Saturday, 7 June 2025
TheStatesTimes

‘อดีตผู้ว่าอัศวิน-สส.รทสช.’ เตรียมลงพื้นที่คลองโอ่งอ่าง ถามหา “ชัชชาติ...สิ่งดีๆ คลองโอ่งอ่าง...หายไปไหน?”

(11 มี.ค. 67) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พรรครวมไทยสร้างชาติ แจ้งกำหนดการ ของอดีตผู้ว่า กทม.พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง เตรียมลงพื้นที่ตรวจสอบสภาพคลองโอ่งอ่างในปัจจุบัน หลังมีการแชร์และพูดถึงกันในโซเชียลมีเดียที่ระบุว่าเปลี่ยนไปจากเดิม

โดยกำหนดการดังกล่าว แจ้งว่า สส. เกรียงยศ สุดลาภา สส.บัญชีรายชื่อ นายทะเบียนสมาชิกพรรครวมไทยสร้างชาติ อดีตรองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร และพล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง จะลงพื้นที่คลองโอ่งอ่าง ถามหา “ชัชชาติ…สิ่งดีๆ คลองโอ่งอ่าง….หายไปไหน“

สืบเนื่องจาก นายเกรียงยศ สุดลาภา สส.บัญชีรายชื่อ พรรครวมไทยสร้างชาติ ได้หารือ ในสภาฯ เมื่อวันที่ 7 มีนาคม 2567 ที่ผ่านมา ถึงกรณีทำไม! กทม.จึงปล่อยทิ้งคลองโอ่งอ่าง ให้กลับสู่สภาพเดิม จนหมดคุณค่าความเป็น Landmark แห่งใหม่ของกรุงเทพมหานคร และเมินจัด ‘ถนนคนเดิน’ ทั้งที่สร้างรายได้ให้ประชาชนและผู้ประกอบการในพื้นที่

โดยทั้ง 2 ท่าน จะลงพื้นที่ ในวันศุกร์ที่ 15 มีนาคม 2567 ในเวลา 10.30 น. เดินสำรวจ และรับเรื่องร้องเรียน จากผู้ค้า และ เวลา 11.30 น. จะมีการสอบถามเพิ่มเติม

‘กสิกรไทย-อินโนพาวเวอร์’ เตรียมเปิดแพลตฟอร์ม REC  หนุนรายย่อยสร้างรายได้จากการใช้ ‘โซลาร์รูฟท็อป’

‘ธนาคารกสิกรไทย’ ตอกย้ำความมุ่งมั่นในการลดก๊าซเรือนกระจก ร่วมกับ ‘อินโนพาวเวอร์’ ผู้บุกเบิกนวัตกรรมด้านพลังงาน เปิดตัวแพลตฟอร์มสนับสนุนการขึ้นทะเบียนและขายใบรับรองการผลิตพลังงานหมุนเวียน (Renewable Energy Certificate : REC) สำหรับองค์กรและประชาชนรายย่อยครั้งแรกในประเทศไทย เตรียมเปิดแพลตฟอร์มให้บริการในไตรมาส 2 ปี 67 ช่วยให้ลูกค้ารายย่อยที่ติดตั้งโซลาร์รูฟท็อปสามารถขอและขายใบรับรอง REC ได้ง่ายขึ้น ถือเป็นการสร้างรายได้เพิ่มให้กับผู้ผลิตไฟฟ้ารายย่อย และส่งเสริมให้เกิดการผลิตและการใช้ไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนอย่างยั่งยืนในประเทศ

(11 มี.ค. 67) ดร.กรินทร์ บุญเลิศวณิชย์ รองกรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย เปิดเผยว่า ธนาคารมุ่งมั่นสนับสนุนภาคธุรกิจและภาคประชาชนในการใช้พลังงานสะอาดอย่างต่อเนื่อง ที่ผ่านมาได้ออกผลิตภัณฑ์และบริการเพื่อสนับสนุนหลากหลายรูปแบบภายใต้แนวคิด Go Green Together 

โดยความร่วมมือกับ บริษัท อินโนพาวเวอร์ จำกัด ในครั้งนี้ จะเป็นการสนับสนุนและผลักดันให้เกิดระบบนิเวศสีเขียวที่ยั่งยืน (Green Ecosystem) ผ่านการผลิตและการใช้พลังงานสะอาดในภาคประชาชน ถือเป็นครั้งแรกที่ประชาชนที่ติดตั้งโซลาร์รูฟท็อปจะมีช่องทางการให้บริการที่ง่ายและสะดวกในการขึ้นทะเบียน REC และทำการขายใบรับรองการผลิตพลังงานหมุนเวียนผ่านบริษัท อินโนพาวเวอร์ จำกัด จากที่ผ่านมาจะเป็นการขึ้นทะเบียนให้กับกลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่เท่านั้น ซึ่งนอกจากจะช่วยประหยัดค่าไฟแล้ว ยังได้ประโยชน์จากการขายใบรับรองการผลิตพลังงานหมุนเวียนอีกด้วย 

โดยคาดว่า โครงการดังกล่าวจะช่วยจุดกระแสให้ประชาชนทั่วไปหันมาผลิตและใช้พลังงานสะอาดผ่านการติดตั้งโซลาร์รูฟท็อปเพิ่มมากขึ้น เพื่อสนับสนุนการขับเคลื่อนประเทศไทยบรรลุเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Emission) ให้สำเร็จ

ทั้งนี้ ธนาคารได้ใช้ความเชี่ยวชาญด้านดิจิทัลในการพัฒนาบริการต่าง ๆ ให้กับโครงการฯ ซึ่งอยู่ระหว่างการพัฒนาใน 3 ด้าน ได้แก่ 

1.) ให้บริการยืนยันตัวตนและนำส่งข้อมูลประกอบการขึ้นทะเบียน REC
2.) ออกแบบ UX/UI และพัฒนาระบบเทคโนโลยีสาระสนเทศ เพื่ออำนวยความสะดวกให้ผู้ติดตั้งโซลาร์รูฟสมัครใช้บริการขึ้นทะเบียน REC 
3.) ให้บริการ Cash Management ซึ่งเป็นการพัฒนาโซลูชันทางการเงินที่เชื่อมต่อระหว่างธนาคาร อินโนพาวเวอร์ และลูกค้าที่ขาย REC ให้มีรูปแบบการชำระเงินที่เหมาะสม ปลอดภัย ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ผู้ใช้รายย่อย และสร้างประสบการณ์ที่ดีในการรับ-จ่ายเงิน

นายอธิป ตันติวรวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อินโนพาวเวอร์ จำกัด กล่าวเพิ่มเติมว่า “อินโนพาวเวอร์ เป็นผู้ให้บริการจัดหาและซื้อขายใบรับรองการผลิตพลังงานหมุนเวียน (Renewable Energy Certificate : REC) ครบวงจรอันดับหนึ่งของประเทศไทย ซึ่งที่ผ่านมาบริษัทฯ ให้บริการกับองค์กรขนาดใหญ่ แต่ครั้งนี้ถือเป็นครั้งแรกที่บริษัทฯ ร่วมมือกับธนาคารกสิกรไทยเข้าไปช่วยรวบรวมกำลังการผลิตไฟฟ้าระดับรายบุคคลและองค์กรรายย่อยที่ติดตั้งโซลาร์รูฟท็อปในภาคครัวเรือน ซึ่งส่วนใหญ่จะมีขนาดกำลังการผลิตไม่ถึง 500 กิโลวัตต์ โดยผู้ผลิตเหล่านี้มีเป็นจำนวนมากและตลาดโซลาร์รูฟท็อปมีอัตราการเติบโตสูงถึงปีละ 26% บริษัทฯ จึงได้ร่วมมือกับธนาคารพัฒนา REC Aggregator Platform ผ่านการรวบรวมและจัดเตรียมข้อมูลการขึ้นทะเบียน REC เพื่อช่วยผู้ผลิตไฟฟ้ารายย่อยสามารถยื่นขอใบรับรอง REC ได้สะดวกขึ้น และอำนวยความสะดวกในการนำ REC ที่ออกและได้รับการรับรองไปจำหน่ายแก่ผู้รับซื้อ 

