Thursday, 16 May 2024
TheStatesTimes

‘จอย ชวนชื่น’ เปิดเซฟ โชว์แบงก์พันกองใหญ่ ลั่น!! “เก็บไว้ใช้ยามแก่ ไม่ต้องง้อลูกหลาน”

(12 เม.ย. 67) ‘จอย ชวนชื่น’ หรือ ‘แสงดาว ทรงแสง’ นักแสดงตลก โพสต์ภาพลงเฟซบุ๊ก เป็นภาพธนบัตรฉบับละ 1 พันบาทจำนวนหลายปึกที่เก็บอยู่ในตู้เซฟ พร้อมเผยความมุมานะการออมเงินไว้ใช้ยามแก่ ระบุว่า 

"เก็บไว้ใช้ยามแก่ค่ะ ไม่ต้องง้อลูกหลาน #จอยชวนชื่น ดูแลตัวเองได้ค่ะ #สุขสันต์วันสงกรานต์"

‘จีน’ ทดสอบการสื่อสาร ‘ดาวเทียมเชวี่ยเฉียว-2’ สำเร็จ หนุนเพิ่มขีดความสามารถสำรวจ ‘ดวงจันทร์’ ในอนาคต

(12 เม.ย.67) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า องค์การบริหารอวกาศแห่งชาติจีนรายงานว่า ดาวเทียมเชวี่ยเฉียว-2 (Queqiao-2) ได้เสร็จสิ้นการทดสอบการสื่อสารในวงโคจรเมื่อไม่นานนี้ โดยแพลตฟอร์มและอุปกรณ์บนดาวเทียมสามารถทำงานเป็นปกติ

ทั้งนี้ องค์การฯ ระบุว่า การทำงานและประสิทธิภาพของดาวเทียมเชวี่ยเฉียว-2 เป็นไปตามข้อกำหนดของภารกิจ และสามารถให้บริการการสื่อสารสำหรับระยะที่ 4 ของโครงการสำรวจดวงจันทร์ของจีน และภารกิจสำรวจดวงจันทร์ของจีนและประเทศอื่น ๆ ในอนาคต

ดาวเทียมเชวี่ยเฉียว-2 ประสบความสำเร็จในการทดสอบการสื่อสารกับยานอวกาศฉางเอ๋อ-4 (Chang’e-4) ซึ่งปัจจุบันกำลังทำภารกิจสำรวจบนด้านไกลของดวงจันทร์ เมื่อวันที่ 6 เม.ย. และดำเนินการทดสอบการสื่อสารกับยานฉางเอ๋อ-6 ซึ่งยังอยู่บนโลก เมื่อวันที่ 8-9 เม.ย.

อนึ่ง ดาวเทียมเชวี่ยเฉียว-2 ถูกส่งขึ้นสู่อวกาศเมื่อวันที่ 20 มี.ค. และเข้าสู่วงโคจรที่กำหนดเมื่อวันที่ 2 เม.ย. หลังจากปรับทิศทางการโคจร หยุดอยู่ใกล้ดวงจันทร์ และเคลื่อนตัวในวงโคจรรอบดวงจันทร์

'ไทย-มาเลย์' อ้าแขนรับ!! บ.ต่างชาติหนีค่าเช่าออฟฟิศแพงในสิงคโปร์ พร้อมชู 'นโยบาย-ภาษี' ดึงดูดใจ ช่วยให้เข้ามาตั้งสำนักงานใหญ่ง่ายขึ้น

(12 เม.ย. 67) ค่าเช่าอาคารสำนักงาน และค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ที่พุ่งสูงขึ้นอย่างมาก ทำให้ ‘สิงคโปร์’ กำลังสูญเสียแต้มต่อในการเป็นฐานที่ตั้งสำนักงานใหญ่ประจำภาคพื้นเอเชีย-แปซิฟิก ของบรรดาบริษัทข้ามชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริษัทสัญชาติญี่ปุ่นและยุโรป ได้เริ่มมีการโยกย้ายบางแผนกออกจากสิงคโปร์ ไปตั้งฐานปฏิบัติการในประเทศใกล้เคียง เช่น ไทย และ มาเลเซีย เพื่อลดต้นทุนค่าใช้จ่าย และขยายโอกาสใหม่ ๆ ทางธุรกิจ 

