Monday, 9 June 2025
TheStatesTimes

‘ดร.อานนท์’ โต้ ‘รศ.วิทยากร’ ปม รัชกาลที่ 5 ไม่ได้สร้าง ‘จุฬาฯ’ เผย!! ทรงสร้างโรงเรียนข้าราชการพลเรือน ที่ต่อมาคือ ‘จุฬาฯ’

(3 เม.ย. 67) จากเฟซบุ๊ก ‘Witayakorn Chiengkul’ โดย รองศาสตราจารย์ วิทยากร เชียงกูล ได้โพสต์ข้อความระบุว่า...

“ประวัติการสร้างจุฬาฯ มหาวิทยาลัยแห่งแรก ที่ผมเคยอ่านพบคือ ร.๕ ไม่ได้สร้าง มีฝรั่งที่ปรึกษาและปัญญาชน อย่าง ‘ครูเทพ’ เคยเสนอแนะให้สร้างตั้งแต่ยุคนั้น แต่ไม่เกิดผล หลัง ร.๕ สวรรคต รัฐบาลยุค ร.๖ เรี่ยไรเงินจากประชาชนก่อสร้างอนุสาวรีย์ ร.๕ ทรงม้าที่ลานพระรูป แล้วยังมีเงินเหลือ รัฐบาลจึงได้นำไปสร้างจุฬาฯ คงต้องใช้เงินรัฐบาลสมทบด้วย แต่งบรัฐบาลก็มาจากภาษีประชาชนอยู่นั่นเอง”

หลังจากข้อความดังกล่าวปรากฏ ผศ.ดร.อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์ อาจารย์ประจำคณะสถิติประยุกต์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) ก็ได้อธิบายความเพื่อตอบโต้โพสต์ดังกล่าว ไว้ว่า…

“กราบเรียนว่า ข้อมูลอาจารย์ไม่ถูกต้องทั้งหมดครับ...

1. รัชกาลที่ 5 ทรงสร้างโรงเรียนข้าราชการพลเรือน ซึ่งต่อมาคือ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยครับ ดังนั้นจึงมีความต่อเนื่อง 

2. พระบรมรูปทรงม้า สร้างในสมัยรัชกาลที่ 5 ครับ ไม่ได้สร้างหลัง ร.5 เสด็จสวรรคตครับ แต่สร้างคราวเสด็จนิวัติพระนครหลังจากเสด็จไกลบ้านครั้งที่ 2 ครับ รัฐบาลไม่ได้เรี่ยไรครับ ประชาชนรวมเงินกันถวายสร้างพระบรมรูปทรงม้า ได้เงินมามากเกินกว่าที่จะสร้างพระบรมรูปทรงม้า 6-7 เท่า แต่ก็เก็บเงินไว้เฉย ๆ 

3. ครูเทพ ท่านกราบบังคมทูลให้สร้างมหาวิทยาลัยจริงครับ แต่เป็นในสมัย รัชกาลที่ 6 

4.ในหลวงรัชกาลที่ 6 ทรงดำริตั้งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย”

‘อาร์ต พศุตม์’ ชวน ‘ป้าปูนา’ มาขายของ พร้อมแบ่งพื้นให้ฟรี แถมจ่อยกรายได้ทั้งหมดให้ ลั่น!! เข้าใจหัวอกพ่อค้าแม่ค้า 

(3 เม.ย.67) หลัง ‘คุณป้าปูนา’ เจ้าของร้านอ่องปูนา ‘ปูนาฟ้าใส พระรามสอง’ เจ้าหนี้ที่ทวงเงินตลกดัง ‘จั๊กกะบุ๋ม เชิญยิ้ม’ กลางห้างดังย่านบางใหญ่ ไปออกรายการโหนกระแสเผชิญหน้ากับ จั๊กกะบุ๋ม เมื่อวานนี้ ซึ่งทุกคนที่ได้ชมได้ฟังการตอบทั้งสองฝั่ง และคิดเห็นไปทางเดียวกัน คือ ถล่มด่าจั๊กกะบุ๋ม รัว ๆ ที่เป็นหนี้แล้วไม่มี ไม่หนี ไม่จ่าย รวมทั้งรู้สึกเห็นใจป้าปูนามาก ๆ ที่แทบจะสิ้นเนื้อประดาตัว จากลูกหนี้แบบนี้ สิ่งดีงามที่ตามมาจากเรื่องนี้ คือคนพร้อมใจกับยื่นมือให้ความช่วยเหลือป้ากันล้นหลาม หนึ่งในนั้นมีพระเอกกล้ามโตอย่าง ‘อาร์ต พศุตม์’ ได้โพสต์ข้อความชวนป้าปูนา มาขายของด้วยกัน ผ่านอินสตาแกรมส่วนตัว @art_phasut98 โดยระบุว่า…

“คุณชายหมูกรอบทานคู่กับอ่องปูนา น่าจะอร่อยแน่ ๆ อยากชวนปูนาฟ้าใส มา X กับ คุณชายหมูกรอบ มาออกบูธด้วยกัน สนใจติดต่อมานะครับ พร้อมสนับสนุน” พร้อมใส่แคปชันใต้โพสต์ดังกล่าวเพิ่มเติมว่า “เข้าใจหัวอกพ่อค้าแม่ค้าคับ อยากสนับสนุนคุณป้าปูนาคับ น่าจะอร่อย (ผมชอบกินอ่องปูอยู่แล้วด้วย) โทรไปหาป้าแล้ว คงกำลังยุ่งกับออเดอร์แน่ ๆ” ซึ่งก็มีเพื่อนดารานักแสดงและแฟน ๆ เข้ามาคอมเมนต์สนับสนุนไอเดียของเจ้าตัวกันอย่างเนืองแน่น

