Tuesday, 30 April 2024
TheStatesTimes

งง!! คนสนับสนุนพรรคล้มสถาบัน เชียร์การกัดเซาะดูหมิ่น แต่กลับเข้าวัดนั่งสวดมนต์ในโบสถ์ที่มีรูปพระมหากษัตริย์ตั้งอยู่

ผมลองพยายามนึกย้อนไปในอดีตตั้งแต่จำความได้ ว่าเคยพบคนที่เป็น 'โรคย้อนแย้ง' มากี่คนในชีวิต นึกเท่าไหร่ผมก็นึกไม่ออก ก็คงมีแต่ยุคสมัยนี้กับกลุ่ม 'คนงงหลงกลิ่นส้ม' เท่านั้น ที่พร้อมใจกันเป็น 'โรคที่น่ารังเกียจ' นี้อย่างไม่อับอายตัวเอง

'คนงงหลงกลิ่นส้ม' พวกนี้ มีคุณสมบัติที่เหมือนกันคือ ต่างสนับสนุนพรรคล้มสถาบัน กาเลือกพรรคที่เกลียดสถาบันให้เข้ามากินเงินเดือนจากภาษีของประชาชน บ้างก็คอยส่งเสียงเชียร์เวลาที่มีการรวมตัวเพื่อ 'ชูสามนิ้ว' ในที่ชุมนุม บางส่วนก็แสดงความสงสารเห็นใจต่อการกระทำของกลุ่มเด็กที่โดนคดี 112 ทั้งๆ ที่เป็นความผิดที่มีหลักฐานมัดแน่นทุกคดีความ 

'คนงงหลงกลิ่นส้ม' พวกนี้ ไม่เคยห้ามปรามเวลาที่ 'สส.พรรคส้ม' แสดงความหยาบช้าต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ ยังส่อให้เห็นแนวคิดในการล้มล้างทำลายสถาบันอันเป็นที่รักของคนไทยผ่านกลวิธีต่างๆ อย่างต่อเนื่อง แต่กลับยังเชียร์ และยังให้กำลังใจ

การที่คนเราจะสนับสนุนอะไรสักอย่าง ก็ควรต้องรู้ให้มากว่าสิ่งที่เราจะเทหัวใจให้ มีจุดมุ่งหมายที่แท้จริงอย่างไร? สิ่งใดคือเป้าใหญ่ของเขา? เราจะโง่ จะเบาปัญญา จน 'ไม่รู้หมารู้แมว' อะไรเลยคงไม่ได้ เพราะถ้าเราเลือกผิดนอกจากตัวเราจะถูกตราหน้าว่าเป็น 'คนหัวขี้กาก' แล้ว ประเทศชาติก็อาจจะมีอันตรายได้ในทุกมิติ ยิ่งพรรคการเมืองที่มีแนวคิดล้มล้างการปกครอง ยิ่งชัดเจนว่าเขาจะไม่มีทางปล่อยสถาบันกษัตริย์ไว้ 

เมื่อ 'คนงงหลงกลิ่นส้ม' เลือกสนับสนุนกลุ่มคนที่ล้มล้างการปกครอง ก็น่าจะเป็นคนที่ไม่อยากได้สถาบันเหมือนกัน ที่ถูกต้องควรไปในทิศทางเดียวกันเช่นนี้ แต่สิ่งที่เห็นเมื่อวันสงกรานต์ 14 เมษายน 2567 ที่ผ่านมา เหล่า 'คนงงหลงกลิ่นส้ม' จำนวนหนึ่งพากันเข้าวัด นั่งสวดมนต์ในโบสถ์ที่มีรูป 'ในหลวงหลายรัชกาล' ตั้งอยู่อย่างโดดเด่น 

ขอถามสักนิด ไม่รู้เลยหรือว่าวัด โบสถ์ แม้แต่พระเกจิอาจารย์ชื่อดังทั้งที่มรณภาพไปแล้ว และที่ยังมีชีวิตอยู่ ต่างยกย่อง และโอบอุ้มสถาบันกษัตริย์ของเราไว้ ผูกร้อยเหนียวแน่นคู่กับพุทธศาสนามาอย่างยาวนานจนแยกไม่ขาด 

แม้แต่บทสวดมนต์ไม่น้อยก็มีคำเชิดชูให้ปกปักรักษา และน้อมรำลึกถึงพระมหากษัตริย์ไทยของเรามาช้านาน พวกคุณไม่เขินตัวเองกันเลยหรือว่าเป็น 'คนย้อนแย้ง' นั่งสวดมนต์ยกย่องกษัตริย์ในโบสถ์ แต่นอกโบสถ์กลับสนับสนุนคนล้มล้างสถาบันกษัตริย์ 

หรือเพราะ 'ความย้อนแย้ง' เป็นหนึ่งในคุณสมบัติหลักที่ 'คนคลั่งพรรคส้มล้มสถาบัน' ต้องมี? 

เรื่อง: แจ็ค รัสเซล

ผลสลากกินแบ่งรัฐบาล ประจำวันที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2567

✨ผลสลากกินแบ่งรัฐบาล ประจำวันที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2567

รางวัลที่ 1 : 943598

เลขหน้า 3 ตัว : 729 / 727

เลขท้าย 3 ตัว : 154 / 200

เลขท้าย 2 ตัว : 79

รางวัลข้างเคียงรางวัลที่ 1 : 943597 / 943599

รางวัลที่ 2 : 062259 / 100755 / 297933 / 448213 / 282285

รางวัลที่ 3 : 788457 / 147563 / 018772 / 773313 / 734269 / 454577 / 720144 / 267940 / 595074 / 665998

รางวัลที่ 4 : 133343 / 863195 / 727091 / 194615 / 972561 / 040459 / 514761 / 745069 / 924865 / 101738 / 261565 / 879972 / 666284 / 256511 / 299820 / 882048 / 985476 / 740276 / 911165 / 145541 / 876132 / 397217 / 001228 / 311765 / 095714 / 449523 / 465845 / 971568 / 651025 / 131029 / 300839 / 775119 / 998458 / 419267 / 236113 / 033439 / 579570 / 385255 / 408301 / 719958 / 599692 / 161787 / 721757 / 071875 / 976687 / 705082 / 068452 / 842015 / 616783 / 475389