โดยนอกจากจะช่วยให้ผู้ผลิตรายย่อยสามารถขาย REC เป็นรายได้อีกช่องทางหนึ่งแล้ว แพลตฟอร์มนี้ยังช่วยกระตุ้นให้การติดตั้งโซลาร์รูฟท็อปในตลาดเติบโตยิ่งขึ้น และยังช่วยให้องค์กรและประเทศบรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) และเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Emission) อย่างเป็นรูปธรรม

ใบรับรองการผลิตพลังงานหมุนเวียน (Renewable Energy Certificate : REC) คือใบรับรองสำหรับการผลิตไฟฟ้าพลังงานสะอาดที่สามารถซื้อขายได้ เพื่อยืนยันที่แหล่งผลิตว่ามาจากพลังงานธรรมชาติ เช่น พลังงานแสงอาทิตย์, น้ำ และลม เป็นต้น การซื้อขายใบรับรองมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการผลิตและการใช้พลังงานหมุนเวียนมากขึ้น โดย REC สามารถนำไปใช้ในการชดเชยการปล่อยก๊าซเรือนกระจกขององค์กรได้ในกิจกรรมที่เกิดจากการใช้ไฟฟ้า (Scope 2: Indirect Emission) 

12 มีนาคม พ.ศ. 2558 ‘กรมสมเด็จพระเทพฯ’ ทรงพระราชทานพระราโชวาทแก่บัณฑิต ม.พะเยา “การงานใดจะสำเร็จลุล่วงได้ ต่อเมื่อทุกคนรู้รับผิดชอบต่อหน้าที่ของตน”

เมื่อวันที่ 12 มีนาคม พ.ศ. 2558 พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินแทนพระองค์ ไปพระราชทานปริญญาบัตรแก่ผู้สำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยพะเยา ประจำปีการศึกษา 2556 ณ หอประชุมพญางำเมือง มหาวิทยาลัยพะเยา อำเภอเมืองพะเยา จังหวัดพะเยา 

ในโอกาสนี้ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี พระราชทานพระราโชวาทความว่า…

“การจัดการศึกษาในระดับอุดมศึกษา มีจุดมุ่งหมายสำคัญคือ เพื่อให้ผู้เรียนเป็นผู้มีความรู้ทางวิชาการขั้นสูง และสามารถใช้ความรู้นั้นประกอบอาชีพการงานสร้างสรรค์ประโยชน์ให้แก่ตน แก่ส่วนรวมได้ บัณฑิตในฐานะที่ได้สำเร็จการศึกษาในระดับสูง จึงต้องตั้งใจนำความรู้ที่เล่าเรียนมาไปใช้ประกอบกิจการงานให้บังเกิดผล แต่การที่จะทำงานให้บรรลุถึงความสำเร็จได้จริงนั้น สำคัญที่แต่ละคนจะต้องรู้หน้าที่ของตนและรับผิดชอบต่อหน้าที่นั้นอย่างจริงจังหนักแน่น กล่าวคือ ในการปฏิบัติกิจการงาน บัณฑิตจะต้องทำความเข้าใจให้ทราบชัดว่า ตนมีหน้าที่อะไรแล้วตั้งใจปฏิบัติหน้าที่ทั้งปวงจนสำเร็จลุล่วงด้วยความเอาใจใส่ พร้อมทั้งพยายามปรับปรุงพัฒนางานในหน้าที่ให้ดีขึ้นเจริญขึ้นอยู่เสมอ เมื่อทุกคนรู้หน้าที่และรับผิดชอบต่อหน้าที่ของตน การงานทุกอย่างที่ทำก็จะสำเร็จผลอย่างมีประสิทธิภาพ และผลสำเร็จอันเกิดจากการปฏิบัติงานของแต่ละคนนั้น นอกจากจะอำนวยประโยชน์ให้แก่ตนเองแล้ว ยังประกอบเกื้อกูลกันเป็นความเจริญก้าวหน้าของส่วนรวมด้วย จึงขอให้บัณฑิตทุกคนรู้หน้าที่ของตนและรับผิดชอบต่อหน้าที่อย่างเคร่งครัดจะได้สามารถสร้างสรรค์ประโยชน์ที่แท้จริงและยั่งยืนให้แก่ตนเองและส่วนรวมได้สืบไป”

ต่อจากนั้น สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินไปทรงหล่อพระเกศพระพุทธรูปนาคปรก ส.ธ. ประจำมหาวิทยาลัยพะเยา ณ มหาวิทยาลัยพะเยา อำเภอเมืองพะเยา จังหวัดพะเยา

‘รัฐบาลเกาหลีใต้’ เตรียมระงับใบประกอบวิชาชีพ ‘หมอฝึกหัด’ 5 พันคน  หลัง ‘ลาออก-นัดหยุดงาน’ ประท้วงนโยบายเพิ่มโควตารับนักศึกษาแพทย์

(11 มี.ค.67) รัฐบาลเกาหลีใต้ประกาศว่า ได้เริ่มกระบวนการที่จะระงับใบประกอบวิชาชีพของแพทย์ฝึกหัดเกาหลีใต้ ที่เข้าร่วมขบวนการประท้วงรัฐบาลด้วยการยื่นใบลาออก และนัดหยุดงาน เพื่อเรียกร้องให้ยกเลิกนโยบายเพิ่มโควตาการรับนักศึกษาแพทย์ในปีนี้ และปฏิรูประบบการฝึกอบรมแพทย์ครั้งใหญ่ จนสร้างความปั่นป่วนในระบบการรักษาพยาบาลในโรงพยาบาลทั่วประเทศ 

จุน บยอง-วัง รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวกับผู้สื่อข่าวว่า ทางการเกาหลีใต้ได้ส่งจดหมายแจ้งเตือนไปยังกลุ่มแพทย์ฝึกหัดชุดแรกจำนวน 4,944 คนตั้งแต่สัปดาห์ที่ผ่านมา ที่พวกเขาเหล่านั้นต้องส่งเอกสารตอบกลับเรื่องมาตรการลงโทษนี้ให้ทันภายในวันที่ 25 มีนาคม 2567 นี้ มิฉะนั้นใบประกอบวิชาชีพของพวกเขาจะถูกระงับ

การประท้วงของกลุ่มแพทย์ฝึกหัดของเกาหลีใต้ เริ่มมาตั้งแต่วันที่ 20 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา เมื่อบรรดาแพทย์ฝึกหัดในโรงพยาบาลนัดกันยื่นใบลาออก หรือพากันวอล์กเอาต์ออกจากที่ทำงาน จนทำให้บุคลากรการแพทย์ในโรงพยาบาลหลายแห่งขาดแคลนอย่างกะทันหัน จนไม่สามารถดูแลผู้ป่วยได้ทัน บางโรงพยาบาลต้องเลื่อนกำหนดผ่าตัด หรือส่งตัวคนไข้ไปยังโรงพยาบาลอื่น 

แม้ว่ารัฐบาลเกาหลีใต้จะออกมาตำหนิให้กลุ่มแพทย์ฝึกหัดอย่างรุนแรงว่าขาดจิตสำนึกที่ทิ้งคนไข้ และขู่ว่าจะดำเนินคดี และเพิกถอนใบอนุญาตประกอบวิชาชีพกลุ่มแกนนำในการประท้วงครั้งนี้ 

แต่การลาออกของแพทย์ฝึกหัดยังคงมีอย่างต่อเนื่อง จนล่าสุดเมื่อวันศุกร์ (8 มี.ค. 67) พบว่ามีแพทย์ฝึกหัดในเกาหลีใต้จำนวน 11,994 คนจาก 100 วิทยาลัยแพทย์ทั่วประเทศยื่นจดหมายลาออกเพื่อประท้วงรัฐบาล คิดเป็นสัดส่วนมากถึง 93% ของจำนวนแพทย์ฝึกหัดทั้งหมดในเกาหลีใต้