ทั้งนี้ ทีมนักข่าว ได้ต่อสายตรงหา ‘อาร์ต พศุตม์’ เพื่อสอบถามเรื่องนี้ โดย ‘อาร์ต พศุตม์’ เผยว่า “ตอนนี้ผมติดต่อป้าได้แล้ว ป้าบอกพรุ่งนี้จะมาที่บูธของผม เวลาราว ๆ ประมาณ 4 โมงเย็น ปกติเวลาไปออกบูธขายของด้วยความที่เขาไม่ได้มีชื่อเสียง คนอาจจะสนใจเขาน้อย แต่ผมมีชื่อเสียงและมาขายของที่บูธทุกวัน ผมจะแบ่งพื้นที่ในบูธของผมให้ป้าส่วนหนึ่ง ให้ป้าขายข้าง ๆ กัน ผมก็จะช่วยยืนขายอยู่ข้าง ๆ แล้วเอารายได้ให้ป้าทั้งหมด ผมไม่เอาสักบาท เขาเจอเรื่องร้าย ๆ มา แต่พอเขาไปออกรายการมา เหมือนเขาได้เงินมากู้ทุกอย่างที่เขาเป็นหนี้แล้ว เชื่อว่าเขาน่าจะดีขึ้นแล้ว ใครจะให้ตังค์เขา เขาไม่เอา ถ้าเอาตังค์ เขาต้องผลิตของให้ ไม่เอาเงินเฉย ๆ ถ้าใครไม่เอาของ ป้าก็จะเอาไปบริจาคหรือให้คนที่ต้องการความช่วยเหลือ เขาทัชใจผมตรงนี้ สมัยนี้การขายของอาศัยดารามาเก็ตติ้ง ป้าเขาอาจจะอยากใช้ตรงนี้เพื่อเพิ่มรายได้ของให้สินค้า ผมขอพูดกลาง ๆ ในเรื่องนี้ในฐานะที่เป็นดารามาออกบูธขายของว่าก่อนจะตกลงทำธุรกิจกับใคร ให้ดูประวัติเบื้องลึกของเขาก่อน และตกลงรายละเอียดกันให้ดี ผมเองก็ใจดีและพลาดโดนเอาเปรียบไปเยอะ เพราะเราไม่รู้ว่าใครเป็นยังไง และสำคัญเลยคืออย่าโลภ ถ้าใครที่หาผลประโยชน์ เขาจะเอาผลประโยชน์เขามาคุยกับเรา คนเรามันค่อนข้างดูกันยาก ให้ใช้เซนต์คุยกันเอา ดูในกูเกิ้ลแบล็กลิสต์ด้วยก็ได้ เดี๋ยวนี้มันมีขึ้นหมดแล้ว ส่วนคิวออกบูธร้านคุณชายหมูกรอบยาวถึง ธ.ค. แล้ว ส่วนหน้าร้านให้ติดตามเพจ ขายตรงนั้นกำไรไม่เยอะ แต่น้อง ๆ ที่มาขายช่วย เขามีรายได้ ก็ขายเพื่อช่วยเหลือเขาครับ”

เมื่อไทยกำลังกลายเป็นประเทศ NATO เต็มตัว หากยังไม่หยุดตามรอย ‘ฮิตเลอร์-เซเลนสกี’

จริงหรือที่ไทยเรากำลังจะกลายเป็นประเทศ NATO 

อันที่จริงประเทศไทยของเรามีสถานะเป็น ‘ชาติพันธมิตรหลักนอกกลุ่มนาโต’ (Major Non-NATO Ally: MNNA) ตั้งแต่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2546 (ค.ศ. 2003) โดยในระหว่างการเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการของ George W. Bush ประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกาในขณะนั้น ได้ประกาศให้ไทยมีสถานะดังกล่าว 

แต่การได้รับสถานะดังกล่าวนี้ ไม่ได้หมายถึงการมีหลักประกันด้านความมั่นคงและการป้องกันประเทศร่วมกันเช่นเดียวกับที่สหรัฐฯ มีกับประเทศสมาชิก NATO แต่อย่างใด เป็นเพียงการแสดงให้เห็นถึงความสําคัญที่สหรัฐฯ ให้ความสัมพันธ์ในลักษณะพันธมิตรกับประเทศไทยในช่วงศตวรรษที่ 21 อันมาจากการที่รัฐบาลทักษิณ ชินวัตรได้ส่งทหารไทยไปร่วมปฏิบัติการทั้งในอัฟกานิสถาน (กองร้อยทหารช่างเฉพาะกิจ 975 ไทย/อัฟกานิสถาน) และอิรัก (กองกำลังเฉพาะกิจปฏิบัติการเพื่อมนุษยธรรม 976 ไทย/อิรัก)

สำหรับ NATO เป็นชื่อย่อที่เรียกกันโดยทั่วไปของ ‘องค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ’ (North Atlantic Treaty Organization: NATO) ซี่งก่อตั้งเมื่อ 4 เมษายน พ.ศ. 2492 (ค.ศ. 1949) โดย สหรัฐฯ และประเทศต่าง ๆ ในยุโรปรวม 12 ประเทศ ได้แก่ สหรัฐอเมริกา, สหราชอาณาจักร, แคนาดา, เบลเยียม, เดนมาร์ก, ฝรั่งเศส, ไอซ์แลนด์, อิตาลี, ลักเซมเบิร์ก, เนเธอร์แลนด์, นอร์เวย์ และโปรตุเกส ที่ได้ร่วมกันลงนามในสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ (The North Atlantic Treaty) ก่อตั้งองค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือหรือ ‘นาโต’ ขึ้นในช่วงหลังสงครามโลก ครั้งที่สอง โดยมีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 24 สิงหาคมในปีเดียวกัน 

