม่มีสิทธิ

หากจะกล่าวถึงการขึ้นครองราชย์ของพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๓ พระองค์ทรงสืบราชสันตติวงศ์อย่างผิดแผกจากธรรมเนียมปกติ โดยพระองค์ทรงขึ้นครองราชย์ด้วยความเห็นพ้องของที่ประชุมพระราชวงศ์และเสนาบดีชั้นผู้ใหญ่ ที่ต่อมารู้จักกันภายใต้หลักการ ‘มหาชนนิกรสโมสรสมมุติ’

ทั้งหลังจากที่พระองค์ทรงครองราชย์แล้วก็ยังทรงตั้ง ‘วังหน้า’ อย่างผิดแผกแตกต่างไปจากยุคก่อน ๆ เพราะพระองค์ทรงตั้งพระปิตุลาของพระองค์ให้ทรงเป็น ‘กรมพระราชวังบวร’ นั่นก็คือ ‘กรมพระราชวังบวรมหาศักดิพลเสพ’ นัยว่าเพื่อสร้างดุลยภาพให้เกิดขึ้นใน ๓ ส่วนสำคัญคือ พระมหากษัตริย์ พระบรมวงศานุวงศ์ และขุนนางผู้ใหญ่ ซึ่งก็เป็นไปได้อย่างราบรื่นตลอดรัชสมัย 

แต่กระนั้นในช่วงปลายรัชกาลในคราที่พระองค์ทรงประชวรหนักและอาจจะสวรรคตในอีกไม่นานนัก ทั้ง ‘วังหน้า’ ก็ทรงสวรรคตไปก่อนแล้ว พระองค์ก็ไม่ได้ทรงตั้งใครขึ้น จนมาถึงในวันที่ ๙ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๓๙๓ พระองค์จึงได้ทรงมีพระราชดำริถึงผู้ที่สืบทอดราชสันตติวงศ์ โดยมีพระราชโองการประกอบพระราชวินิจฉัยก่อนหน้า ให้ขุนนางผู้ใหญ่โดยเฉพาะ ‘ตระกูลบุนนาค’ ตระกูลขุนนางอันดับหนึ่งของแผ่นดิน รับภาระผู้นำในเลือกสรรเชื้อพระวงศ์ชั้นสูงเพื่ออัญเชิญขึ้นครองราชย์ต่อจากพระองค์ โดยทรงขอ ‘อย่าให้มีการแตกแยก แก่งแย่งชิงราชบัลลังก์’ (พงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ ฉบับเจ้าพระยาทิพากรวงศ์) 

ส่วนจะมีพระราชวงศ์พระองค์ไหน ? ที่อยู่ในข่ายได้รับการเลือกสรรให้เป็นผู้สืบราชสมบัติและทำไม? ถึงไม่ได้รับเลือก ผมเรียบเรียงมาให้อ่านกันเพลิน ๆ โดยเริ่มจากผู้ที่ไม่ได้รับเลือกสรรก่อนไปจนถึง ‘พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว’ รัชกาลที่ ๔ ที่ได้รับการเลือกสรรและอัญเชิญขึ้นครองราชย์

พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอรรณพ กรมหมื่นอุดมรัตนราศี พระนามเดิมว่า ‘หม่อมเจ้าอรรณพ’

พระองค์แรก ‘พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอรรณพ กรมหมื่นอุดมรัตนราศี’ พระนามเดิมว่า ‘หม่อมเจ้าอรรณพ’ พระราชโอรสในรัชกาลที่ ๓ ทรงกำกับกรมสังฆการี กรมธรรมการ และกรมมหาดเล็ก มีบทบาทในราชการและเป็นที่โปรดปรานมากกว่าพระโอรสองค์อื่น ๆ ว่ากันว่า รัชกาลที่ ๓ มีพระราชประสงค์อย่างชัดเจนที่จะมอบพระราชบัลลังก์ให้ ด้วยการนำเสนอพระนามท่ามกลางการประชุมพระราชวงศ์และขุนนาง 

แต่การณ์ก็ไม่เป็นดังหวังเพราะมีเสียงคัดค้านจากคณะขุนนาง เนื่องจากพระองค์ไม่ใช่พระราชโอรสที่มีพรรษาสูงนัก (อายุ ๓๑ พรรษา) หากเทียบกับพระองค์อื่น ๆ ถ้าข้ามอาวุโสไปก็จะเกิดปัญหา มีแนวโน้มที่จะไม่สามารถสานประโยชน์ให้เกิดดุลยภาพได้เช่นพระราชบิดา 

ทั้งในกลุ่มขุนนางก็ไม่ค่อยมีผู้ใดได้ร่วมงานกันอย่างสนิทชิดเชื้อหรือรู้จักมักคุ้นมากพอที่จะสนับสนุนให้ได้ราชสมบัติ หากได้ขึ้นครองราชย์ก็อาจจะก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่ให้ความเคารพเชื่อถือ ทั้งในกลุ่มพระราชวงศ์และกลุ่มขุนนางเอาได้ ซึ่งนั่นอาจจะเป็นภัยกับตัวพระองค์เจ้าอรรณพเอง เมื่อเป็นเช่นนี้ที่ประชุมพระราชวงศ์และขุนนางทั้งหลายจึงมิได้เลือกสรรพระองค์ 

สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาเดชาดิศร พระนามเดิมว่า ‘หม่อมเจ้ามั่ง’

พระองค์ที่สอง ‘สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาเดชาดิศร’ มีพระนามเดิม ‘หม่อมเจ้ามั่ง’ พระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยกับเจ้าจอมมารดานิ่ม พระองค์ทรงกำกับกรมพระอาลักษณ์ ทรงเป็นกวีสำคัญในช่วงต้นรัตนโกสินทร์ โดยเป็นผู้รวบรวมและชำระโคลงโลกนิติสำนวนเก่าให้ประณีตและไพเราะมากยิ่งขึ้น ก่อนที่จะนำไปจารึกลงแผ่นศิลา เพื่อประดับให้ความรู้ ณ วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม (วัดโพธิ์) 

ซึ่งถ้ามองตามชั้นพระยศของพระองค์ พระองค์เมื่อแรกประสูตินั้นเป็นเพียง ‘หม่อมเจ้า’ หากจะข้ามชั้นพระยศ ‘เจ้าฟ้า’ ซึ่งมีพระเจ้าลูกยาเธอในรัชกาลที่ ๒ ในชั้น ‘เจ้าฟ้า’ ที่ยังทรงพระชนม์ชีพอยู่ถึง ๒ พระองค์คือเจ้าฟ้ามงกุฎ (ร.๔ ซึ่งขณะนั้นทรงอุปสมบทเป็น ‘วชิรญาณภิกขุ’ อยู่) อีกพระองค์คือเจ้าฟ้าจุฑามณี กรมขุนอิศเรศรังสรรค์ คงเป็นการมิบังควรหากจะข้ามไป 