รางวัลที่ 5 : 646104 / 53413 / 996997 / 556347 / 653726 / 322555 / 236948 / 234248 / 536503 / 616068 / 531320 / 092288 / 692070 / 383482 / 616761 / 019836 / 650707 / 175313 / 081630 / 106078 / 772486 / 936704 / 263801 / 631424 / 549465 / 744261 / 175392 / 209708 / 614633 / 906751 / 008649 / 560631 / 314231 / 271470 / 172715 / 197190 / 769576 / 433446 / 680808 / 299159 / 306461 / 751072 / 182425 / 088983 / 996353 / 411758 / 179497 / 752050 / 277674 / 756546 / 803498 / 129309 / 562888 / 644959 / 193111 / 862993 / 898212 / 598986 / 120489 / 104180 / 116314 / 893211 / 442322 / 106160 /040197 / 087920 / 182825 / 869716 / 454174 / 549714 / 079611 / 732916 / 323067 / 147982 / 063690 / 215548/ 341167 / 949675 / 061659 / 381378 / 957591 / 100329 / 218351 / 737012 / 876637 / 070320 / 622334 / 237941 / 657266 / 342931 / 464986 / 960034 / 851456 / 972601 / 424276 / 045170/ 814109 / 964814 / 690806 / 487179

‘หนุ่มร่วมชาติ’ อายแทนพฤติกรรม 2 สาวจีน หลังกินแล้วหนี เดินทางไปร้านอาหารชื่อดัง รับผิดชอบ!! ขอจ่ายเงินเอง

เมื่อไม่นานมานี้ จากกรณี หญิงสาวชาวจีน 2 คน มากินอาหารร้านดังย่านประชาชื่น กินเสร็จแล้วหนีไม่ยอมจ่ายเงิน โดยเรื่องดังกล่าวมีการพูดถึงอย่างแพร่หลายในโซเชียล โดยเฉพาะอย่างยิ่งในโซเชียลประเทศจีน ทำให้มีการวิพากษ์วิจารณ์ในพฤติกรรมของ 2 สาวนี้อย่างมากนั้น

ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 16 เม.ย.67 เฟซบุ๊ก About Beef Lava Grill บุฟเฟต์ ปิ้งย่าง เนื้อพรีเมียม ซีฟู๊ด อาหารญี่ปุ่น โดยแอดมินเพจของร้าน ได้โพสต์ข้อความว่า มีพลเมืองดีชาวจีน ได้เดินทางมาที่ร้านแล้ว ขอจ่ายเงินแทน 2 สาว โดยมีเนื้อหาต่อไปนี้

จากเหตุสาวจีน 2 ท่านหนีบิล ไม่ได้ชำระเงินค่าบริการเมื่อวันที่ 12/4/67 เป็นจำนวนเงิน 2,696 บ. ได้มีพลเมืองดีชาวจีนเดินทางมาที่ร้านเพื่อชำระเงินแทน 2 ท่านนั้น

พี่ท่านนี้สามารถพูดไทยได้นิดหน่อย ได้กล่าวว่าเหตุการณ์นี้ได้โด่งดังไปทั่วในโซเชียลของประเทศจีน และเปิดให้ทางร้านได้ดูมีการกล่าวถึงและวิพากษ์วิจารณ์ในพฤติกรรมนี้ เขากล่าวว่า รู้สึกเสียใจและอับอายกับพฤติกรรมที่นักท่องเที่ยว 2 ท่านนั้นได้ทำและเห็นใจทางร้าน #จึงขออาสาชำระค่าใช้จ่ายให้

กราบขอบพระคุณ ชาวโซเชียลทุกท่าน และสื่อต่าง ๆ ที่ได้ให้ความสำคัญกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
จึงทำให้เรื่องนี้เป็นที่พูดถึงในโซเชียลที่จีน

ทางร้านหวังว่านักท่องเที่ยวส่วนน้อยที่มีพฤติกรรมแบบนี้ จะคิดถึงผลกระทบที่เขาจะได้รับ
จากชาวโซเชียลที่ช่วยกันตีแผ่เรื่องนี้และไม่กล้าทำอีกหวังว่าเพื่อนผู้ประกอบการที่หาเช้ากินค่ำ
ก็จะไม่ต้องมาเจอแบบนี้กันอีก ขอบพระคุณทุกท่านมาก ๆ ครับ

ปล. ในรูปนี่ไอ้แว่นนะ เจ้าของร้าน
แอดจะหล่อกว่านี้หน่อย ไม่อยากจะโม้

'รมว.ปุ้ย' ยัน!! ต้องขนย้ายกากแคดเมียมให้จบภายใน 36 วัน เคาะดีเดย์ 7 พ.ค. พร้อมกำชับ!! ต้องปลอดภัยทุกขั้นตอน

เมื่อไม่นานมานี้ นางสาวพิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม รายงานถึงผลการประชุมของ คณะกรรมการอำนวยการขนย้ายกากแคดเมียมและกากสังกะสี ว่าได้มีการประชุมเพื่อพิจารณาแผนการขนย้ายกากแคดเมียมของบริษัท เบาด์ แอนด์ บียอนด์ จำกัด (มหาชน) ที่ได้ปรับปรุงมาใหม่ โดยบริษัทฯ ตอบรับการเพิ่มจำนวนรถบรรทุกจาก 10 คัน เป็น 30 คัน ตามที่คณะกรรมการฯ แจ้ง เพื่อให้สามารถขนย้ายกากแคดเมียมได้ถึง 450 ตันต่อวัน และลดระยะเวลาในการขนย้ายทั้งหมดจากเดิมที่ใช้เวลา 92 วัน ลงเหลือ 36 วัน โดยจะเริ่มทำการเคลื่อนย้ายกากจากพื้นที่จังหวัดสมุทรสาคร กรุงเทพฯ และชลบุรี ตั้งแต่วันที่ 7 พฤษภาคม 2567 หลังจากที่ทำการเตรียมความพร้อมของบ่อฝังกลบ และทำความเข้าใจให้ประชาชนรอบโรงงานที่จังหวัดตาก เรียบร้อยแล้ว

นางสาวพิมพ์ภัทรา กล่าวว่า สำหรับการเตรียมความพร้อมบ่อฝังกลบ กระทรวงอุตสาหกรรม โดยกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ จะส่งทีมเจ้าหน้าที่ลงตรวจสอบความแข็งแรงปลอดภัยของบ่อร่วมกับโยธาธิการจังหวัดและผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ในวันนี้ (17 เม.ย.) โดยจะตรวจสอบพื้นบ่อที่ปูด้วยแผ่นพลาสติก HDPE หนา 1.5 มม. จำนวน 2 ชั้น ว่าอยู่ในสภาพที่ดีไม่มีการฉีกขาด สามารถป้องกันการรั่วไหลของกากได้ รวมทั้งตรวจสอบความมั่นคงแข็งแรงของพื้นปูนและขอบบ่อในภาพรวม หากไม่มั่นคงแข็งแรง ก็จะสั่งการให้มีการปรับปรุงให้เรียบร้อยโดยเร็ว  