สำนักข่าวนิกเกอิ เอเชีย สื่อใหญ่ของญี่ปุ่นรายงานว่า ไทยและมาเลเซีย น่าจะได้รับประโยชน์จากความเคลื่อนไหวนี้มากที่สุด อย่างไรก็ตาม กระแสการโยกย้ายที่เกิดขึ้นนี้ เป็นเพียงการย้ายพนักงานจากสำนักงานใหญ่ในบางแผนก เช่น แผนกขายหรือแผนกวางแผนองค์กร ออกจากสิงคโปร์ไปยังประเทศอื่น ๆ ในภูมิภาค ไม่ได้เป็นการย้ายพนักงานออกไปทั้งหมด

เนื่องจากสิงคโปร์ยังคงมีข้อได้เปรียบในเรื่องทำเลที่ตั้ง ความสามารถทางด้านภาษาของบุคลากร และบริการทางการเงิน จึงทำให้เชื่อว่า สิงคโปร์ไม่น่าจะเสียตำแหน่งศูนย์กลาง หรือ ‘ฮับ’ ของบรรดาสำนักงานใหญ่ประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ของบรรดาบริษัทข้ามชาติสัญชาติต่าง ๆ ไปได้ง่าย ๆ

อย่างไรก็ตาม ในกรณีของบริษัทที่มีแผนโยกย้ายบางแผนกหรือบางส่วนงานออกจากสิงคโปร์ ไทยและมาเลเซียถือเป็นทางเลือกในอันดับต้น ๆ โดยทั้งสองประเทศต่างมีนโยบายดึงดูดใจ ให้บริษัทต่างชาติเข้ามาตั้งสำนักงานใหญ่ เช่น นโยบายให้สิทธิประโยชน์ทางด้านภาษี เป็นต้น

องค์การส่งเสริมการค้าต่างประเทศของญี่ปุ่น หรือ เจโทร (JETRO) ได้สำรวจความคิดเห็นของบริษัทญี่ปุ่นที่มีสำนักงานใหญ่ประจำภูมิภาคในสิงคโปร์ ซึ่งผลปรากฏว่า นอกจากบริษัทเหล่านี้จะมีความต้องการย้ายพนักงานบางส่วนออกจากสิงคโปร์มากขึ้นแล้ว การสำรวจยังพบว่า ประเทศไทยยังเป็นจุดหมายปลายทาง ที่บริษัทเหล่านี้เลือกมากที่สุดด้วย และที่รองลงมาคือประเทศมาเลเซีย

การสำรวจของ JETRO ซึ่งเผยแพร่เมื่อเดือนมี.ค.ที่ผ่านมา ชี้ว่า บริษัทญี่ปุ่นในสิงคโปร์ที่มีการโยกย้ายบางแผนกออกจากสิงคโปร์แล้วหรือกำลังมีแผนจะย้าย มี 19 บริษัทที่ตอบว่า ‘ประเทศไทย’ คือจุดหมายปลายทางที่อยากไปมากที่สุด ขณะที่อันดับสองคือ ประเทศมาเลเซีย มี 5 บริษัทที่ตอบว่าอยากย้ายบางแผนกไปที่นั่น 

นายเคสุเกะ อาซาคุระ รองกรรมการผู้จัดการประจำ JETRO สำนักงานสิงคโปร์ ให้ความเห็นว่า ไทยเป็นฐานการผลิตที่บริษัทญี่ปุ่นเข้ามาลงทุนอยู่เป็นจำนวนมากอยู่แล้ว เชื่อว่าเมื่อค่าเช่าสำนักงานและต้นทุนอื่น ๆ ในสิงคโปร์สูงขึ้น การโยกย้ายบางแผนก เช่น ฝ่ายขาย มายังประเทศไทยก็จะมีมากขึ้นด้วย แต่ยังไม่ใช่การย้ายมาทั้งหมด 

นอกเหนือจากบริษัทญี่ปุ่นแล้ว บริษัทยุโรปเองก็มีความเคลื่อนไหวในลักษณะเช่นเดียวกันนี้ โดยผลสำรวจของหอการค้ายุโรปเมื่อปีที่ผ่านมา (2566) พบว่า บริษัทผู้ตอบแบบสำรวจ 69% เล็งย้ายพนักงานบางส่วนออกจากสิงคโปร์เพื่อหนีต้นทุนในการดำเนินงานที่สูงขึ้นเช่นกัน

15 เมษายน 2567 วันสำคัญที่ควรจารึกไว้ในประวัติศาสตร์พลังงานไทย ครั้งแรกที่ผู้ค้าน้ำมันต้องแจ้งต้นทุน 'นำเข้า-ส่งออก' ต่อจากนี้ทุกเดือน

