Tuesday, 14 May 2024
TheStatesTimes

'บุเรงนองโมเดล' กลศึกแห่งกองทัพเมียนมา เอาคืนฝ่ายต่อต้านแบบ 'บัวไม่ช้ำ น้ำไม่ขุ่น'

แทบจะเรียกได้ว่า 'มันจบแล้ว' ระหว่างศึกกะเหรี่ยงกับกองทัพเมียนมา เมื่อนายพลชิตตูเคลื่อนพลมาช่วยเหลือกองทัพเมียนมา จนสามารถนำทัพเข้ามายึดเมียวดีคืนได้สำเร็จ ไม่เพียงแค่นั้นฝั่งกองทัพเมียนมายังไล่ตะเพิดกลุ่ม PDF ที่ซ่อมตัวในหุบเขาแล็ตคัดต่อง จนราบคาบ และนำมาสู่การเปิดด่านพรมแดนอย่างเป็นทางการอีกครั้ง

หากเทียบกลศึกของพม่าในปัจจุบันมาเปรียบเทียบกับสิ่งที่ในพงศาวดารระบุไว้เรื่องกลศึกของบุเรงนอง จะเห็นว่ามีหลายส่วนมีความเหมือนกันอยู่ไม่น้อย ... วันนี้ 'เอย่า' จะมาถอดกลศึกของกองทัพเมียนมาว่าเหมือนกลศึกสมัยบุเรงนองเรื่องใดบ้าง?

1. นำศัตรูมาเป็นพวกตน : กลศึกนี้จะเห็นได้ว่าในพงศาวดารระบุชัดเจนว่า มีการนำฝ่ายที่เป็นศัตรูของตนมาจัดการฝ่ายเดียวกัน ซึ่งในกรณีชิตตูก็เป็นโมเดลนี้

2. กลยุทธ์องค์ประกัน : ในอดีตพระนเรศถูกนำตัวไปเป็นองค์ประกันเพื่อบังคับพระธรรมราชาอยู่ใต้อำนาจหงสาวดี แต่ในปัจจุบันทางกองทัพนำเมืองฉ่วยก๊กโก มาเป็นตัวประกันในการดึงนายพลชิตตูเข้าสู่เกมส์ศึกครั้งนี้

3. สิ่งที่เห็นได้ชัดคือกองทัพเมียนมาจัดการกลศึกในการรับใช้ที่มุ่งเน้นให้เกิดการเจรจามากกว่าต้องการที่จะใช้กองกำลังเข้ายึด โดยสังเกตจากการส่งกำลังพลและการใช้ยุทโธปกรณ์ในการรบนั้น ส่วนใหญ่ใช้กองทหารราบและยานเกราะเคลื่อนพลยึดพื้นที่เป็นหลักและยังไม่ได้รับรายงานว่ามีการใช้ขีปณาวุธพื้นสู่พื้นเลย อนึ่งเพื่อจำกัดวงรบให้อยู่วงจำกัดเท่านั้น เช่นเดียวกับที่บุเรงนองพยายามรบแบบมุ่งเน้นการเจรจา

และนี่เป็นจุดใหญ่ๆ ในกลยุทธ์ของกองทัพเมียนมาที่เหมือนกับกลยุทธ์ของบุเรงนองในอดีต

เมืองผู้ดี เปิดประมูลนาฬิกาทองคำ ที่จมไปพร้อมกับ ‘ไททานิก’ เผย ‘เจ้าของนาฬิกา’ ส่งภรรยาที่กำลังท้องลงเรือชูชีพ ก่อนตัวเองจะไม่รอด

(28 เม.ย. 67) Henry Aldridge & Son ประมูลสิ่งของที่เหลือรอดจากเรือไททานิก โดยในครั้งนี้มีนาฬิกาพกทองคำของผู้โดยสารที่ร่ำรวยที่สุด ประมูลจบที่ 41.6 ล้านบาท

เมื่อวานนี้ (วันที่ 27 เม.ย.) บริษัท Henry Aldridge & Son ได้จัดการประมูล ‘สิ่งของที่เหลือรอดจากเรือไททานิก’ อีกครั้ง โดยรอบนี้มีไฮไลต์เด็ดที่นักสะสมรอคอย นั่นคือ ‘นาฬิกาพกทองคำ’ ของ จอห์น จาคอบ แอสเตอร์ ผู้โดยสารที่ร่ำรวยที่สุดบนเรือไททานิก

บริษัทตั้งราคาเริ่มต้นไว้ที่ 150,000 ปอนด์ (ราว 7 ล้านบาท) แต่ท้ายที่สุดราคาพุ่งขึ้นไปถึง 6 เท่า จบที่ 900,000 ปอนด์ (เกือบ 41.6 ล้านบาท) และเมื่อรวมภาษีและค่าธรรมเนียมแล้ว มีมูลค่ารวมสูงถึง 1.175 ล้านปอนด์ (ราว 54.9 ล้านล้านบาท) 

มูลค่าดังกล่าวทำให้ แอนดรูว์ อัลดริดจ์ เจ้าของบริษัทประมูล ระบุว่า นี่เป็นราคาประมูลสิ่งของจากเรือไททานิกที่ ทำลายสถิติโลก