เมื่อบรรดาแพทย์ฝึกหัดไม่ยอมถอย รัฐบาลเกาหลีใต้จึงต้องยกระดับการกดดันด้วยการส่งจดหมายแจ้งเตือนการระงับใบประกอบวิชาชีพชั่วคราวชุดแรกกว่า 5,000 ฉบับ เพื่อกระตุ้นเตือนให้เหล่าแพทย์ฝึกหัดที่ลางาน รีบกลับมาทำงานก่อนผลการพิจารณาตัดสินโทษจะแล้วเสร็จ อีกทั้งยังขู่ที่จะดำเนินคดีกลุ่มแพทย์ฝึกหัดแกนนำรุ่นพี่ ที่แสดงพฤติกรรมข่มขู่ คุกคาม หรือขัดขวางรุ่นน้องไม่ให้กลับเข้ามาทำงานอีกด้วย 

พร้อมทั้งย้ำถึงความจำเป็นในการเพิ่มจำนวนแพทย์เพื่อแก้ปัญหาการขาดแคลนแพทย์ในพื้นที่ห่างไกล หรือแพทย์เฉพาะทาง เช่น ด้านกุมารเวชศาสตร์และศัลยกรรมระบบประสาท เพื่อรองรับสังคมประชากรสูงวัยของเกาหลีใต้ในอนาคต ดังนั้นรัฐบาลเกาหลีใต้ยังไม่ยอมถอยเรื่องการเพิ่มโควตารับนักศึกษาแพทย์อีก 60% ในปีการศึกษาหน้า

แต่ทั้งนี้ โช คยูฮง รัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า ทางรัฐบาลยังเปิดกว้างสำหรับการพูดคุย แลกเปลี่ยนความคิดเห็นเพื่อแก้ปัญหา ที่จะนำไปสู่การพัฒนาปรับปรุงสวัสดิภาพการทำงาน และพร้อมจะใช้มาตรการผ่อนปรนหากแพทย์ฝึกหัดที่ประสงค์จะกลับมาทำงานก่อนที่ขั้นตอนการระงับใบอนุญาตจะเสร็จสิ้น ในระหว่างนี้ รัฐบาลสั่งระดมแพทย์ทหารเข้ามาช่วยเสริมในโรงพยายาลพลเรือนที่ได้รับผลกระทบจากการนัดหยุดงานของกลุ่มแพทย์ฝึกหัดไปก่อน 

ซึ่งในเกาหลีใต้ มีกฎหมายระบุข้อห้ามในการนัดหยุดงานของทีมแพทย์ไว้อย่างชัดเจน แต่เมื่อมีการนัดหยุดงานของกลุ่มแพทย์ฝึกหัดเกิดขึ้น ทางกระทรวงสาธารณสุขจึงต้องส่งเรื่องให้ตำรวจเข้ามาสอบสวนหาตัวบุคคลที่เกี่ยวข้องกับการนัดหยุดงาน ที่จะต้องถูกดำเนินคดีทางกฎหมายและอาจรุนแรงถึงการเพิกถอนใบประกอบวิชาชีพถาวรได้ 

ความขัดแย้งระหว่างกลุ่มแพทย์กับนโยบายรัฐ ทำให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ในสังคมเกาหลีใต้อย่างกว้างขวาง โดยกลุ่มบุคลากรการแพทย์เคยแย้งว่าการเริ่มเพิ่มจำนวนแพทย์ โดยไม่คำนึงถึงคุณภาพอาจนำไปสู่ความล้มเหลวของการให้บริการด้านสาธารณสุข แต่ในขณะเดียวกันก็มีผู้แย้งว่า กลุ่มแพทย์ที่คัดค้านเพียงต้องการรักษาสถานะทางสังคม และ มาตรฐานค่าตอบแทนในวิชาชีพของตนเท่านั้น เพราะหากมีจำนวนแพทย์เพิ่มมากขึ้นในตลาดแรงงาน ย่อมส่งผลต่อการเรียกร้องในการเพิ่มสวัสดิการ และค่าตอบแทนของแพทย์ในอนาคตได้ 

เชียงใหม่-ชุด“แรด” หนึ่งเดียวในไทย”soft power “ limited edition สวนสัตว์เชียงใหม่

มาแล้วชุด“แรด” หนึ่งเดียวในไทย”soft power “ limited edition สวนสัตว์เชียงใหม่ ใส่ต้อนรับสงกรานต์ นี้ รายได้ส่วนหนึ่งจะนำบริจาคทำบุญเป็นค่าอาหารสัตว์สวนสัตว์เชียงใหม่

นายวุฒิชัย ม่วงมัน ผู้อำนวยการสวนสัตว์เชียงใหม่ ขานรับกิจกรรม“soft power” โดยได้ให้ผลิตเสื้อผ้าชุดลำลอง คลายร้อน เป็นเสื้อเชิ้ตคอฮาวาย กางเกงขาสั้นแบบสุภาพ ใส่สบาย สวยน่ารัก หล่อเท่ห์  ต้อนรับสงกรานต์ โดยเสื้อและกางเกงเนื้อผ้าพื้นสีครีมโอรส พิมพ์ลายด้วยทองกวาวสีแสด ดอกไม้ประจำจังหวัดเชียงใหม่ และพิมพ์ลายตัวกาลิแรดอินเดียที่มีอยู่หนึ่งเดียวประเทศไทย ที่สวนสัตว์เชียงใหม่สกรีนลายและตัดเย็บโดยช่างมืออาชีพติดกระดุมกะลาแท้ 

เบื้องต้นนี้ ผู้ประกอบการได้ผลิตและจำหน่าย จำนวนทั้งสิ้น 800 ชุดๆ ละ 399.-บาทเท่านั้น ได้ทั้งเสื้อและกางเกง ทุกชุดของการสั่งซื้อรายได้ส่วนหนึ่งจะนำบริจาคทำบุญเป็นค่าอาหารสัตว์สวนสัตว์เชียงใหม่ อีกด้วย

ผู้สนใจสามารถเข้าไปได้ที่ Facebook สวนสัตว์เชียงใหม่ และสั่งจองได้ที่ ช่องทาง link https://cmzcollectionbywarinn.page365.net หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ช่องทาง Line :    https://lin.ee/ezu1Guo  สั่งตั้งแต่วันนี้จนถึงวันที่ 25 มีนาคม 2567  รับสินค้าได้ภายใน10 เมษายน 2567 ก่อนสงกรานต์ ใส่ปีใหม่เมือง แน่นอน

นภาพร/เชียงใหม่

‘นักวิจัยจีน’ เจ๋ง!! พัฒนาอุปกรณ์นาโนดีเอ็นเออัจฉริยะ ช่วยค้นหาลิ่มเลือด พร้อมจ่ายยาอัตโนมัติอย่างแม่นยำ

(11 มี.ค. 67) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ทีมนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยไปรษณีย์และการสื่อสารโทรคมนาคมแห่งหนานจิง (NJUPT) ได้พัฒนาอุปกรณ์นาโนดีเอ็นเออัจฉริยะ สำหรับการละลายลิ่มเลือด ซึ่งสามารถค้นหาลิ่มเลือดและจ่ายยาอย่างแม่นยำโดยอัตโนมัติ

รายงานระบุว่าทีมนักวิจัยใช้เทคโนโลยีเรียงดีเอ็นเอมาประสานแผ่นนาโนดีเอ็นเอกับตำแหน่งจับยาละลายลิ่มเลือด (tPA) ที่ออกแบบไว้ล่วงหน้า และตัวยึดดีเอ็นเอที่ไวต่อทรอมบิน (thrombin) หรือการแข็งตัวของเลือด โดยตัวยึดดังกล่าวมีโครงสร้างดีเอ็นเอสามสายประสานกัน ซึ่งทำหน้าที่เป็นตัวบ่งชี้ทรอมบิน ตัวควบคุม และสวิตช์เปิด