ครั้งแรกในประวัติศาสตร์ชาติไทย!! กับนโยบายกำกับควบคุมราคาน้ำมันเชื้อเพลิง เพื่อให้ราคาจำหน่ายเป็นไปตามต้นทุนจริงและให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่พี่น้องประชาชนคนไทย ภายหลัง นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ ได้ออกประกาศกระทรวงพลังงาน เรื่อง การแจ้งข้อมูลเกี่ยวกับการนำเข้าและส่งออกน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2567 

โดยประกาศกระทรวงพลังงานฉบับนี้ได้กำหนดให้ผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา 7 แห่งพระราชบัญญัติการค้าน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2543 ต้องรายงานข้อมูลรายละเอียดราคาและต้นทุนที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับการนำเข้าและการส่งออกน้ำมันเชื้อเพลิงต่ออธิบดีกรมธุรกิจพลังงานทราบภายในวันที่ 15 ของเดือน ถัดจากเดือนที่มีการบันทึกบัญชีรายวัน โดยราชกิจจานุเบกษาได้เผยแพร่ประกาศกระทรวงพลังงานฉบับดังกล่าวเมื่อ 13 มีนาคม 2567 และให้มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 14 มีนาคม 2567 เป็นต้นไป

หมายความว่า ต่อจากนี้ ผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา 7 ต้องแจ้งราคาต้นทุนเฉลี่ยและหลักเกณฑ์ที่ใช้ในการคำนวณต้นทุนเฉลี่ยของน้ำมันเชื้อเพลิงในทุกไตรมาส และในกรณีที่ผู้ค้าน้ำมันมีการปรับปรุงการบันทึกบัญชี หรือเปลี่ยนแปลงข้อมูลจะต้องแจ้งให้อธิบดีกรมธุรกิจพลังงานทราบภายใน 7 วัน โดยข้อมูลที่ได้รับมาจะถือเป็นข้อมูลลับของทางราชการและจะมีการเก็บรักษาเป็นความลับอย่างที่สุด

สำหรับต้นทุนเฉลี่ยของน้ำมันเชื้อเพลิงซึ่งถือเป็นข้อมูลที่จำเป็นในการกำหนดนโยบายด้านการพลังงานที่เหมาะสมนั้น ประกอบด้วย ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ซึ่งหมายความรวมถึงน้ำมันดิบ, ก๊าซธรรมชาติ, ก๊าซปิโตรเลียมเหลว, น้ำมันเบนซิน และน้ำมันดีเซล และต้นทุนอื่นที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับการซื้อและขายน้ำมันเชื้อเพลิง เช่น ค่าขนส่ง, ค่าประกันภัย, ค่าตอบแทนนายหน้า, ค่าใช้จ่ายในการแลกเปลี่ยนและโอนเงิน, ค่าภาษี, อากร หรือค่าธรรมเนียมอื่นใด ซึ่งผู้ประกอบการได้บันทึกบัญชีและมีหน้าที่ต้องชำระ โดยคำนวณเฉลี่ยเป็นหน่วยต่อลิตรในแต่ละรายไตรมาสของปีบัญชี

ทั้งนี้ ด้วยเพราะน้ำมันเชื้อเพลิงเป็นต้นทุนหลักของภาคธุรกิจในการประกอบกิจการ หากน้ำมันเชื้อเพลิงที่จำหน่ายภายในประเทศนั้น มีการค้ากำไรเกินสมควร มีปริมาณการจัดจำหน่ายที่ไม่เพียงพอ หรือไม่ได้คุณภาพแล้ว ย่อมจะส่งผลกระทบในทางลบและสร้างความเสียหายอย่างรุนแรงทั้งต่อประชาชน และระบบเศรษฐกิจของประเทศโดยรวม 

ดังนั้นประกาศกระทรวงพลังงานฉบับนี้ จึงมีความจำเป็นต่อการกำหนดนโยบายด้านพลังงานของประเทศเป็นอย่างยิ่ง เพื่อให้ภาครัฐโดยกระทรวงพลังงานมีข้อมูลที่จำเป็นสำหรับกำหนดนโยบายด้านพลังงานให้เกิดความถูกต้องเหมาะสม อันจะทำให้ราคาจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงภายในประเทศนั้นมีความยุติธรรม ด้วยมีการสะท้อนต้นทุนที่แท้จริง และเป็นการคุ้มครองไม่ให้มีการค้ากำไรเกินสมควรในการจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิง เพื่อมิให้พี่น้องประชาชนคนไทยได้รับความเดือดร้อนจากราคาน้ำมันที่ไม่ถูกต้องและเป็นธรรม เป็นการสนับสนุนและส่งเสริมให้ผู้ประกอบธุรกิจทุกประเภทและทุกระดับให้มีขีดความสามารถอย่างเท่าเทียมสำหรับการแข่งขันทางการค้าในระดับประเทศ ระดับภูมิภาค และระดับโลกได้เพิ่มมากขึ้นอีกด้วย