วัตถุประสงค์เริ่มแรกก่อตั้ง คือ เพื่อจัดตั้งระบบพันธมิตรทางทหารในการถ่วงดุลอำนาจกับฝ่ายคอมมิวนิสต์ (อดีตสหภาพโซเวียต) และให้ความช่วยเหลือประเทศสมาชิกในกรณีที่ประเทศสมาชิกถูกคุกคามจากภายนอก ตลอดจนส่งเสริมความมั่นคงในทางเศรษฐกิจ 

ปัจจุบัน NATO ประกอบด้วย 34 ชาติสมาชิก โดยได้ปฏิบัติการออกนอกเขตพื้นที่ของชาติสมาชิกไปแล้ว ไม่ว่าจะเป็นอัฟกานิสถาน, ลิเบีย และมีแผนที่จะเปิดสำนักงานติดต่อของ NATO ที่กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่นภายในปีนี้

ย้อนกลับมาที่ไทย ความหมายของ NATO ที่ไทยกำลังเป็นอยู่ในที่นี้นั้น มิได้หมายถึง NATO หรือ องค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือแต่อย่างใด หากแต่ความหมายของ NATO ที่ประเทศไทยกำลังก้าวไปสู่หมุดหมายดังกล่าวก็คือ NATO ที่ย่อมาจากคำว่า No Action, Talk Only ซึ่งแปลเป็นไทยว่า ‘ไม่ทำอะไรสักอย่าง เอาแต่พูดอย่างเดียว’ 

ด้วยเพราะผู้คนในสังคมไทยยุคนี้ส่วนหนึ่งมีความเชื่อถือศรัทธาในบรรดานักพูด นักแซะ ซึ่งมาแต่มีเพียงประสบการณ์เป็นนักคิด (ผิด ๆ ถูก ๆ) นักพูด (เอามัน เอาฮา เอาสนุก) แต่ไม่เคยทำงานอะไรในภาคปฏิบัติให้เห็นผลสำเร็จอย่างเป็นชิ้นเป็นอันเลย เรื่องราวเช่นนี้เคยเกิดขึ้นมาแล้วมากมายหลายครั้งบนโลกใบนี้ ไม่ว่าจะเป็น Adolf Hitler ที่สามารถยุยงปลุกปั่นพลเมืองชาวเยอรมันที่มีคุณภาพในลำดับต้น ๆ ของโลกให้ต้องหลงใหล คลั่งไคล้ ชนิดที่โงหัวไม่ขึ้น ตั้งแต่การสร้างพรรคกรรมกรชาติสังคมนิยมเยอรมัน (พรรค NAZI) ทั้งการปลูกฝังเด็ก ๆ เยอรมันในยุคนั้นให้เป็น ‘ยุวชนฮิตเลอร์’ (Hitler Youth หรือ Hitlerjugend) และพาเยอรมันเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่ 2 กระทั่งพ่ายแพ้ เยอรมันเสียหายย่อยยับและต้องถูกแบ่งออกเป็น 2 ประเทศคือ เยอรมันตะวันตกและเยอรมันตะวันออก ต้องใช้เวลารอคอยยาวนานกว่า 40 ปี (ค.ศ. 1949-1990) ก่อนที่จะสามารถกลับมาร่วมเป็นชาติเดียวได้อีกครั้งหนึ่งในปี ค.ศ. 1990 

แม้แต่ ยูเครน ในปัจจุบันที่ถูกชาติตะวันตกหลอก ด้วยการเอา ‘โวโลดิเมียร์ เซเลนสกี’ (Volodymyr Zelenskyy) ผู้มีอาชีพนักแสดงตลกและเจ้าของบริษัทโปรดักชัน Kvartal 95 ซึ่งผลิตภาพยนตร์ การ์ตูน และรายการทีวี รวมถึงซีรีส์โทรทัศน์เรื่อง Servant of the People ซึ่ง Zelenskyy เองรับบทเป็นครูสอนประวัติศาสตร์ระดับมัธยมปลาย และในบทตัวเขาก็ชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดียูเครนด้วย 

ซีรีส์ดังกล่าวซึ่งได้ออกอากาศตั้งแต่ปี 2015 ถึง 2019 ได้รับความนิยมอย่างมาก จนกระทั่ง Servant of the People พรรคการเมืองชื่อเดียวกับซีรีส์นี้ ก็ก่อตั้งขึ้นในเดือนมีนาคม 2018 โดยพนักงานของ Kvartal 95 

ความนิยมในตัวเขาจากบทบาท รวมถึงซีรีส์โทรทัศน์เรื่องนี้ ทำให้ชาติมหาอำนาจตะวันตก นำเขามาเป็นหุ่นเชิดและเครื่องมือกระทั่งกลายเป็นประธานาธิบดียูเครนจริง ๆ หากแต่ประธานาธิบดีในภาพยนตร์โทรทัศน์กับโลกแห่งความเป็นจริงแตกต่างกันยิ่งกว่าฟ้ากับเหว เมื่อเขาดึงดันที่จะท้าทายกับรัสเซียจนเกิดสงครามยื้อเยื้อ และกำลังทำให้ยูเครนต้องพินาศย่อยยับ จนไม่อาจที่จะฟื้นคืนสภาพของบ้านเมืองที่เสียหายอย่างหนักภายใน 10-20 ปีนี้ได้ อีกทั้งต้องกลายเป็นลูกหนี้ต่างชาติจนไม่น่าจะใช้คืนได้ในอีกไม่ต่ำกว่า 50 ปีข้างหน้า

เหล่านี้คือ ตัวอย่างของนักการเมืองที่นำพาประเทศชาติไปสู่ความเป็นประเทศ NATO: No Action, Talk Only ของแท้ที่มีให้เห็น 