ประกอบกับกรมพระยาเดชาดิศรนั้นทรงถูกติติงจากรัชกาลที่ ๓ ว่า “เป็นคนพระกรรณเบา ใครจะพูดอะไรท่านก็เชื่อง่าย ๆ จะเป็นใหญ่เป็นโตไปไม่ได้” อีกทั้งกรมที่พระองค์ทรงดูแลอยู่นั้น มิได้มีความเกี่ยวข้องกับการบริหารบ้านเมือง แม้จะเคยทรงไปทัพหรือเป็นที่นิยมในหมู่ขุนนางทั้งหลาย แต่นั่นก็ไม่เพียงพอที่กลุ่มพระราชวงศ์และกลุ่มผู้นำขุนนางทั้งหลายจะเลือกสรรให้ท่านได้ครองราชย์ 

พระองค์ที่สาม ‘พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระพิพิธโภคภูเบนทร์’ มีพระนามเดิมว่า ‘พระองค์เจ้าพนมวัน’ เป็นพระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ประสูติแต่เจ้าจอมมารดาศิลา ทรงกำกับ กรมพระนครบาล (เวียง) และ กรมคชบาล ซึ่งเป็นกรมที่มีข้าในสังกัดมาก แต่การที่มีไพร่พลสังกัดในกรมจำนวนมากนี้เองที่กลายเป็นชนวนทำให้พระองค์ทรงตกอยู่ในที่นั่งลำบาก คราวแรกพระองค์ได้ถูกพาดพิงจาก ‘กบฏหม่อมไกรสร’ (กรมหลวงรักษ์รณเรศ) ว่าหากกบฏสำเร็จจะตั้งพระองค์เป็นวังหน้าเพราะทรงคุมกรมใหญ่มีบารมีมาก (ดีที่ไม่ซวยติดร่างแหไปด้วยไม่งั้นคงถูกสำเร็จโทษตามหม่อมไกรสรไปเป็นแน่) 

คราวที่สองเมื่อ ‘สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาศักดิพลเสพ’ สวรรคต พวกข้าในกรมคาดว่าเจ้านายของตนจะได้เป็นกรมพระราชวังบวรสถานมงคลฯ แทน ก็เลยคุยเขื่องยกยอนายของตนไปทั่ว เล่นใหญ่จนกลายเป็นความหมั่นไส้ ก่อนที่เหตุการณ์ก็ผลิกผัน เพราะในที่สุด ร.๓ ก็มิได้ตั้งใครเป็นวังหน้า จากเหตุนี้ก็เลยกลายเป็นชนักที่ปักพระขนองของพระองค์อยู่ อีกทั้งล้นเกล้ารัชกาลที่ ๓ ยังได้ทรงตำหนิพระองค์ต่อวงขุนนางไว้ว่า “ไม่รู้จักการงาน ปัญญาก็ไม่สอดส่องไปได้ คิดแต่ละเล่นอย่างเดียว” เพราะพระองค์ทรงโปรดดนตรีปี่พาทย์และการละครเป็นอย่างมาก จนมีโรงละครหลวงที่ใหญ่ติดอันดับของสยามในเวลานั้น 

จากเหตุข้าในกรมใฝ่สูงแทนนาย อีกทั้งยังถูกวางไว้ในตำแหน่งคานอำนาจกับเจ้าพระยาพระคลัง (สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาประยุรวงศ์) และพระยาศรีพิพัฒน์ (สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาพิชัยญาติ) พระองค์จึงไม่ได้รับเลือกสรร

สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าจุฑามณี กรมขุนอิศเรศรังสรรค์’ (พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว)

พระองค์ที่สี่ ‘สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าจุฑามณี กรมขุนอิศเรศรังสรรค์’ (พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว) พระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ประสูติแต่สมเด็จพระศรีสุริเยนทราบรมราชินี เมื่อครั้งที่พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงขึ้นครองราชย์ พระองค์เสด็จฯ กลับไปประทับ ณ พระราชวังเดิม พร้อมพระราชมารดา 

เมื่อพระองค์มีพระชนมายุได้ ๒๔ พรรษา ได้ทรงบังคับบัญชากรมทหารปืนใหญ่ กรมทหารแม่นปืนหน้า ปืนหลัง และญวนอาสารบแขกอาสาจาม ซึ่งเป็นกองทหารที่สำคัญและมีกำลังคนมาก แต่พระอุปนิสัยชอบสนุกเฮฮา ไม่มีพิธีรีตองอะไร ก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้พระองค์ได้รับการตำหนิจากรัชกาลที่ ๓ ว่า “มีสติปัญญารู้วิชาการช่างและการทหารต่าง ๆ แต่ไม่พอใจทำราชการเกียจคร้าน รักแต่การเล่นสนุก เพราะฉะนั้นจึ่งมิได้ทรงอนุญาต กลัวเจ้านายข้าราชการ...จะไม่ชอบใจ” 

อีกอย่างหนึ่งคงไม่พ้นทางฝั่งขุนนางที่คาดกันว่าหากพระองค์ทรงครองราชย์แล้วคงจะทำลายสมดุลแห่งอำนาจเป็นแน่ เนื่องจากพระองค์ทรงหัวก้าวหน้า พูดอังกฤษได้ มีเพื่อนฝรั่งมาก ขุนนางทั้งหลายอาจจะต้องเผชิญขนบใหม่จากพระองค์ โดยเฉพาะกลุ่มผู้นำขุนนางก็คงถูกลิดรอนอำนาจบารมีจากการเข้าถึงงานราชการของพระองค์ (ขัดกับคำตำหนิ ???) อย่ากระนั้นเลยเมื่อคิดได้ดังนี้ กลุ่มขุนนางจึงขอไม่เลือกสรรพระองค์โดยให้เหตุผลว่า น่าจะเรียงลำดับอาวุโสตามศักดิ์และสิทธิ์ของ ‘สมเด็จหน่อพระพุทธเจ้า’ โดยขอเลือก ‘เจ้าฟ้ามงกุฎ’ ก่อน หากเจ้าฟ้ามงกุฎไม่ทรงรับจึงจะเลือกสรรเป็นพระองค์ 

สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้ามงกุฎ’ หรือ ‘พระวชิรญาณภิกขุ’ (พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔)