ดังนั้น ในวันนี้ 15 เมษายน 2567 จึงเป็นวันแรกและครั้งแรกของประเทศไทยที่ผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา 7 ต้องแจ้งข้อมูลต้นทุนที่เกี่ยวข้องกับน้ำมันต่ออธิบดีกรมธุรกิจพลังงานทุกเดือน โดยประกาศฉบับนี้จะช่วยดำเนินการจัดการให้เกิดความชัดเจนในเรื่องของราคาจำหน่ายของน้ำมันเชื้อเพลิงที่ต้องอิงกับราคาตลาดโลก 

เพราะทุกครั้งเมื่อราคาน้ำมันในตลาดโลกขึ้นราคา ผู้ค้าน้ำมันทุกราย ก็จะประกาศขึ้นราคาตามราคาตลาดโลกทันที ทั้งๆ ที่ราคาน้ำมันในประเทศควรเป็นไปตามราคาที่สะท้อนต้นทุนที่แท้จริง ณ เวลานั้นๆ 

งานนี้ ก็คงต้องขอบคุณตรงๆ ไปยัง นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ ที่ได้ออกประกาศกระทรวงพลังงานฉบับดังกล่าว ซึ่งนี่แหละที่จะเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญที่จะช่วยให้ประชาชนคนไทยและระบบเศรษฐกิจของประเทศไทยโดยรวมได้รับประโยชน์เต็มๆ จากประกาศฉบับนี้ ผ่าน...ราคาพลังงานที่เป็นธรรม!!

15 เมษา ถึงเวลา 'ปลดแอก' คนไทยจากราคาพลังงานแบบเดิมๆ เสียที...

'ศาลเวียดนาม' จัดโทษประหาร Truong My Lan เจ้าแม่อสังหาฯ ผู้สร้างตำนานโกงแบงก์หมื่นล้าน

เมื่อวานนี้ (11 เม.ย. 67) ศาลนครโฮจิมินห์ ได้ตัดสินคดีฉ้อโกง 1.2 หมื่นล้านเหรียญ ของเจ้าแม่อสังหาริมทรัพย์ Truong My Lan ประธานใหญ่บริษัท Van Thinh Phat Group ที่ตอนนี้ถูกยกให้เป็นคดีประวัติศาสตร์ของเวียดนามเลยทีเดียว ด้วยมูลค่าความเสียหายจัดว่าสูงที่สุดในบรรดาคดีคอร์รัปชันทุกคดีในย่านอาเซียน 

และก็สมใจชาวเวียดนาม ที่ติดตามคดีนี้อย่างใกล้ชิดและคาดหวังให้ลงโทษสูงสุด เพื่อเป็นคดีตัวอย่างว่า รัฐบาลเวียดนามไม่ได้เก่งแต่เชือดไก่ เพราะลิงเบื่อแล้ว อยากดู 'หงส์' ถูกเชือดบ้าง 

โดยศาลเวียดนามก็จัดให้ หลังจากวินิจฉัยหลักฐานมานานกว่า 1 เดือน ด้วยการตัดสินให้ อดีตเศรษฐินีเบอร์ 1 ของเวียดนามต้องโทษสูงสุดถึง 'ประหารชีวิต' จากคดียักยอก ฉ้อโกง เงินจากธนาคาร Saigon Commercial Bank มานานกว่า10 ปี รวมมูลค่ากว่า 3 ร้อยล้านล้านดอง (1.24 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ) 

คดีนี้ จัดเป็นคดีที่ไม่ธรรมดา และไม่บ่อยนักที่ศาลเวียดนามจะตัดสินโทษถึงประหารชีวิตกับผู้ต้องหาหญิง ยิ่งเป็นระดับนักธุรกิจใหญ่ขนาดนี้ อีกทั้งยังเป็นคดีที่ต้องพิจารณาหลักฐานจำนวนมากมายมหาศาล ด้วยเอกสารอัดแน่นถึง 104 กล่อง ที่มีน้ำหนักรวมกันถึง 6 ตัน รวมกับพยานบุคคลที่ถูกเรียกตัวมาให้การอีกกว่า 2,700 คน และใช้อัยการรัฐถึง 10 คน กับทนายอีก 200 คน ที่ต้องลงมาทำคดีนี้ 