สำหรับ จอห์น จาคอบ แอสเตอร์ เป็นนักธุรกิจผู้ร่ำรวยวัย 47 ปี เขาเสียชีวิตหลังจากที่ส่งภรรยา แมดเดอลีน ขึ้นเรือชูชีพสำเร็จ ส่วนตัวเองจมไปพร้อมกับเรือ และนาฬิกาดังกล่าวถูกพบพร้อมกับร่างของเขา

เดวิด เบดดาร์ด ประธานสมาคมไททานิคแห่งอังกฤษ กล่าวว่า “ไม่เหมือนกับนาฬิกาหลายเรือนจากเรือไททานิกซึ่งหยุดเดินไปในค่ำคืนแห่งโชคชะตา นาฬิกาเรือนนี้ได้รับการบูรณะและสวมโดยวินเซนต์ ลูกชายของแอสเตอร์”

เขาเสริมว่า “นาฬิกาเรือนนี้อยู่ในกระเป๋าเสื้อของเขา ขณะที่เขาส่งภรรยาที่กำลังตั้งครรภ์ลงเรือชูชีพ ส่วนตัวเองก้าวถอยหลังโดยรู้ตัวว่าจะไม่รอด มันถือเป็นเรื่องที่น่าทึ่ง”

ก่อนหน้านี้เคยมีของจากไททานิกที่ถูกประมูลไปในราคา 900,000 ปอนด์เช่นกัน นั่นคือไวโอลินที่นักดนตรีคนหนึ่งบนเรือเล่นขณะที่เรือกำลังจม โดยถูกประมูลไปเมื่อปี 2013 บวกภาษีและค่าธรรมเนียมจะอยู๋ที่ 1.1 ล้านปอนด์ ทำให้มูลค่ารวมของการปะมูลครั้งล่าสุดแซงหน้าไป

ในการประมูลครั้งนี้ยังมีกล่องใส่ไวโอลินของไวโอลินตัวข้างต้น ถูกประมูลไปด้วยราคา 290,000 ปอนด์ (366,000 ปอนด์เมื่อบวกภาษีและค่าธรรมเนียม)

ไวโอลินและกล่องใส่เป็นของ วอลเลซ ฮาร์ตลีย์ มีเรื่องเล่าว่า ขณะที่เรือกำลังจม เขาและวงยังคงเล่นดนตรีเพื่อทำให้ผู้โดยสารรู้สึกสงบในขณะที่ภัยพิบัติกำลังคืบคลานรอบตัวพวกเขา

ฮาร์ตลีย์จมไปพร้อมกับเรือเช่นเดียวกับผู้โดยสารส่วนใหญ่ โดยไม่ได้นำไวโอลินใส่ลงไปในกล่อง

เบดดาร์ดบอกว่า “กระเป๋าใบนี้รอดมาได้ในสภาพค่อนข้างดี แม้ว่าจะมีความเสียหายจากน้ำก็ตาม”

‘นิโคล เทริโอ’ นักร้องขวัญใจวัยรุ่นยุค 90 เผยหน้าใหม่ หลัง ‘หมอเกาหลี’ อัพความสวยมาให้ จึ้งกว่าเดิม 

(28 เม.ย. 67) กาลเวลาทำอะไรไม่ได้เลยจริงๆ นักร้องดังคุณแม่ลูกหนึ่ง ‘นิโคล เทริโอ’ ที่ใครๆ ก็บอกว่า หน้าเด็กกว่าวัยตลอดกาล แต่ไม่นานมานี้ นิโคล ในวัย 51 ปี ก็ขอพึ่งมีดหมออัพสวยให้ปัง ให้จึ้งกว่าเดิม ด้วยการบินไปเกาหลียกเครื่องหน้าศัลยกรรมถึง 9 รายการ

โดยหลังจากที่ได้ทำศัลยกรรมมาครบ 1 เดือน นักร้องคนดังก็ได้มาเปิดหน้าให้แฟนๆ ได้เห็นด้วยการลงคลิปในอินสตาแกรมส่วนตัว พร้อมบอกด้วยว่าคลิปนี้ไม่ได้ใช้แอปพลิเคชันแต่อย่างใด และต้องใช้ระยะเวลาประมาณ 6 เดือนใบหน้าจะหายบวมและยุบเข้าที่

ซึ่งเจ้าตัวก็โพสต์ภาพรัวๆ ลงอินสตาแกรม ล่าสุดใบหน้าก็เริ่มปังขึ้นเรื่อยๆ ดูสดใสและหน้าเด็กขึ้น ทำเอาแฟนๆ ที่ติดตามร้องว้าว!! กันยกใหญ่ โพสต์ชมกันมากมาย อาทิ คุณแม่สวยมาก , น่ารักจนใจเจ็บ , หน้าเด็กมากค่า ฯลฯ

‘อิรัก’ ออกกฎหมายต่อต้าน LGBTQ  โทษจำคุกสูงสุด 15 ปี แค่ส่งเสริมก็ถือว่าผิด 

(28 เม.ย. 67) รัฐสภาอิรักผ่านกฎหมายลงโทษผู้ที่มีความสัมพันธ์ระหว่างเพศเดียวกันโดยมีโทษจำคุกสูงสุด 15 ปี ในความเคลื่อนไหวที่รัฐสภาอิรักระบุว่า มีจุดมุ่งหมายเพื่อรักษาคุณค่าทางศาสนา

