Wednesday, 22 May 2024
TheStatesTimes

‘วราวุธ’ เผยในเวทีอภิปรายระดับโลก รมต.ลาตินอเมริกา ชื่นชม ประเทศไทย ที่กล้าออกกฎหมาย ‘สมรสเท่าเทียม’ เป็นประเทศแรก ในกลุ่มประเทศอาเซียน

(1 พ.ค. 67) ที่นครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) และคณะผู้แทนไทย  ซึ่งอยู่ระหว่างเข้าร่วมการประชุมคณะกรรมาธิการประชากรและการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ สมัยที่ 57 (CPD 57) ระหว่างวันที่ 29 เมษายน – 3 พฤษภาคม 2567 โดยในช่วงเช้าได้ร่วมการอภิปรายระดับสูงระหว่างรัฐมนตรีในฐานะผู้แทนภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก เกี่ยวกับผลการประชุม ข้อค้นพบสำคัญ และข้อเสนอแนะจากการประชุมว่าด้วยประชากรและการพัฒนาระดับภูมิภาค โดยร่วมอภิปรายกับรัฐมนตรีจากประเทศคองโก มอลโดวา โบลิเวีย และซีเรีย

นายวราวุธ กล่าวว่า ในเวทีการอภิปรายระดับสูงระหว่างรัฐมนตรีในฐานะผู้แทนภูมิภาคต่างๆ ตนเองจะขึ้นเป็นตัวแทนของภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก ซึ่งไม่เฉพาะเป็นตัวแทนของประเทศไทย แต่ยังเป็นตัวแทนของกว่า 70 ประเทศที่มีประชากรกว่าร้อยละ 60 ของประชากรโลก โดยตนเองได้พูดถึงปัญหาว่ามีอัตราการเกิดของเด็กใหม่น้อย มีการเปลี่ยนโครงสร้างประชากรไปสู่สังคมสูงอายุมากขึ้น ในพื้นที่ของภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก เรามีแนวทางแก้ไขกันอย่างไร แต่ละประเทศมีแนวทางแก้ไขกันอย่างไร ไม่ว่าจะเป็นการดูแลเด็กแรกเกิด  การดูแลสุภาพสตรีช่วงตั้งครรภ์ ซึ่งแต่ละประเทศมีการนำเสนอแนวคิดต่างๆ มากมาย และที่สำคัญได้มีโอกาสพูดคุยกับรัฐมนตรีที่มาจากภูมิภาคอื่นๆ 

ซึ่งมีรัฐมนตรีจากลาตินอเมริกาคนหนึ่งถามว่าจริงหรือไม่ที่ประเทศไทยมีกฎหมายเกี่ยวกับเรื่องการสมรสเท่าเทียม ตนเองได้บอกว่าปลายปีนี้ เราได้จะเห็นกฎหมายฉบับนี้ออกมาใช้งานแน่นอน ซึ่งรัฐมนตรีดังกล่าวแสดงความชื่นชมและทึ่งในความสามารถและความกล้าหาญของประเทศไทยที่เป็นประเทศแรกในกลุ่มประเทศอาเซียน

'พี่ดี้' ชวนร่วมงาน 'แนวหน้าทอล์คครั้งที่ 1' เสาร์ 22 มิ.ย.นี้ รายได้ครึ่งหนึ่งสมทบทุนช่วยผู้สร้างหนังแอนิเมชัน 2475

(1 พ.ค.67) พี่ดี้ - นิติพงษ์ ห่อนาค นักแต่งเพลงชื่อดัง ได้ออกมาโพสต์แสดงความคิดเห็นผ่านเฟซบุ๊ก 'Nitipong Honark' ระบุว่า...

มันเกิดขึ้นเร็วมาก…เป็นไอเดียของ Anchalee Paireerak ที่จะจัด 'แนวหน้าทอล์ค' ครั้งนี้…คงเพราะฉันไปบ่นให้นางฟังว่า ไอ้น้องซัง Wivat Jirotgul (คนในรูปซ้ายสุด)…มันใช้เงินตัวเองทำหนังการ์ตูน 2475 ที่คนดูกันเป็นล้าน…แต่ป่านนี้ยังเป็นหนี้ท่วมหัวอยู่เลย…

วันรุ่งขึ้น...นางก็ประกาศออกรายการ 'แนวหน้าออนไลน์' ว่าจะจัดสิ่งนี้ มีบุคคลในภาพมา ทอล์คโชว์กัน หักค่าใช้จ่ายแล้ว ครึ่งนึงเป็นอย่างน้อย จะสมทบทุนช่วยใช้หนี้ให้เจ้าซัง

เฮ้ยยย…เพิ่งโทรคุยกันเมื่อวาน…วันนี้ประกาศว่า  "ทำ" เลย ฉันเองยังเพิ่งรู้ตอนดูรายการนั่นแหละ  

แล้วเย็นวันนั้น...นางถึงนัดพาทุกคนมากินข้าวกินน้ำ  พูดคุย รวมทั้งผู้จัดการโรงแรมอัศวิน ที่เพิ่งรู้ตัวเหมือนกัน … ขาดแต่น้องแอน พิธีกรหลักของงาน (ขวาสุดในภาพ) ที่ติดธุระไม่ได้มาด้วย

อ้อ...ไม่ได้เชิญ ท่านชวน มาในมื้อเย็นนั้น แค่เชิญท่านว่า ท่านจะมาร่วมทอล์คในงานด้วยไหม แบบกระทันหัน แถมยังไม่รู้ว่าจะเอาวันไหน...ก็น่าเกลียดจะแย่แล้ว…

ท่านก็เพิ่งได้รับการติดต่อวันนั้น…แล้วคุณปองก็ได้รับโทรศัพท์ว่า ท่านชวนรับคำเชิญมาทอล์คด้วย….ตอนที่เรากินมื้อเย็นวันนั้นแหละ…

ท่านบอกว่าท่านสะดวกวันเสาร์ที่ 22 มิถุนายน…จึงเป็นวันที่เรากำหนดจริง…

คืนนั้น…หกคนในภาพ (ยกเว้นท่านชวนและน้องแอน)…ที่เกือบทั้งหมด ไม่เคยเจอตัวจริงกันมาก่อน   ได้รู้จัก กิน ดื่ม คุย … หัวเราะ ตั้งแต่ทุ่มหนึ่งจนเกือบเที่ยงคืน…

ส่วนใหญ่ ใช้เวลาหัวเราะประมาณ 65.78% …. 