วังเหลียนฮุย สมาชิกทีมนักวิจัย ระบุว่ายาละลายลิ่มเลือดเปรียบเสมือนดาบสองคม อาจเป็นอันตรายหากใช้ไม่ถูกต้อง โดยยาดังกล่าวอาจละลายไฟบริน (fibrin) ในบาดแผลปกติอย่างมั่วซั่ว ส่งผลให้เกิดการแข็งตัวผิดปกติของเลือด ซึ่งในกรณีรุนแรงอาจส่งผลให้บาดแผลเปิดและมีเลือดออก

ทว่าอุปกรณ์นาโนนี้สามารถตรวจสอบว่าพวกมันอยู่ใกล้ลิ่มเลือดหรือบาดแผลปกติโดยอ้างอิงความเข้มข้นของทรอมบิน โดยหากความเข้มข้นของทรอมบินสูง เป็นไปได้ว่าบริเวณนั้นมีลิ่มเลือดอุดตัน และอุปกรณ์จะปล่อยยาละลายลิ่มเลือดออกมา

ทีมนักวิจัยเสริมว่าอุปกรณ์นี้สามารถย่อยสลายและถูกเผาผลาญในร่างกายมนุษย์ และคาดว่าจะเป็นแนวทางใหม่ในการบำบัดรักษาโรคต่าง ๆ เช่น โรคกล้ามเนื้อหัวใจตายและโรคหลอดเลือดสมอง อนึ่ง ผลการศึกษานี้เผยแพร่ผ่านวารสารเนเจอร์ แมทีเรียลส์ (Nature Materials)

‘รมว.ปุ้ย’ มอบนโยบาย ‘รื้อ ลด ปลด สร้าง’ ขับเคลื่อน SMEs ไทย ฟาก ‘SME D Bank’ ขานรับ ชู ‘เติมทุนคู่พัฒนา’ วงเงินกู้สูงสุด 50 ลบ.

(11 มี.ค. 67) นางสาวพิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยภายหลังตรวจเยี่ยมและมอบนโยบายแก่ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) หรือ SME D Bank ในฐานะสถาบันการเงินของรัฐ ภายใต้สังกัดกระทรวงอุตสาหกรรม และกระทรวงการคลัง ว่า ได้มอบนโยบายการทำงานแก่คณะกรรมการ และคณะผู้บริหาร SME D Bank ให้เดินหน้าสนับสนุนเอสเอ็มอีกลุ่มเป้าหมายอย่างทั่วถึง สอดคล้องกับ Thailand Vision ที่ตั้งเป้าให้ไทยเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจใน 8 ด้าน ได้แก่ การท่องเที่ยว การแพทย์-สุขภาพ อาหาร การบิน การขนส่ง ยานยนต์อนาคต ดิจิทัล และการเงิน โดยให้บริการด้านการพัฒนาควบคู่กับการให้สินเชื่อ พร้อมเชื่อมโยงและใช้ประโยชน์จากเครือข่ายพันธมิตรภายในและภายนอกกระทรวงอุตสาหกรรม

ทั้งนี้ ขอให้ SME D Bank นำแนวทาง ‘รื้อ-ลด-ปลด-สร้าง’ มายกระดับขั้นตอนการทำงาน หมายถึง รื้อ ลด และปลด สิ่งที่เป็นอุปสรรคในการดำเนินธุรกิจของเอสเอ็มอี พร้อมกับสร้างสิ่งใหม่ ๆ เพื่อสนับสนุนเอสเอ็มอี เช่น การพัฒนาศูนย์ One Stop Service สำหรับให้บริการกลุ่มเป้าหมายอย่างมีประสิทธิภาพ การนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ในทุกกระบวนการ และมุ่งสู่การเป็น Digital Banking โดยสมบูรณ์ 

นอกจากนี้ ธนาคารจะต้องใช้ประโยชน์จากข้อมูล Data Warehouse และระบบ Core Banking System (CBS) ที่ธนาคารพัฒนาขึ้น เพื่อนำไปวิเคราะห์ วิจัย และประมวลผลให้ได้ข้อมูลเชิงลึก (SME Insight) สำหรับกำหนดเป็นนโยบายสนับสนุนเอสเอ็มอีต่อไป

นอกจากนั้น SME D Bank ในฐานะสถาบันการเงินของรัฐ จะต้องวางภาพลักษณ์องค์กรเป็น Professional Banking มีวัฒนธรรมการทำงานที่โปร่งใส เป็นธรรม และเป็นมืออาชีพ

“ดิฉันมั่นใจในศักยภาพของ SME D Bank และยินดีที่จะสนับสนุนการดำเนินงานของ SME D Bank ในทุกมิติ เพื่อให้ SME D Bank เป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนนโยบายรัฐบาล สามารถช่วยเหลือและเพิ่มศักยภาพแก่เอสเอ็มอีไทย ซึ่งจะสร้างประโยชน์ ก่อให้เกิดการจ้างงาน สร้างอาชีพ ประชาชนมีรายได้ คุณภาพชีวิตดีขึ้น ส่งต่อประโยชน์ไปยังทุกภาคส่วน ทั้งเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ทำให้ประเทศไทยเติบโตอย่างเข้มแข็งและยั่งยืน” นางสาวพิมพ์ภัทรา กล่าว

นายเดชา จาตุธนานันท์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม และประธานกรรมการ SME D Bank กล่าวว่า SME D Bank พร้อมขานรับดำเนินการตามนโยบายรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ผ่านกระบวนการ ‘เติมทุนคู่พัฒนา’ ช่วยเอสเอ็มอีเติบโตอย่างเข้มแข็ง โดยด้าน ‘การเงิน’ จัดเตรียมผลิตภัณฑ์สินเชื่อครอบคลุมทุกกลุ่มเอสเอ็มอี วงเงินกู้สูงสุด 50 ล้านบาท 

นอกจากนั้น ยังเป็นสินเชื่ออัตราดอกเบี้ยพิเศษ ผ่อนนานพิเศษสูงสุด 15 ปี และปลอดชำระเงินต้นสูงสุด 24 เดือน ช่วยลดภาระทางการเงิน อีกทั้ง ใช้กลไกบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) สนับสนุนกลุ่มที่ไม่มีหลักประกันให้สามารถเข้าถึงแหล่งทุนได้ ขณะเดียวกัน พิจารณาอนุมัติสินเชื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์จริง 

ทั้งนี้ ในช่วงสถานการณ์โควิด-19 ที่ผ่านมา SME D Bank ดูแลช่วยเหลือเอสเอ็มอีอย่างใกล้ชิดและต่อเนื่อง สามารถพาเข้าถึงแหล่งเงินทุนกว่า 231,250 ล้านบาท ก่อให้เกิดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจไทยกว่า 1 ล้านล้านบาท และช่วยรักษาการจ้างงานได้กว่า 752,345 ราย ควบคู่กับช่วยพัฒนาเสริมศักยภาพเอสเอ็มอีกว่า 75,000 ราย อีกทั้ง ช่วยเหลือผ่านมาตรการปรับโครงสร้างหนี้อย่างยั่งยืน (ฟ้า-ส้ม) ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กว่า 83,520 ราย วงเงินรวมกว่า 145,240 ล้านบาท

ส่วนด้าน ‘การพัฒนา’ ยกระดับศักยภาพเอสเอ็มอี ผ่านโครงการ SME D Coach ที่เชื่อมโยงการสนับสนุนจากหน่วยงานภาครัฐและเอกชนกว่า 50 แห่งมาไว้ในจุดเดียว เน้นเติมความรู้ใน 6 ด้านสำคัญ ได้แก่ 1.การตลาด 2.มาตรฐาน พัฒนาผลิตภัณฑ์ 3.เทคโนโลยีและนวัตกรรม 4.การเงิน เขียนแผนธุรกิจ บัญชี ภาษี 5.การผลิต และ 6.บ่มเพาะเตรียมพร้อมเข้าสู่แหล่งทุน 