ดังนั้นพอหันมามองสังคมไทยในยุคนี้ ยุคที่ไทยเต็มไปด้วยกลุ่มชนที่มีความรู้ มีตรรกะ มีเหตุผล มีความสามารถในการพินิจพิจารณาใคร่ครวญในข้อเท็จจริงของเรื่องราวต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น หากแต่กลับมาตกหลุมในกับดักของเหล่าบรรดานักสังคมศาสตร์ ซึ่งถนัดแต่การปั้นแต่งคำ สร้างวาทกรรมที่บ่มเพาะความแตกแยก เกิดเป็นบรรทัดฐานความเชื่อในเรื่องผิด ๆ ว่าเป็นเรื่องที่ถูกต้อง และทำให้สังคมเชื่อว่า สิ่งที่ถูกต้องดีงามกลายเป็นเรื่องผิด ๆ ล้าสมัย ฯลฯ 

ท้ายสุดก็หนักถึงขั้นพยายามอย่างหนัก เพื่อบ่อนทำลายความมั่นคงของบ้านเมือง โดยเฉพาะสถาบันหลักที่สำคัญของชาติ ซึ่งหากวันนี้คนไทยยังคงเป็น ‘ไทยเฉย’ ไม่พูด ไม่ทำ เป็นพวก NTNA : No Talk, No Action ในที่สุดแล้วประเทศชาติบ้านเมืองของเรา ซึ่งเหล่าชาติมหาอำนาจตะวันตกกำลังจ้องเล็งที่จะเข้ามามีบทบาทในการชี้นำและครอบงำรัฐบาลบ้านเรา ให้ตั้งอยู่ในตำแหน่งทางภูมิรัฐศาสตร์ตามที่พวกเขาต้องการในหมุดภูมิภาคนี้ ประเทศชาติอันเป็นที่รักของเราก็จะกลายเป็นประเทศ NATO: No Action, Talk Only ไปจริง ๆ 

ถึงเวลานั้นแล้วก็คงยากเกินกว่าที่จะแก้ไขอะไรได้อีก 

ส่อง 10 เมืองยอดฮิต นักท่องเที่ยวมาเยือนมากที่สุดในโลก ปี 2023

‘กรุงเทพฯ’ เมืองหลวงของไทย กลายเป็นเมืองที่ผู้คนจากทั่วโลกหลั่งไหลเข้ามาเยี่ยมเยือนมากที่สุดในโลก ประจำปี 2023 โดยมีจำนวนนักท่องเที่ยวตลอดทั้งปีประมาณ 22.78 ล้านคน ส่วนประเทศเพื่อนบ้านอย่างสิงคโปร์ อยู่ในลำดับที่ 5 

นราธิวาส-ผู้ช่วยเลขาฯ ศอ.บต. ให้กำลังใจ 2 ผู้บาดเจ็บเหตุระเบิด อ.ศรีสาคร พร้อมย้ำจะดูแลสิทธิการเยียวยาอย่างดีที่สุด

โรงพยาบาลนราธิวาสราชนครินทร์ อำเภอเมือง จังหวัดนราธิวาส นายรอมดอน หะยีอาแว ผู้ช่วยเลขาธิการ ศอ.บต. (กรมการปกครอง) พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่เยียวยา ลงพื้นที่เยี่ยมผู้ได้รับบาดเจ็บจากเหตุการณ์ เมื่อวันที่ 2 เมษายน 2567 เวลาประมาณ 15.00 น. เกิดเหตุคนร้ายไม่ทราบกลุ่ม และจำนวนลอบวางระเบิดรถยนต์ฟอร์ด หมายเลขทะเบียน กต 4211 ยะลา เหตุเกิดบนถนนหมายเลข 4213 บ้านไอร์กือเนาะ หมู่ที่ 5 ตำบลศรีบรรพต อำเภอศรีสาคร จังหวัดนราธิวาส จึงทำให้มีผู้บาดเจ็บ จำนวน 2 ราย ประกอบด้วย 1. นายฟาริด เฮาะมะสะเอะ อายุ 38 ปี ได้รับบาดเจ็บจากเหตุแรงระเบิด มีอาการปวดบริเวณเอวและต้นคอ มีแผลฉีกขาดวริเวณต้นคอด้านขวา ข้อเท้าขวาบวม หน้าอกมีรอยช้ำแดง และ 2. นายอาซอรี มามะ อายุ 44 ปี ได้รับบาดเจ็บ มีอาการปวดบั้นเอว และแน่นหน้าอก ซึ่งปัจจุบันทั้ง 2 คนได้รับการรักษาอย่างปลอดภัยแล้ว 

ในการนี้ นายรอมดอน หะยีอาแว ผู้ช่วยเลขาธิการ ศอ.บต. ได้พูดคุยให้กำลังใจ และนำความห่วงใยจากเลขาธิการ ศอ.บต. และมอบกระเช้าเพื่อเป็นขวัญกำลังใจแก่ผู้ได้รับบาดเจ็บ พร้อมได้กล่าวในตอนหนึ่งว่า รัฐบาล โดย ศอ.บต. พร้อมดูแลผู้ที่รับผลกระทบ รวมถึงครอบครัวของผู้ที่ประสบเหตุฯอย่างดีที่สุด พร้อมจะเยียวยาตามหลักกฎหมาย และอยากให้ทั้ง 2 คน พักรักษาตัวให้หาย เพื่อกลับไปใช้ชีวิตกับครอบครัวอย่างมีความสุขต่อไป
ข่าว.แวดาโอ๊ะ​ หะไร​ จ.นราธิวาส

สมาคมคลองไทยฯ บุกสภา พบ 'ครูมานิตย์' จี้!! ผลักดันโครงการ 'คลองไทย' เจ้าตัวลั่น!! ไม่ทิ้ง แต่ต้องรอจังหวะเหมาะสม เวลานี้ 'แลนด์บริดจ์' สำคัญ