เอาละ…ต่อไปนี้เป็นประกาศ…

'แนวหน้าทอล์คครั้งที่ 1…เอ่อ…ตามภาพเลย…'

ประกาศที่สอง

ทุกวันนี้ ฉันดู 'แนวหน้าออนไลน์' ทั้งวันตั้งแต่เช้าจนหกโมงเย็น…ดูได้ทุกแพลตฟอร์มออนไลน์…ส่วนฉันน่ะ ดูจากยูทูบ…

อยากชวนพรรคพวกที่ยังไม่รู้ ว่าควรดูข่าวที่ไหน…ที่พูดจริงด้วย พูดเต็มเหนี่ยวด้วย…ไม่มีฝ่ายอะไรสนับสนุนเงินทอง…ต้องขายครีมเอาหน้ารอดไป   ฮ่าๆๆๆ

แต่ก็ไม่เครียดเยอะ เพราะใช้สื่อออนไลน์ ไม่ต้องแบกเหมือนสื่อดิจิตอล หรือช่องทีวี

อยากให้กำลังใจคนทำข่าวแบบจริงจัง แล้วสนุกด้วย…มาดูแนวหน้าออนไลน์กันเถอะ…

‘ชัยธวัช’ เรียก สส. พรรคก้าวไกล มาประชุมเฉพาะกิจ เพื่อหาแนวทางสู้คดี ล้มล้างการปกครอง หวั่นโดนยุบพรรค

เมื่อวานนี้ (30 พ.ค. 67) ที่พรรคก้าวไกล มีการประชุม สส. ประจำสัปดาห์ครั้งแรก หลังจากปิดสมัยประชุมสภาฯ โดยนายชัยธวัช ตุลาธน สส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคก้าวไกล ได้เรียก สส.ทั้งหมดมาประชุมเฉพาะกิจ เพื่อหาแนวทางในการสู้คดีล้มล้างการปกครองที่กำลังอยู่ในศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งท่าทีในพรรคค่อนข้างเป็นกังวล เพราะหากมีความผิดจะได้รับโทษถึงขั้นยุบพรรค 

แหล่งข่าวภายในพรรคก้าวไกล เปิดเผยว่า คดีนี้ เริ่มต้นตั้งแต่วันที่ 3 เม.ย. ที่ศาลรัฐธรรมนูญมีมติรับคำร้อง พร้อมส่งสำเนาคำร้องให้พรรคก้าวไกลยื่นคำชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาภายใน 15 วันนับตั้งแต่วันที่ได้รับสำเนาคำร้อง ซึ่งเท่ากับครบกำหนดในวันที่ 17 เมษายน โดยช่วงเวลาดังกล่าวเป็นการคาบเกี่ยวกับช่วงวันหยุดสงกรานต์ถึง 5 วัน (ตั้งแต่ 12-16 เม.ย.) 

แหล่งข่าวระบุว่า กระบวนการติดต่อขอสำนวนเอกสารจากหน่วยงานราชการของพรรคก้าวไกล เพื่อนำมาประกอบคำชี้แจงเป็นไปอย่างติดขัดล่าช้า พรรคจึงได้ขอศาลฯ ขยายเวลาส่งคำชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาครั้งที่ 1 จำนวน 30 วัน แต่ศาลฯ อนุมัติให้ 15 วัน ครบกำหนดวันที่ 3 พ.ค.นี้

ทั้งนี้ ในวันนี้ศาลรัฐธรรมนูญจะพิจารณาคำขอขยายเวลาครั้งที่ 2 ของพรรคก้าวไกลอีก 30 วัน ซึ่งสมาชิกและแกนนำพรรคกำลังติดตามว่าจะได้รับอนุมัติหรือไม่

คลอง 'พล.อ.อาทิตย์' แห้งผาก ข้าวนาปรังรอวันยืนต้นตาย  กรมชลประทานอยู่ไหน หรือต้องรอ นายกฯ ลงมาจี้เอง

น่าสงสารเกษตรกรโซนบก ของจังหวัดสงขลา (ระโนด, กระแสสินธ์, สทิงพระ, สิงหนคร) เมื่อคลอง พล.อ.อาทิตย์ จ.สงขลา น้ำแห้งผากแล้ว ข้าวนาปรังรอวันยืนต้นตาย ('คลอง พล.อ.อาทิตย์' เป็นคลองขุดใหม่ในสมัยรัฐบาล พล.อ.เปรม เพื่อใช้น้ำในการเกษตร ตั้งแต่ อ.ระโนด อ.กระแสสินธ์ อ.สทิงพระ อ.สิงหนคร จ.สงขลา)

แต่สภาพปัจจุบัน 'คลอง พล.อ.อาทิตย์' น้ำแห้ง บางช่วงร่องคลองดินแตกระแหงแล้ว ชาวสวน ชาวนาในโซนนี้เรียกร้องให้กรมชลประทานสูบน้ำเข้าคลองมานาน ตั้งแต่ฝนเริ่มทิ้งช่วง แต่ไม่ได้รับการเอาใจใส่ดูแล จนคลองน้ำแห้งดินแตกระแหง ข้าวนาปรังรอเวลายืนต้นตาย เช่นเดียวกับคนปลูกพืชผักสวนครัว ก็ไม่มีน้ำไปหล่อเลี้ยง

ยิ่งไปทางสิงหนคร ซึ่งเป็นช่วงปลายน้ำยิ่งหนัก เกษตรกรชาวสวนมะม่วง ที่ลงทุนลงแรงปลูกมะม่วงเบา มะม่วงพันธุ์พื้นถิ่นของภาคใต้ ก็กำลังประสบปัญหาอย่างหนักเช่นเดียวกัน แม้มะม่วงเบาจะเป็นที่ต้องการของตลาด ราคาดี นำไปแปรรูปเป็นมะม่วงดอง มะม่วงแช่อิ่ม แต่มองไปข้างหน้าเริ่มเห็นความวายวอดรออยู่

(พล.อ.อาทิตย์ กำลังเอก เดินทางไปเปิด 'คลอง พล.อ.อาทิตย์' ด้วยตัวเอง ขากลับระหว่างอยู่บนเครื่อง พล.อ.เปรมลงนามปลด พล.อ.อาทิตย์ พ้นตำแหน่ง ผบ.ทบ.สื่อจึงพาดหัวข่าวว่า 'ปลดกลางอากาศ')

หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการแก้ไขปัญหาภัยแล้ง นอกจากกรมชลประทานในการบริหารจัดการน้ำแล้ว ยังมีกรมฝนหลวง ในการทำฝนเทียม หากสภาพอากาศมีเมฆ มีความชื้นสัมผัส กรมฝนหลวงก็นำเครื่องขึ้นบินโปรยสารเคมีทำฝนเทียมได้ วันก่อนช่วงหลังสงกรานต์ท้องฟ้ามีเมฆอยู่ แต่ไม่รู้ว่ากรมฝนหลวงได้ทำหน้าที่หรือไม่ แต่ไม่มีฝนตกลงมา

กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) ก็เป็นอีกกรมที่จะต้องเข้าไปดูแลทุกข์สุขของชาวบ้านในยามมีภัยมาเยือน ไม่ว่าจะเป็นน้ำท่วม น้ำแล้ง แผ่นดินไหว ไฟไหม้

รวมถึง สส.ก็มีหน้าที่ในการสะท้อนปัญหาของชาวบ้านให้รัฐบาลได้รับทราบ เสนอแนะแนวทางในการแก้ไขปัญหาในฐานะคนพื้นที่ รู้สภาพมากกว่า ก็ไม่รู้ว่า สส.ในโซนนี้ (เขต 4) ได้ทำหน้าที่นี้แล้วหรือยัง หรือวุ่นอยู่กับงานอื่นในพื้นที่ อย่าบอกนะว่าปิดสมัยประชุมอยู่ เพราะปิดสมัยประชุมก็เสนอผ่านช่องทางอื่นได้อีกเยอะ และที่สำคัญปิดสมัยประชุม แต่ยังกินเงินเดือนอยู่นะ