ทั้งนี้ SME D Bank ยังดำเนินการตามนโยบายรัฐบาล แก้ไขปัญหาหนี้ทั้งระบบให้แก่ประชาชนและเอสเอ็มอี โดยเฉพาะกลุ่มที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 กลุ่มรหัส 21 (วงเงินสินเชื่อรวมไม่เกิน 10 ล้านบาท และเป็น NPL ณ วันที่ 31 ธ.ค. 2566) ผ่านมาตรการต่าง ๆ เช่น พักชำระหนี้เงินต้น 1 ปี อีกทั้ง ระหว่างพักชำระเงินต้นจะได้ลดดอกเบี้ย 1% ต่อปี 

นอกจากนั้น ยกดอกเบี้ยผิดนัดให้ทั้งหมด และหากปิดบัญชี ลดดอกเบี้ยค้างให้ 100% เป็นต้น สามารถแจ้งความประสงค์เข้าร่วมได้ตั้งแต่วันนี้ถึง 30 มิถุนายน 2568 ณ สาขา SME D Bank ที่ใช้บริการสินเชื่อ

สำหรับปีนี้ (2567) SME D Bank ยังเดินหน้ากระบวนการ ‘เติมทุนคู่พัฒนา’ พร้อมยกระดับนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาให้บริการเอสเอ็มอีได้คลอบคลุม และกว้างขวางยิ่งขึ้น ได้แก่ ระบบ Core Banking System (CBS) ที่สามารถให้บริการทางการเงินได้สะดวก รวดเร็ว และปลอดภัย ทุกที่ ทุกเวลา ตลอด 24 ชั่วโมง และแพลตฟอร์ม DX (Development Excellent) ระบบพัฒนาผู้ประกอบการอัจฉริยะ สร้างสังคมของการเรียนรู้ e-Learning ศึกษาได้ด้วยตัวเอง 24 ชม. ช่วยเติมศักยภาพให้เอสเอ็มอีสู่ความสำเร็จอย่างยั่งยืน

ความจริงที่คนส่วนใหญ่ ยังเข้าใจผิด กับ ‘ย่านคนดำในนิวยอร์ก’ เมื่อหลายเชื้อชาติเข้ามามากขึ้น จนเมืองถูกพัฒนาไปในทางที่ดี

เมื่อไม่นานมานี้ จากยูทูบช่อง ‘Mara Mara In New York’ โดย คุณการ์ด ได้โพสต์คลิปวิดีโอ ขณะสำรวจ ‘ย่านคนผิวสี’ หรือ ‘ย่านคนดำ’ (Harlem) ของมหานครนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกา เพื่อฉายภาพให้เห็นว่ามันจะอันตรายจริง ๆ อย่างที่เขาเล่าขานกันหรือไม่ และคนที่นี่จะเหยียดคนไทยหรือคนเอเชียอย่างเราหรือเปล่า ว่า…

มีคนเตือนมาว่า ย่าน ‘Harlem New York City’ ไม่น่าเที่ยว ไม่ต้องมา เพราะมันไม่มีอะไรที่น่าสนใจ แถมยังดูอันตรายด้วย แต่ความเป็นจริงจะเป็นอย่างนั้นหรือไม่ จะน่ากลัวจริงหรือเปล่า และผู้คนแถวนี้จะมีปฏิกิริยายังไงกับคนเอเชียอย่างเรา

หากเริ่มต้นกันที่ถนน W 125 ST ซึ่งเป็นจุดกึ่งกลางของฮาเล็ม ก็จะมีร้านขายของเต็มไปหมด อย่างเช่น ร้านไก่ทอด Popeyes ซึ่งเป็นอาหารที่ได้รับความนิยมอยู่บ่อย ๆ หรือร้านขายวิก เพราะคนดำมักจะนิยมใส่อีกเช่นกัน ก็จะมีวิกหลากหลายรูปแบบให้เลือก หรือถัดมาก็จะมีห้างที่เหมือนเดอะมอลล์ในบ้านเรา ที่รวมสิ่งของหลาย ๆ อย่าง มีทั้งโรงหนัง ร้านขายขนม ร้านเสื้อผ้าอย่างแบรนด์ Old Navy ซึ่งเป็นเสื้อผ้าที่มีราคาย่อมเยาว์ สามารถจับต้องได้ ราคาไม่ได้แพงมาก หรือร้านเสื้อผ้าที่ขายอยู่ตามข้างทางก็จะมีราคาเริ่มต้นอยู่ที่ 20 บาทเมืองไทย ส่วนคุณภาพเสื้อก็โอเคเลยทีเดียว ซึ่งหลังจากที่ได้เดินมาก็รู้สึกได้ว่าไม่มีใครมองเราแบบว่า ไอ้เจ็กมาเดินอะไรอยู่แถวนี้…

นอกจากนี้ สิ่งที่ขึ้นชื่ออีกอย่างที่ฮาเล็มก็คือ เรื่องของดนตรีนั่นเอง อย่างพวก ฮิปฮอป ดนตรีแจ๊ส ที่ได้รับความนิยม แล้วก็มีชื่อเสียงโด่งดัง อย่างจุดที่ได้มาสำรวจก็คือ ‘Apollo Theater’ ซึ่งถ้าให้ย้อนกลับไปในปี ค.ศ.1930 โรงละครแห่งนี้เป็นโรงละครแห่งเดียวเลยที่ให้มีการแสดงของคนชาวแอฟริกัน-อเมริกันมาแสดง โดยจะมีผู้ชมคอยให้คะแนนจากการแสดงนั้น พูดง่ายๆ ผลงานไหนจะดังหรือดับก็ขึ้นอยู่กับผู้ชมล้วนๆ เลย

นอกจากนี้ ที่นี่ยังมีตึกที่ชื่อว่า Adam Clayton Powell Jr. ซึ่งเป็นตึกที่มาจากชื่อชาวแอฟริกัน-อเมริกันคนแรกที่ได้รับเลือกจากนิวยอร์กเข้าสู่สภาคองเกรส และเป็นโฆษกประจำชาติด้านสิทธิพลเมืองและประเด็นทางสังคม และเป็นบุคคลสำคัญที่พัฒนาการเมืองในย่านฮาเล็ม ที่ทำให้ฮาเล็มในปัจจุบันมีความพัฒนา ซึ่งการที่ Adam Clayton Powell Jr. เป็นคนผิวสีคนแรกที่ได้เข้าไปทำงานในเกี่ยวกับสภาของนิวยอร์ก ทำงานในวงการการเมืองของนิวยอร์ก ตัวเขาก็เลยมีความสำคัญ จนมีตึกชื่อของเขาขึ้นมาเพื่อเป็นอนุสรณ์

จากที่ลองสำรวจคร่าวๆ แล้ว สิ่งที่รู้สึกได้จากย่านนี้ คือ ความเป็นมิตร เพราะจากที่ได้เห็นพบว่าผู้คนยิ้มแย้มทักทาย ไม่ได้รู้สึกว่ามีสายตาโกรธหรือโหดกับคนเอเชียแบบเรา ถ้าให้เทียบกับตอนที่ไป เดอะบร็องซ์ จะรู้สึกว่าอันนั้นดูไม่ค่อยปลอดภัยเท่าไร เพียงแค่มองหน้ากันก็มีโกรธแล้ว 

นอกจากนี้ คุณการ์ด เจ้าของช่อง ก็ยังได้สัมภาษณ์คุณป้าใจดีท่านหนึ่งที่อาศัยอยู่แถวฮาเล็มมาแล้ว 20 ปี โดยคุณป้าระบุว่า “ในสมัยก่อนนั้นฮาเล็มไม่ได้เปิดกว้างมาก และไม่ได้มีความหลากหลายเหมือนปัจจุบัน มันเป็นเหมือนชุมชนของคนดำอย่างเดียวซะมากกว่า แต่ในปัจจุบันฮาเล็มมีคนมาอยู่อาศัยหลากหลายเชื้อชาติ และต่างคนก็ต่างใช้ชีวิตของตนเอง”