ทั้งนี้ ในระหว่างการฝังกลบกากแคดเมียม จะต้องมีการสเปรย์น้ำที่บ่อฝังกลบระหว่างเคลื่อนย้ายกากลงหลุมเพื่อกันการแพร่กระจายของฝุ่นผง และการปรับเสถียรในบ่อฝังกลบ เมื่อทำการนำกากลงบ่อจนหมดแล้ว จะทำการเกลี่ยกากในบ่อให้เรียบแล้วทำการเททราย จากนั้นปูทับด้วยพลาสติก HDPE อีกชั้น ก่อนที่จะเทคอนกรีตเสริมเหล็กปิดบ่อเป็นขั้นตอนสุดท้าย

นอกจากนี้ คณะกรรมการฯ ได้ขอให้บริษัทฯ เพิ่มมาตรการป้องกันผลกระทบสิ่งแวดล้อมในการขนส่งตั้งแต่ ต้นทาง ระหว่างทาง และปลายทาง การจัดหาถุง Big Bag เพื่อทำการสวมทับถุงเดิมอีกชั้นหนึ่ง (Double Bag) ก่อนการขนส่งเพื่อให้มั่นใจว่าจะไม่มีการรั่วหรือฟุ้งกระจายของกากในระหว่างการขนส่ง รวมถึงขอให้เพิ่มกระบวนการตรวจสอบผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมหลังเสร็จสิ้นการปิดหลุมฝังกลบแล้ว โดยตรวจติดตามคุณสมบัติน้ำใต้ดินจากบ่อสังเกตการณ์ (Monitoring Well) รอบพื้นที่ทุก ๆ 3 เดือน เพื่อให้มั่นใจว่าไม่มีการรั่วไหลของกากแคดเมียมหรือมีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมภายหลังเสร็จสิ้นการดำเนินการอย่างแท้จริง โดยหลังจากบริษัทฯ ได้ส่งแผนฉบับแก้ไขมาให้กระทรวงอุตสาหกรรม เพื่อเสนอต่อที่ประชุมคณะทำงานชุดใหญ่แล้ว กระทรวงจะร่วมกับบริษัทฯ ในการทำความเข้าใจกับประชาชนโดยรอบโรงงาน ถึงวิธีการขนย้าย และมาตรการความปลอดภัยทั้งหมด เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับชุมชน 

รมว.อุตสาหกรรม เผยว่า ทางคณะกรรมการฯ ได้มีการชี้แจงแผนการขนย้ายกากแคดเมียมให้สำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดทั้ง 3 พื้นที่ (สมุทรสาคร, ตาก และ ชลบุรี) รวมถึงประเด็นการปรับปรุงคำสั่งทางปกครองของอุตสาหกรรมจังหวัดที่จะต้องสอดคล้องกับแผนการขนย้าย และการประสานกับ บก.ปทส. ในเรื่องการโอนของกลาง (กากแคดเมียมที่ได้ยัดอายัด และทำการตรวจนับแล้ว) ให้กระทรวงอุตสาหกรรม ดำเนินการต่อไป

นอกจากนี้ ที่ประชุมยังได้มอบฝ่ายเลขาจัดเตรียมข้อมูลทั้งหมด เพื่อนำเสนอต่อคณะทำงานชุดใหญ่ซึ่งประกอบด้วยผู้แทนจาก 6 กระทรวง โดยมีปลัดกระทรวงอุตสาหกรรมเป็นประธาน 

‘อ.เดชา’ บอก!! ต้องเกาะติดละคร VVIP ‘ทักษิณ-เศรษฐา-บิ๊กแดง’ ส่อใกล้จะจบ

(17 เม.ย.67) นายเดชา ศิริภัทร ประธานมูลนิธิข้าวขวัญ เจ้าของสูตรน้ำมันกัญชา (ตำรับหมอเดชา) โพสต์ภาพ พร้อมข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ดังนี้...

คนที่ได้เห็น​ภาพที่มีผู้โพสต์​วันนี้​ (นำมาลงให้ดูด้านล่างนี้แล้ว​ ทั้งสองภาพ)​ คงรู้สึกสับสน

ภาพด้านล่างซ้าย​ เป็นภาพนายกรัฐมนตรี​ (เศรษฐา​ ทวีสิน)​ กับคุณ​ทักษิณ​ ชินวัตร

ถ้าผมจำไม่ผิด​ คุณ​ทักษิณ​ ชินวัตร​ ยังเป็นนักโทษ​ชาย​ ที่อยู่ระหว่างการพักโทษ​อยู่ แต่นายกรัฐมนตรี (ตามกฎหมาย)​ กลับเข้าไปกราบขอพร​ และเรียกว่า​ “ท่านนายกฯ”

ยิ่งกว่านั้น​ ยังนำมาโพสต์​อย่างเป็นทางการ​ ในชื่อตนเอง​ อย่างเปิดเผยเสียอีกด้วย ทำให้เกิดความสงสัยว่า​ ในทาง ‘พฤตินัย’ นั้น​ ประเทศไทย​ปัจจุบัน​ ใครคือนายกรัฐมนตรี

เพราะในทาง​ ‘นิตินัย’ นั้น​ รู้อยู่แล้วว่าชื่อ​ นายเศรษฐา​ ทวีสิน​ ที่เข้าไปกราบขอพรในภาพ

สงสัยว่า ‘พร’ ที่เข้าไปขอนั้น​ คือขอให้ได้อยู่ในตำแหน่งนายกฯ (นิตินัย) ​ต่อไปอีก​ ใช่หรือไม่

ส่วนภาพด้านล่างขวา เป็นท่าทีของ ‘บิ๊ก​แดง’ (พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์)​ ที่มีต่อคุณ​ทักษิณ ซึ่งอาจตรงกับใจคนไทยหลายคน​ คือ ต้องการให้คุณ​ทักษิณ​ฯ​ ออกไปจากประเทศไทย

ปัญหา​ก็คือ​ ขณะนี้​ คุณ​ทักษิณ​ฯ​ ยังมีฐานะเป็นนักโทษ ​(ที่อยู่ระหว่างการพักโทษ)​ อยู่ การจะเดินทางไปไหน​ ต้องขออนุญาต​กรมราชทัณฑ์​ เสียก่อน​ (ทั้งในและต่างประเทศ) เรื่องนี้คงต้องรอดูสักพัก​ ว่าจะดำเนินต่อไปอย่างไร​ ซึ่งคงใช้เวลาไม่นานนัก ประชาชนคนไทยส่วนใหญ่​อย่างพวกเรา​ ก็คงทำได้แค่เฝ้าติดตามความเคลื่อนไหวต่อไป