พระองค์ที่ห้า ‘สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้ามงกุฎ’ หรือ ‘พระวชิรญาณภิกขุ’ (พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔) เป็นพระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยกับสมเด็จพระศรีสุริเยนทราบรมราชินี ทรงผนวชเป็นพระภิกษุเมื่อพระองค์มีพระชนมายุ ๒๑ พรรษา 

เมื่อ ร.๓ ขึ้นครองราชย์ด้วยหลักการ ‘มหาชนนิกรสโมสรสมมุติ’ พระองค์ทรงตัดสินพระทัยที่จะดำรงสมณเพศต่อไป ระหว่างผนวชพระองค์ได้ทรงธุดงค์ไปยังหัวเมืองต่าง ๆ ทรงเห็นความเป็นไปต่าง ๆ ของบ้านเมือง รวมไปถึงทรงเห็นความหย่อนยานของพระภิกษุในบางส่วน ทำให้พระองค์ทรงนำมาปรับปรุงโดยยึดพระธรรมวินัยเป็นที่ตั้ง จนเกิดเป็น ‘ธรรมยุกตินิกาย’ ทำให้พุทธศาสนาที่ย่อหย่อนกลับมาแข็งแรงขึ้น เรียบร้อยขึ้น 

แต่กระนั้นพระองค์ก็ทรงได้รับการตำหนิจาก ร.๓ ว่า “ถ้าเจ้าฟ้ามงกุฎเป็นพระเจ้าแผ่นดิน จะให้นำธรรมเนียมการห่มผ้าของพระสงฆ์ของพม่ามาใช้” แต่ด้วยความเป็น สมเด็จฯ เจ้าฟ้า มีศักดิ์และมีสิทธิ์ครบ มีความเข้าใจในบ้านเมือง และเข้าใจสถานการณ์แห่งการเปลี่ยนผ่านของยุคสมัยที่ตะวันตกกำลังรุกคืบมาเป็นอย่างดี อีกทั้งมิได้มีข้อขุ่นข้องหมองใจหรือขัดผลประโยชน์ใด ๆ อันจะทำให้ดุลยภาพแห่งอำนาจสั่นคลอนได้ 

ที่ประชุมพระราชวงศ์และเหล่าขุนนางจึงพร้อมใจกันเลือกพระองค์เป็นผู้สืบราชสมบัติ ครองราชย์เป็น ‘พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว’ พระมหากษัตริย์พระองค์ที่ ๔ แห่งพระบรมราชจักรีวงศ์

จะเห็นว่า การสืบราชสันตติวงศ์ทั้งรัชกาลที่ ๓ และรัชกาลที่ ๔ นั้นมิได้เป็นไปตามหลักการ การสืบราชสันตติวงศ์โดยพระราชโอรสพระองค์โตที่เป็น ‘เจ้าฟ้า’ จะได้เป็นพระเจ้าแผ่นดิน แต่กลับเป็นไปตามหลัก ‘มหาชนนิกรสโมสรสมมุติ’ ซึ่งมหาชนที่ว่านั้นก็คือ ‘ที่ประชุมพระราชวงศ์และเสนาบดีชั้นผู้ใหญ่’

โดยเฉพาะเมื่อครั้งเลือกสรรผู้สืบราชบัลลังก์ต่อจากพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวนั้น พระองค์ทรง ‘โปรดอนุญาตให้ตามใจคนทั้งปวงสุดแต่เห็นพร้อมเพรียงกัน’

ทั้งหมดที่ผมเรียบเรียงมานั้น เน้นย้ำความสมดุลแห่งอำนาจ ๓ ฝ่ายคือ พระมหากษัตริย์ พระบรมวงศานุวงศ์ และขุนนางผู้ใหญ่ มันหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีเรื่องของอำนาจบารมีมาเกี่ยวข้อง หากจะเลือกสรรพระมหากษัตริย์ที่มาลิดรอนดุลยภาพแห่งอำนาจนั้นจึงเป็นการไม่เหมาะสม 

โดยเฉพาะกับกลุ่มผู้ที่มีอำนาจบารมีขั้นสุดอย่าง กลุ่มขุนนางตระกูลบุนนาค ซึ่งนำโดย เจ้าพระยาพระคลัง (ดิศ บุนนาค) พระยาศรีพิพัฒน์ (ทัต บุนนาค) และพระยาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค) ที่กุมอำนาจบริหารแผ่นดินไว้ การจะเลือกสนับสนุนพระราชวงศ์พระองค์ใดขึ้นครองราชย์ย่อมต้องไม่ขัดกับผลประโยชน์ของตน ซึ่งในรัชสมัยรัชกาลที่ ๓ นั้น ทุกอย่างลงตัว 

พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ ก็ทรงทราบเหตุแห่งผลประโยชน์ที่อัญเชิญพระองค์ขึ้นครองราชย์ จึงทรงถ่วงดุลด้วยการอุปราชาภิเษก ‘พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว’ พระเจ้าแผ่นดินพระองค์ที่ ๒ ไปพร้อม ๆ กัน โดยทรงอ้างถึงพระชะตาอันแรงกล้า แต่โดยนัยแล้วเชื่อได้ว่านี่คือการวางแผนคานอำนาจของขุนนางตระกูลบุนนาคนั่นเอง เอาไว้ผมจะเรียบเรียงมาให้อ่านกันในครั้งถัด ๆ ไปครับ

'ชาวแอฟริกา' นำปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงไปประยุกต์ในภาคเกษตร พลิกผืนทรายแห้งแล้ง เป็นผืนดินอุดมสมบูรณ์ 'เพาะปลูก-เลี้ยงสัตว์' ได้

(23 พ.ค.67) เพจ 'เกษตร นานา' ได้โพสต์ข้อความชวนประทับใจผ่านเรื่องราวของอาณาจักรเลโซโท ระบุว่า...