เอกสารสำเนากฎหมายระบุว่า กฎหมายนี้มีเป้าหมาย เพื่อปกป้องสังคมอิรักจากความเสื่อมทรามทางศีลธรรมและกระแสการเรียกร้องให้มีพฤติกรรมรักร่วมเพศที่กำลังครอบงำโลก

กฏหมายนี้ได้รับการสนับสนุนจากพรรคมุสลิมนิกายชีอะห์หัวอนุรักษ์ ซึ่งเป็นกลุ่มการเมืองที่ใหญ่ที่สุดในรัฐสภาอิรัก

กฎหมายว่าด้วยการต่อต้านการค้าประเวณีและการรักร่วมเพศ” กำหนดให้บุคคลใดที่มีความสัมพันธ์ระหว่างเพศเดียวกัน จะต้องโทษจำคุกอย่างน้อย 10 ปีและสูงสุด 15 ปี และต้องโทษจำคุกอย่างน้อย 7 ปีสำหรับใครก็ตามที่ส่งเสริมการรักร่วมเพศหรือการค้าประเวณี

กฎหมายยังกำหนดให้การเปลี่ยนแปลงเพศทางชีวภาพถือเป็นอาชญากรรม และลงโทษคนข้ามเพศและแพทย์ที่ทำการผ่าตัดเปลี่ยนเพศ โดยมีโทษจำคุกสูงสุด 3 ปี

เดิมร่างกฎหมายดังกล่าวเสนอให้มีโทษประหารชีวิตด้วย แต่ได้รับการแก้ไขก่อนที่จะผ่านการพิจารณา ภายหลังการต่อต้านอย่างรุนแรงจากสหรัฐฯ และชาติยุโรป

ก่อนหน้านี้ อิรักไม่ได้กำหนดความผิดทางอาญาต่อกิจกรรมทางเพศของคนเพศเดียวกันอย่างชัดเจน แม้ว่าจะมีการใช้มาตราศีลธรรมที่กำหนดไว้อย่างหลวม ๆ ในประมวลกฎหมายอาญาเพื่อกำหนดเป้าหมายกลุ่ม LGBTQ และเคยเกิดกรณีที่ชาว LGBTQ ถูกกลุ่มสังหารเช่นกัน

ราชา ยูเนส รองผู้อำนวยการฝ่ายสิทธิ LGBTQ ขององค์กรฮิวแมนไรต์สวอตช์ กล่าวว่า “การที่รัฐสภาอิรักผ่านกฎหมายต่อต้าน LGBT ถือเป็นการตอกย้ำประวัติการละเมิดสิทธิของกลุ่ม LGBTQ ที่น่าตกใจของอิรัก และส่งผลกระทบต่อสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน”

ด้าน ราซอว์ ซาลิฮี จากแอมเนสตี อินเตอร์เนชันแนล บอกว่า “การแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับสิทธิของ LGBTI ถือเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน และทำให้ชาวอิรักตกอยู่ในความเสี่ยง ซึ่งชีวิตของพวกเขาถูกไล่ล่าทุกวัน”

ในปีที่ผ่านมา พรรคการเมืองใหญ่ ๆ ของอิรักได้วิพากษ์วิจารณ์สิทธิของ LGBTQ มากขึ้น โดยธงสีรุ้งมักถูกเผาในการประท้วงโดยกลุ่มมุสลิมนิกายชีอะห์อนุรักษ์นิยม

ปัจจุบัน มีมากกว่า 60 ประเทศที่กำหนดความผิดทางอาญาสำหรับพฤติกรรมของคนรักเพศเดียวกัน ขณะที่มีกว่า 130 ประเทศรับรองหรือเปิดกว้างต่อความรักทุกรูปแบบ

‘ก้าวไกล’ ข้องใจ ทำไมเอาคนทิ้งพรรคอย่าง ‘สมศักดิ์’ เสียบแทน ‘หมอชลน่าน’ ชี้!! ทำหน้าที่นำทัพ อย่างเหน็ดเหนื่อย ทั้ง ‘ช่วงเลือกตั้ง-ช่วงเป็นฝ่ายค้าน’

(28 เม.ย. 67) นายณัฐชา บุญไชยอินสวัสดิ์ สส.กทม.และรองเลขาธิการพรรคก้าวไกล กล่าวถึงการปรับคณะรัฐมนตรี(ครม.) เศรษฐา 1/1ว่า ไม่ต่างจากเดิมมากนัก มีรัฐมนตรีว่าการเพียง 2 คนที่เปลี่ยนเข้ามา หากดูลึกๆ คนที่เป็นเลือดแท้พรรคเพื่อไทย ต่อสู้ฟันฝ่าในช่วงที่พรรคเพื่อไทยขาลงค่อนข้างจะไม่ประสบความสำเร็จตามหวังเท่าไหร่ ตนคิดว่าต้องไปดูว่าสาเหตุที่พรรคเพื่อไทยปรับเปลี่ยนเป็นแบบนี้ มีจุดประสงค์เพื่ออะไร