และนอกจาก Truong My Lan แล้ว ยังมีจำเลยที่เกี่ยวข้องในคดีฉ้อโกงนี้อีก 85 คน ทั้งหมดถูกตัดสินว่าผิดจริง และ ต้องโทษจำคุกไล่เลียงกันไปตั้งแต่ 3 ปี ไปจนถึงจำคุกตลอดชีวิต 

ซึ่งหนึ่งในผู้ต้องหามีสามีของ และ หลานสาวของ Truong My Lan รวมอยู่ด้วย และถูกตัดสินจำคุกเช่นกัน โดยสามีของเธอจำคุกนาน 9 ปี ส่วนหลานสาวผู้ช่วยต้องโทษจำคุกนานถึง 17 ปี 

เดวิด บราวน์ อดีตเจ้าหน้าที่กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ กล่าวว่า จากประสบการณ์ที่ผ่านมาของเขา ไม่เคยเห็นคดีที่มีการไต่สวนครั้งใหญ่ขนาดนี้มาก่อนในยุครัฐบาลคอมมิวนิสต์เวียดนาม จึงพูดได้ว่านี่เป็นคดีที่น่าทึ่งที่สุดในแคมเปญการต่อต้านการทุจริตของพรรคคอมมิวนิสต์เวียดนามยุคใหม่ ภายใต้การนำของเลขาธิการพรรค เหงียน ฟู้ จ่อง

โดย เหงียน ฟู้ จ่อง เป็นผู้มีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนนโยบายปราบปรามการทุจริต คอร์รัปชัน จากกระแสความไม่พอใจของชาวเวียดนามที่มีต่อพรรคคอมมิวนิสต์ พรรคที่ผูกขาดอำนาจอย่างยาวนานในเวียดนาม 

เหงียน ฟู้ จ่อง เห็นว่าหากปล่อยปละละเลยต่อไป ไม่ช้าความไม่พอใจ ก็จะเปลี่ยนเป็นความโกรธแค้นของประชาชน ที่จะนำไปสู่การลุกฮือต่อต้าน ซึ่งนั้นหมายถึงภัยคุกคามของพรรคคอมมิวนิสต์เวียดนาม 

และเพื่อเป็นการตัดไฟแต่ต้นลม แคมเปญต่อต้านคอร์รัปชันจึงเกิดขึ้นในช่วงปี 2016 เกิดการล้างบางทุจริตในวงราชการครั้งมโหฬาร และส่งข้าราชการในตำแหน่งติดคุกมาแล้วหลายร้อยคน แถมสะเทือนถึงคนระดับผู้นำประเทศ เพราะทำให้ประธานาธิบดีถูกกดดันให้ลาออก จากข้อหาคดีคอร์รัปชันมาแล้วถึง 2 คน 

ซึ่งล่าสุด ประธานาธิบดีเวียดนาม ที่ถูกหางเลขจากนโยบายปราบโกงของพรรคจนต้องลาออกก็คือ หวอ วัน เถือง หลังจากดำรงตำแหน่งได้เพียง  1 ปี เท่านั้น นับเป็นประธานาธิบดีที่ดำรงตำแหน่งสั้นที่สุดของเวียดนาม 

มาวันนี้ คดีของเจ้าแม่อสังหาริมทรัพย์ Truong My Lan กลายเป็นผลงานชิ้นโบแดงของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งเวียดนาม ที่สามารถจารึกใน Hall of Fame ของพรรคได้เลย 

และ ยังเป็นการสร้างความเชื่อมั่นให้กับชาวเวียดนามว่า รัฐบาลเวียดนามเอาจริง ทำผิด คิดโกง ก็ติดคุกได้หมด ไม่สนลูกใคร ไม่ใช่เก่งแค่กับคนระดับไก่กาอาราเล่ และยอมรับว่าเป็นเรื่องหนึ่งที่ทำให้เรารู้สึกอิจฉาเวียดนาม ว่าเขาไปไกลกว่าเราจริง ๆ 

‘โตเกียว’ พบ 18 คนป่วย ‘อาหารเป็นพิษ’ หลังกินซูชิปลา เฉลย!! เจอ ‘ปรสิต Kudoa’ แทรกซึมอยู่ อึ้ง!! เพราะเป็นครั้งแรก