ก็ให้คิดว่า​ กำลังดูละครที่สนุกสนาน​ เนื้อเรื่องซับซ้อน​ซ่อนเงื่อน​ มีตัวแสดงนำ​ ระดับ​ VVIP

ที่สำคัญ​คือ​ ได้ดูฟรีต่อเนื่องมาหลายเดือนแล้ว​ ยังไม่ถึงตอนจบง่าย ๆ​ เดาตอนจบยังไม่ได้ ก็ขอให้ทนดูกันอีกสักพัก​ เพราะคงจะเริ่มเห็นเค้าลางบางอย่างขึ้นมาบ้างแล้ว​ ว่าใกล้จะจบ

แต่จะจบอย่างไร​ ก็ต้องรอดูจนถึงตอนนั้น... เพราะถ้ารู้เรื่องตอนจบก่อน...คงหมดสนุก

'เศรษฐา' เปิดทำเนียบฯ ต้อนรับนายกฯ นิวซีแลนด์ หารือ 8 ข้อตกลง  ตั้งเป้าหมายเพิ่มมูลค่าการค้าระหว่างกันเป็นสามเท่าภายในปี 2588

(17 เม.ย.67) ที่ทำเนียบรัฐบาล นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ให้การต้อนรับนายคริสโตเฟอร์ ลักซอน นายกรัฐมนตรีนิวซีแลนด์ในโอกาสเดินทางเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการในฐานะแขกของรัฐบาล ที่ทำเนียบรัฐบาล

โดยทันทีที่มาถึงนายกรัฐมนตรีได้นำนายกรัฐมนตรีนิวซีแลนด์ ตรวจแถวกองทหารเกียรติยศผสม ณ บริเวณสนามหญ้า หน้าตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล ก่อนที่นายกรัฐมนตรีนิวซีแลนด์ ลงนามในสมุดเยี่ยมและชมของที่ระลึกที่ด้านนอกห้องสีงาช้าง จากนั้นมีการหารือข้อราชการด้านในห้องสีงาช้าง 

จากนั้นนายกรัฐมนตรี และนายกรัฐมนตรีนิวซีแลนด์ หารือร่วมภาครัฐ-เอกชน ณ ตึกภักดีบดินทร์ ทำเนียบรัฐบาล ก่อนที่จะเป็นสักขีพยานในพิธีลงนามความตกลง และแลกเปลี่ยนบันทึกความเข้าใจ พร้อมทั้งแถลงข่าวร่วม ณ ตึกสันติไมตรี (หลังใน) และเป็นเจ้าภาพเลี้ยงอาหารกลางวันเพื่อเป็นเกียรติแก่นายกรัฐมนตรีนิวซีแลนด์ 

โดยประเด็นสำคัญภายใต้ร่างถ้อยแถลงร่วมระหว่างนายกรัฐมนตรีกับนายกรัฐมนตรีนิวซีแลนด์ ได้แก่...

1. การประกาศเป้าหมายการยกระดับความสัมพันธ์เป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ระหว่างกันในปี 2569
2. การประกาศความคืบหน้า ของแผนความร่วมมือกลาโหมนิวซีแลนด์-ไทย 
3. การประกาศเป้าหมายเพิ่มมูลค่าการค้าระหว่างกันเป็นสามเท่าภายในปี 2588 
4. การส่งเสริมความร่วมมือ ด้านพลังงานหมุนเวียนเพื่อลดการใช้พลังงานฟอสซิลและรับมือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ  
5. เร่งรัดการหารือความตกลงด้านความร่วมมือด้านวัฒนธรรม 
6. ความร่วมมือด้านการศึกษาและการส่งเสริมการท่องเที่ยวระหว่างกันเพื่อเพิ่มพูนความสัมพันธ์ระดับประชาชน
7. ความร่วมมือในระดับภูมิภาคโดยเฉพาะในกรอบอาเซียน รวมทั้งในลุ่มแม่น้ำโขงผ่านสถาบันความร่วมมือ เพื่อพัฒนาเศรษฐกิจลุ่มน้ำโขง และกรอบยุทธศาสตร์ความร่วมมือทางเศรษฐกิจ อิรวดี-เจ้าพระยา-แม่โขง 
8. การหารือเกี่ยวกับประเด็นในภูมิภาคและระหว่างประเทศต่าง ๆ อาทิ สถานการณ์ในเมียนมา ความขัดแย้งยูเครน-รัสเซีย ความขัดแย้งอิสราเอล-ปาเลสไตน์ และข้อพิพาทในทะเลจีนใต้

เมื่อการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่าง 'อินโดนีเซีย' กับ 'อิสราเอล' อาจจะเป็น 'การฆ่าตัวตายทางการเมือง' ของรัฐบาลจาการ์ตาในบัดดล

"ประเทศสมาชิก ASEAN 3 ชาติได้แก่ อินโดนีเซีย, มาเลเซีย และบรูไน ซึ่งมีประชากรส่วนใหญ่นับถือศาสนาอิสลามล้วน แต่ไม่มีความสัมพันธ์ทางการทูตกับอิสราเอลเลย ขณะที่อินโดนีเซียได้ออกมาปฏิเสธรายงานที่ว่า รัฐบาลอินโดนีเซียต้องการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตกับอิสราเอลเพื่อสิทธิในการเข้าเป็นชาติสมาชิกขององค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา หรือ Organization for Economic Co-operation and Development (OECD) นั่นก็เพราะการกระทำเช่นนี้ในระหว่างสงครามอันโหดร้ายในฉนวนกาซา จะทำให้เกิด 'ความวุ่นวายและคลื่นแห่งความไม่เห็นด้วย' ในประเทศที่มีประชากรมุสลิมมากที่สุดในโลก" ผู้สังเกตการณ์ด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศรายหนึ่งระบุพร้อมเผยอีกว่า…

หากมีการเคลื่อนไหวดังกล่าวจริงจะถือเป็น ‘การฆ่าตัวตายทางการเมือง’ แม้ข้อตกลงที่อินโดนีเซียต้องรับรู้และสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตกับอิสราเอลอย่างเป็นทางการ ก่อนการลงมติให้อินโดนีเซียเข้าเป็นสมาชิกขององค์การแห่งนี้ ซึ่งมีสมาชิก 38 ประเทศรวมทั้งอิสราเอล จะได้รับการเผยแพร่เมื่อสัปดาห์ที่แล้วโดยเว็บไซต์ข่าว Ynet ของอิสราเอล