“คนวิพากษ์วิจารณ์กันเยอะ ว่าช่วงหาเสียงเลือกตั้ง หรือแม้กระทั่งช่วงจัดตั้งรัฐบาล คนที่เปลืองตัวที่สุด คนที่คิดว่าน่าจะต้องอยู่ตลอดรอดฝั่ง อย่างนายแพทย์ชลน่าน ศรีแก้ว ที่เป็นหมอ และดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งตรงสายที่สุด น่าจะอยู่ได้นานกว่านี้ น่าจะมีผลงานอะไรได้มากกว่านี้ กับกลายเป็นรัฐมนตรีว่าการคนแรกๆที่ถูกปรับออกในส่วนของพรรคเพื่อไทย น่าตั้งข้อสังเกตว่าเพราะเหตุใดที่พรรคเพื่อไทยตัดสินใจอย่างนั้น ตัดสินใจให้อดีตหัวหน้าพรรคที่นำทัพช่วงเลือกตั้งที่ผ่านมา ช่วงการเป็นฝ่ายค้านตลอด 4 ปี ช่วงที่ผ่านมาเกิดวิกฤตหลายอย่าง แต่วันนี้ตัดสินใจสับเปลี่ยนให้คนที่ทอดทิ้งพรรคเพื่อไทยไป แล้วกลับเข้ามาใหม่ในวันที่พรรคเพื่อไทยเจริญรุ่งเรือง สมดังหวัง ตามที่ต้องการทุกอย่าง ไม่ว่าจะอยากเป็นรองนายกรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรีว่าการกระทรวงใดก็แล้วแต่”

นายณัฐชา กล่าวว่า ต้องดูว่าเป็นการตัดสินใจของนายกรัฐมนตรีคนเดียวหรือไม่ หรือองค์ประกอบอื่นที่กำลังบีบคั้นให้นายกรัฐมนตรีต้องปรับแบบนี้ แน่นอนที่สุดว่าจะส่งผลกระทบต่อพี่น้องประชาชน ว่าวันนี้ รัฐบาลที่ประชาชนก็ต้องกล้ำกลืนฝืนทน แต่การปรับ ครม. ก็ยังไม่เห็นว่าตอบโจทย์พี่น้องประชาชน ไม่ได้ใช้คนให้ตรงกับงาน แต่เป็นการปรับเพื่อให้ตรงกับโควตาทางการเมืองเหมือนเดิม

เมื่อถามว่าเป็นการตอกย้ำภาพลักษณ์ตำแหน่งรัฐมนตรียุคพรรคเพื่อไทยว่าเป็นสมบัติผลัดกันชมหรือไม่ นายณัฐชา กล่าวว่า ถือว่าพรรคเพื่อไทยรักษาคาแรกเตอร์ เพราะในอดีตก็พูดกันว่า 6 เดือนเปลี่ยน ก็ไม่แตกต่างกัน และเป็นสไตล์การบริหารของพรรคเพื่อไทย แต่แน่นอนว่าจะบริหารอย่างไร ต้องสอดคล้องกับงาน ซึ่งเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์กันมากว่ารัฐมนตรีที่ไม่ตรงกับงานกลับได้อยู่ต่อ แต่รัฐมนตรีที่ถูกมองว่าตั้งตรงกับตำแหน่งหน้าที่กลับถูกปรับออกอันดับต้นๆ

เมื่อถามว่านายแพทย์ชลน่านควรนั่งรัฐมนตรีฯต่อหรือไม่ นายณัฐชา กล่าวว่า หากมองแบบใจเป็นกลาง คนเป็นหมอควรได้ดูกระทรวงสาธารณสุขที่สุด

“คนที่วิกฤตและลำบากที่สุดในตลอดช่วงเลือกตั้ง รวมไปถึงช่วงเป็นผู้นำฝ่ายค้านตลอด 4 ปี ก็น่าจะเป็นอดีตผู้นำฝ่ายค้าน หรือแม้กระทั่งช่วงเวลาจัดตั้งรัฐบาลหลังจากพ่ายแพ้ คนที่เหนื่อยที่สุด หนีไม่พ้นหัวหน้าพรรคในขณะนั้น ที่ต้องแบกรับทุกสถานการณ์ทุกอย่างเป็นต้นทุนส่วนตัวที่ต้องแบกรับ แต่เมื่อถึงเวลาจะตั้งรัฐบาลได้แล้ว สิ่งแรกที่เขาดำเนินการคือปรับท่านออก ก็ถือว่าน่ากังวลใจอย่างยิ่ง”

ถามว่าเห็นใจนายแพทย์ชลน่านใช่หรือไม่ นายณัฐชา กล่าวว่า ก็ต้องตอบตรงๆ ด้วยความที่เป็นเพื่อนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ทำงานพรรคฝ่ายค้านด้วยกันมาตลอด 4 ปี ก็เห็นความตั้งใจ แต่วันนี้พอเป็นรัฐมนตรีว่าการที่ถูกปรับออกคนแรก แบบไม่มีเพื่อนเลย มันก็น่าเห็นใจอยู่ ว่าไหนๆจะปรับ ครม.แล้ว อย่าให้อดีตหัวหน้าพรรคได้ถูกกระทำขนาดนั้น ควรมีเพื่อนที่ถูกปรับออกบ้าง อย่างน้อยจะได้อ้างได้ว่าเป็นการปรับเพื่อผลัดเปลี่ยน หากไม่นับนายกรัฐมนตรีจะถือเป็นรัฐมนตรีว่าการคนเดียวที่ถูกปรับออก