(12 เม.ย.67) สำนักข่าวญี่ปุ่น รายงาน หน่วยงานบริหารมหานครโตเกียวเผยเกิดเหตุการณ์อาหารเป็นพิษครั้งใหญ่ขึ้นที่บ้านพักคนชราในเขตเนริมะ กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น เมื่อปลายเดือนมีนาคม ส่งผลให้ผู้สูงอายุ 17 คน (อายุ 63 ถึง 98 ปี) และพนักงาน 1 คนมีอาการอาเจียนและท้องเสีย

อย่างไรก็ตาม หลังจากการสอบสวนพบว่าทั้ง 18 คน มีอาการแสดงหลังจากรับประทานซูชินิกิริปลาลิ้นหมาเป็นอาหารกลางวัน และทางสาธารณสุขพบปรสิต ‘Kudoa’ ในนิกิริซูชิ นับเป็นครั้งแรกที่โตเกียวประสบภาวะอาหารเป็นพิษจากปรสิตดังกล่าว

ทั้งนี้ โชคดีที่ 18 ราย มีอาการไม่รุนแรง และกำลังพักฟื้น ศูนย์สาธารณสุขให้คำแนะนำแก่สถานที่เพื่อป้องกันการเกิดซ้ำ และต้นกำเนิดของปลาลิ้นหมาที่กำลังเป็นปัญหาอยู่ระหว่างการสอบสวน

ตามข้อมูลของเว็บไซต์กระทรวงสาธารณสุข แรงงาน และสวัสดิการ ปรสิต Kudoa อาจจะสูญเสียความสามารถในการก่อโรคหากนำไปแช่แข็งที่อุณหภูมิ -20 องศาเซลเซียส เป็นเวลา 4 ชั่วโมงขึ้นไป หรือให้ความร้อนจนถึงอุณหภูมิแกนกลางที่ 75 องศาเซลเซียส เป็นเวลา 5 นาทีหรือมากกว่านั้น

ทั้งนี้ ปรสิต Kudao เป็นสกุล Myxozoa และเป็นสกุลเดียวที่ได้รับการยอมรับในวงศ์ Monotypic Kudoidae มีประมาณ 100 สายพันธุ์ ซึ่งทั้งหมดเป็นปรสิตในเนื้อเยื่อของกล้ามเนื้อของปลาทะเลและปลาปากแม่น้ำ โดยมีขนาดประมาณ 0.01 มม. หากบังเอิญทานปลาที่มีปรสิตจำนวนมากอาจก่อให้เกิดอาการ เช่น อาเจียนและท้องร่วงจะเกิดขึ้นภายในไม่กี่ชั่วโมง

‘เด็กไทยบางส่วน’ ยึดค่านิยมตาม ‘เด็กฝรั่ง’ อยากใช้ชีวิตเอง ไม่ต้องดูแลพ่อแม่ แต่กลับ ‘ประพฤติตน’ ตรงกันข้าม

(12 เม.ย. 67) ผู้ใช้เฟซบุ๊ก ‘Vee Chirasreshtha’ โพสต์ข้อความระบุว่า…

“อยากเป็นอย่าง ‘ฝรั่ง’ อยากมีค่านิยมแบบ ‘เลี้ยงตัวเอง’ ไม่ต้องเลี้ยงพ่อแม่แบบฝรั่ง แต่ไม่ทำอย่างเด็กฝรั่ง ไม่ไปหาเงินเองตั้งแต่เป็นวัยรุ่น ไม่ไปทำงานพาร์ตไทม์ เสียภาษีหนัก ๆ แบบวัยรุ่นฝรั่งเขาทำกัน ‘ตลกดี’ วัยรุ่นฝรั่งอายุ 16 เขาไปทำงานหาเงิน จ่ายค่าเทอม ค่าน้ำมันรถ ค่าใช้จ่ายส่วนตัว ทำได้อย่างเขาหรือเปล่า?”

ภายหลังจากโพสต์ข้อความไปแล้ว ก็มีผู้คนเข้ามาแสดงความคิดเห็นเป็นจำนวนมาก เช่น 

-เลือกเอาเฉพาะที่ถูกใจ หลัก ๆ คืออันไหนที่กูสบายนะแหล่ะเอาหมด

-ไม่ต้องฝรั่งเลย คนไทยที่ไปเรียนต่อต่างประเทศ หรือ เกิดที่นั้น ก็ทำงานหาเงินเองทั้งนั้น

-20 แล้วยังขอตังค์อยู่เลย

-ก็รับงานทำลายชาติ หาเงินเลี้ยงดูพ่อแม่ ออกจากบ้านและระบบการศึกษาตั้งแต่อายุ 14 แล้วไง เงินดี ภาษีไม่ต้องเสีย เป็นไอดอลให้คนทำตาม แต่คนทำตามไม่ได้อะไรนะ