หรือว่าจำเป็นต้องให้ นายกฯ เศรษฐา ทวีสิน ลงไปไขลานด้วยตัวเอง หรือให้เหมือนไฟไหม้โรงงานเก็บสารเคมีที่ระยอง นายกฯ ลงไป ถามอธิบดี ปรากฏว่า ลงไปดูหน้างานล่าช้ามาก จึงส่อว่าจะถูกย้าย

อดีตบิ๊กข่าวกรอง ฟันธง!! ตั้ง ‘ทนายถุงขนม’ เป็นรมต. ผิดแน่นอน ชี้!! ‘เพื่อไทย’ มีคนเก่งเยอะ แต่ดื้อตั้งไม่สนใจ เพราะตอบแทนที่รับใช้นายใหญ่ 

(1 พ.ค. 67) นายนันทิวัฒน์ สามารถ อดีตเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการการต่างประเทศ และอดีตรองผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติ โพสต์เฟซบุ๊กในหัวข้อ “ขัดรัฐธรรมนูญไหม ?” ระบุว่า กรณีตั้งทนายถุงขนมเป็นรัฐมนตรีทำได้หรือไม่ ขัดรัฐธรรมนูญไหม

ตอนนี้ รัฐบาลอาจไม่สนคำทักท้วงใดๆ อยากตั้งใครเป็นรัฐมนตรีก็ตั้ง จะเรียกว่า รัฐบาลต่างตอบแทน ก็ได้ ใครที่เคยทำดี อุทิศตัวรับใช้นายใหญ่ เมื่อมีโอกาสก็หาทางใช้หนี้ใบยืม ไม่ต้องสนใจถูกผิด เหมาะสม หรือไม่เหมาะสม

ความจริงเพื่อไทยมีนักกฏหมายเก่งหลายคน จิ้มใครมาก็ได้ ไม่ยี้สักคน. แต่ดื้อไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหม จะเอาคนนี้

ทนายถุงขนมกระทำผิดไหม ผิดสิ ละเมิดอำนาจศาล แม้จะถูกลงโทษจำคุกแต่ไม่ใช่โทษทางอาญาตามกฏหมาย ป.วิอาญา แต่ว่าถูกจำคุก โทษจำคุกเป็นโทษทางอาญา และมีโทษตามกฏหมายอื่นๆ อีกมากที่ไม่ได้อยู่ใน ป.วิอาญา ให้ลงโทษจำคุก

หากพิจารณาตามรัฐธรรมนูญฉบับนี้ ต้องการให้ได้คนดี คนเก่ง มาปกครองบ้านเมือง จึงได้กำหนดคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามไว้ตามมาตรา 160 ที่กำหนดคุณสมบัติของคนที่จะดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีไว้ว่า (4. มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ 5.ไม่มีพฤติกรรมอันเป็นการฝ่าฝืน

หรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง และ 7.ไม่เป็นผู้ต้องคำพิพากษาให้จำคุก แม้คดีนั้นจะยังไม่ถึงที่สุด หรือมีการรอลงอาญา เว้นแต่ความผิดโดยประมาท)

ขัดรัฐธรรมนูญไหม มั่นใจว่าขัดแน่นอน ส่งเรื่องถึงศาลรัฐธรรมนูญเมื่อไร ตัวใครตัวมัน

หาวิธีตอบแทนบุญคุณคนที่รับใช้ด้วยวิธีอื่นดีกว่าไหม อย่าให้ระคายเคือง ส่งคนที่มีประวัติหรือมีคุณสมบัติที่อาจจะต้องห้าม รู้ทั้งรู้ยังทำ

‘หมอธีระวัฒน์’ เผยงานวิจัยญี่ปุ่นชี้ ‘วัคซีน mRNA’ ส่งผลอัตราการตายสูง ฉีดแล้วมีผลกระทบ ภูมิคุ้มกันแปรปรวน ทำให้ ‘มะเร็ง’ เติบโตแพร่กระจายได้เร็ว

(1 พ.ค. 67) จากกรณีแอสตร้าเซนเนก้า ออกมายอมรับครั้งแรกว่า วัคซีนโควิดของบริษัททำให้เกิดภาวะลิ่มเลือดอุดตัน และเกล็ดเลือดต่ำ

ล่าสุด ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา ผู้เชี่ยวชาญทางอายุรกรรมและระบบประสาท โพสต์ผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวถึงผลกระทบของวัคซีนโควิด mRNA กับการเกิดมะเร็ง โดยมีรายละเอียด ดังนี้

วัคซีนโควิดกับการเกิดมะเร็ง

รายงานจนกระทั่งถึงปลายเดือนเมษายน 2024 ตอกย้ำความเชื่อมโยงของวัคซีน mRNA กับอัตราตายสูงขึ้นอย่างผิดปกติ (statistically significant increases) ของมะเร็งทุกชนิดโดยเฉพาะในกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับฮอร์โมนเอสโตรเจน (estrogen- related cancers) ตามหลังการระดมฉีดเข็มสาม

รายงานจากประเทศญี่ปุ่นในวันที่ 8 เมษายน 2024 ในวารสาร Cureus ในเครือเนเจอร์

โดยที่เป็นการรายงาน ประเมินผลกระทบของการระบาดโควิดในประเทศญี่ปุ่น ทั้งนี้เป็นการวิเคราะห์อัตราการตายของมะเร็ง 20 ชนิดในประเทศญี่ปุ่น โดยใช้ข้อมูลของทางการที่เกี่ยวข้องกับการตาย การติดเชื้อโควิดและการฉีดวัคซีนโควิด โดยเป็น การปรับตัวแปรในช่วงอายุต่างๆ (age adjusted mortality)

ผลที่ได้ถือเป็นการค้นพบ ที่น่าตกใจ ในช่วงหนึ่งปีแรกของการระบาดโควิด ไม่พบการตายที่เกิดจากมะเร็งที่เพิ่มขึ้นอย่างผิดปกติ (excess cancer deaths) แต่การตาย กลับเพิ่มขึ้นโดยแปรตามการฉีดวัคซีนโควิด

ประเทศญี่ปุ่นมีอัตราการฉีดวัคซีนสูงที่สุด และในปี 2024 กำลังระดมการฉีดวัคซีนโควิดเข็มที่เจ็ด

การระดมฉีดทั้งประเทศญี่ปุ่นเริ่มในปี 2021 และ เริ่มเห็นตัวเลขของการตายจากมะเร็งเพิ่มขึ้นคู่ขนานไปกับการฉีดฉีดวัคซีนเข็มที่หนึ่งและเข็มที่สอง
หลังจากที่มีการฉีดเข็มที่สามในปี 2022 พบว่ามีการตายจากมะเร็งที่เกิดขึ้นอย่างผิดปกติ ในมะเร็งทุกชนิดและโดยเฉพาะกับมะเร็งที่ไวหรือตอบสนองต่อ ฮอร์โมนเอสโตรเจน ที่เรียกว่า estrogen and estrogen receptor alpha( ERalpha)-sensitive cancers โดยรวมทั้งมะเร็งรังไข่ มะเร็งเม็ดเลือดขาว ต่อมลูกหมาก มะเร็งริมฝีปาก ช่องปาก ช่องลำคอ มะเร็งตับอ่อนและมะเร็งเต้านม