‘จีน’ เปิดตัวโมเดล ‘AI แปลงข้อความเป็นวิดีโอ’ เผยความล้ำหน้า สามารถเข้าใจภาษาจีน-ผลิตเนื้อหาได้ 

(28 เม.ย. 67) สำนักข่าวซินหัว รายงานว่า การประชุมจงกวนชุน (ZGC Forum) ปี 2024 ได้มีการเปิดตัววิดู (Vidu) โมเดลปัญญาประดิษฐ์ขนาดใหญ่แปลงข้อความเป็นวิดีโอที่สามารถสร้างสรรค์คลิปวิดีโอความละเอียดสูง 1080p ความยาว 16 วินาที ภายในคลิกเดียว เมื่อวันเสาร์ (27 เม.ย.) ที่ผ่านมา

รายงานระบุว่าวิดูพัฒนาโดยมหาวิทยาลัยชิงหัว และเซิงซู่ เทคโนโลยี (ShengShu Technology) บริษัทปัญญาประดิษฐ์ของจีน ถือเป็นโมเดลปัญญาประดิษฐ์ขนาดใหญ่แปลงข้อความเป็นวิดีโอตัวแรกของจีนที่มีระยะเวลายาวขึ้น ความตรงกันยอดเยี่ยม และสมรรถนะเชิงพลวัต

จูจวิน รองผู้อำนวยการสถาบันปัญญาประดิษฐ์แห่งมหาวิทยาลัยชิงหัว กล่าวว่าวิดูในฐานะโมเดลปัญญาประดิษฐ์ขนาดใหญ่ที่พัฒนาในจีน สามารถทำความเข้าใจและผลิตเนื้อหาภาษาจีน เช่น แพนด้ายักษ์และมังกรจีน

ด้านเซิงซู่ เทคโนโลยี เผยว่ามีการนำเสนอสถาปัตยกรรมหลักของวิดูตั้งแต่ปี 2022

'ผู้โดยสาร' โวย!! เจอที่นั่งชั้นธุรกิจการบินไทยปรับเอน-นอนไม่ได้ 'ผจก.เที่ยวบิน' รับ!! เสียมาเดือนกว่า แต่ไม่เข้าใจทำไมยังปล่อยขาย

(28 เม.ย. 67) นายตรีรัตน์ ศิริจันทโรภาส อดีตนักการเมือง รองเลขาธิการพรรคไทยสร้างไทย ปัจจุบันดำรงตำแหน่ง ประธานกรรมการบริหารบริษัท นิว เอ็นเนอร์จี พลัส โซลูชั่นส์ จำกัด หรือ NEPS ได้โพสต์ข้อความลงในเฟซบุ๊กเกี่ยวกับ การเดินทางด้วย เครื่องบินของสายการบินไทย ชั้นธุรกิจ โดยได้ระบุว่า ...

วันนี้ผมมีกำหนดการพาลูกค้าไปดูงานที่ปักกิ่ง โดยตั้งใจอุดหนุนการบินไทย เลือกเดินทางชั้นธุรกิจ จำนวน 6 ท่าน มูลค่าตั๋วหลายแสนบาท
และแจ๊คพ็อตก็เกิดขึ้นกับผม ระหว่างเดินขึ้นเครื่อง ทางฝ่ายภาคพื้นเข้ามาแจ้งว่า 2 ที่นั่งของผมและลูกค้าผมเสีย ไม่สามารถปรับเอน หรือปรับนอนได้แม้แต่น้อย และเอาเงินใส่ซองมาให้ 5,500 บาท พร้อมให้เซ็นยินยอม เสมือนปิดปาก (ปกติราคาค่าตั๋วเครื่องบินชั้นธุรกิจไปปักกิ่งเที่ยวละ 33,000 บาท)

เมื่อขึ้นเครื่องฯ หัวหน้าผู้จัดการบนเที่ยวบินได้เดินมาขอโทษและแจ้งว่า 

“สองที่นั่งนี้เสียมาเดือนกว่าแล้ว และพวกเราก็แจ้งแล้วว่าอย่าปล่อยตั๋ว และไม่เข้าใจว่าทำไม การบินไทยยังขายตั๋ว 2 ที่นั่งนี้ เพราะสุดท้ายพวกผมก็ต้องเป็นคนรับหน้า โดนลูกค้าต่อว่า”

และเชื่อมั้ยครับว่า นี่คือครั้งที่สองของผม ที่โดนแบบนี้ในระยะเวลาไม่ถึง 6 เดือน
ฉะนั้นเมื่อขนาดข้อความจากหัวหน้าลูกเรือยังไปไม่ถึงผู้บริหารการบินไทย และสินค้ายังเสียซ้ำแล้วซ้ำเล่า ครั้งนี้ผมจึงเลือกไม่เขียนเอกสาร Complain แบบที่เคยทำอีกต่อไป เพราะพวกคุณคงจะเพียงรับมันแล้วซุกไว้ใต้โต๊ะอีก จึงตัดสินใจเขียนโพสต์นี้เปิดผนึกถึงผู้บริหารการบินไทย