ชาวเลโซโท ในทวีปแอฟริกา ได้น้อมนำเอาปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ด้วยทำการเกษตรแบบผสมผสานไปใช้ในประเทศ จนสามารถพลิกฟื้นผืนดินจากทะเลทรายอันแห้งแล้งให้เป็นผืนดินอุดมสมบูรณ์สามารถปลูกพืชเลี้ยงสัตว์ได้ โดยผ่านโครงการพัฒนาการเกษตรอย่างยั่งยืนในเลโซโท 

สำหรับโครงการนี้ มีการจัดตั้งศูนย์สาธิต Koete และชุมชน Makoabating เขต Matsieng กรุงมาเซรู ราชอาณาจักรเลโซโท เพื่อให้เกษตรกรมีความรู้ ความเข้าใจ สามารถนำความรู้การพัฒนาการเกษตรโดยใช้หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของในหลวงรัชกาลที่ 9 ไปปรับใช้ในพื้นที่ของตนและชุมชนให้สามารถพึ่งพาตนเองได้ และเป็นแหล่งเรียนรู้แก่ชุมชนอื่นนำไปสู่การพัฒนาการเกษตรอย่างยั่งยืน

‘ทุน ม.ท.ศ.’ ทุนการศึกษาพระราชทาน จาก ‘ในหลวง ร.10’ มอบโอกาสให้เด็กเรียนดี แต่ไร้ทุนทรัพย์ ให้เปล่าไม่ต้องคืน

เมื่อไม่นานมานี้ เพจเฟซบุ๊ก ‘สำนักประชาสัมพันธ์เขต 2 กรมประชาสัมพันธ์’ ได้โพสต์คลิปเกี่ยวกับทุนการศึกษาพระราชทาน หรือ ‘ทุน ม.ท.ศ.’ ของ ‘พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ’ ที่พระองค์ทรงพระราชทานด้วยทรัพย์ส่วนพระองค์เองนั้น ในการเปิดโอกาสทางการศึกษาให้กับนักเรียนนักศึกษาจากทุกจังหวัดทั่วประเทศมาแล้วกว่า 15 รุ่น รวมกว่า 2,411 ราย โดยระบุว่า…

ทุนการศึกษา ‘ทุน ม.ท.ศ.’ โดยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชดําริให้ดําเนินโครงการทุนการศึกษา สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ตั้งแต่ปี 2552 และในปี 2553 ได้มีการจัดตั้งเป็นมูลนิธิทุนพระราชทาน สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร เป็นการเปิดโอกาสให้กับนักเรียนที่เรียนดี มีความประพฤติดี แต่ขาดโอกาสทางการศึกษา ระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย ปวช. ปวส. ทั้งบุคคลธรรมดา และก็สามเณร

อย่างไรก็ตาม มีนักเรียนทุนรายหนึ่ง ซึ่งปัจจุบันเป็นคุณครูอยู่ที่จังหวัดสกลนคร ซึ่งคุณครูรายนี้ได้เล่าให้ฟังว่าตอนนั้นตนอยู่ ม.3 ได้มีการเตรียมผลงานเพื่อที่จะเสนอขอทุน นั่นก็คือเรื่องของผลการเรียน ความประพฤติที่ดี และก็กิจกรรมต่าง ๆ ที่เคยได้ทํามา เพื่อส่งไปยังสํานักงานเขตพื้นที่การศึกษาที่ตนเรียนอยู่ แล้วก็มีการคัดเลือกในระดับจังหวัดที่มุกดาหาร เมื่อปี 2553 ได้รับ 2 ทุนด้วยกัน ก็คือนักเรียนชาย 1 คน นักเรียนหญิง 1 คน และหนึ่งในนั้นก็คือตนนั้นเอง

ส่วนเงินที่พระองค์ได้ทรงพระราชทานให้กับนักเรียนทุน ก็เป็นจํานวนมากทีเดียว อย่างระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย คุณครูก็เล่าว่าได้ 18,000 บาทต่อปี ขณะที่ตอนเรียนระดับปริญญาตรีอุดมศึกษา ค่าเทอมไม่ต้องจ่ายสักบาท กองทุนจะเป็นคนจ่ายให้ รวมถึงมีค่าใช้จ่ายรายเดือนให้เดือนละ 5,000 บาท อีกทั้งยังมีค่าหอแยกต่างหาก และค่าอุปกรณ์การเรียน ค่าเครื่องแบบนักศึกษาอีกด้วย

ทั้งนี้ นักเรียนนักศึกษาทุนพระราชทาน หากรักษาสภาพการเป็นนักเรียนนักศึกษาทุนพระราชทาน หรือว่า ทุน ม.ท.ศ. นี้ได้จนจบการศึกษาครบตามเงื่อนไขของทุน ก็ไม่ต้องไปจ่ายเงินคืนให้กับกองทุนแม้แต่บาทเดียว เป็น ‘ทุนให้เปล่า’…

นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้ของพสกนิกรชาวไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งนักเรียนนักศึกษาทุนพระราชทาน ม.ท.ศ. ซึ่ง ณ ปัจจุบันนี้ มีมากกว่า 15 รุ่น และก็มีที่เรียนจบปริญญาตรีไปแล้ว 8 รุ่นด้วยกัน ซึ่งร้อยละ 80 ของนักศึกษาทุนมีงานทําแล้ว ทั้งเป็นข้าราชการ และทํางานในภาคเอกชน ส่วนร้อยละ 65 กลับไปทํางานที่บ้านเกิด

‘ฮุนได’ จับมือ ‘JWON’ เปิดประสบการณ์งานศิลป์บนรถ ‘IONIQ 5’ เน้น!! พลังงานสะอาด ปราศจากมลพิษ เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

เมื่อไม่นานมานี้ บริษัท ฮุนได โมบิลิตี้ (ประเทศไทย) จำกัด (HMT) ตอกย้ำความเป็นผู้นำด้านความยั่งยืนแห่งโลกยานยนต์ ร่วมมือกับศิลปินไทยชื่อดัง ‘JWON’ สรายุทธ คุระแก้ว นำเสนอพลังสร้างสรรค์แห่งศิลปะที่ผสานเป็นหนึ่งเดียวกับนวัตกรรมรถยนต์ไฟฟ้า ผ่านการสรรสร้างงานศิลปะหนึ่งเดียวบนรถยนต์ IONIQ 5 ในรูปแบบของ Art Car พร้อมจัดเวิร์กช็อปรอบเอ็กซ์คลูซีฟ ‘IONIQ Powering Arts x JWON’ ณ IONIQ Lab ให้ผู้เข้าร่วมงานสรรค์สร้างงานศิลปะด้วยตัวเอง ไปพร้อมกับสัมผัสการบรรจบกันของความคิดสร้างสรรค์และเทคโนโลยียานยนต์ล้ำสมัย นอกจากนั้น ยังมีนิทรรศการแสดงผลงานศิลปะของ JWON ที่สรรค์สร้างขึ้นเพื่องานนี้โดยเฉพาะ รวมถึงภาพที่วาดขึ้นใหม่ และรูปปั้น Dylie ขนาด 2 เมตร