สำหรับมะเร็งเต้านมนั้นในช่วงระยะเวลาปี 2020 พบการตายจากมะเร็งเต้านมลดลง แต่แล้วเปลี่ยนมาเป็นเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญในปี 2022 พร้อมกับการระดมฉีดทั่วประเทศของวัคซีนเข็มที่สาม

มะเร็งตับอ่อนมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นคงที่ก่อนหน้าระบาดโควิดและมะเร็งอีกห้าชนิดมีแนวโน้มลดลง อย่างไรก็ตามมะเร็งหกชนิดยังมีการตายเพิ่มกว่าที่คาดการณ์ไว้ในในปี 2021 ในปี 2022 หรือในช่วงระยะเวลาทั้งสองปี

ยิ่งไปกว่านั้น มะเร็งสี่ชนิดซึ่งมีการตายสูงอยู่แล้ว ได้แก่มะเร็งปอด ลำไส้ใหญ่และทวารหนัก มะเร็งกระเพาะอาหารและมะเร็งตับ ซึ่งมีการตายลดลงก่อนปี 2020 แต่เมื่อเริ่มมีการใช้วัคซีนนั้นอัตราการตายกลับไม่ลดลงมากดังก่อนมีการระบาด

อัตราตาย ของมะเร็งที่พุ่งขึ้นทั้งๆ ที่ก่อนหน้าการระบาดของโควิดในช่วงระหว่างปี 2010 ถึง 2019 ในประเทศญี่ปุ่น พบว่าการตายจากมะเร็งมีแนวโน้มลดลงในทุกอายุ ยกเว้นที่อายุ 90 หรือสูงกว่า 90 ปี

และแม้แต่ในปี 2020 ช่วงที่ยังไม่มีการระดมฉีดวัคซีนและมีการระบาดของโควิดแล้ว อัตราการตายจากมะเร็งก็ยังลดลงในช่วงแทบทุกอายุยกเว้นช่วงอายุ 75 ถึง 79 ปี

ในปี 2021 เริ่มเห็นแนวโน้มในอัตราการตายของมะเร็งที่สูงขึ้นและสูงขึ้นต่อเนื่องจนกระทั่งถึงในปี 2022 ในช่วงทุกอายุ

ในปี 2021 มีอัตราตายเพิ่มขึ้นจากทุกสาเหตุอย่างมีนัยสำคัญ 2.1% และ 1.1% สำหรับการตายที่เกิดจากมะเร็ง

ในปี 2022 การตายจากทุกสาเหตุกระโดดขึ้นเป็น 9.6% และสำหรับมะเร็งสูงขึ้นเป็น 2.1%

การศึกษานี้ได้แยกแยะตามอายุและพบว่าจำนวนการตายจากมะเร็งทุกชนิดจะสูงสุดในช่วงอายุ 80 ถึง 84 ปีซึ่งประชากรในกลุ่มนี้มากกว่า 90% ได้รับวัคซีนสามเข็ม และวัคซีนที่ได้รับนั้นเกือบ 100% เป็น mRNA และเป็นไฟเซอร์ 78% โมเดนา 22%

คณะผู้รายงานยังได้เพ่งเล็งประเด็นของการตายจากมะเร็งดังกล่าวที่ อาจจะมาจากสาเหตุที่มีการคัดกรองมะเร็งน้อยลง และ การเข้าถึงการรักษาได้จำกัดในช่วงที่มีการล็อคดาวน์ แต่อย่างไรก็ตาม คณะผู้รายงานระบุว่า ไม่สามารถอธิบายการกระโดดขึ้นของการตายโดยเฉพาะในมะเร็งหกชนิดในปี 2022 ซึ่งไม่มีข้อจำกัดในการคัดกรองมะเร็งและการรักษาแล้ว

และมะเร็งที่มีอัตราตายสูงขึ้นจะตกอยู่ในกลุ่มที่เป็น ERalpha-sensitive ทั้งนี้สามารถอธิบายได้จากกลไกหลายอย่างของวัคซีน mRNA ซึ่ง อยู่ในอนุภาคนาโนไขมัน มากกว่าที่จะอธิบายจากการติดเชื้อโควิดหรือการที่มีการรักษาลดลงในช่วงล็อกดาวน์

นักวิทยาศาสตร์วิจัยอาวุโส ของ MIT Stephanie Seneff ได้ให้ความเห็นว่ารายงานดังกล่าวชี้ชัดเจนในข้อมูลทางระบาดวิทยาซึ่งสามารถเชื่อมโยงอัตราตายที่สูงขึ้นของมะเร็งหลายชนิดและการที่ได้รับวัคซีนหลายเข็ม

ทั้งนี้ โดยที่ได้เคยให้ความเห็น ก่อนหน้านี้แล้วโดยยึดถือพื้นฐานกลไกทางวิทยาศาสตร์ทางด้านระบบภูมิคุ้มกันว่าวัคซีนควรจะมีความเกี่ยวข้องกับการเกิดมะเร็ง

โดยที่วัคซีนนั้นทำให้ระบบการตรวจตราเฝ้าระวังและป้องกันการเกิดมะเร็งนั้นถดถอยลงโดยเฉพาะในระบบ ที่เรียกว่า innate immunity และความบกพร่องห่วงโซ่ ในระบบภูมิคุ้มกัน ที่นำไปถึงการติดเชื้อโรคได้ง่ายขึ้นและมีโรคภูมิคุ้มกันแปรปรวนทำร้ายตัวเองมากขึ้นและทำให้มะเร็งมีการเติบโตแพร่กระจายได้เร็ว

กลไกที่ mRNA วัคซีน โยงไปถึงการเกิดมะเร็งได้ไวขึ้นและโตเร็วขึ้นนั้น โดยเฉพาะในกลุ่มที่เป็น estrogen และ ERalpha-sensitive เกิดจากการที่โปรตีนหนามของวัคซีน มีการจับตัวอย่างเฉพาะเจาะจงกับ ERalpha และเร่งให้เกิดปฏิกริยามากขึ้น

การศึกษาที่รายงานในปี 2020 ในวารสาร Translational Oncology พบว่า ส่วนของโปรตีนหนาม S2 มีความสัมพันธ์จำเพาะกับยีนส์ที่ปกป้องไม่ให้เกิดมะเร็ง คือ p53 BRCA1 และ BRCA2 ที่มักมีการผันเปลี่ยน พันธุกรรมในมะเร็ง

ซึ่งสอดคล้องกับรายงานในประเทศญี่ปุ่นโดยที่มีการตายเพิ่มของมะเร็งเต้านม มะเร็งมดลูกและรังไข่ในผู้หญิงและมะเร็งต่อมลูกหมาก ในผู้ชายซึ่งเกี่ยวพันกับการทำงานของ BRCA1 ลดลง และยังเพิ่มความเสี่ยงของการเกิดมะเร็งตับอ่อน การทำงานผิดปกติ ของ BRCA2 ยังมีความสัมพันธ์กับมะเร็งเต้านม รังไข่ในผู้หญิง มะเร็งต่อมลูกหมากและมะเร็งเต้านมในผู้ชาย และมะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิดเฉียบพลัน acute myeloid leukemia ในเด็ก