สำหรับ OECD เป็นองค์กรระหว่างประเทศของกลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้ว และยอมรับระบอบประชาธิปไตยและเศรษฐกิจการค้าเสรีในการร่วมกันและพัฒนาเศรษฐกิจของภูมิภาคยุโรปและโลก 

แต่เดิมองค์กรนี้ได้ถูกก่อตั้งขึ้นในนาม องค์การความร่วมมือทางเศรษฐกิจของยุโรป หรือ โออีอีซี (Organization for European Economic Co-operation: OEEC) ก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 16 เมษายน 1948 ในช่วงสมัยสงครามเย็น วัตถุประสงค์คือ เพื่อร่วมมือกันฟื้นฟูภาวะเศรษฐกิจของประเทศยุโรปหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ให้กลับคืนมาและคงไว้อย่างมั่นคงตามแนวทางเศรษฐกิจทุนนิยมโดยแผนการมาร์แชลล์ 

โดยบทบาทหลักของ OECD คือการปรับปรุงเศรษฐกิจโลกและส่งเสริมการค้าโลก เป็นทางออกสำหรับรัฐบาลของประเทศต่าง ๆ ในการทำงานร่วมกันเพื่อหาแนวทางแก้ไขปัญหาร่วมกัน ซึ่งรวมถึงการทำงานร่วมกับประเทศประชาธิปไตยที่มีความมุ่งมั่นร่วมกันในการปรับปรุงเศรษฐกิจและความเป็นอยู่ที่ดีของประชากร

อย่างไรก็ตาม การ 'พูดถึง' การสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตกับอิสราเอล ไม่ว่าจะจากรัฐหรือนักการเมืองอินโดนีเซียคนใดก็ตาม "จะเป็นการฆ่าตัวตายทางการเมืองทันที" ซึ่งนี่ก็เป็นคำกล่าวของ Dina Sulaiman นักวิชาการผู้ก่อตั้งศูนย์ศึกษาตะวันออกกลางของอินโดนีเซียที่มองว่า “ประชาชนชาวอินโดนีเซียส่วนใหญ่ยังคงให้การสนับสนุนชาวปาเลสไตน์” ระหว่างที่เธอบอกกับ This Week in Asia

แน่นอนว่า หากประเทศใดต้องการเข้าร่วมเป็นชาติสมาชิกของ OECD ประเทศผู้สมัครจะต้องได้รับการอนุมัติจากชาติสมาชิกปัจจุบันทั้งหมด ซึ่งนั่นก็รวมถึงชาติอย่างอิสราเอลด้วย 

"ประเทศผู้สมัครที่จะได้รับการยอมรับต้องแสดงให้เห็นถึง ความคิดที่เหมือนกันทั้งคำพูดและการปฏิบัติในความสัมพันธ์กับองค์กรและชาติสมาชิกตามแผนงานเพื่อเข้าสู่การเป็นสมาชิกขององค์กรแห่งนี้" นี่คือรายงานของ Ynet ซึ่งอ้างถึงจดหมายที่ Mathias Cormann เลขาธิการ OECD ระบุไว้เมื่อเดือนที่แล้วถึง Israel Katz รัฐมนตรีต่างประเทศอิสราเอล โดยเผยว่า "OECD ตัดสินใจยึดหลักการขององค์กรในการเห็นพ้องอย่างเป็นทางการต่อเงื่อนไขเบื้องต้นที่ชัดเจนและปฏิบัติตาม ซึ่งอินโดนีเซียจะต้องสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตกับประเทศสมาชิก OECD ทั้งหมด ก่อนที่จะมีการตัดสินใจใดๆ ที่จะยอมรับการสมัครเป็นชาติสมาชิกของ OECD”

รายงานยังอ้างถึงจดหมายที่ระบุว่า Katz ได้ส่งถึง Cormann โดนเผยอีกว่า "เขาคาดว่าจะเกิดการเปลี่ยนแปลงเชิงบวก จาก 'นโยบายที่ไม่เป็นมิตร' ของอินโดนีเซียต่ออิสราเอล เพื่อที่ทั้งสองจะได้กระชับความสัมพันธ์" 

รายงานอ้างสิทธิ์ด้วยว่า อินโดนีเซียจะเข้าร่วม OECD ได้นานถึง 3 ปี หากยอมรับในความสัมพันธ์ดังกล่าวกับอิสราเอล แต่อินโดนีเซียก็ปฏิเสธรายงานดังกล่าว โดย Lalu Muhammad Iqbal โฆษกกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวว่า "เราไม่มีแผนที่จะเปิดความสัมพันธ์ทางการทูตกับอิสราเอล โดยเฉพาะอย่างยิ่งภายหลังความโหดร้ายของอิสราเอลในฉนวนกาซา"

Lalu ระบุว่า "จุดยืนของอินโดนีเซียไม่เปลี่ยนแปลง และเรายังคงสนับสนุนเอกราชของปาเลสไตน์อย่างมั่นคงภายใต้กรอบของการแก้ปัญหาสองรัฐ อินโดนีเซียจะมีความสม่ำเสมอและอยู่ในแนวหน้าในการปกป้องสิทธิของชาวปาเลสไตน์เสมอ" 

Lalu กล่าวอีกว่า "อินโดนีเซียอาจต้องใช้เวลา 'ค่อนข้างนาน' ในการเข้าร่วมเป็นสมาชิกของ OECD" แต่ทั้งนึ้ก็มีการตั้งข้อสังเกตว่า จาการ์ตาวางแผนที่จะปรับ Roadmap การเข้าเป็นสมาชิกขององค์กรแห่งนี้ภายในเดือนหน้าเช่นกัน

ทั้งนี้ หากย้อนไปในการประชุมเอกอัครรัฐทูต OECD เมื่อเดือนมกราคม มีรายงานว่าอิสราเอลคัดค้านอินโดนีเซียที่เข้าร่วมองค์กร เนื่องจากไม่มีความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างสองประเทศ และ รัฐบาลจาร์ตารู้ดีว่า เป็นไปไม่ได้เลยที่จะสถาปนาความสัมพันธ์ความสัมพันธ์ปกติกับอิสราเอลในขณะนี้ เมื่อพิจารณาจากความรู้สึกของสาธารณชนท่ามกลางสงครามนองเลือดในฉนวนกาซา ที่มีรายงานชาวปาเลสไตน์มากกว่า 33,000 คนเสียชีวิต

"ในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา ความรู้สึกของสาธารณชนชาวอินโดฯ กลับมาสนับสนุนชาวปาเลสไตน์อย่างมาก เนื่องจากผู้คนมีความกังวลเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นในฉนวนกาซา" สุไลมาน แห่งศูนย์ศึกษาตะวันออกกลางแห่งอินโดนีเซียกล่าว

การทำข้อตกลง Abraham ที่สหรัฐฯ เป็นตัวกลางให้อิสราเอลกับสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์และบาห์เรน 
ในปี 2020

ขณะที่การสำรวจโดยสถาบัน ISEAS-Yusof Ishak ของสิงคโปร์ที่เผยแพร่เมื่อต้นเดือนเมษายนที่ผ่านมา ก็สำทับชัดมุมมองของ สุไลมาน โดยพบว่าผู้ตอบแบบสอบถามชาวอินโดนีเซียร้อยละ 74.7 มองว่าสงครามอิสราเอล-กาซาเป็นปัญหาทางภูมิรัฐศาสตร์อันดับต้นๆ ของพวกเขา และเกือบร้อยละ 80 ของผู้ตอบแบบสอบถามกังวลว่า การโจมตีฉนวนกาซารุนแรงจนเกินไปแล้ว 

อย่างไรก็ตาม อิสราเอลยังมีแนวโน้มที่จะดำเนินการฟื้นฟูทางการทูตกับอินโดนีเซีย เพื่อสร้างมาตรฐานตามแนวทางในข้อตกลง Abraham ซึ่งเป็นข้อตกลงที่สหรัฐฯ เป็นตัวกลางแบบที่อิสราเอลได้ทำกับสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ บาห์เรน และประเทศอาหรับอื่นๆ ตั้งแต่ปี 2020 ผ่านความสัมพันธ์ด้านอื่นๆ ที่ไม่เป็นทางการ เช่น เครื่องบินรบ A-4 Skyhawk ของกองทัพอากาศอินโดนีเซียที่ซื้อจากกองทัพอากาศอิสราเอลระหว่างปี 1979-1982 พร้อมทั้งมีการฝึกนักบินอินโดนีเซียที่ฐานทัพอากาศของอิสราเอลในช่วงเวลาเดียวกัน

เครื่องบินรบ A-4 Skyhawk ของกองทัพอากาศอินโดนีเซียที่ซื้อจากกองทัพอากาศอิสราเอล

สำหรับเป้าหมายของอิสราเอลที่ต้องการสถาปนาความสัมพันธ์กับอินโดฯ ในครั้งนี้ เชื่อว่าจะเป็นสะพานสำคัญในการขยายการทูตไปยังประเทศอื่นๆ ที่มีชาวมุสลิมส่วนใหญ่ในเอเชีย ไม่ว่าจะเป็นมาเลเซีย, ปากีสถาน และบังคลาเทศ ตามมุมมองของ Siti Mutiah Setiawati อาจารย์ด้านธรรมาภิบาลและการเมืองในตะวันออกกลาง และ OECD จะเป็นแม่เหล็กที่ทำให้อินโดนีเซียต้องตัดสินใจ แม้ใน

ทว่าในปัจจุบันก็ยังไม่มีประธานาธิบดีอินโดนีเซียคนใดกล้าเสนอให้เปิดความสัมพันธ์ทางการทูตตามปกติกับอิสราเอลเลย แม้แต่ Jokowi Widodo

สำหรับ ASEAN นั้น ยังไม่มีประเทศใดมีสถานภาพเป็นสมาชิกของ OECD เลย โดยอินโดนีเซียมีสถานภาพเป็นประเทศหุ้นส่วน/พันธมิตรที่เข้าร่วม (Participating Partners) และอยู่ระหว่างการเจรจาเพื่อเข้าเป็นสมาชิก (Negotiating Membership) 

ด้านประเทศไทยเองก็มีสถานภาพเป็นประเทศที่แสดงความสนใจที่จะเป็นสมาชิก (Expressed interest) 

ส่วนประเทศในทวีปเอเชียที่มีสถานะเป็นสมาชิกแล้วได้แก่ ญี่ปุ่น และ เกาหลีใต้ ขณะที่ อินเดีย และ จีน มีสถานภาพเป็นประเทศหุ้นส่วน/พันธมิตรที่เข้าร่วม (Participating Partners) เช่นเดียวกับ อินโดนีเซีย

ชื่นชม!! ‘จนท.ไทย’ รุดช่วยเหลือ ‘เด็กฝรั่ง’ พลัดหลงกับพ่อขณะเล่นน้ำ ด้านชาวเน็ต บอก!! นี่แหละ Soft Power ที่ยิ่งใหญ่ของไทยอย่างแท้จริง

(17 เม.ย.67) เป็นคลิปไวรัลช่วงสงกรานต์ที่ทำเอาใจฟูไปทั้งโซเชียล หลังหนูน้อยชาวต่างชาติพลัดหลงกับพ่อ และได้เดินร้องไห้มาที่จุดปฐมพยาบาล เหล่าเจ้าหน้าที่ไทยได้รีบช่วยเหลือ จนในที่สุดพ่อของหนูน้อยก็ตามมาเจอ พร้อมกับเอ่ยขอบคุณไม่หยุด และบอกว่า “เขารักเมืองไทยและซาบซึ้งกับน้ำใจของคนไทยมาก!”

โดยคลิปดังกล่าวถูกโพสต์จาก TikTok ช่อง @memustation ที่เป็นสมาชิกอาสาสมัครที่อยู่ในจุดปฐมพยาบาลวชิรพยาบาล (ฐาน 46-00) ร่วมกับศูนย์บรรเทาสาธารณภัยภูมินทร์ ที่ตั้งในงานสงกรานต์ที่สีลม

ซึ่งเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 13 เม.ย.67 ช่วงเวลาประมาณ 16.00 น. ได้มีเด็กสาวต่างชาติเดินร้องไห้และมีอาการหนาวสั่นมาคนเดียว จากการสอบถามทราบว่าหนูน้อยชื่อ ลอร่า อายุ 10 ขวบ เป็นชาวฝรั่งเศส พลัดหลงกับพ่อระหว่างเดินเล่นน้ำ

ทางเจ้าหน้าที่จึงนำมาห่มฟลอยด์มาห่มให้น้องคลายหนาว ก่อนจะช่วยกันประสานงานทางวิทยุทุกช่องทุกข่าย ส่งทุกกลุ่มไลน์ที่จะประสานได้

จนในที่สุดมีชายชาวต่างชาติวิ่งเข้ามาและตะโกนว่า “my daughter” และทั้งคู่ก็โผเข้ากอดกันแน่น และพ่อของเด็กก็รีบยกมือไหว้ขอบคุณ พร้อมบอกว่าเขารักเมืองไทย และขอขอบคุณที่ช่วยให้เขาเจอลูก เขาซึ้งใจในน้ำใจของคนไทย

ซึ่งคลิปนี้ทำเอาผู้ได้ชมใจฟูและยิ้มกว้างไปกับพวกเขาด้วย โดยชาวเน็ตต่างพากันชื่นชมการทำงานของเจ้าหน้าที่ และบอกว่า ”นี่แหละคือ soft power ของคนไทยที่แท้จริง!”