โปรดอย่าเอาคำว่ารักคุณเท่าฟ้า ให้เป็นเพียงวาทกรรม โกหกปลิ้นปล้อน หลอกลวง > ผมในฐานะผู้โดยสารเลือกเดินทางกับการบินไทย เพราะคาดหวังในสินค้า และบริการของการบินไทย และอยากอุดหนุนสายการบินของชาติ

แม้ค่าตั๋วคุณแพงกว่าคนอื่น ผมก็ยังซื้อและอุดหนุน แต่ผู้บริหารคุณกลับไม่มีจิตใจที่เอาความสะดวกสบายของลูกค้าเป็นตัวตั้งเลย

เพราะหากคุณคิดถึงหัวใจของลูกค้า คุณจะไม่มีทางขายตั๋วสินค้า defect เหล่านี้ และมันตอกย้ำถึงการไร้ Service Mind ของผู้บริหารอย่างมาก เพราะคิดแต่จะขายๆๆๆ เอารายได้เข้าบริษัทอย่างเดียว แม้สินค้าจะเจ๊ง ลูกน้องจะเตือน ก็ช่างมัน

ฉะนั้นวันนี้ผมจะเป็นผู้โดยสารที่จะขอไม่รับเงินค่าชดเชย และไม่เซ็นเอกสารยินยอมใดๆทั้งสิ้น

> เพื่อไม่ให้ผู้โดยสารท่านอื่นต้องมาเจออะไรแบบนี้
> เพื่อไม่ให้นทท.ที่มาเที่ยวไทย ต้องเจอสินค้าที่พัง
> เพื่อให้คุณรู้จักรับฟังเสียงของลูกเรือมากกว่านี้
> เพื่อให้คุณหยุดหลอกลวง โฆษณาเกินจริง โดยต้องพัฒนาและตรวจเช็คสินค้าให้ดีกว่านี้

1.) ผมจะดำเนินการฟ้องร้องทางกฎหมายกับผู้บริหารการบินไทย เพื่อเรียกร้องให้ผู้บริหารชุดนี้แสดงความรับผิดชอบโดยการลาออก เพราะเคยเขียน report complain แล้ว > แต่ไม่แก้ไข พนักงานบนเครื่องตกเป็นแพะ > ผู้บริหารองค์กรไม่เคยต้องรับผิดชอบใดๆ
2.) ผมจะดำเนินการร้องเรียนคณะกรรมาธิการคมนาคม ให้ตรวจสอบสินค้าที่เป็น defect ของเครื่องการบินไทย รวมถึงแนวทางป้องกันแก้ไข / จากที่ผมได้พูดคุยสอบถามพนักงานต้อนรับบนเครื่อง ทราบว่ามีเหตุการณ์เช่นนี้ประจำหลายเที่ยวบิน ไม่ว่าจะเก้าอี้เสีย, IFE เสีย หรืออุปกรณ์อื่นๆเสีย จนลูกเรือเอือมระอา ต้องโดนผู้โดยสารต่อว่า เสียความรู้สึกทั้งพนักงานและผดส. และส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของการบินไทยอย่างมาก
> ช่วยการบินไทยประหยัดเงินค่าชดเชย  
> เอาผู้บริหารที่ห่วยแตกลาออกยกชุด  
> เงินสายการบินชาติอยู่ครบ พร้อมได้คนใหม่ที่ดีกว่ามาบริหารแทน  

ด้วยความปรารถนาดี
ตรีรัตน์ ศิริจันทโรภาส

สาวไทย แข่งรายการทำอาหารระดับโลก ‘มาสเตอร์เชฟออสเตรเลีย’ โชว์ เสน่ห์ปลายจวัก รังสรรค์อาหารฟิวชัน อร่อยแซ่บนัว จนกรรมการอึ้ง

(28 เม.ย. 67) ผู้เข้าแข่งขันหน้าใหม่ 22 คนต่างแย่งชิงโอกาสที่จะได้รับการเสนอชื่อให้เป็นมาสเตอร์เชฟออสเตรเลียประจำปี 2024

หนึ่งในผู้เข้าแข่งขันที่ชื่อว่า แนท หญิงสาวชาวไทยได้สร้างความตื่นตะลึงให้กับรายการด้วยการเผยวัฒนธรรมไทยผ่านการสร้างสรรค์อาหารอีสานสุดขึ้นชื่ออย่าง ลาบ แต่ไม่ใช่ลาบธรรมดาทั่วไป แต่เป็นลาบเนื้อจิงโจ้ที่เป็นสัตว์คู่บ้านคู่เมืองประจำประเทศออสเตรเลีย