ศิลปิน JWON สร้างสรรค์ศิลปะ Art Car บน IONIQ 5 ในธีม ‘Dylie, Embark on your journey to the world’ โดยนำก้อนเมฆมาเป็นสัญลักษณ์ที่สื่อถึงพลังงานสะอาด ปราศจากมลพิษและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เพื่อจุดประกายการมุ่งหน้าสู่อนาคตที่สดใส และดีต่อชีวิตทุกคน Dylie ยังเป็นมากกว่าองค์ประกอบตกแต่ง แต่เชื่อมโยงผู้ชมเข้ากับสภาพแวดล้อมอย่างกลมกลืน พร้อมทั้งเป็นสัญลักษณ์แห่งเส้นทางอันเปี่ยมชีวิตชีวา บนความยั่งยืนเสมือนท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยเมฆที่สวยงาม การผสานพรสวรรค์ทางศิลปะของ JWON เข้ากับนวัตกรรมอันล้ำหน้าของ IONIQ 5 ในครั้งนี้ จึงแสดงถึงพลังแห่งการเปลี่ยนแปลงของศิลปะ ผ่านการสรรค์สร้างแรงบันดาลใจ และเน้นย้ำถึงความมุ่งมั่นในการพัฒนานวัตกรรมและความยั่งยืน จนก่อเกิดเป็นงานศิลป์บนยนตกรรม Art Car ชิ้นเอกคันแรกและมีเพียงหนึ่งเดียว

ความร่วมมือครั้งนี้ไม่ใช่การนำเสนอผลงานศิลปะผ่าน IONIQ 5 เพียงอย่างเดียว หากยังมีกิจกรรมเวิร์กช็อปสุดพิเศษที่ IONIQ Lab ให้ผู้เข้าร่วมงานจะได้สัมผัสถึงการบรรจบกัน ของความคิดสร้างสรรค์และเทคโนโลยีใหม่ล่าสุด โดย JWON ศิลปินผู้โด่งดังด้านการสร้างสรรค์งานศิลปะร่วมสมัย ได้ร่วมแบ่งปันเทคนิคพร้อมกระตุ้นให้ผู้เข้าร่วมงาน ได้แสดงออกถึงความคิดสร้างสรรค์ และนำเสนอเอกลักษณ์ในแบบฉบับของตนอย่างอิสระ สอดคล้องกับจุดประสงค์ของการก่อตั้ง IONIQ Lab เพื่อส่งเสริมการสร้างแนวคิดใหม่และสร้างพื้นที่ในการแสดงออกให้กับทุกคน กิจกรรมเวิร์กช็อปครั้งนี้จึงมุ่งเน้นการขับเคลื่อนแรงบันดาลใจ ให้ผู้คนกล้าคิดบนแนวคิดที่แตกต่าง เพื่อก้าวข้ามขีดจำกัดของนวัตกรรมไปสู่ขอบเขตแห่งการสร้างสรรค์ใหม่ไม่รู้จบ

ด้วยพรสวรรค์และสไตล์ศิลปะที่เป็นเอกลักษณ์ของ JWON ซึ่งโด่งดังจากการจัดนิทรรศการในระดับนานาชาติมากมาย จึงถือเป็นโอกาสดีให้ IONIQ เป็นที่รู้จักของกลุ่มคนที่กว้างขวางขึ้น พร้อมดึงดูดความสนใจของกลุ่มผู้สนใจในงานศิลป์จำนวนมากมายังรถยนต์ไฟฟ้า IONIQ ต่อไป นอกจากนี้ การร่วมมือกับ JWON ซึ่งเป็นศิลปินไทย ยังช่วยกระชับความสัมพันธ์ของ IONIQ กับกลุ่มผู้บริโภคในประเทศ ผ่านการจัดกิจกรรมที่จะมีขึ้นอย่างต่อเนื่องตลอดทั้งปี

นายวัลลภ เฉลิมวงศาเวช กรรมการผู้จัดการ บริษัท ฮุนได โมบิลิตี้ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “IONIQ Lab มิใช่เพียงศูนย์นวัตกรรม หากเป็นเวทีแห่งการเปลี่ยนแปลงที่สร้างแรงบันดาลใจ ในการก้าวเดินไปบนเส้นทางแห่งความยั่งยืน เป็นศูนย์กลางแห่งความมุ่งมั่นและความร่วมแรงร่วมใจ ในการสร้างสรรค์อนาคตที่สดใสกว่าสำหรับทุกคน ความร่วมมือครั้งสำคัญนี้ยังสอดคล้องกับปณิธานของแบรนด์ ในด้านนวัตกรรม ความยั่งยืน และการนำเสนออัตลักษณ์ของบุคคลอย่างสมบูรณ์แบบ เป้าหมายของเราคือการผสานศิลปะเข้ากับเทคโนโลยี เพื่อจุดประกายความคิดสร้างสรรค์ที่นำไปสู่การสร้างโลกที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ด้วยสไตล์ทางศิลปะที่โดดเด่นและชื่อเสียงในระดับโลกของ JWON ทำให้เราเชื่อมั่นว่า จะทำให้เราเข้าถึงกลุ่มผู้ชมในวงกว้างยิ่งขึ้น และสามารถนำเสนอศักยภาพของรถไฟฟ้า IONIQ ได้อย่างโดดเด่น เราจึงให้ความสำคัญกับศักยภาพของศิลปะ เพื่อใช้กระตุ้นให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกผ่านการจัดงานนี้ ด้วยการผสานทักษะทางศิลปะของ JWON เข้ากับเทคโนโลยีล้ำสมัยของ IONIQ 5 จนเชื่อมโยงกันอย่างกลมกลืน และสร้างแรงบันดาลใจพร้อมส่งเสริมแนวทางปฏิบัติที่ยั่งยืน อย่างโดดเด่นในโลกยานยนต์”

ร่วมสนับสนุนแนวคิดอากาศสะอาดเพื่อเราทุกคน ด้วยการแวะมาพบกับ Dylie พร้อมเยี่ยมชมนิทรรศการงานศิลป์ของ JWON ได้ที่ IONIQ Lab สถานที่ที่ศิลปะ เทคโนโลยี และแนวคิดเพื่อสิ่งแวดล้อมมาบรรจบกัน ได้ระหว่างวันที่ 18 พฤษภาคม - 18 มิถุนายน 2567 โดยในนิทรรศการไม่มีได้มีเพียง IONIQ 5 Art Car เท่านั้น แต่ยังมีรูปปั้น Dylie ขนาด 2 เมตร พร้อมผลงานศิลปะจาก JWON อีกหลายชิ้นที่ไม่เคยเปิดตัวที่ไหนมาก่อน มาจัดแสดงที่นี่ ให้คุณชมก่อนใคร

เมื่อลูกเรือของสุดยอดสายการบิน 'สิงคโปร์แอร์ไลน์' พบกับสุดยอดทีมงานจาก 'สนามบินสุวรรณภูมิ'