ต่อมาคุณป้าได้ตอบคำถามเพิ่มเติมเกี่ยวกับประเด็นการเหยียดคนเอเชียว่า “คนชอบมาถามว่าอยู่แถวนี้ปลอดภัยไหม? แน่นอนมันปลอดภัย ซึ่งคนขาวสามารถวิ่งออกกำลังกายแถวนี้ได้ แต่ถ้าเป็นแต่ก่อน คนขาววิ่งแถวนี้ไม่ได้เลย และคนส่วนใหญ่ก็กลัว เพราะแต่ก่อนยาเสพติดมันเยอะ อาชญากรรมก็เยอะ คนโดนปล้น โดนขโมยของเป็นประจำ แต่ปัจจุบันนี้มันปลอดภัยแล้ว ถ้าเทียบกับยุค 80 หรือ 90 เพราะรัฐบาลเข้ามาเปลี่ยนแปลงทั้งหมดเลย…”

ดังนั้นฮาเล็มในวันนี้ จึงไม่ได้น่ากลัวอีกต่อไป…เพราะทุกสิ่งทุกอย่างมันเปลี่ยนไปหมดแล้ว ส่วนหนึ่งก็คงเพราะด้วยความที่หลายๆ เชื้อชาติได้เข้ามาอาศัยอยู่ในฮาเล็มมากขึ้น ก็เลยทำให้ชุมชนตรงนี้มีความหลากหลาย แล้วก็เกิดการพัฒนาไปตามกาลเวลาในทางที่ดีขึ้น อย่างพวกยาเสพติดหรือการปล้นอะไรพวกนี้ ก็ไม่ค่อยมีให้เห็นแล้ว

คุณการ์ด พาทัวร์ต่อ โดยเธอพาไปร้าน Sylvia’s Restaurant ซึ่งที่มาของชื่อมาจาก Queen of Soul food ที่เป็นเจ้าของของที่นี่ โดยอาหาร Soul Food เป็นคำที่ใช้เรียกอาหารของชาวแอฟริกันอเมริกัน ซึ่งเป็นอาหาร Style Home Cook ภายใต้การตกแต่งในร้านที่ดูเรียบง่ายไม่หวือหวา ประกอบด้วยรูปภาพตามกำแพงที่เป็นรูปในอดีตของคุณซีเรีย และก็มีรูปของคนดังหลายคนที่มาทานที่ร้าน หรือแม้กระทั่งอดีตประธานาธิบดีบารัค โอบามา ก็มากินที่นี่

หลังจากนั้น เธอได้พาไปต่อกับ ย่านฮาเล็มฝั่งตะวันออก (East Harlem) ซึ่งเป็นย่านหนึ่งที่ผู้มีรายได้น้อยมักอยู่อาศัยกันเยอะ ซึ่งหลายๆ คนบอกว่าเป็นย่านที่อันตราย แต่พอได้ลองมองดูจริงๆ แล้ว ย่านนี้ดูเหมือนจะเงียบสงบ ไม่ได้มีอะไรที่ดูน่ากลัว และผู้คนก็อยู่อาศัยกันตามปกติ รวมถึงยังมีร้านขายของ ผู้คน ใช้ชีวิตกันตามปกติ ภายใต้การดูแลของตำรวจที่อยู่ข้างทางคอยดูแลรักษาความปลอดภัยด้วย

ทั้งนี้ คุณการ์ด ได้เล่าอีกว่า จากข้อมูลของ ‘NBC News’ Professor Janelle Wong จาก University of Maryland ได้ทำการศึกษาเคสที่คนเอเชียถูกทำร้ายหรือถูกบูลลี่ ซึ่งวิเคราะห์จากวิดีโอ กล้องวงจรปิด หรือคลิปเสียงทั้งหลาย ค้นพบว่า 75% ผู้ก่อเหตุเป็น ‘คนผิวขาว’ ซึ่งจะเห็นได้จากคลิปที่คนขาวชอบไล่คนเอเชียให้ออกนอกประเทศไปเสียมาก

ทว่า ทำไมคลิปวิดีโอส่วนใหญ่ที่เราเห็น ถึงมีแต่คลิปที่เป็นคนผิวสีทำร้ายร่างกาย ซึ่งคุณการ์ด เล่าว่า เพราะคลิปวิดีโอส่วนใหญ่ที่เราเห็น ได้มาจากย่านที่เป็นเหมือนคนรายได้ไม่สูงรวมตัวกันอยู่ ซึ่งย่านเหล่านี้ ก็มักจะมีคนผิวสีอาศัยอยู่เยอะ แล้วมันก็ถูกจับจ้องด้วยกล้องวงจรปิดเยอะเป็นพิเศษ ทำให้มีพวกข้อมูลด้านความรุนแรงหลุดออกมาเยอะนั่นเอง…

รำลึก 'มณเฑียร บุญตัน' ผู้ขับเคลื่อนโอกาสแก่ 'คนพิการ-ผู้คนในสังคม' เปลี่ยนความเวทนา เป็นความศรัทธาว่า "ทุกคนล้วนเท่าเทียมกัน"

ภายหลังจากเมื่อวันที่ 2 มี.ค. 67 ทางสำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา แจ้งข้อความผ่านไลน์กลุ่มสื่อมวลชนประจำรัฐสภา ว่า 'มณเฑียร บุญตัน' สมาชิกวุฒิสภา (สว.) ถึงแก่อนิจกรรมด้วยอาการหัวใจวายเฉียบพลัน บรรดาผู้คนในภาคสังคมต่างก็ออกมาร่วมไว้อาลัย เสียใจ ถึงการสูญเสียผู้สร้างคุณูปการขับเคลื่อนประเด็นด้านสิทธิความเสมอภาคให้กับคนพิการ และผู้คนในสังคมในสังคมไทยมาโดยตลอด

นั่นก็เพราะ อ.มณเฑียร เป็นผู้ที่มีความชัดเจนในหลักการเรื่องสิทธิมนุษยชน ไม่เลือกปฏิบัติ และไม่ใช่เฉพาะการขับเคลื่อนแค่คนพิการ แต่ทุกคนในสังคมก็ต้องไม่ถูกเลือกปฏิบัติ ซึ่งเป็นประเด็นสำคัญที่ อ.มณเฑียร ขับเคลื่อน ผลักดันร่างกฎหมายขจัดการเลือกปฏิบัติต่อบุคคล เพื่อให้เจ้าหน้าที่ป้องกัน เยียวยาผู้ได้รับผลกระทบในสังคม 

โดย อ.มณเฑียร ได้เข้ามาทำงานร่วมกับภาคประชาชน และกรรมการสิทธิมนุษยชนอย่างเข้มข้นในช่วงหลังมานี้ เพื่อที่ต้องการอยากเห็นกฎหมายขจัดการเลือกปฏิบัติต่อบุคคล เป็นกฎหมายกลางให้ทุกคนได้รับการปฏิบัติอย่างเท่าเทียมกัน 

และที่ผ่านมา อ.มณเฑียร ได้ตั้งกระทู้ถามสดในสภาฯ หลายครั้งเพื่อให้ทุกส่วนได้เข้าใจ และเห็นความสำคัญของกฎหมายฉบับนี้

นอกจากนี้ อ.มณเฑียร ยังมีส่วนช่วยทำงานระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้องกับผู้ด้อยโอกาส กลุ่มเปราะบาง ถึงขั้นที่ทำเนียบเอกอัครราชทูตญี่ปุ่น ประจำประเทศไทย ได้มอบเกียรติบัตรเพื่อยกย่อง ในฐานะบุคคลที่เป็นผู้เชื่อมสัมพันธไมตรี และทำคุณประโยชน์ระหว่างประเทศไทยกับประเทศญี่ปุ่น กันเลยทีเดียว (เมื่อ 22 มี.ค.64 ) 