การกระจายตัวได้ทั่วไปในร่างกายมนุษย์ในทุกอวัยวะ จากการที่วัคซีนอยู่ในอนุภาคนาโนไขมัน โดยมีการพิสูจน์ชัดเจนแล้วโดยที่ วัคซีนยังเข้าไปฝังตัวที่ ตับ ม้าม ต่อมหมวกไต รังไข่และไขกระดูก ซึ่งก็ทำการผลิตโปรตีนหนาม ปล่อยออกมาตลอดและยังทำให้มีการติดเชื้อง่ายขึ้นอีก

ในเดือนสิงหาคม 2023 รายงานในวารสาร Proteomics Clinical Applications พบว่าชิ้นส่วนของโปรตีนหนามจากวัคซีนยังล่องลอยอยู่ในเลือดของผู้ได้รับวัคซีนยาวนาน ได้อย่างน้อยสามถึงหกเดือนใน 50% ของตัวอย่าง และเมื่อเปรียบเทียบกับการติดเชื้อโควิดตามธรรมชาตินั้น โปรตีนหนามจากไวรัส จะพบได้นาน ประมาณ 10 ถึง 20 วัน แม้ว่าการติดเชื้อนั้นจะมีความรุนแรงมากก็ตาม และในรายงานดังกล่าวนี้ยังชี้ให้เห็นว่าโปรตีนหนามนั้นสามารถที่จะเข้าไปอยู่ในเซลล์บางชนิด หรือมีการสร้างใหม่ซ้ำแล้วซ้ำเล่าขึ้นมาอีกในเซลล์

การศึกษา รายงานในเดือนพฤศจิกายนปี 2021 ในวารสาร the Journal of Immunology พบ exosome ซึ่งบรรจุโปรตีนหนามที่ 14 วันหลังจากฉีดวัคซีน และ เมื่อได้รับวัคซีนเข็มที่สองและวัคซีนเข็มต่อไป โปรตีนหนามดังกล่าว พบมากขึ้นเรื่อยๆ

วัคซีนโควิดยังเป็นวัคซีนที่ปรับแต่งให้เสถียรขึ้นด้วย N1-Methyl-Pseudouridine

การที่วัคซีนมีการปรับแต่งดังกล่าวจะทำให้มีการด้อยหรือเปลี่ยนการทำงานของโปรตีนที่สำคัญคือ toll-like receptors ที่คอยป้องกันการเกิดเนื้องอกและการโตของเนื้องอก

การที่วัคซีนมีการปรับแต่งดังกล่าวทำให้ร่างกายมีการผลิตโปรตีนหนามในจำนวนมากมาย และทำให้มีการขัดขวางระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย และ ด้อยการส่ง สัญญาณผ่านทางอินเตอร์เฟียรอน (early interferon signaling) ทำให้มีการสร้างโปรตีนหนามได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ในขณะเดียวกันทำให้การ ระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันด้อยลง

รายงานในวันที่ 5 เมษายนในวารสาร International Journal of Biological macromolecules พบว่าการดัดแปลงของวัคซีนดังกล่าวทำให้เกิดการกดภูมิคุ้มกันและช่วยส่งเสริมให้เกิดมะเร็ง ทั้งนี้ โดยการใส่ N1-methyl-pseudouridine mRNA วัคซีน ในการทดลองที่ใช้ มะเร็งผิวหนัง melanoma ผลปรากฏว่าสามารถกระตุ้นการเติบโตของ เซลล์ มะเร็งและการแพร่กระจาย ในขณะที่ mRNA วัคซีนที่ไม่มีการดัดแปลงจะไม่เกิดผลร้ายดังกล่าว

ระบบภูมิคุ้มกันในระดับที่เรียกว่า ADE หรือ antibody dependent enhancement

การได้วัคซีนหลายเข็ม เป็นการทำให้ได้รับโปรตีน หนาม มากขึ้นเรื่อยๆ และทำให้กลับมีการติดเชื้อโควิดตามธรรมชาติได้ง่ายขึ้น ทั้งนี้ยังร่วมกับการที่มนุษย์ประทับความทรงจำกับไวรัสโควิดบรรพบุรุษหรือดั้งเดิมและจากการที่มีการกดภูมิคุ้มกัน

ADE เป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น เมื่อแอนติบอดีแทนที่จะทำลายไวรัส กลับช่วยนำพาไวรัสเข้าเซลล์ได้ง่ายขึ้นและมีการเพิ่มจำนวนในเซลล์ได้เก่งขึ้น ผลของโปรตีนหนามและอนุภาคนาโนไขมัน ทำให้หลอดเลือดอุดตัน

ผลการวิจัยต่างๆ แสดงว่าวัคซีนโควิดก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อการตันของเส้นเลือดและยิ่งเป็นคนป่วยด้วยโรคมะเร็ง ดังนั้นจะทำให้อัตราตายของมะเร็งยิ่งสูงขึ้นไปอีก หลังจากมีระดมการฉีดในประเทศญี่ปุ่น

จากการศึกษาพบว่าโปรตีนหนามของไวรัสโควิดและจากวัคซีนเองนั้น มีศักยภาพทางไฟฟ้าบวกและทำให้จับกับ glycoconjugates ที่มีศักยภาพทางไฟฟ้าเป็นลบและอยู่บนผิวของเม็ดเลือดแดงและเซลล์ชนิดอื่นๆ นอกจากนั้นโปรตีน หนาม ยังสามารถกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันผ่านทางตัวรับ ACE2 ทำให้เกิดผนังหลอดเลือดหนาตัว ขัดขวางการทำงานของ ไมโตคอนเรีย โรงพลังงานของเซลล์ และการเกิด reactive oxygen species (ROS)

ทั้งนี้ ROS เป็น highly reactive radicals ions หรือ โมเลกุล ที่มีอิเล็กตรอน โดดเดี่ยว ไม่มีคู่ ที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการเกิดพันธะ (single unpaired electron) โดยที่เซลล์มะเร็งนั้นจะมีปริมาณของ ROS สูงมากจากการ ผลของเมแทบอลิซึม การทำงานของ oncogene และการที่ไมโตคอนเดรีย ผิดปกติและยังรวมทั้งกลไกทางด้านภูมิคุ้มกันต่างๆ

ส่วนจำเพาะของโปรตีนหนามยังสามารถทำให้เกิดการก่อตัวของโปรตีนอมิลอยด์ (fibrous insoluble tissue) และแอนติบอดีต่อโปรตีนหนามที่เกาะกับโปรตีน S ที่โผล่ออกมาจากผิวเซลล์ ทำให้เกิดปฏิกิริยาการอักเสบทำลายเซลล์และเนื้อเยื่อของตนเอง และอธิบายปรากฏการณ์เกิดแท่งย้วยสีขาว หรือ white clots