เมื่อวานนี้ (3 เม.ย. 67) ที่รัฐสภา สมาชิกสมาคมคลองไทยภาคประชาชน นำโดย น.ส.เสาวณี ทองทรัพย์ นายกสมาคม ดร.สุเมต สุวรรณพรหม กรรมการสมาคม และสมาชิกระดับนำอีกหลายคน เดินทางไปยังรัฐสภา เพื่อยื่นหนังสือถึง 'ครูมานิตย์ สังข์พุ่ม' สส.สุรินทร์ พรรคเพื่อไทย ในฐานะประธานกรรมาธิการการคมนาคม เพื่อขอให้ดำเนินการสานต่อนำโครงการคลองไทยมาศึกษาในเชิงลึก เพื่อผลประโยชน์ของประเทศชาติ และประชาชน โดยครูมานิตย์ได้ลงมารับหนังสือในระหว่างการประชุมสภาพิจารณาญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐสภา ตามมาตรา 152 (ไม่มีการลงมติ)

ครูมานิตย์ กล่าวว่า "ยินดีรับหนังสือไว้พิจารณา และนำเสนอต่อไป แต่ต้องเข้าใจด้วยว่าเวลานี้รัฐบาลโดยนายกรัฐมนตรี กำลังผลักดันโครงการแลนด์บริดจ์ระนอง-ชุมพร อยู่ การที่ผมในฐานะ สส.พรรครัฐบาล ก็ต้องให้การสนับสนุนรัฐบาล แต่โครงการคลองไทย ก็ต้องรอจังหวะที่เหมาะสม แล้วผมจะช่วยผลักดันแน่นอน"

ทั้งนี้ ในสภาชุดที่ผ่านมาได้มีการตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ ขึ้นมาศึกษาแล้ว แต่ด้วยกลเกมทางการเมือง ทำให้รายงานผลการศึกษาตกไปอย่างน่าเสียดาย แต่สมาคมคลองไทยภาคประชาชนก็ไม่ลดละ ไม่ย่อท้อ ยังเดินหน้าผลักดันโครงการคลองไทยต่อไป ทั้งถวายกฎีา และส่งหนังสือถึงหน่วยงานต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง รวมถึงการล่ารายชื่อประชาชน เพื่อนำเสนอร่างพระราชบัญญัติบริหารกิจการคลองไทยเข้าสู่การพิจารณาของสภา

ขณะที่ สภาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เคยมีหนังสือตอบกลับมายังสมาคมคลองไทยภาคประชาชน ความตอนหนึ่งว่า...สภาพัฒน์ฯ เคยร่วมกับศูนย์บริการวิชาการจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยศึกษาความเป็นไปได้ในการเชื่อมโยงเส้นทางขนส่งทางทะเลฝั่งอ่าวไทยและอันดามันของไทยพบว่า การเชื่อมโยงการขนส่งสองฝั่งทะเล ต้องใช้งบประมาณในการลงทุนสูงมาก มีผลกระทบทั้งเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ส่งผลให้การประเมินความเหมาะสมทางด้านการเงินและเศรษฐศาสตร์ ไม่คุ้มค่าการลงทุน ทรัพยากรทางทะเล และชายฝั่งจะได้รับผลกระทบ จนไม่สามารถฟื้นฟูให้กลับคืนมาได้ไม่ว่าด้วยเทคโนโลยีใด ๆ ทั้งยังกระทบต่อความเป็นอยู่ การเปลี่ยนแปลงโยกย้ายถิ่นฐาน

ดังนั้น สภาพัฒน์ จึงเสนอให้รัฐบาลทบทวนและต่อยอดแผนปฏิบัติการพัฒนาพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้อย่างยั่งยืน (SEC) พัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน พัฒนาพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้เป็นศูนย์กระจายสินค้าของภูมิภาค เป็นต้น

กมธ.อุตฯ ถกเครียด!! ปมลักลอบขนกากพิษร้ายแรงหมื่นตันกองมหาชัย  จี้!! ผู้ว่าฯ ประกาศเป็นเขตภัยพิบัติ เพราะเป็นสารพิษอันตรายก่อมะเร็ง

เมื่อวันที่ 3 มี.ค.67 ที่รัฐสภา นายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ สส.ราชบุรี พรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ในฐานะประธานกรรมาธิการ (กมธ.) การอุตสาหกรรม สภาผู้แทนราษฎร แถลงว่า ทาง กมธ.ได้พิจารณาสอบข้อเท็จจริงกรณีมีการร้องเรียนว่า มีบริษัทแห่งหนึ่งในจังหวัดตาก ได้ขายกากแร่สังกะสีและกากแร่แคดเมียมที่ฝังกลบในจังหวัดตาก ขายให้กับบริษัทหนึ่งตั้งอยู่ในอำเภอเมือง จังหวัดสมุทรสาคร ซึ่งเรื่องนี้ถือว่าส่งผลกระทบต่อประชาชนโดยตรง เนื่องจากกากแร่ดังกล่าวเป็นสารก่อมะเร็ง กมธ.จึงได้เชิญหลายหน่วยงานมาชี้แจง

นายอัครเดช กล่าวว่า ทางกมธ.ได้เชิญอธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม รองอธิบดีกรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ ตัวแทนผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสาคร ตัวแทนผู้ว่าราชการจังหวัดตาก ตัวแทนอธิบดีกรมควบคุมมลพิษ ตัวแทนอธิบดีกรมอนามัย และผู้บังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ปทส.) มาให้ข้อมูลทราบว่า ทางอุตสาหกรรมจังหวัดสมุทรสาครได้อายัดกากแร่ดังกล่าวไว้แล้วเมื่อวันที่ 27 มีนาคมที่ผ่านมา กรมอนามัยให้ข้อมูลว่ากากแร่ปนเปื้อนแคดเมียมเป็นสารก่อมะเร็งในกรณีได้สัมผัส สูดดมหรือปนเปื้อนไหลไปยังแหล่งน้ำ ถ้าประชาชนดื่มกินจะเป็นอันตราย รวมถึงสัตว์น้ำในบริเวณดังกล่าวด้วย การลักลอบขนย้ายกากแร่มีพิษอันตรายร้ายแรงดังกล่าวมีการละเมิดกฎหมายหลายข้อ