- เอาไรมาก ภาษีกู = Vat7% อยู่เลย เป็นต้น

ศบภ.ทรภ.1 ตรวจความพร้อม 5 จุดบริการ ปชช. ช่วงสงกรานต์

วันที่ 12 เมษายน 2567 เวลา 09.00 น. พลเรือตรีกรัณย์ กลิ่นบัวแก้ว รองผู้บัญชาการทัพเรือภาคที่ 1/รองผู้อำนวยการ ศูนย์บรรเทาสาธารณภัยทัพเรือภาคที่ 1 (รอง ผบ.ทรภ.1/รอง ผอ.ศบภ.ทรภ.1)
เป็นผู้แทน ผู้บัญชาการทัพเรือภาคที่ 1/ผู้อำนวยการ ศูนย์บรรเทาสาธารณภัยทัพเรือภาคที่ 1 ตรวจความพร้อมของจุดบริการประชาชนช่วงเทศกาลสงกรานต์ ของหน่วยสนับสนุนต่าง ๆ ใน ศบภ.ทรภ.1 และหน่วยราชการในพื้นที่ และให้แนวทางในการให้ความช่วยเหลือประชาชนในห้วงเทศกาลสงกรานต์พร้อมทั้งมอบกระเช้าบำรุงขวัญเพื่อเป็นกำลังใจแก่กำลังพลที่ปฏิบัติงาน โดยมีการตรวจเยี่ยมจุดบริการประชาชน จำนวน 5 จุด ได้แก่ จุดบริการประชาชน หน้าประตูใหญ่ หน่วยบัญชาการต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่ง จุดบริการประชาชน หน้าค่ายพระมหาเจษฎาราชเจ้า กองพลนาวิกโยธิน

จุดบริการประชาชน ปั๊มนำ้มัน ปตท. กองการบินทหารเรือ กองเรือยุทธการ จุดบริการประชาชน ชายหาดบางเสร่ (ทัพเรือภาคที่ 1) และจุดบริการประชาชน หมวดทางหลวงสัตหีบ (กองพันสารวัตรทหารเรือที่ 2 ฐานทัพเรือสัตหีบ) ผลการปฏิบัติ เป็นไปด้วยความเรียบร้อย

นิราช/นันทพล ทิพย์ศรี ชลบุรี 0909535645

‘ปทส.’ เผย ความคืบหน้าคดี ‘กากแคดเมียม’ ยัน!! ขณะนี้พบ 1.25 หมื่นตันแล้ว จาก 1.3 หมื่นตัน

(12 เม.ย.67) ที่กองปราบปราม ถ. พหลโยธิน แขวงจอมพล เขตจตุจักรกรุงเทพมหานคร พล.ต.ต.วัชรินทร์ พูสิทธิ์ ผู้บังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ผบก.ปทส.) เปิดเผยถึงความคืบหน้าคดีกากแคดเมียมว่า

สำหรับกากแคดเมียมที่ตรวจพบแล้วกว่า 1.2 หมื่นตันนั้นขณะนี้ บก.ปทส. อยู่ระหว่างการขออนุญาตสอบสวนจากกองบัญชาการสอบสวนกลาง เมื่อได้รับอนุญาต จะดำเนินการตรวจสอบการขนย้ายตั้งแต่ต้นทางถึงปลายทาง เกี่ยวกับการชั่งน้ำหนัก

ส่วนเหตุผลที่ยังไม่แจ้งข้อกล่าวหา นายเจษฎา เก่งรุ่งเรืองชัย กรรมการบริษัท เจ แอนด์ บี เมททอล จำกัด นั้น เพราะ บริษัท เจ แอนด์ บีฯ ได้รับอนุญาตให้เป็นที่ปลายทางที่ลงของกากแคดเมียม ดังนั้น การดำเนินการเรื่องครอบครองวัตถุอันตรายฯ จึงต้องดูเจตนาก่อน เพราะต้องประกอบด้วย 4 พ.ร.บ. ได้แก่ พ.ร.บ.ควบคุมอาคาร, พ.ร.บ.แร่, พ.ร.บ.สาธารณสุข, พ.ร.บ.ส่งเสริมรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม เท่ากับว่าตอนนี้จะสามารถแจ้งข้อกล่าวหาได้แค่ ผิด พ.ร.บ.โรงงาน เท่านั้น