ระบบการเฝ้าระวังตรวจตรามะเร็งของมนุษย์อ่อนด้อยลง

จากการที่วัคซีนทำให้ระบบภูมิคุ้มกันบกพร่องจึงทำให้มีการปะทุของไวรัสที่ซ่อนอยู่ในร่างกายอยู่แล้ว โดยที่มีศักยภาพในการก่อให้เกิดมะเร็ง เช่น ไวรัสงูสวัด ไวรัสเริม herpesvirus 8 โดยที่ไวรัสตัวนี้ถือว่าเป็นไวรัสที่ก่อให้เกิดมะเร็งชนิด Kaposi’s sarcoma และการปะทุของไวรัส EBV และ human papilloma virus ที่สามารถเหนียวนำให้เกิดมะเร็งในช่องปากและลำคอ

ปรากฏการณ์เช่นนี้จะช่วยอธิบายอัตราการตายที่สูงขึ้นของมะเร็งที่ริมฝีปากช่องปากและลำคอในปี 2022 ในประเทศญี่ปุ่นที่มีการระดมฉีด เข็มที่สาม การเปลี่ยน RNA เป็น DNA จากกระบวนการ reverse transcription และเข้าไปเสียบในจีโนมของมนุษย์

รายงานในปี 2022 ในวารสาร Current Issues in Molecular Biology แสดงให้เห็นว่าวัคซีน mRNA สามารถเสียบเข้าไปในยีนส์ของมนุษย์หรือดีเอ็นเอโดยใช้กระบวนการนี้ https://www.mdpi.com/1467-3045/44/3/73

ในเดือนกุมภาพันธ์ 2023 รายงานในวารสาร Medical Hypotheses พบว่าการเพิ่มปริมาณของวัคซีน mRNA และโมเลกุลของดีเอ็นเอที่ได้ถูกปรับเปลี่ยนจากอาร์เอ็นเอในเซลล์ (cytoplasm) จะสามารถเหนียวนำให้เกิดภาวะอักเสบด้วยตัวเองอย่างเรื้อรัง และนำไปสู่ภูมิคุ้มกันแปรปรวนต่อต้านตัวเอง จนกระทั่งถึงการทำลายดีเอ็นเอ และเกิดมะเร็งในมนุษย์ที่มีปัจจัยโน้มน้าวอยู่แล้วด้วย

นักวิจัยทางด้านพันธุศาสตร์ Kevin McKernan พบว่าวัคซีนโควิดสามารถถูกเปลี่ยนให้เป็นดีเอ็นเอ ทั้งนี้โดยสามารถตรวจพบส่วนของพันธุกรรมโปรตีนหนามของวัคซีนโควิด ในโครโมโซม 9 และ 12 ของเซลล์มะเร็งเต้านมและรังไข่หลังจากที่ฉีดวัคซีนโควิด mRNA

และพบว่ามีความเชื่อมโยงกับบาง batch ของวัคซีนที่มีปริมาณของดีเอ็นเอที่ปนเปื้อนกับความรุนแรงของผลข้างเคียงและผลกระทบที่เกิดขึ้น

นักวิจัยจากสถาบันวิจัยสาธารณสุข และการแพทย์ของฝรั่งเศส Helene Banoun ได้สนับสนุนรายงานจากประเทศญี่ปุ่น ซึ่งคล้องจองกับศักยภาพในการกระตุ้นการเกิดมะเร็งจากผลิตภัณฑ์ที่เป็น gene therapy ซึ่ง mRNA วัคซีน ถือว่าจัดอยู่ในประเภทนี้ และผลของวัคซีนที่เหนียวนำให้เกิดภาวะภูมิคุ้มกันชาด้าน(immune tolerance) ส่งเสริมการเกิดมะเร็ง

ทั้งนี้ สำนักอาหารและยาของสหรัฐเอง ได้มีการระบุอย่างชัดเจนมาก่อนว่า มีกลไกหลายอย่างที่เป็นไปได้ที่ DNA ที่ปะปนปนเปื้อนจะทำให้เกิดมะเร็ง ทั้งนี้ รวมถึงการที่เข้าไปเสียบในดีเอ็นเอของมนุษย์และสั่งให้มีการสร้าง ยีนส์มะเร็ง (oncogenes) หรือ มีการสอดใส่ซึ่งทำให้มีการผันแปร ทางรหัสพันธุกรรม (intentional mutagenesis)

คณะผู้รายงานจากญี่ปุ่นได้ตอกย้ำว่า กระบวนการวิธีมาตรฐานในผลิตภัณฑ์วัคซีนตามที่สำนักอาหารและยาของสหรัฐได้ระบุไว้นั้นควรต้องถูกนำมาพิจารณา ทั้งนี้เนื่องจากในช่วงระบาดของโควิดนั้น เป็นการใช้ในภาวะฉุกเฉินเท่านั้น

บทความนี้เรียบเรียงจากรายงานของคณะผู้ศึกษาจากประเทศญี่ปุ่นและจาก คุณเมแกน เรดชอ สื่อ เอปิค ไทม์ส

สาวเปิดใจ เหงื่อออกเยอะผิดปกติ จนโดนล้อเป็น ‘มนุษย์ถุงเหงื่อ’  แจง!! ป่วยเป็นโรค แม้อยู่ในห้องแอร์ แต่กลับมีเหงื่อเยอะมาก

(1 พ.ค. 67) น.ส.อนัญญา พชรพานิภัค เปิดใจ หลังจากมีความผิดปกติของร่างกาย เหงื่อออกเยอะมากกว่าคนปกติ จนสูญเสียโอกาสในชีวิต โดนบูลลี่มาเยอะมากมาย

น.ส.อนัญญา กล่าวว่า ตั้งแต่ที่จำความได้เราเป็นคนเหงื่อออกเยอะผิดปกติอยู่แล้ว ตอนไปเรียนโรงเรียนเพื่อนเค้าไม่ร้อนกัน มีแต่เราที่เหงื่อออกอยู่คนเดียว ด้วยความที่เมืองไทยเป็นเมืองร้อน ก็เลยคิดว่าเหงื่อคงออกตามปกติ

แต่เมื่อเราเรียนจบและทำงาน จุดเริ่มต้นที่ทำให้รู้ว่าเราผิดปกติ คือเรามาทำงานและระหว่างทางก่อนที่จะมาถึงที่ทำงาน ตัวเราก็เปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ เมื่อไปถึงที่ทำงานแล้วไปอยู่ในห้องแอร์เย็น มันก็เกิดการอับชื้น

จนเพื่อนร่วมงานถึงขั้นไปแจ้งหัวหน้างานว่า “ไม่สามารถทำงานกับเราได้ เพราะว่าเราเหม็นอับมาก หรือให้เราไปนั่งที่อื่นได้ไหม”

“เมื่อเรารู้ ก็ไม่รู้ว่าจะแก้ไขปัญหายังไง เราก็พยายามเต็มที่ในการที่จะซักผ้าตากแดดแรงๆ แต่ปัญหาอยู่ที่เราตัวชื้นตลอดเวลา เมื่อมานั่งทำงานในห้องแอร์ก็ทำให้เหม็นอับ ผลกระทบที่เกิดขึ้น ทำให้เราตัดสินใจลาออกจากงาน เราอยู่ร่วมกับคนอื่นไม่ได้