นายอัครเดช กล่าวว่า ทางผู้บังคับการ ปทส.ให้ข้อมูล กมธ.ว่า ในจังหวัดตากยังพบการกระทำความผิดตามกฎหมายอยู่ โดยล่าสุดยังมีการใช้เครื่องจักรกลหนักเข้าไปทำงานบริเวณหลุมเก็บกากแร่อันตราย ขณะที่ทางตัวแทนผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสาครรายงานว่า จะกลับไปพิจารณาประกาศให้พื้นที่กองเก็บกากเเร่มีพิษอันตรายในจังหวัดสมุทรสาครเป็นพื้นที่ประสบภัยพิบัติ เพราะมีข้อมูลถูกนำไปเก็บไว้ในโรงงานแห่งหนึ่งกว่า 10,000 ตัน ใส่ในถุงบิ๊กแบ็กกว่า 1 พันกว่าถุง เป็นการกองเก็บอย่างผิดกฎหมาย ผิดหลักเกณฑ์การจัดเก็บวัตถุอันตราย

ทั้งนี้ การเก็บสารอันตรายต้องเก็บในบ่อคอนกรีตปกคลุมด้วยผ้าใบอย่างดีและเทคอนกรีตหนา 50 ซม. และใน EIA ระบุชัดต้องไม่มีการขนย้ายจากบ่อ แต่ปรากฏว่ามีการขนย้ายออกมาที่จังหวัดสมุทรสาคร ถือเป็นการกระทำความผิดที่รุนแรงมาก จะทำให้ประชาชนได้รับผลกระทบด้านสุขภาพอนามัย เพราะเก็บใส่ถุงบิ๊กแบ็กในอาคารและนอกอาคารพันกว่าถุง ประเมินคร่าว ๆ เกือบหมื่นตัน

“ขอให้ประชาชนที่อาศัยอยู่บริเวณโดยรอบโรงงานที่เก็บกากแร่มีพิษอันตราย ได้ฟังประกาศจากทางจังหวัดสมุทรสาครที่จะประกาศเป็นเขตภัยพิบัติ และต้องดำเนินคดีกับบริษัทต้นทางและบริษัทปลายทางด้วย รวมถึงต้องดูแลเยียวยาพี่น้องประชาชนที่ได้รับผลกระทบทั้งในจังหวัดตาก และจังหวัดสมุทรสาคร รวมถึงให้ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้เร่งแก้ไขปัญหานี้อย่างเร่งด่วนก่อนที่จะสายเกินไป...

"อย่างไรก็ตาม เวลานี้ กมธ.ได้เจอนักลงทุนต่างประเทศทำผิดกฎหมายหลายราย ทั้งการสวมสิทธิ์ การประกอบธุรกิจที่ไม่ตรงกับที่ขออนุญาต การละเมิดกฎหมาย อย่างการขนย้ายกากแร่มีพิษอันตรายครั้งนี้ สืบแล้วบริษัทปลายทางเป็นบริษัทจากต่างประเทศรายหนึ่งที่มารับซื้อแล้วทำผิดกฎหมาย ถือว่าเสี่ยงต่อคนไทยที่จะได้รับผลกระทบ กมธ.จึงขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องออกคำสั่งทางปกครองอย่างเร่งด่วน เพื่อดำเนินการแก้ไขปัญหานี้อย่างรอบคอบรัดกุม” นายอัครเดช กล่าว

'บิ๊กโจ๊ก' ผุด โครงการ 'พาพี่น้องกลับใต้' สงกรานต์ เที่ยวแรก 10 เม.ย. 'บิ๊กโจ๊ก' อาสาส่งขึ้นรถด้วยตัวเอง

(4 เม.ย. 67) เพจเฟซบุ๊ก ‘สมาคมชาวปักษ์ใต้ ในพระบรมราชูปถัมภ์’ โดยมี พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล ดำรงตำแหน่งนายกสมาคมฯ ได้โพสต์ข้อความประชาสัมพันธ์โครงการช่วงสงกรานต์ ระบุว่า…

“โครงการดี ๆ พาพี่น้องกลับใต้ สงกรานต์ สามารถไปขึ้นรถได้ที่ สมาคมชาวปักษ์ใต้ ตามตารางเดินรถ ไม่มีจองคิวล่วงหน้า ไปถึงก่อนขึ้นรับอาหาร เครื่องดื่ม วันที่ 10 เที่ยวแรกที่ออกเดินทาง ท่าน พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล ท่านจะมาส่งท่านขึ้นรถด้วยตัวเอง ท่านใดสนใจขอเชิญ”

ทั้งนี้ รถที่นำมาบริการในช่วงสงกรานต์มีจำนวน 12 คัน ผู้ที่สนใจใช้บริการ สามารถติดต่อได้ที่เบอร์ 095-014-2921 และ 095-695-9428

'อ.เจษฎา' แจง!! งานนี้ไม่ใช่บอลประเพณี แต่ผู้ใหญ่ 2 มหาลัยเห็นชอบรูปแบบ แนะ!! หากใครอาสาแบกเสลี่ยง 'อัญเชิญพระเกี้ยว' รีบสมัครล่วงหน้าได้เลย