เครื่องบิน Boeing 777-300ER ของสายการบินสิงคโปร์แอร์ไลน์ (SIA) เที่ยวบิน SQ321 ซึ่งมีผู้โดยสารทั้งหมด 211 คน และลูกเรือ 18 คน บินจากลอนดอน (ฮีทโธรว์) ไปยังสิงคโปร์ ได้ประสบกับสภาพอากาศปั่นป่วน (Turbulence) อย่างกะทันหันบริเวณเหนือทะเลสาบอิรวดี เมียนมา ที่ความสูง 37,000 ฟุต ประมาณ 10 ชั่วโมงหลังจากออกเดินทาง นักบินจึงต้องรีบประกาศภาวะฉุกเฉินทางการแพทย์ และเปลี่ยนเส้นทางเครื่องบินไปยังกรุงเทพฯ และลงจอดยังท่าอากาศยานสุวรรณภูมิเมื่อเวลา 15.45 น. ตามเวลาท้องถิ่นของวันที่ 21 พฤษภาคม 2024

สิงคโปร์แอร์ไลน์ยืนยันว่ามีผู้บาดเจ็บหลายรายและเสียชีวิตหนึ่งรายบนเครื่องบินลำดังกล่าว โดยผู้โดยสารและลูกเรือได้เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลจำนวนหนึ่ง ส่วนผู้โดยสารและลูกเรือที่บาดเจ็บเล็กน้อยได้รับการตรวจรักษาตามอาการ ณ ท่าอากาศยานนานาชาติสุวรรณภูมิ

สำหรับเหตุการณ์ในครั้งนี้ ทางสิงคโปร์แอร์ไลน์โดย CEO ได้แถลงแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งต่อครอบครัวของผู้เสียชีวิต และขออภัยอย่างที่สุดกับประสบการณ์ที่กระทบกระเทือนจิตใจของผู้โดยสารและลูกเรือในเที่ยวบินนี้ โดยสิงคโปร์แอร์ไลน์จะให้ความช่วยเหลือที่จำเป็นทั้งหมดในช่วงเวลาที่ยากลำบากนี้อย่างเต็มที่

เกี่ยวกับการรับมือในเหตุการณ์นี้ ทางสิงคโปร์แอร์ไลน์ได้ทำงานร่วมกับพันธมิตรและหน่วยงานท้องถิ่นในประเทศไทยเพื่อให้ความช่วยเหลือที่จำเป็น โดยทีมงานของสิงคโปร์แอร์ไลน์ได้เดินทางมายังกรุงเทพฯ เพื่อให้ความช่วยเหลือเพิ่มเติมที่จำเป็น และสิงคโปร์แอร์ไลน์กำลังทำงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการสืบสวนเหตุการณ์ครั้งนี้ด้วย

Peter Seah CEO ของสิงคโปร์แอร์ไลน์กล่าวว่า “ในนามของคณะกรรมการสายการสิงคโปร์แอร์ไลน์ ผมขอแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งต่อครอบครัวและคนที่รักของผู้โดยสารของเราที่เสียชีวิตเมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม 2024 ในเหตุการณ์ SQ321 ผมขอรับรองกับผู้โดยสารและลูกเรือทุกคนที่อยู่บนเครื่องบินว่าเรามุ่งมั่นที่จะสนับสนุนพวกเขาในช่วงเวลาที่ยากลำบากนี้ ผมอยากจะแสดงความขอบคุณต่อทุกคนในสิงคโปร์ ไทย และทั่วโลกที่ได้ช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์นี้”

สิงคโปร์แอร์ไลน์ ก่อตั้งเมื่อ 1 พฤษภาคม 1947 หรือ 77 ปีก่อนในชื่อ ‘มาลายันแอร์เวยส์’ (Malayan Airways) ปัจจุบันมี Temasek Holdings กองทุนการลงทุนของรัฐบาลสิงคโปร์ถือหุ้นร้อยละ 55 สิงคโปร์แอร์ไลน์ได้รับการจัดอันดับให้เป็นสายการบินระดับ 5 ดาว และยังได้รับการจัดอันดับให้เป็นสายการบินที่ดีที่สุดในโลกโดย Skytrax ถึง 5 ครั้ง และติดอันดับหนึ่งใน 15 สายการบินชั้นนำของโลกในแง่ของรายได้ผู้โดยสารตามระยะทาง และติดอันดับที่ 10 ของโลกสำหรับผู้โดยสารระหว่างประเทศที่บรรทุกผู้โดยสาร พนักงานต้อนรับของสิงคโปร์แอร์ไลน์ได้รับการโหวตให้เป็นลูกเรือของสายการบินที่ดีที่สุดในโลกของ Skytrax ประจำปี 2019 

นอกจากนี้ ยังได้ตำแหน่งสายการบินที่สะอาดที่สุดในโลกตามลำดับในปี 2019 ในปี 2023 ได้รับรางวัล 'สายการบินที่ดีที่สุด' และ 'สายการบินที่บริการชั้นหนึ่งที่ดีที่สุด' โดย Skytrax เป็นครั้งที่ 5

แม้ว่าจุดเกิดเหตุจะใกล้ท่าอากาศยานนานาชาตินครย่างกุ้งมากกว่า แต่นักบินเที่ยวบิน SQ321 ก็ตัดสินใจนำเครื่องบินมุ่งหน้ามาลงยังท่าอากาศยานนานาชาติสุวรรณภูมิของไทย ด้วยเหตุที่มีผู้บาดเจ็บเป็นจำนวนมากท่าอากาศยานนานาชาติสุวรรณภูมิจึงเป็นจุดลงจอดที่เหมาะสมเพราะมีความพร้อมมากกว่า 

ทั้งนี้ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิโดยการท่าอากาศยานแห่งประเทศไทยมีการเตรียมพร้อมรองรับต่อเหตุฉุกเฉินจากการโดยสารเครื่องบินอย่างครบครัน ทั้งยังมีการทบทวนแผน การฝึกซ้อมย่อย และการฝึกซ้อมใหญ่เต็มรูปแบบ (Full Scale Exercise) ตามแผนฉุกเฉินและแผนเผชิญเหตุของสนามบิน (SEMEX) กรณีอากาศยานอุบัติเหตุและการแทรกแซงโดยมิชอบด้วยกฎหมาย 

การฝึกซ้อมฯ ดังกล่าวจะมีการจำลองสถานการณ์ การซักซ้อมกระบวนการปฏิบัติการฉุกเฉินเสมือนจริง ซึ่งจัดขึ้นเป็นประจำทุกปีร่วมกับทุกภาคส่วนทุกเหล่าทัพ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ หน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน รวมถึงหน่วยงานอาสาสมัคร โดยมีกระทรวงคมนาคมเป็นเจ้าภาพรับผิดชอบ

ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้โดยสารของสิงคโปร์แอร์ไลน์เที่ยวบิน SQ321 ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิจึงได้ประกาศแผนฉุกเฉิน และมีการประสานงานไปยังศูนย์รับแจ้งเหตุ 1669 จังหวัดสมุทรปราการ ประสานขอรถพยาบาลจากหน่วยในพื้นที่ของจังหวัดเข้าสนับสนุน และประสานส่งตัวผู้บาดเจ็บเข้ารับการรักษายังโรงพยาบาลจนสำเร็จลุล่วงไปด้วยดี กระทั่งเลขาธิการสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ (สพฉ.) ยังได้กล่าวชื่นชมทีมฉุกเฉินที่สามารถปฏิบัติงานรองรับเหตุลงจอดฉุกเฉินของสิงคโปร์แอร์ไลน์เที่ยวบิน SQ321 ตาม ‘แผนฉุกเฉินของท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ’ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ อันเป็นผลมาจากการที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิได้มีการฝึกซ้อมแผนเผชิญเหตุร่วมกับหน่วยงานการแพทย์ฉุกเฉินในพื้นที่เป็นประจำทุกปี

สิ่งหนึ่งซึ่งสำคัญที่สุดในระหว่างการโดยสารเครื่องบินคือ ‘การคาดเข็มขัดที่นั่ง’ เมื่อนั่งเครื่องบิน พอไฟเตือนให้คาดเข็มขัดดับลงผู้โดยสารส่วนใหญ่ก็มักจะพากัน ‘ปลดเข็มขัดที่นั่ง’ ปกติแล้วการเดินทางด้วยเครื่องบินมีโอกาสที่จะเจอกับสภาพอากาศแปรปรวน หรือที่เรียกกันว่า ‘การตกหลุมอากาศ’ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงฤดูฝน ทำให้ความเสี่ยงที่จะเจอกับสภาพอากาศแปรปรวนขณะโดยสารเครื่องบินมากยิ่งขึ้น ซึ่งโดยปกติแล้วนักบินก็จะทำการแก้ไขให้สามารถเดินทางไปได้อย่างปลอดภัย แต่หากขณะที่เครื่องบินเกิดตกหลุมอากาศ ผู้โดยสารที่ไม่ได้คาดเข็มขัดนิรภัยก็จะถูกแรงเหวี่ยงให้ลอยขึ้นและตกลงมาสู่พื้นห้องโดยสาร ส่งผลให้เกิดการบาดเจ็บได้ 

ดังนั้นผู้เดินทางโดยเครื่องบินในระหว่างการเดินทางเมื่อนั่งอยู่กับที่ต้องรัดเข็มขัดนิรภัยทุกครั้งเพื่อความปลอดภัย แม้ไฟเตือนให้คาดเข็มขัดจะดับลงแล้วก็ตาม อีกประการหนึ่งคือ กระเป๋าที่นำติดตัวขึ้นเครื่อง (Carry-on-bag) ต้องมีน้ำหนักไม่เกิน 7 กิโลกรัม หากช่องเก็บของเหนือศีรษะเปิดออกมาเอง จากบางครั้งตอนเครื่องบินลงจอดแล้วกระแทกพื้นแรง ๆ แรงสั่นสะเทือนอาจทำให้ฝาปิดช่องเก็บของเปิดออกมาเองได้ กระเป๋าเดินทางที่น้ำหนักเยอะมากอาจตกใส่ศีรษะผู้โดยสารทำให้บาดเจ็บหรือเสียชีวิต (จากการคอหัก) ได้

'ผู้ว่าแบงก์ชาติไทย' จับมือ 'แบงก์ชาติจีน' เซ็น MOU ลดพึ่งดอลลาร์ฯ ส่งเสริมทำธุรกรรมด้วยสกุลเงินท้องถิ่น

(23 พ.ค. 67) สำนักข่าวซินหัว ได้รายงานว่าเมื่อวันที่ 21 พ.ค.67 ผู้ว่าการธนาคารกลางของจีน และผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ได้มีพิธีลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) เกี่ยวกับแนวทางความร่วมมือของธนาคารกลางทั้งจีนและไทยเพื่อส่งเสริมการทำธุรกรรมทวิภาคีด้วยสกุลเงินท้องถิ่น 

สอดคลัองกับธนาคารแห่งประเทศไทยได้ประชาสัมพันธ์การเดินทางไปของนายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย พร้อมคณะผู้บริหาร ธปท. ไปยังประเทศจีน ระบุว่านายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย พร้อมคณะผู้บริหาร ธปท. ได้พบปะกับ นายพาน กงเชิ่ง ผู้ว่าการธนาคารกลางจีน (People’s Bank of China) ที่กรุงปักกิ่ง สาธารณรัฐประชาชนจีน ในวันที่ 21 พฤษภาคม 2567 โดยมีการหารือแลกเปลี่ยนความเห็นเกี่ยวกับแนวทางการส่งเสริมความร่วมมือด้านการเงินและธนาคารระหว่างสองประเทศ รวมถึงการสนับสนุนการใช้เงินสกุลท้องถิ่น และการเชื่อมโยงการชำระเงินระหว่างกัน

ในโอกาสนี้ ผู้ว่าการธนาคารกลางทั้งสองแห่งได้ลงนามในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MoU) ว่าด้วยการส่งเสริมการใช้เงินสกุลท้องถิ่น ที่มีวัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและการเข้าถึงการใช้เงินสกุลท้องถิ่นในการชำระค่าสินค้าและบริการ ซึ่งสอดคล้องกับแนวนโยบายของ ธปท. ที่มุ่งสร้างระบบนิเวศทางการเงินให้เอื้อต่อการค้าและการลงทุนในภูมิภาค

ทั้งนี้ ในช่วงหลายเดือนผ่านมานั้น สำนักข่าวชั้นนำทั่วโลก ได้รายงานว่ารัฐมนตรีกระทรวงคลัง และผู้ว่าการธนาคารกลางในกลุ่มประเทศสมาชิกอาเซียน ได้แสดงท่าทีในการหาทางออกที่แต่ละประเทศสมาชิกจะลดการพึ่งพิงการใช้สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ ในขณะเดียวกันก็เป็นการส่งเสริมการใช้สกุลเงินท้องถิ่นเพื่อทำธุรกรรมในการชำระเงินด้านการค้าระหว่างกันด้วย