แม้วันนี้ท่านจะจากไป แต่คุณประโยชน์ที่ท่านทำไว้ต่อคนพิการ และผู้คนอื่น ๆ เป็นพลัง ที่มอบวิถีที่จะให้ผู้สานต่อได้ขับเคลื่อนงานต่าง ๆ ให้กับสังคมภายใต้ปณิธานต่าง ๆ ที่ท่านวางเอาไว้ก็จะได้รับการสานต่ออย่างแน่นอน

ทุกวันนี้ ท่านได้เปลี่ยนความเวทนาคนพิการ เป็นความเชื่อแห่งสังคมเท่าเทียม ซึ่งเป็นความฝันสำคัญที่ท่านมองว่า สังคมควรจะเลิกมองคนพิการในเชิงเวทนานิยม คือ เลิกสงสารและเลิกเวทนาคนพิการ แต่ให้มองคนพิการเป็นคน ๆ หนึ่งที่มีคุณค่าเหมือนกับคนอื่น ๆ ในสังคม ซึ่งนี่ก็เป็นอีกสิ่งสำคัญที่ทุกคนควรจะต้องสานต่อความคิด ความเชื่อ และร่วมมือกันเพื่อทำให้สังคมมองคนให้เท่าเทียมกันมากขึ้น

ในหนังสือพิมพ์สกุลไทย ฉบับที่ 2833 วันที่ 3 ก.พ. 2552 ได้เผยแพร่เรื่องราวน่าประทับของ อ.มณเฑียร บุญตัน ส่วนหนึ่งระบุไว้ว่า…

“ผู้ที่เคยได้รับจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ หรือ E-mail จาก มณเทียร บุญตัน ย่อมต้อง เคยเห็นคำลงท้ายใต้ชื่อของเขา ซึ่งไม่ใช่คำว่า ‘สมาชิกวุฒิสภา’ หรือ ‘นายกสมาคมคนตาบอดแห่งประเทศไทย’ แต่เป็น servant of the blind and the poorest ‘ผู้รับใช้คนตาบอดและผู้ยากไร้ที่สุด’ คำนิยามที่เขาใช้อธิบายสถานภาพของตัวเองในฐานะ ‘ผู้รับใช้’ สะท้อนทัศนคติที่น่าสนใจบางประการของสมาชิกวุฒิสภาผู้พิการทางสายตาท่านนี้ อาจจะมากกว่าตำแหน่งอันทรงเกียรติอื่นใด ไม่ว่าจะเป็นสมาชิกวุฒิสภา หรือฉายา ‘คนดีศรีสภา’ ในการตั้งฉายาของผู้ที่ทำหน้าที่ในฝ่ายนิติบัญญัติเมื่อปลายปีที่แล้ว ด้วยคำถามที่ว่าชีวิตที่ผ่านร้อนผ่านหนาวในฐานะผู้พิการทางสายตา เหตุใดจึงเลือกที่จะเป็น ‘ผู้รับใช้’ สังคมแทนการเป็น ‘ผู้รับ’ จากสังคม? คำตอบของคำถามนี้ มีอยู่ในเรื่องราวทั้งชีวิตของเขา ทั้งภูมิหลัง แรงบันดาลใจ พลังของการเรียนรู้และสร้างสรรค์อันเต็มเปี่ยมอย่างที่โลกอันมืดมิดไม่อาจตีกรอบไว้ได้”

และในหนังสือพิมพ์ฉบับเดียวกันนั้น อ.มณเฑียร ได้ให้สัมภาษณ์เรื่องอุปสรรคของผู้พิการทางสายตา และการต่อสู้ไว้ว่า…

“ตั้งแต่เด็ก ๆ มาแล้วผมไม่ชอบคำว่า ‘ผู้ใหญ่’ คำว่าผู้ใหญ่เป็นคำที่ผมแสลงหูมากที่สุด จนถึงทุกวันนี้เลยยนะครับ ตอนเด็ก ๆ ผมมักจะถูกขู่ว่าทำไมไม่เชื่อผู้ใหญ่ เวลาจะทำอะไรผู้ใหญ่ต้องมาก่อน เราเป็นเด็กต้องอ่อนน้อม ผมจะเป็นพวกที่...เฮ่ย ฝากไว้ก่อนเถอะ แล้วผมก็เป็นเด็กที่ชอบแกล้งผู้ใหญ่ด้วย ถ้าผู้ใหญ่ได้รับความอับอาย ผมสนุกมากเลย เป็นพวกรวมตัวกันกบฏต่อผู้ใหญ่เป็นประจำ ทำให้ผู้ใหญ่เสียหน้าเป็นความสุขของผม เพราะผมเป็นคนที่ไม่ชอบอำนาจไง ผมจะต้องอยู่ฝ่ายตรงข้ามกับอำนาจเสมอ ใครใช้อำนาจกับผม ผมก็ต้องตอบโต้ ด้วยวิธีแบบใดก็แล้วแต่ แต่ผมต้องเอาชนะฝ่ายที่มีอำนาจอยู่เสมอ”

อ.มณเฑียร กล่าวต่อว่า “ความด้อยโอกาสของคนตาบอดก็เหมือนกับการต่อสู้กับอำนาจ คืออำนาจของคนที่ไม่ต้องดิ้นรนมากก็มีการศึกษา ไม่ต้องดิ้นรนก็มีงานทำ แต่พวกเราต้องดิ้นรนมาก เหมือนกับว่าเราต้องต่อสู้กับฝ่ายที่มีอำนาจเหนือเรา เพราะฉะนั้นแรงขับของผมก็คือต้องเอาชนะฝ่ายที่มีอำนาจ อาจไม่ถึงขนาดล้มล้าง แต่ต้องอยู่ด้วยกันได้ เขาก็ต้องไม่สามารถมาขี่เราได้ ผมทำอย่างนี้ตั้งแต่คนในครอบครัวเลยนะครับ ถ้าใช้อำนาจกับผม ผมจะตอบโต้ทันที”

นอกจากนี้ อ.มณเฑียร บุญตัน ยังได้เล่าถึงแรงขับเคลื่อนในชีวิต และประโยคทองประจำใจของตนไว้ในหนังสือพิมพ์ สกุลไทย ฉบับที่ 2833 วันที่ 3 ก.พ. 2552 หน้าที่ 40 ว่า…

แรงขับเคลื่อนของผมคือครอบครัวของผม ที่ทำให้ผมเป็นนักสู้ พ่อของผมซึ่งเป็นนักสู้ กับคำพูดของแม่ที่ว่า ‘ใต้ฟ้านี้ไม่มีอะไรน่ากลัว’ ต่อมาคือครูของผม ‘คุณครูปราณี สุดเสียงสังข์’ ท่านเป็นคนตาบอด ท่านไม่ใช่คนเชียงใหม่แต่ต้องไปสอนหนังสือที่เชียงใหม่ตั้งแต่ปี 2507 แล้วท่านต้องส่งเสียครอบครัวท่านจนถึงเกษียณ มันน่าเอาอย่างไหมล่ะครับ”

อ.มณเฑียร กล่าวต่อว่า “แล้วคนที่ผมได้เรียนรู้ประวัติทั้งหลายล้วนแล้วแต่เป็นคนที่จุดประกายให้กับผมทั้งนั้นเลย อย่าง ‘อาจารย์เจเนวีฟ คอลฟิลด์’ ท่านเป็นชาวอเมริกัน ซึ่งมาตั้งโรงเรียนคนตาบอดเป็นแห่งแรกในประเทศไทย ในช่วงที่ประเทศไทยประกาศสงครามกับอเมริกา คือความรักอันยิ่งใหญ่ ความไม่ยอมแพ้ของผู้หญิงตาบอดชาวอเมริกัน ซึ่งมาตั้งโรงเรียนในแผ่นดินศัตรู ฟังแล้วขนลุกไหมครับ” 