ซึ่งเราไม่ได้รู้สึกโกรธที่มีคนมาเตือนเรา แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ามันก็แอบรู้สึกแย่เหมือนกัน เราผ่านช่วงเวลาโดนบูลลี่มาเยอะมากมาย เราโดนคนพูดว่า เราเป็นมนุษย์ถุงเหงื่อ หรือถุงเหงื่อเดินได้ ซึ่งความผิดปกตินี้มันตัดโอกาสในชีวิตเราไปเยอะมาก ครั้งหนึ่งเคยเป็นครูสอนศิลปะนักเรียน แล้วเด็กๆ เห็นว่าเราเหงื่อออกเยอะ ผู้ปกครองก็ไม่สบายใจ เป็นอีกหนึ่งครั้งที่ตัดสินใจลาออกจากงาน” น.ส.อนัญญา กล่าว

น.ส.อนัญญา กล่าวต่อว่า เราเข้าใจในความผิดปกติของตัวเอง อย่างเวลาที่เราอยู่ในห้องแอร์เย็นในออฟฟิศ ไม่ได้รู้สึกร้อน แต่กลับมีเหงื่อออกมาเยอะมาก ลักษณะการเหงื่อออกของตนคือเริ่มตั้งแต่เหงื่อออกมือ ออกเท้า เวลาจับเม้าส์ก็เปียก เหงื่อออกบริเวณศีรษะใบหน้า ก็จะมีเม็ดเหงื่อเกาะใบหน้า ซึ่งมันใช้ชีวิตลำบากมาก

“เมื่อก่อนเคยเห็นคลิปของผู้ชายคนนึง ที่มีเหงื่อออกเยอะแบบเดียวกับพี่ และก็เพิ่งรับรู้ว่าเราไม่ได้เป็นแบบนี้คนเดียว แต่มีคนอื่นเป็นแบบเดียวกัน ก็มีหลายคนแนะนำให้ไปหาหมอ ซึ่งก็เคยไปหาหมอแล้ว แต่หมอบอกว่าลักษณะเหงื่อออกผิดปกติ มันเกิดจากหลายปัจจัยทาง ด้านผิวหนัง โรคหัวใจ ไทรอยด์ บางคนก็เกิดจากฮอร์โมน แล้วแต่ร่างกายของแต่ละคน” น.ส.อนัญญา กล่าว

น.ส.อนัญญา กล่าวว่า ตนเคยตัดสินใจไปปรึกษาหมอเมื่อปี 2019 หมอแนะนำการรักษาแบบผ่าตัด โดยเปลี่ยนเส้นประสาทให้สมองสั่งงานให้เหงื่อไประบายออกส่วนต่างๆ ของร่างกาย ซึ่งถ้าหากเราผ่าตัด เหงื่อก็จะไประบายที่อื่น

แต่ในกรณีของตนที่เหงื่อออกศีรษะและใบหน้า หากผ่าตัดไปแล้วมันก็มีโอกาสที่จะกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้ ทำให้ตัดสินใจไม่ผ่าตัด แต่เลือกที่จะหาวิธีอื่นที่จะสามารถอยู่ในสังคมได้โดยที่ไม่กระทบกับคนอื่น ทุกวันนี้ตอนเช้าก็ทำงานขายของที่ตลาด และทำงานกะกลางคืน ทำงานที่บ้าน ซึ่งก็ถือว่าตอบโจทย์มาก มันทำให้สุขภาพจิตของเราดีขึ้น 

อย่างไรก็ตาม ตอนนี้เรายอมรับได้ว่า เรามีความผิดปกติเป็นคนที่เหงื่อออกเยอะมาก แต่ไม่เอาความผิดปกติตรงนี้มาเป็นอุปสรรคสำหรับการใช้ชีวิต เราพยายามดูแลตัวเอง ทานอาหารธาตุเย็น และไปไหนมาไหน ก็พกพัดลมเล็กๆ เอาไว้ตลอด

ทั้งนี้ หลังจากที่ตนลงคลิปนี้ไปก็มีหลายคนส่งข้อความเข้ามาหาบอกว่า เป็นโรคแบบเดียวกับตน หรือบางคนก็ขอบคุณที่เราก็กล้าออกมาเป็นกระบอกเสียงให้ เพราะว่าคนส่วนใหญ่ที่เป็นโรคนี้มักจะเสียความมั่นใจ ไม่กล้าออกมาพูด เราก็ดีใจที่ ทำให้หลายคนรู้ว่า มันมีความผิดปกติ แบบนี้เกิดขึ้นจริงๆ หลังจากนี้เราก็จะดูแลตัวเองพยายาม พยายามหาวิธีในการรักษาโรคนี้ต่อไป

‘ธนกร’ ฟาดใส่ ‘ชัยธวัช’ เอาแรงงานมาอ้าง หวังผลโจมตีทางการเมือง ชี้!! รัฐมุ่งยกระดับคุณภาพชีวิตปชช. ปรับค่าแรงทุกปี แต่ต้องดูให้รอบคอบ

(1 พ.ค. 67) นายธนกร วังบุญคงชนะ สส.บัญชีรายชื่อและรองหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ(รทสช.) กล่าวว่ากระทรวงแรงงาน และรัฐบาลให้ความสำคัญกับพี่น้องประชาชนภาคแรงงาน เพราะถือเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาประเทศ พัฒนาเศรษฐกิจ ทั้งในส่วนของภาคอุตสาหกรรม การเกษตรและภาคท่องเที่ยว ล้วนต้องใช้แรงงานที่มีฝีมือและมีความเชี่ยวชาญ ซึ่งล่าสุดกระทรวงแรงงานได้ประกาศข่าวดีมาแล้วว่าเตรียมขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ 400 บาททั่วประเทศในปีนี้และปรับขึ้นทุกปี โดยผ่านคณะกรรมการไตรภาคี ซึ่งจะดำเนินการเร็วขึ้นจากแผนงานที่วางไว้

นายธนกร กล่าวว่า จากกรณีที่ นายชัยธวัช ตุลาธน สส.บัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรคก้าวไกล และนายเซีย จำปาทอง สส.พรรคก้าวไกล ออกมาโจมตีนายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รมว.แรงงาน และนายกฯว่าให้ความหวังผู้ใช้แรงงานลมๆ แล้งๆ ไม่ทำตามที่หาเสียงไว้นั้น ตนมองว่า การปรับค่าจ้างขั้นต่ำเป็นอำนาจของคณะกรรมการค่าจ้าง ซึ่งเป็นองค์กรไตรภาคีตาม พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 ที่มีผู้แทนฝ่ายนายจ้าง ผู้แทนฝ่ายลูกจ้าง และผู้แทนฝ่ายรัฐบาล ซึ่งเป็นข้าราชการประจำ ดังนั้น ฝ่ายการเมืองหรือ รมว.แรงงาน จึงไม่สามารถเข้าไปก้าวก่ายได้ โดยรัฐบาลต้องดูให้รอบด้านไม่ใช่มองแค่ฝ่ายลูกจ้างอย่างเดียว ต้องดูถึงสภาพคล่องและกำลังทุนของนายจ้างและผู้ประกอบการรวมถึงสภาวะเศรษฐกิจของประเทศควบคู่กันไปด้วย จึงทำให้คณะกรรมการไตรภาคีต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ อีกทั้งนายกฯและรัฐบาลก็ยึดนโยบายหลักที่ได้แถลงต่อสภาไว้ที่มุ่งยกระดับคุณภาพชีวิตของพี่น้องผู้ใช้แรงงานในการขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำทุกปีอยู่แล้ว