อาหารเลิศรสจานเด็ดมัดใจกรรมการของสาวแนท มาพร้อมลาบเนื้อจิงโจ้รสแซ่บ ท็อปด้านบนด้วยไข่แดงดองยางมะตูมสุดฉ่ำ ทานคู่กับแผ่นข้าวปิ้ง งานนี้ อร่อยจนกรรมการอึ้ง โดยโซเฟีย เลวิน กรรมการคนหนึ่งกล่าวว่า “นี่ก็ดีไม่แพ้อาหารจานใดๆ ที่ฉันเคยกินในร้านอาหารในออสเตรเลียในช่วงหกเดือนที่ผ่านมา”

แถมเมื่อลาบจิงโจ้รสจัดจ้านได้ออนแอร์สู่สายตาชาวออสซี่ ชาวเน็ตจำนวนมากต่างพากันชมสาว เช่น “ขอแสดงความยินดีอย่างยิ่งกับแนทสำหรับชัยชนะที่สมควรจะได้รับ เป็นเมนูที่สร้างสรรค์ สวยงาม และน่าอร่อยจริง ๆ การผสมผสานที่ลงตัวระหว่างมรดกไทยและออสเตรเลียของเธอ”

“ว้าว เยี่ยมมากแนท!ฉันจะจ่ายเงินกินข้าวของแนทให้คุ้มเลย!” แต่บางคนก็มีความกังวลว่า เนื้อจิงโจ้ดิบ เช่น “มันดูสวยแต่จานนี้ก็ดูดิบ ๆ นะ จะปลอดภัยไหมที่จะกินจิงโจ้ป่าปรุงด้วยวิธีนี้”

ตามรายงาน แนท ไทยพัน เติบโตมาในครอบครัวที่มีสมาชิก 5 คนในเขตชานเมืองเมลเบิร์น โดยมีพ่อแม่ที่เป็นเจ้าของร้านอาหารไทยและมีน้องชาย 2 คน ซึ่งเธอมีคุณแม่เป็นไอดอลและแรงบันดาลใจในการทำอาหาร เพราะแม่ของเธอเป็นกุ๊กใหญ่

แนทเติบโตมาตามประเพณีไทย พูดภาษา และเรียนรู้วิถีชีวิตของคนไทย ทั้งนี้ คุณยายผู้ล่วงลับของเธอ เป็นหนึ่งคนที่สร้างแรงบันดาลใจให้กับความรักในการทำอาหารของแนท ดังนั้น เพื่อตามหาตัวตนของตนเอง แนทได้ออกเดินทางไปอาศัยและทำงานในสวิตเซอร์แลนด์ ญี่ปุ่น และนิวซีแลนด์ ตลอด 7 ปีที่ผ่านมา

ยิ่งอยู่ห่างจากบ้านทำให้ความหลงใหลในการทำอาหารของแนทเพิ่มมากขึ้น โดยตระหนักถึงอาหารสามารถเชื่อมโยงผู้คนเข้ากับมรดก เอกลักษณ์ และวัฒนธรรมของพวกเขา ในขณะที่เธอพบว่าตัวเองเข้าถึงรากเหง้าความเป็นไทยของเธอโดยไม่รู้ตัวผ่านอาหารในขณะที่ไม่อยู่บ้าน

แนทหวังว่าครัวมาสเตอร์เชฟ ออสเตรเลียจะช่วยให้เธอเข้าใจถึงตัวตนที่แท้จริงของเธอ และมอบโอกาสในการนำเสนอวัฒนธรรมของเธอผ่านทางอาหาร บุคลิกภาพ และสไตล์ของเธอ พร้อมเผยการผสมผสานระหว่างความดั้งเดิมเข้ากับความทันสมัยในอาหาร

นาวิกโยธิน-อเมริกา บุกพัทยาคืนแรก ยังไม่คึกคักคาดพรุ่งนี้แน่นพัทยา

จากกรณี เมื่อคืนวันที่ 26 เมย 67 นาวิกโยธินอเมริกัน กว่า 6,000 นายจากกองเรือบรรทุกเครื่องบินโจมตีที่ 9  ( CSG – 9 ) เรือธง USS Theodore Roosevelt (CVN 71 ) และกองบินประจำเรือบรรทุกเครื่องบิน (CVW ) ที่ 11 รวม 6,000 กว่านาย จะจอดเทียบท่าที่ ท่าเรือแหลมฉบังเพื่อพักผ่อนประจำปี เป็นเวลา 2 สัปดาห์ และจุดมุ่งหมายหลักที่กลุ่มนาวิกโยธินต้องการไปเที่ยวคือเมืองพัทยา เป็นส่วนใหญ่ ดังนั้น ทำให้นักธุรกิจสถานบริการต่างยิ้มรับกับการเข้ามาในครั้งนี้ เพราะคาดว่าจะมีการจับจ่ายเงินสะพัดหลายร้อยล้านบาท ในช่วงนี้แน่นอน

จากการลงพื้นที่สำรวจบรรยากาศ ย่านวอล์กกิ้งสตรีทพัทยาใต้ พบว่าบรรดาทหารอเมริกันต่างกระจัดกระจายกันเข้าใช้บริการสถานประกอบการ ต่างๆ เป็นกลุ่ม เช่น อะโกโก้ และบาร์เบียร์บ้างเนื่องจากบาร์เบียร์ มีมากมายทำให้ดูว่าไม่คึกคักเหมือนก่อน อาจจะเป็นเพราะคืนนี้ เป็นคืนแรกยังมีทหารนาวิกโยธิน อเมริกัน ยังคงไม่ขึ้นฝั่งก็เป็นได้ 