‘EGCO Group’ มีมติแต่งตั้ง ‘จิราพร ศิริคำ’  นั่ง ‘กรรมการผู้จัดการใหญ่’ มีผล 1 พ.ค. 67

บริษัท ผลิตไฟฟ้า จำกัด (มหาชน) หรือ EGCO Group ประกาศแต่งตั้ง ดร.จิราพร ศิริคำ ดำรงตำแหน่งกรรมการผู้จัดการใหญ่ กรรมการ และกรรมการในคณะกรรมการชุดย่อย ได้แก่ กรรมการลงทุน กรรมการกำกับความเสี่ยง และกรรมการกำกับดูแลกิจการและความยั่งยืน แทนนายเทพรัตน์ เทพพิทักษ์ ที่ไปดำรงตำแหน่งผู้ว่าการการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม 2567 เป็นต้นไป การแต่งตั้งดังกล่าวเป็นไปตามมติของคณะกรรมการบริษัท ในการประชุมครั้งที่ 5/2567 เมื่อวันที่ 12 เมษายน 2567 ที่ผ่านมา

ดร.จิราพร ศิริคำ มีความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ในธุรกิจไฟฟ้าและนวัตกรรมพลังงาน ตลอดจนการวางแผนกลยุทธ์ทางธุรกิจมาอย่างยาวนาน เคยดำรงตำแหน่ง รักษาการผู้ว่าการ กฟผ. และได้ดำรงตำแหน่งกรรมการ EGCO Group มาตั้งแต่ปี 2565 ทำให้มีความพร้อมในการดำรงตำแหน่งกรรมการผู้จัดการใหญ่ ตลอดจนมีความเข้าใจในทิศทาง การดำเนินธุรกิจของ EGCO Group และเป็นผู้มีส่วนร่วมในโครงการเชิงกลยุทธ์ที่สำคัญ ซึ่งจะช่วยผลักดันการเติบโตของ EGCO Group อย่างต่อเนื่อง 

ดร.จิราพร จะสานต่อการดำเนินธุรกิจของ EGCO Group ตามทิศทาง ‘Cleaner, Smarter and Stronger to drive sustainable growth’ โดยมุ่งเน้นการลงทุนและเดินเครื่องโรงไฟฟ้าคุณภาพสูงที่ใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิง ซึ่งสนับสนุนเป้าหมายการเปลี่ยนผ่านทางพลังงานไปสู่การใช้พลังงานสะอาด รวมทั้งการขยาย Portfolio พลังงานหมุนเวียนให้เพิ่มขึ้นเป็น 30% ภายในปี 2573 โดยมีความได้เปรียบจากการมีพันธมิตรที่แข็งแกร่งใน 8 ประเทศที่มีฐานทางธุรกิจอยู่แล้ว ตลอดจนการบริหารโรงไฟฟ้าที่มีอยู่ในปัจจุบันกว่า 40 แห่ง รวมทั้งธุรกิจพลังงานที่เกี่ยวเนื่องให้มีประสิทธิภาพสูงสุด

ดร.จิราพร เคยดำรงตำแหน่งรองผู้ว่าการธุรกิจเกี่ยวเนื่อง กฟผ. และก่อนหน้านั้น ดำรงตำแหน่งรองผู้ว่าการยุทธศาสตร์ ทำหน้าที่โฆษก กฟผ. ดร.จิราพร สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาเอก วิศวกรรมศาสตร์ (Industrial Engineering and Management) และปริญญาโท วิศวกรรมศาสตร์ (Energy Planning and Policy) จากสถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย (The Asian Institute of Technology - AIT) และปริญญาตรี วิศวกรรมศาสตร์ (วิศวกรรมอุตสาหการ) จากมหาวิทยาลัยขอนแก่น รวมทั้งยังผ่านการฝึกอบรมหลักสูตรผู้บริหารระดับสูงจากสถาบันชั้นนำทั้งในประเทศและต่างประเทศมากมาย

‘บีโอไอ’ เผย!! ‘จีน’ สนใจลงทุนผลิตเซลล์แบตฯ อีวีในไทย คาด!! ปลายปี 67 ตอบรับ 2 ราย เงินลงทุนกว่า 3 หมื่น ลบ.

เมื่อไม่นานมานี้ นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยว่า จากการนำคณะเดินทางไปพบกับผู้บริหารของบริษัทผลิตแบตเตอรี่ชั้นนำระดับโลกจากจีน 7 ราย ได้แก่ CATL, CALB, IBT, Eve Energy, Gotion High-tech, Sunwoda และ SVOLT Energy Technology ระหว่างวันที่ 7-10 เมษายน 2567 ณ มณฑลฝูเจี้ยน และมณฑลกวางตุ้ง สาธารณรัฐประชาชนจีน พบว่า ทุกบริษัทมองเห็นโอกาสทางธุรกิจในไทย และให้ความสนใจอย่างมากต่อ ‘มาตรการส่งเสริมการลงทุนเพื่อผลิตแบตเตอรี่ระดับเซลล์สำหรับยานยนต์ไฟฟ้าและระบบกักเก็บพลังงาน’ ที่บีโอไอเพิ่งออกมาเมื่อเร็ว ๆ นี้ เพื่อดึงให้ผู้ผลิตระดับโลกเข้ามาตั้งฐานผลิตเซลล์แบตเตอรี่ ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมต้นน้ำที่ใช้เทคโนโลยีและองค์ความรู้ ด้านเคมีและวัสดุศาสตร์ขั้นสูง ใช้เงินลงทุนสูง และเป็นหัวใจสำคัญของอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า

โดยมาตรการนี้จะให้สิทธิประโยชน์แก่ผู้ลงทุนหลายด้านที่สำคัญต่อการตัดสินใจลงทุน ทั้งการยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล การยกเว้นอากรขาเข้าเครื่องจักรและวัตถุดิบ และเงินสนับสนุนจากกองทุนเพิ่มขีดความสามารถ ในการแข่งขันฯ เพื่อสนับสนุนค่าใช้จ่ายบางส่วนในการลงทุน การวิจัยและพัฒนา และการพัฒนาบุคลากร  