ที่ผ่านมา รัฐบาลประเทศจีน พยายามผลักดันการใช้สกุลเงินหยวนในการทำธุรกรรมระหว่างประเทศมากขึ้น เพื่อที่จะลดการพึ่งพาสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ และผลักดันให้เงินหยวนขึ้นไปเป็นสกุลเงินหลักของโลก พร้อมกันนั้นก็ได้ส่งเสริมให้พันธมิตรและคู่ค้าของจีนใช้สกุลเงินท้องถิ่นในการทำธุรกรรมมากขึ้น อย่างเช่น รัสเซีย, อินเดีย และประเทศต่าง ๆ ในกลุ่มบริกส์ (BRICS) สำหรับการลงนามความร่วมมือระหว่างจีนกับไทยในครั้งนี้ คาดว่าเป็นส่วนหนึ่งในความพยายามของจีนเพื่อวัตถุประสงค์เดียวกันนั้น

‘รมว.ปุ้ย’ สั่งดูแลผลกระทบ ‘ไฟไหม้มาบตาพุด-ขนย้ายสารเคมี’ กำชับ!! ต้องบริหารจัดการความรู้สึกของ ปชช.ไปพร้อมๆ กัน

เมื่อวานนี้ (22 พ.ค. 67) นางสาวพิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานการประชุมผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงอุตสาหกรรม ครั้งที่ 8/2567 โดยมีนางสาวศิรินันท์ ศิริพานิช ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงอุตสาหกรรม นายดนัยณัฏฐ์ โชคอำนวย ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม นางสาวไพลิน เทียนสุวรรณ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม นายบรรจง สุกรีฑา นายใบน้อย สุวรรณชาตรี รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม นายวิษณุ ทับเที่ยง หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม และผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงอุตสาหกรรม (อก.) ณ ห้องประชุม อก.1 ชั้น 2 อาคารสำนักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม 

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ได้แจ้งในที่ประชุมถึงข้อสั่งการนายกรัฐมนตรี นายเศรษฐา ทวีสิน เรื่องการส่งเสริมการปลูก การผลิต และการแปรรูปผลผลิตกาแฟ โดยได้ฝากกรมส่งเสริมอุตสาหกรรมไปดำเนินการพัฒนาทั้ง 4 ภูมิภาค  นอกจากนี้ ขอให้หน่วยงานราชการและรัฐวิสาหกิจ ลดธงครึ่งเสาเป็นเวลา 3 วัน เพื่อแสดงความไว้อาลัยประธานาธิบดีอิหร่านถึงแก่อสัญกรรม

ทั้งนี้ ที่ประชุมได้รายงานลำดับเหตุการณ์ไฟไหม้นิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด ตลอดจนมาตรการดูแลผู้ที่ได้รับผลกระทบ ซึ่งรัฐมนตรีอุตสาหกรรมได้ กำชับเรื่องการใช้งบประมาณและความเร่งด่วนต่อการเยียวยา โดยต้องบริหารจัดการความรู้สึกของพี่น้องประชาชนไปพร้อม ๆ กัน และต้องสื่อสารให้ชัดเจนกับผู้ที่เกี่ยวข้องให้ครบถ้วน ทั้งเรื่องของการจัดการขนย้ายกากสารเคมี กากแคดเมียม ฯลฯ เพื่อไม่ให้มีปัญหาตามมา นอกจากนี้ยังได้เร่งรัดเรื่องการออกใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงาน (รง.4) โดยย้ำว่าต้องทำให้ถูกต้อง

ส่อง 10 อันดับ คนชาติไหนเที่ยวญี่ปุ่นมากที่สุดในปี 2024 (4 เดือนแรก)

การท่องเที่ยวญี่ปุ่นบูมสุด ๆ ราวกับดอกซากุระที่กำลังเบ่งบาน และคาดว่าปีนี้จำนวนนักท่องเที่ยวจะทำลายสถิติเดิมในปี 2019 สร้างสถิติใหม่ ‘สูงสุดเป็นประวัติการณ์’ เนื่องจากจำนวนนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศที่เดินทางเข้าญี่ปุ่นเกินเดือนละ 3 ล้านคนติดต่อกันมา 2 เดือนแล้ว (มีนาคม-เมษายน)

ในเดือนมีนาคม 2024 มีนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศเดินทางเข้าญี่ปุ่น 3.08 ล้านคน ทำสถิติจำนวนนักท่องเที่ยวขาเข้ารายเดือนที่สูงที่สุดเป็นประวัติการณ์ 

ส่วนในเดือนเมษายนมีนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศเดินทางเข้าญี่ปุ่น 3.04 ล้านคน ซึ่งเป็นสถิติรายเดือนที่สูงเป็นอันดับ 2 ตลอดกาลรองจากเดือนมีนาคม

เมื่อรวม 4 เดือนแรกของปี 2024 เข้าด้วยกัน ก็ทำให้มีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าไปเที่ยวประเทศญี่ปุ่นแล้วรวมกว่า 11,601,200 คน และไม่ใช่เพียงจำนวนนักท่องเที่ยวเท่านั้นที่เพิ่มขึ้น แต่ Tourist Spending หรือยอดการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวก็เพิ่มขึ้นด้วย

โดยใน 3 เดือนแรกของปีนี้ การใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศในญี่ปุ่นมีมูลค่ารวมอยู่ที่ 1.8 ล้านล้านเยน (ประมาณ 418,960 ล้านบาท) คิดเฉลี่ยเป็นประมาณ 210,000 เยน (ประมาณ 48,880 บาท) ต่อคนต่อทริป ซึ่งถือเป็นตัวเลขสูงที่สุดเป็นประวัติการณ์เช่นกัน

วันนี้ THE STATES TIMES ชวนมาดูข้อมูลว่านักท่องเที่ยวชาติไหน จากประเทศหรือดินแดนใดเข้าไปเที่ยวญี่ปุ่นมากที่สุด 10 อันดับแรกในปีนี้ (4 เดือนแรก) แน่นอนว่ามีไทยแน่ ๆ แต่จะอยู่อันดับไหน จำนวนเท่าไหร่ มาดูกัน!!

1.เกาหลีใต้ จำนวน 2,999,900 คน
2.ไต้หวัน จำนวน 1,938,600 คน
3.จีน จำนวน 1,861,600 คน
4.ฮ่องกง จำนวน 808,100 คน 
5.สหรัฐอเมริกา จำนวน 799,600 คน 

6.ไทย จำนวน 466,200 คน
7.ออสเตรเลีย จำนวน 333,700 คน 
8.ฟิลิปปินส์ จำนวน 269,300 คน 
9.เวียดนาม จำนวน 233,800 คน
10.มาเลเซีย จำนวน 180,200 คน 


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top