(4 เม.ย.67) จากกรณีดรามา ‘นิสิตจุฬาฯ’ ใช้รถกอล์ฟอัญเชิญ ‘พระเกี้ยว’ ในงานฟุตบอลสานสัมพันธ์ ‘จุฬาฯ-ธรรมศาสตร์’ ปีนี้ สร้างเสียงวิจารณ์กระหน่ำ มีทั้งผู้เห็นด้วยและคิดต่าง กระทั่งคณะผู้จัดงาน ฟุตบอลสานสัมพันธ์จุฬาฯ-ธรรมศาสตร์ CU-TU Unity Football Match 2024 ออกมาชี้แจงความหมายของขบวนอัญเชิญพระเกี้ยว ที่ตั้งใจคัดสรรสัญลักษณ์ ตัวแทนองค์ความรู้แขนงต่าง ๆ มา

นอกจากนี้ กรณี พ.อ.รศ.นพ.วิภู กำเหนิดดี แพทย์เฉพาะทางด้านเวชศาสตร์ฟื้นฟู เชี่ยวชาญในการรักษาโรคปวดเรื้อรัง ระบุทางเฟซบุ๊กส่วนตัว ไม่ต้อนรับแพทย์ใช้ทุนที่จบจากที่นี่ เนื่องจากไม่ชอบ ทำให้ต้นสังกัดอย่าง โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า ร่อนคำชี้แจง พร้อมขออภัยบุคคลที่เกี่ยวข้องที่ได้รับผลกระทบจากการแสดงความคิดเห็นดังกล่าว ตลอดจนให้แพทย์รายดังกล่าวลบโพสต์ไปจากโซเชียลแล้วนั้น

เรื่องราวทั้งหมดนี้ รศ.ดร.เจษฎา เด่นดวงบริพันธ์ อาจารย์ประจำภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาฯ และนักสื่อสารวิทยาศาสตร์ ออกมากล่าวทางเฟซบุ๊กในมุมที่อาจมีผู้เข้าใจผิดว่า งานบอลที่เพิ่งจัดไปไม่ใช่งานฟุตบอลประเพณีจุฬาฯ-ธรรมศาสตร์

รศ.ดร.เจษฎาระบุว่า ทราบกันหรือไม่ว่า “งานบอลที่เพิ่งจัดไป..ไม่ใช่งานฟุตบอลประเพณีจุฬาฯ-ธรรมศาสตร์ครับ” เห็นเป็นประเด็นดรามากันมาหลายวันแล้ว เกี่ยวกับงานฟุตบอล ที่จัดแข่งกันไประหว่างนิสิตจุฬาฯ และศึกษาธรรมศาสตร์…แต่ถ้าผมจะอธิบายให้เข้าใจชัดว่า “มันเป็นคนละงานกัน” กับการฟุตบอลประเพณีจุฬาฯ-ธรรมศาสตร์ ที่ผ่าน ๆ มา ไม่รู้ว่าจะช่วยลดดรามาให้น้อยลงได้หรือเปล่านะครับ 

[ #สรุป (เผื่อใครขี้เกียจอ่านยาว) พูดง่าย ๆ คือสมาคมศิษย์เก่าของทั้ง 2 สถาบัน ไม่จัดงานบอลประเพณีจุฬาฯ ธรรมศาสตร์ซักที…เด็ก ๆ นิสิตนักศึกษา ก็เลยจัดงานเตะบอลสานสัมพันธ์กันเอง..งานมันก็เลยออกมาสเกลเล็ก ๆ แค่นี้แหละครับ ]

คือจริง ๆ แล้ว มันไม่ใช่งานฟุตบอลประเพณี ที่จัดกันมากว่า 90 ปีแล้ว (ซึ่งครั้งล่าสุด คือครั้งที่ 74 เมื่อปี พ.ศ.2563)…แต่มันมีชื่อว่า “งานฟุตบอลสานสัมพันธ์จุฬาฯ ธรรมศาสตร์ ครั้งที่ 1” ต่างหากครับ

งานฟุตบอลประเพณีที่ผ่านมา ดำเนินการจัดโดย ‘สมาคมศิษย์เก่า’ ของทั้งจุฬาฯ และธรรมศาสตร์ ผลัดกันเป็นเจ้าภาพมาตลอด…ขณะที่งานฟุตบอลสานสัมพันธ์ ที่พึ่งริเริ่มจัดในปีนี้นั้น จัดโดยองค์การบริหารสโมสรของนิสิตจุฬาฯ และของนักศึกษาธรรมศาสตร์

สาเหตุที่เกิดงานนี้ก็คือ การที่งานฟุตบอลประเพณีจุฬาธรรมศาสตร์ครั้งที่ 75 (ซึ่งควรจะได้จัดไปเมื่อปี 2564) ทางด้านของสมาคมศิษย์เก่าธรรมศาสตร์ที่เป็นเจ้าภาพนั้นได้เลื่อนจัดมาหลายครั้งแล้ว ตั้งแต่ช่วงที่เกิดวิกฤตโควิดขึ้น จนมาถึงปีนี้ ก็ยังหากำหนดวันที่เหมาะสมร่วมกันกับทางสมาคมศิษย์เก่าจุฬาฯไม่ได้ แล้วต้องทำให้เลื่อนไปอีกปีนึง

ด้วยเหตุนี้ ทำให้ทางองค์การบริหารสโมสรของทั้ง 2 สถาบัน จึงได้ขอจัดงานฟุตบอลสานสัมพันธ์ขึ้นเอง แม้ว่าเวลาจะกระชั้นชิดมาก และมีงบประมาณน้อยมากก็ตาม โดยจัดในแบบที่กระชับขึ้น เรียบง่ายขึ้น งบน้อยลง ใช้กำลังคนให้น้อยลง..และที่สำคัญคือมีรูปแบบงานในแบบที่นิสิตนักศึกษาอยากจัดกัน (ไม่ได้จำเป็นอยู่ในกรอบแนวทาง ของที่สมาคมศิษย์เก่าของทั้งสองสถาบัน เคยวางแนวไว้)