นอกจากนี้ ในการขนกากแคดเมียมดังกล่าว เชื่อว่าจะต้องมีเจ้าหน้าที่รัฐให้ความร่วมมือ ซึ่งเชื่อได้ว่าทำกันเป็นขบวนการ โดยตอนนี้ต้องรอให้มีการร้องทุกข์กล่าวโทษกับอุตสาหกรรมจังหวัดก่อน แต่ก่อนหน้านี้ทีมสอบสวนได้มีการลงพื้นที่จังหวัดตาก เพื่อข้อมูลเอกสารต่าง ๆ แล้ว แต่ทางกระทรวงอุตสาหกรรม ประสงค์ที่จะตรวจสอบข้อมูลทั้งหมดเอง โดยผ่านการตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงก่อน ซึ่งหากคณะกรรมการชุดนี้ได้รวบรวมเอกสารแล้ว ทางตำรวจก็จะขอนำมาดำเนินการตรวจสอบว่ามีเจ้าหน้าที่คนไหนบกพร่อง และจะประสาน บก.ปปป. ดำเนินคดีต่อไป

ส่วนกากแคดเมียมที่เหลือ ที่ยังตรวจไม่พบนั้น หากอิงจากข้อมูลการขนส่งที่ระบุว่า มีทั้งหมด 1.3 หมื่นตัน แต่ขณะนี้พบแล้วกว่า 1.25 หมื่นตัน ซึ่งถือว่าใกล้เคียงมากแล้ว ซึ่งอาจจะครบแล้วเพราะการที่เข้าไปตรวจดู ก็เป็นการประมาณการณ์จากถุงที่บรรจุ ไม่ได้ชั่งจริง ดังนั้น จึงต้องรอให้มีการตรวจสอบตาชั่ง ตรวจสอบการขนให้ชัดเจน 

'พล.ต.ท.สำราญฯ' ลงพื้นที่ชายแดนใต้ แถลงผลการจับกุมยาเสพติด 4 เครือข่าย และตรวจเยี่ยมฐานปฏิบัติการ กำชับมาตรการดูแลประชาชน ในช่วงเทศกาลรายอ และเทศกาลสงกรานต์

วันนี้ (12 เม.ย.67) เวลา 10.00 น. ที่ศูนย์ปฎิบัติการสำนักงานตำรวจแห่งชาติส่วนหน้า อ.เมือง จ.ยะลา พล.ต.ท.สำราญ นวลมา ผู้ช่วย ผบ.ตร./ผบ.ศปก.ตร.สน. และ พล.ต.ท.ปิยะวัฒน์ เฉลิมศรี ผบช.ภ.9/รอง ผบ.ศปก.ตร.สน.(1) พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ 3 ฝ่าย ได้ร่วมแถลงผลการจับกุมเครือข่ายยาเสพติดรายสำคัญในพื้นที่ จำนวน 4 เครือข่าย ผู้ต้องหา 10 คน ตรวจยึดยาเสพติด ไอช์ จำนวน 681 กก., ยาบ้า จำนวน 930,000 เม็ด, อาวุธปืน 2 กระบอก และตรวจยึดทรัพย์สินตามประมวลกฎหมายยาเสพติดมูลค่าประมาณ 3,900,000 บาท พร้อมทั้งได้ประชุมกำชับการปฏิบัติหน้าที่ของกำลังพล ให้มีความพร้อมอำนวยความสะดวกด้านจราจร สามารถดูแลประชาชนในห้วงเทศกาลรายอ และเทศกาลสงกรานต์

ต่อมาช่วงบ่าย พล.ต.ท.สำราญ ฯ พร้อมคณะ ได้เดินทางไปตรวจเยี่ยมหน่วยฐาน มว.ฉก.นปพ.นธ.21 อ.รือเสาะ จ.นราธิวาส และฐาน มว.ฉก.นปพ.ปน.32 อ.ทุ่งยางแดง จ.ปัตตานี เพื่อรับฟังปัญหาของหน่วยและร่วมกันกำหนดแนวทางแก้ไข ตลอดจนการวางมาตรการการปฏิบัติในการป้องกันหน่วย การป้องกันการโจมตี รวมถึงการปฎิบัติการเชิงรุกและรับ เพื่อให้เกิดผลการปฏิบัติอย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมทั้งได้มอบสิ่งของเพื่อเป็นขวัญและกำลังใจกำลังพลประจำฐานปฏิบัติการ โดยเชื่อมั่นว่ากำลังพลในพื้นที่มีพร้อมที่จะดูแลและอำนวยความสะดวกประชาชนในพื้นที่ในห้วงเทศกาลดังกล่าวได้อย่างมีประสิทธิภาพ


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top