อ.มณเฑียร เล่าถึงที่มีของประโยคทองที่ใช้ในชีวิตประจำวันว่า “แล้วพอตอนที่ผมมาเรียนที่มงฟอร์ต ผมก็เจอครูอีกท่านหนึ่งชื่อ ‘มาเซอร์จิมมี่’ ท่านเป็นผู้ลี้ภัยชาวพม่า ท่านเรียนจบจากมหาวิทยาลัยอ๊อกซ์ฟอร์ด แต่ท่านต้องมาเป็นครูสอนภาษาอังกฤษอยู่ที่เชียงใหม่ ทั้งหมดนี้ก็ให้บทเรียนกับผมว่าคนเรานี่มันต้องไม่ยอมจำนน ตอนผมสอบชิงทุนไปอเมริกาได้ ผมไปหาท่าน ท่านให้โอวาทผมสั้น ๆ ว่า “No Pain No Gain” ผมจำขึ้นใจจนถึงทุกวันนี้ ชีวิตผมมีประโยคทองอยู่สองประโยค ประโยคแรก คือที่มาเซอร์จิมมี่ให้ อันที่สองคือ “I have giving up on giving up” อันนี้ผมคิดขึ้นเอง ก็คือข้าเลิกล้มความคิดที่จะ
เลิกล้มความคิดโดยสิ้นเชิง หรือปฏิเสธการยอมแพ้โดยสิ้นเชิง แต่ไม่ได้หมายความว่าเวลาเราแข่งขัน
เราจะไม่รู้จักแพ้ แต่หมายถึงว่าเราไม่รู้จักการยอมจำนน"

สำหรับ นายมณเฑียร บุญตัน เกิดเมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม 2508 ปัจจุบันมีตำแหน่งในวุฒิสภา เป็นประธานคณะอนุกรรมาธิการกิจการคนพิการ ในคณะกรรมาธิการการพัฒนาสังคม และกิจการเด็ก เยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ คนพิการและผู้ด้อยโอกาส วุฒิสภา เคยดำรงตำแหน่งสมาชิกวุฒิสภา ปี 2551 - 2557 และสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ปี 2557 - 2562

อีกทั้งยังเป็นผู้แทนคนพิการคนแรกในประเทศไทย และคนแรกในอาเซียนที่ได้รับการเลือกตั้งให้เป็น คณะกรรมการว่าด้วยสิทธิคนพิการแห่งสหประชาชาติ (UN-Committee Convention on the Rights of Persons with Disabilities-CRPD) วาระปี พ.ศ. 2556-2559

นอกจากนี้ ท่านยังเคยได้รับฉายา 'คนดีศรีสภา ปี 2551' จากสื่อมวลชนประจำรัฐสภาอีกด้วย

กระบี่-นักบินกรมฝนหลวง ดับไฟป่าเขาปากเบนวันที่สอง สามารถสกัดจุดใหญ่ไม่ให้ไฟลุกลามได้มาก ลุยต่อปฏิบัติการพรุ่งนี้อีกวัน

วันนี้ ( 11 มีนาคม 2567 )  นักบินกรมฝนหลวงและการบินเกษตร โดยศูนย์ปฏิบัติการฝนหลวง ภาคใต้จังหวัดสุราษฎร์ธานี ได้ออกปฏิบัติการดับไฟป่าภูเขาปากเบน ม.4 บ้านน้ำโครมโครม ต.เขาทอง อ.เมืองกระบี่ เป็นวันที่ 2   โดยมีนายสมปราชญ์ ปราบสงคราม รองผู้ว่าราชการจังหวัดกระบี่ ลงพื้นที่ติดตามปฏิบัติการตรวจเยี่ยมและให้กำลังใจแก่เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงาน พร้อมด้วยหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย  ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ทหาร ตำรวจ เจ้าหน้าที่ปกครองอำเภอเมืองกระบี่ สถานีควบคุมไฟป่า ท้องถิ่นในพื้นที่ เป็นต้น  โดยจากการประเมินสถานการณ์ พบว่า บริเวณไฟป่าไหม้อยู่ที่ด้านทิศตะวันออกมีกลุ่มควัน เป็นจุด ๆ ประมาณ 5 จุด ด้านทิศใต้มีกลุ่มควัน1จุด ด้านทิศตะวันตก ด้านบ้านท่าทองหลางบริเวณจุดเดิมที่มีไฟไหม้บนภูเขาได้มีกลุ่มควันขึ้นมาอีก ซึ่งน่าจะมีการลุกลามของเชื้อไฟ โดยลักษณะไฟไหม้ป่าภูเขาหินปูนความสูงชัน 90 องศา เป็นไฟผิวดิน ไม่รุนแรง ลุกไหม้ตามยอดภูเขา แต่มีการลุกลามจำนวนหลายจุด  และในวันนี้ เจ้าหน้าที่ปกครองในพื้นที่ตำบลเขาทอง ได้ร่วมสำรวจแหล่งน้ำในพื้นที่ตำบลเขาทองแหล่งใหม่ เพื่อลดระยะทางในการปฏิบัติภารกิจ ซึ่งใช้น้ำในสระน้ำบ้านคลองกรวด หมู่ที่ 6 ตำบลเขาทองเป็นแหล่งน้ำในการดับไฟ แทนแหล่งเดิมที่อ่างเก็บน้ำเขาค้อม ที่มีระยะทางไกลกว่า 

โดยนักบินกรมฝนหลวง เริ่มปฏิบัติการภารกิจโปรยน้ำเวลา 11.00 น. ในทิศตะวันตก บ้านคลองกรวด ได้จำนวน 1 เที่ยวบิน แต่มีปัญหาอุปสรรคไม่สามารถปฏิบัติภารกิจดับไฟป่าต่อได้ เนื่องจากวาล์วปิด – เปิดถังดับน้ำหล่นหายในพื้นที่ จึงจำเป็นต้องวางแผนหาอุปกรณ์ทดแทน และเริ่มปฏิบัติการอีกครั้งในเวลา 15.20 น รวมตักน้ำดับไฟได้จำนวน 18 เที่ยวบิน เที่ยวบินละ 500 ลิตร ได้ปริมาณน้ำ จำนวน 9,000 ลิตร และหยุดปฏิบัติภารกิจ เวลา 16.55 น ผลการปฏิบัติการสามารถดับไฟป่าได้จำนวน 2 จุดในพื้นที่ หมู่ที่ 6 ตำบลเขาทอง ซึ่งสามารถสกัดไฟไม่ให้ลุกลามได้เป็นอย่างมากในบริเวณที่ลุกลามช่วงกลางวันของวันนี้  ส่วนเจ้าหน้าที่ชุดปฏิบัติการดับไฟป่าในระดับพื้นที่ กำนันผู้ใหญ่บ้าน ตำบลเขาทองและอบต.เขาทอง ก็ยังได้จัดเวรยามเตรียมพร้อมเฝ้าระวังไฟลุกลามตลอด 24 ชั่วโมงอีกด้วย  และในวันพรุ่งนี้ (12 มี.ค.67) จะมีการปฏิบัติการดับไฟป่าต่อเป็นวันที่สาม 

สำหรับไฟไหม้ป่าบริเวณเขาปากเบน เกิดไฟไหม้ป่ามาตั้งแต่วันที่ 7 มีนาคม โดยขยายลุกลามกินพื้นที่ไปแล้ว กว่า 100 ไร่ พบผลกระทบฝุ่นปกคลุมพื้นที่หมู่ที่ 1,2,6 ตำบลเขาทอง และหมู่ที่ 2 ตำบลเขาคราม อำเภอเมืองกระบี่ และเนื่องจากเป็นพื้นที่เทือกเขาสูงชัน ทำให้การดับไฟป่าเป็นไปได้ยากและใช้เวลาหลายวัน...

กระบี่///ณัฏฐพงษ์ ศรีปล้อง รายงาน  


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top