“การที่พรรคก้าวไกล ออกมาเคลื่อนไหวเรียกร้องให้รัฐบาล เร่งขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำตามที่หาเสียงไว้นั้น มองว่าเป็นการหวังดีประสงค์ร้าย นำผู้ใช้แรงงานมาบังหน้าเพื่อโจมตีทางการเมืองรัฐบาล เพราะถ้าหากกระทรวงแรงงาน เข้าไปก้าวก่าย แทรกแซงคณะกรรมการไตรภาคี ให้ขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำอย่างรวดเร็ว ย่อมจะถูกก้าวไกลโจมตีอีกเช่นกัน ซึ่งตามหลักการแล้ว ทุกรัฐบาลต้องหารือผ่านคณะกรรมการไตรภาคี และต้องคิดอย่างรอบคอบว่าผู้ประกอบการ จะได้รับผลกระทบแบกรับต้นทุนไหวหรือไม่ หากมีการขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำจนทำให้ต้นทุนการผลิตสูงเกินไปจน นายจ้างผู้ประกอบการ แบกรับไม่ไหว สุดท้ายผลกระทบก็จะกลับมาที่ผู้ใช้แรงงานอยู่ดี การโจมตีทั้งขึ้นทั้งล่องแบบนี้ จึงมองว่า ก้าวไกลนำความเดือดร้อนของประชาชนมาบังหน้าเพื่อหวังดิสเครดิตรัฐบาล จึงอยากถามกลับว่า เป็นการหวังดีต่อพี่น้องผู้ใช้แรงงานจริงๆ หรือไม่ หรือหวังผลทางการเมืองเพียงอย่างเดียว” นายธนกร ระบุ

ผู้นำเบอร์ 2 รัฐบาลเมียนมา ปรากฏตัวเยี่ยมให้กำลังใจทหาร สยบข่าว ‘ถูกปลด-เจ็บสาหัส’ หลังหายตัวไป นานเกือบเดือน 

(1 พ.ค. 67) เว็บไซต์เมียนมา อินเตอร์เนชันแนล ทีวี หรือ MITV  ซึ่งเป็นสื่อของรัฐบาลเมียนมาได้เผยแพร่ภาพของ พลเอก โซ วิน รองประธานสภาบริหารแห่งรัฐและรองผู้บัญชาการทหารสูงสุด ขณะเข้าเยี่ยมให้กำลังใจกำลังพลที่ได้รับบาดเจ็บ และรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลทหารในเมืองมะละแหม่ง ของรัฐมอญ 

รายงานข่าวของเมียนมา อินเตอร์เนชันแนล ทีวี ระบุว่า การเดินทางไปยังโรงพยาบาลดังกล่าวของ พลเอก โซ วิน เกิดขึ้นเมื่อวันจันทร์ที่ 29 เม.ย. ที่ผ่านมา

ความเคลื่อนไหวนี้เกิดขึ้นหลังจากตลอดหลายสัปดาห์ที่ผ่านมาเกิดกระแสข่าวลือว่า นายทหารผู้นี้อาจถูกปลด หรือได้รับบาดเจ็บสาหัสจากการโจมตีด้วยโดรนของฝ่ายต่อต้าน เนื่องจากไม่ปรากฏตัวต่อสาธารณะนานเกือบ 1 เดือน  โดยพลเอก โซ วิน ถือเป็นแกนนำเบอร์ 2 ของรัฐบาลทหารเมียนมา รองจาก พลเอก มิน อ่อง หล่าย

ส่วนสถานการณ์สู้รบในเมียนมายังคงเกิดขึ้นต่อเนื่อง โดยล่าสุดกองทัพเอกราชคะฉิ่น (KIA) เปิดเผยว่า สามารถยึดฐานกองพันทหารราบที่ 141 ของรัฐบาลทหารเมียนมาได้แล้ว หลังโจมตีมานานหลายเดือน ซึ่งฐานดังกล่าวควบคุมเส้นทางแม่น้ำอิรวดีไปยังเมืองมิตจีนา เมืองเอกของรัฐคะฉิ่น

ก่อนหน้านี้ KIA และกองกำลังป้องกันประชาชนคะฉิ่น  หรือ KPDF ที่เป็นพันธมิตร เข้ายึดครองฝั่งตะวันตกของแม่น้ำอิรวดีในเมืองมิตจีนาได้ตั้งแต่วันที่ 10 ก.พ. และจากนั้นมา กลุ่มต่อต้านรัฐบาลก็พยายามยึดกองบัญชาการกองพันทหารราบที่ 141 ทางตะวันตกของเมืองมาโดยตลอด

สาวใจฟู ได้เจอน้าแท็กซี่ ในอดีตเมื่อ 10 ปีที่แล้ว หลังมาฟอกไต สุดปลื้ม!! นั่งคุยถึงความหลัง น้าบอกจำได้ เพราะแววตาไม่เคยเปลี่ยน

(1 พ.ค. 67) สมาชิก TikTok @bimbo_picha โพสต์คลิปสุดปลื้ม หลังใช้บริการแท็กซี่คันหนึ่ง แต่โชเฟอร์แท็กซี่กลับจำเธอได้ แม้จะผ่านมา 10 ปี ที่เคยพูดเตือนสติเธอตอนพาไปโรงพยาบาล โดยระบุข้อความว่า

น้าจำหนูได้ วันนี้เจอเรื่องใจฟู เรียกแท็กซี่หน้าที่ฟอกไต เค้าเริ่มถามเลยว่า มาทำอะไรหนอ เราบอกมาฟอกไตค่ะ แล้วเค้าก็พูดว่า เมื่อ 10 ปีก่อน น้าก็เคยไปส่งเด็กน้อยคนนึง ถือถุงผ้าห่มใส่กางเกงขาสั้น ตัวผอมๆ ดูโทรมๆ ปรากฏว่าเด็กน้อยคนนั้นคือเราค่ะ ตอนเป็นไตใหม่ๆ

เค้าจำได้แม้กระทั่งคำพูดที่เราเคยพูดตัดพ้อไปว่าไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อ จำได้ว่าบ้านอยู่ตรงไหน ที่ผ่านมาเค้ายังนึกเลย ว่าเด็กคนนี้จะเป็นไงบ้างนะ น้าบอกว่าจำได้ เพราะแววตาเราไม่เปลี่ยน ใบหน้าเปลี่ยน ร่างตอนนั้นกับตอนนี้ห่างกันเกือบ 20 โล

บังเอิญและโลกกลม และทำให้เรารู้ว่า มีคนคนนึงจะจำเราได้เป็น 10 ปี แม้กระทั่งคำพูดที่เราระบายตัดพ้อให้ฟัง มันจะเป็นภาพจำไปกับคนคนนึงได้นานขนาดนี้


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top