ตัวอย่างเช่น การแปรอักษรด้วยป้าย LED ก็เป็นการแก้ปัญหาเรื่องการระดมหาคนขึ้นสแตนด์ ในช่วงเวลาที่กระชั้นชิดเช่นนี้..หรือแม้แต่การอัญเชิญธรรมจักรและพระเกี้ยวที่เรียบง่ายขึ้น ใช้กำลังคนน้อยลงเช่นนี้ก็เป็นการแก้ปัญหาได้ดีเช่นเดียวกัน..ซึ่งถ้ามองถึงผลลัพธ์ที่ออกมา ก็ถือว่าเป็นไปได้ด้วยดี บรรลุวัตถุประสงค์ที่ตั้งใจกันไว้ (แม้ว่าจะไม่อลังการเท่าเดิม ทั้ง stand แปรอักษรและขบวนอัญเชิญ)

ยังไงก็ตาม การจัดงานบอลสานสัมพันธ์ครั้งนี้ไม่ได้มีแต่นิสิตนักศึกษาที่จัดกันเอง แต่ผู้บริหารของทั้งสองมหาวิทยาลัยก็เข้ามาช่วยสนับสนุนเช่นกัน..ดังนั้น รูปแบบวิธีการที่เปลี่ยนไปนี้ จึงถือว่าผ่านความเห็นชอบจากผู้หลักผู้ใหญ่ของมหาวิทยาลัยทั้งสองแล้วนะครับ

ดังนั้น ผู้ที่กังวลว่างานฟุตบอลประเพณีจุฬาฯ-ธรรมศาสตร์ จะดูด้อยลง ลดความสวยงามอลังการลงจากเดิม ก็คงจะต้องรอดูในปีหน้า ๆ ถัดไป ว่างานฟุตบอลประเพณีครั้งที่ 75 นั้น จะจัดออกมาในรูปแบบไหน? จะสวยงามยิ่งใหญ่เท่าสมัยปี 2563 หรือเปล่า?

หรือจะเริ่มปรับเปลี่ยนรูปแบบใหม่ ไปตามสมัยนิยม ที่ลดเรื่องพิธีรีตอง และเน้นคุณค่าของตัวงาน ตามวัตถุประสงค์มากขึ้น..ซึ่งก็ต้องรอฟังทางสมาคมศิษย์เก่าของสองสถาบันนำเสนอชี้แจงกันต่อไป

แต่ไม่ใช่ มาดู ‘งานบอลสานสัมพันธ์ของนิสิตนักศึกษา’ ปีนี้ แล้วจะมารีบด่วนตัดสินว่า หลาย ๆ อย่าง (เช่น เสลี่ยงอัญเชิญพระเกี้ยว) ถูกยกเลิกไปแล้วอย่างที่ข่าวไปกระพือกันนะครับ…เน้นย้ำ ให้มองว่า มันเป็นคนละงานกันครับ!

ป.ล.ส่วนใครปวารณาตัว อยากจะมาช่วยยกเสลี่ยงอัญเชิญพระเกี้ยวให้ ในปีหน้า ๆ ต่อไป ก็เป็นเรื่องน่ายินดีนะครับ รีบมาสมัครล่วงหน้าได้เลย 

‘พี่จอง-คัลแลน’ ยกให้ ‘แกงไตปลา’ เป็นเมนูยอดเยี่ยม พร้อมบอกรสชาติ!! ต้อง ‘เผ็ดๆ - เค็มๆ’ ถึงจะอร่อย

(4 เม.ย. 67) หลังจากที่เมนู ‘แกงไตปลา’ ถูกจัดให้เป็นเมนูอาหารยอดแย่อันดับ 1 ของโลก โดย TaseAtlas ทำให้มีชาวเน็ตหลายเสียงออกมาโต้กลับในทันที รวมถึงคลิปล่าสุดของ ‘คัลแลน-พี่จอง’ ยูทูบเบอร์ชื่อดัง ก็ได้พูดเกี่ยวกับเมนูนี้ว่า เป็นเมนูที่ทั้งคู่ชอบมาก ๆ ด้วย

โดยคลิปล่าสุดของช่อง ‘คัลแลน-พี่จอง’ สองยูทูบเบอร์เกาหลีชื่อดังที่เพิ่งลงไปเมื่อช่วงสิ้นเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ในตอนที่ชื่อว่า ‘เรามาถึงเกาะเต่าแล้วครับ... | ชุมพร Day 2’ ที่เป็นการพามาเที่ยวพักโฮมสเตย์กับชาวบ้านในพื้นที่ และทำได้กิจกรรมตกหมึก ตกปลา

และพอถึงช่วงเวลากินอาหารเย็นทั้งคัลแลนและพี่จองได้มีการเอ่ยปากถามถึงเมนู ‘แกงไตปลา’ พร้อมบอกว่าเป็นเมนูที่ชอบกิน และต้องกินแบบเผ็ด ๆ เค็ม ๆ ถึงจะอร่อยด้วย

พอทางโฮมสเตย์บอกจะทำให้กินพรุ่งนี้ ทั้งคู่ต่างดีใจกันใหญ่ พอถึงช่วงอาหารของวันรุ่งขึ้น คัลแลนก็รีบมารอกินแกงไตปลา พร้อมบอกว่าจะได้กินแล้ว และพอแกงไตปลามาวางเสิร์ฟที่โต๊ะ คัลแลนก็อดใจไม่ไหวรีบตักกินก่อนโดยที่ไม่รอเพื่อน ๆ เลย!

งานนี้ทำเอาเหล่า FC ของสองหนุ่มและชาวเน็ตที่ไม่เห็นด้วยกับผลการจัดอันดับของ TasteAtlas ใจฟูไปตาม ๆ กัน พร้อมบอกว่า TasteAtlas จัดอันดับให้ ‘แกงไตปลา’ ยอดแย่ที่สุดในโลกก็ไม่เป็นไร แค่สองหนุ่มถูกใจก็พอแล้ว!


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top