ผู้ผลิตแบตเตอรี่ทั้ง 7 ราย มองว่าประเทศไทยมีจุดแข็งหลายด้าน โดยเฉพาะการที่รัฐบาล
มีนโยบายส่งเสริมอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าที่ชัดเจนและต่อเนื่อง จะทำให้มีความต้องการใช้เซลล์แบตเตอรี่จำนวนมากในอนาคต จะเห็นได้จากตลาดยานยนต์ไฟฟ้าที่เติบโตอย่างก้าวกระโดด ทั้งรถยนต์ BEV, PHEV และ HEV อีกทั้งภาครัฐมีมาตรการสนับสนุนครอบคลุมยานยนต์ไฟฟ้าทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็นรถยนต์นั่งรถกระบะ ไปจนถึงรถบัส รถบรรทุก และเรือไฟฟ้า ซึ่งจำเป็นต้องใช้แบตเตอรี่ขนาดใหญ่เป็นส่วนประกอบ 

นอกจากนี้ อุตสาหกรรมพลังงานหมุนเวียนที่ขยายตัวอย่างรวดเร็ว ทำให้ความต้องการใช้แบตเตอรี่สำหรับระบบกักเก็บพลังงาน (Energy Storage System: ESS) เพิ่มสูงขึ้นมากในอนาคต ประกอบกับประเทศไทยมีความพร้อมทั้งด้านโครงสร้างพื้นฐาน พื้นที่รองรับการลงทุน บุคลากร และมาตรการสนับสนุนจากภาครัฐ ผู้ผลิตแบตเตอรี่จึงมองเห็นโอกาสที่จะเข้ามาผลิตเซลล์แบตเตอรี่ในประเทศไทย และบางรายจะผลิตต่อเนื่องไปถึงขั้นปลายคือ โมดูลและแพ็ค 

ภายในปีนี้ คาดว่าผู้ผลิตรายใหญ่อย่างน้อย 2 ราย จะมีความชัดเจนในการเข้ามาลงทุนผลิตแบตเตอรี่ระดับเซลล์ในไทย โดยแต่ละรายจะมีขนาดกำลังการผลิตในเฟสแรกประมาณ 6-10 GWh มูลค่าเงินลงทุนเฟสแรกรวมกันกว่า 30,000 ล้านบาท 

สำหรับรายอื่น ๆ บางส่วนกำลังเจรจาธุรกิจกับผู้ร่วมทุนฝั่งไทย และบางรายอยู่ระหว่างการศึกษาข้อมูลเพิ่มเติม เนื่องจากเดิมวางแผนลงทุนผลิตเฉพาะโมดูลและแพ็ค แต่เมื่อทราบว่าประเทศไทยออกมาตรการพิเศษเพื่อส่งเสริมการผลิตเซลล์ จึงให้ความสนใจและจะพิจารณาแผนการลงทุนใหม่ ซึ่งบีโอไอจะติดตามอย่างใกล้ชิด

“ที่ผ่านมาประเทศไทยประสบความสำเร็จในการดึงการลงทุนจากบริษัทผู้นำด้านรถยนต์ไฟฟ้าให้เข้ามาสร้างฐานการผลิตในประเทศ แต่การผลักดันให้ไทยเป็นฐานยานยนต์ไฟฟ้าแบบครบวงจร แบตเตอรี่ถือเป็นหัวใจสำคัญ โดยเฉพาะเซลล์ซึ่งเป็นวัตถุดิบต้นน้ำของแบตเตอรี่ และเป็นตัวกำหนดประสิทธิภาพและระยะทางวิ่งของรถยนต์ไฟฟ้า จากการตอบรับอย่างดีของผู้ผลิตเซลล์แบตเตอรี่ครั้งนี้ เชื่อว่าภายใน 2 ปีข้างหน้า ประเทศไทยจะมีโรงงานผลิตเซลล์แบตเตอรี่ขนาดใหญ่เกิดขึ้น ซึ่งจะเป็นอีกก้าวสำคัญที่จะช่วยเติมเต็มซัพพลายเชนและทำให้อุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าในไทยมีฐานที่มั่นคงในระยะยาว” นายนฤตม์กล่าว 

ปัจจุบันประเทศจีนเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมแบตเตอรี่ของโลก ผู้ผลิตแบตเตอรี่ระดับเซลล์จากจีนมีส่วนแบ่งตลาดรวมกันกว่าร้อยละ 60 โดย CATL มีส่วนแบ่งตลาดอันดับหนึ่ง ด้วยสัดส่วนถึงร้อยละ 37 บริษัทเหล่านี้มิได้ผลิตแบตเตอรี่ป้อนให้กับค่ายรถยนต์ไฟฟ้าจีนเท่านั้น แต่ล้วนมีเครือข่ายระดับโลก และผลิตป้อนให้กับค่ายรถยนต์ชั้นนำทั่วโลกด้วย เช่น CATL ผลิตแบตเตอรี่ให้กับ Tesla, Ford, BMW, Mercedes-Benz, Volkswagen, Kia และเป็นพันธมิตรกับ Toyota 

ขณะที่ Gotion มี Volkswagen เข้าไปถือหุ้นใหญ่ เพื่อร่วมกันวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีแบตเตอรี่ในอนาคต ส่วน EVE Energy ผลิตป้อนให้กับ BMW และ SVOLT มีลูกค้าเป็นแบรนด์รถยนต์ชั้นนำ เช่น BMW และ Stellantis สำหรับ Sunwoda ก็ผลิตแบตเตอรี่ให้กับแบรนด์ชั้นนำจากหลายประเทศ ไม่ว่าจะเป็น Renault, Nissan, Volkswagen, Volvo

บริษัทเหล่านี้อยู่ในห้วงเวลาที่กำลังพิจารณาขยายฐานการผลิตออกนอกประเทศจีน เพื่อรองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่องจากทั่วโลก รวมทั้งลดความเสี่ยงจากปัญหาความขัดแย้งระหว่างขั้วมหาอำนาจที่มีแนวโน้มรุนแรงขึ้น ซึ่งผู้ผลิตบางส่วนได้เริ่มลงทุนสร้างโรงงานแบตเตอรี่ในโซนยุโรป และสหรัฐอเมริกาแล้ว เป้าหมายต่อไปคือ ภูมิภาคอาเซียน ประเทศไทยจึงจำเป็นต้องเร่งดึงการลงทุนและสร้างความร่วมมือกับบริษัทกลุ่มนี้โดยเร็วที่สุด 


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top