นายสุนทร ( ขอสงวนนามสกุล) เจ้าของอะโกโก้ ภายในวอล์กกิ้งสตรีท กล่าว่า ตั้งแต่เกิดการแพร่ระบาดของโควิด 19 เป็นต้นมา นักธุรกิจย่ำแย่มาตลอด พอเมืองพัทยาจัดสงกราต์ ทำให้ภาคธุรกิจลืมตาอ้าปากได้บ้าง และการยกลขึ้นบกของทหารอเมริกัน ในครั้งนี้ยิ่งทำให้ชาวพัทยายิ้มออกได้เต็มที่ เพราะคาดว่าเงินจะสะพัดหลายร้อยล้านบาทแน่นอน ต้องขอขอบคุณเจ้าหน้าที่ทุกภาคส่วนที่ช่วยกันส่งเสริมการท่องเที่ยว และอยากให้ชาวพัทยา เป็นเจ้าบ้านที่ดีดูแลนักท่องเที่ยวให้ดีเขาจะได้ประทับใจ บอกต่อเป็นผลดีแก่การท่องเที่ยวพัทยา

ด้านคุณไก่ เจ้าของอะโกโก้ และคุณคริส ผู้จัดการ ได้ให้สัมภาษณ์กับทางผู้สื่อข่าวว่า เศรษฐกิจของพัทยาดีขึ้น รู้สึกดีใจเป็นอย่างมากที่มีทหารอเมริกันเข้ามาท่องเที่ยวในพัทยา และร้าน XS อะโกโก้ มีความคึกคักเป็นอย่างมาก ที่ทหารอเมริกันได้มาท่องเที่ยวที่ร้านของตน ส่วนในเรื่องรายได้นั้นมีความฟื้นฟูต่อเนื่องจากเทศกาลสงกรานต์ที่ผ่านมา ทำให้ธุรกิจชาวพัทยาดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด พร้อมกล่าวขอบคุณหน่วยงานต่างๆ ที่ช่วยกระตุ้นการท่องเที่ยวพัทยา

คุณลิซ่า แฮมิลตัน นายกสมาคมผู้ประกอบการธุรกิจกลางคืน เมืองพัทยา กล่าว่าผู้ประกอบการสถานบันเทิงเมืองพัทยาตื่นเต้นที่ทหารอเมริกันยกพลขึ้นบกเมืองพัทยาเพราะคาดหวังว่าจะมีเม็ดเงินสะพัดมากมายเหมือนอดีตที่ผ่านมา แต่กลายเป็นทหารเหล่านั้นเปลี่ยนพฤติกรรมไปเดินตามชายหาดหรือเดินจับจ่ายตามห้าง อาจจะเป็นเพราะอากาศร้อน หรือเพราะกฎระเบียบของทางฝ่ายรักษาความปลอดภัยของทางอเมริกันเองก็เป็นได้ เพราะครั้งนี้มีระยะเวลาจำกัดในการอยู่บนบก เพราะกลัวจะเกิดเหตุทหารเมา และก่อเหตุทะเลาะวิวาทกันทำให้สร้างความเดือดร้อนต่อส่วนรวมก็เป็นไปได้ แต่ต้องรอดูวันต่อไปอีกที

นิราช/นันทพล ทิพย์ศรี ก012 ชลบุรี 0909535645

'Boosie BadAzz' ออกโรงเตือนชาวอเมริกัน สหรัฐฯ กำลังแย่-จนที่สุดที่เคยเห็นมาในชีวิต

ไม่นานมานี้ เพจ 'Rhythm&Poetry' ได้โพสต์เนื้อหาโดยอ้างคำพูดของ Torence Ivy Hatch Jr. หรือที่รู้จักกันดีในชื่อบนเวทีของเขา Boosie BadAzz หรือเรียกง่ายๆว่า Boosie ซึ่งเป็นแร็ปเปอร์ชาวอเมริกัน ระบุว่า...

Boosie BadAzz ออกมาโพสต์เตือนสติชาวอเมริกันว่าในขณะนี้ประเทศของพวกเขาแย่แล้ว และเขาเองก็ไม่เคยเห็นอเมริกาต้องตกอยู่ในสภาพแบบนี้มาก่อน

"มันบ้าตรงที่ทุกบริษัทไม่มีสภาพคล่องทางการเงินเลย แถมยังล้มละลายกันอีก ตอนนี้โลกไม่มีเงินแล้ว, ประเทศสหรัฐอเมริกากำลังเจ็บปวด ประชาชนไม่มีเงิน นอกจากต้องจ่ายบิลค่าใช้จ่ายกันแล้วก็ไม่มีแผนพิเศษสำรองอะไร คุณไม่มีเงินที่จะเอาไปให้บริษัทที่เลิกจ้างพนักงานหลักหมื่นๆ คน คุณจำเป็นต้องเปลี่ยนไลฟ์สไตล์ของตัวเอง นี่มันคืออเมริกาที่จนที่สุดที่ผมเคยเห็นมาในชีวิตเลย"


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top