Monday, 9 June 2025
TheStatesTimes

'กสทช.-AIS' เดินหน้าสร้างระบบเตือนภัยฉุกเฉินผ่านมือถือ แจ้งสารพัดภัยเจาะจงเฉพาะพื้นที่เกิดเหตุด่วนเหตุร้ายได้ทันที

(6 มี.ค. 67) ศาสตราจารย์คลินิก นพ. สรณ บุญใบชัยพฤกษ์ ประธาน กสทช. กล่าวว่า ในช่วงปีที่ผ่านมาประเทศไทยต้องเผชิญกับสถานการณ์ภัยพิบัติทางธรรมชาติ และเหตุการณ์รุนแรงไม่คาดคิด เช่น เหตุกราดยิงในห้างสรรพสินค้า ซึ่งส่งผลกระทบต่อความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนอย่างมาก กสทช. ในฐานะหน่วยงานกำกับกิจการโทรคมนาคม จึงทำงานร่วมกับทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย(ปภ.) กระทรวงมหาดไทย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กรุงเทพมหานคร และผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ทุกรายอย่างต่อเนื่อง ในการพัฒนาระบบแจ้งเตือนภัยจากภาครัฐแบบเจาะจงพื้นที่ (Cell Broadcast Service) โดยได้รับการสนับสนุนจาก กองทุนบริการโทรคมนาคมพื้นฐานโดยทั่วถึงและบริการเพื่อสังคม (USO)

ทั้งนี้ ระบบแจ้งเตือนภัยแบบเจาะจงพื้นที่ดังกล่าว จะเป็นการส่งข้อความเตือนภัยแบบส่งตรงจากเสาส่งสัญญาณสื่อสารในพื้นที่ ไปยังโทรศัพท์เคลื่อนที่ทุกเครื่องในบริเวณนั้น แตกต่างจากระบบ SMS ทั่วไป เพราะไม่จำเป็นต้องใช้หมายเลขโทรศัพท์ ซึ่งจะทำให้การสื่อสารข้อมูลเตือนภัยทำได้รวดเร็ว มีประสิทธิภาพ และครอบคลุมทั้งพื้นที่เกิดเหตุ โดยประชาชนไม่ต้องดาวน์โหลดแอปพลิเคชันใดๆ

“การทดสอบระบบแจ้งเตือนภัย Cell Broadcast Service ซึ่ง กสทช.เริ่มต้นกับ AIS ในวันนี้ ได้ผลเป็นที่น่าพอใจ และพร้อมที่จะเชื่อมต่อกับศูนย์บัญชาการกลางของภาครัฐ (Command Center) เพื่อเป็นเครื่องมือหรือช่องทางในการเตือนภัยได้อย่างรวดเร็ว มีประสิทธิภาพ ทำให้ประเทศไทยมีระบบเตือนภัยได้มาตรฐานสากลสร้างความอุ่นใจให้แก่ประชาชน ส่งผลต่อความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจ การท่องเที่ยว และความปลอดภัยทางสังคมให้กับประเทศต่อไป” ประธาน กสทช. กล่าว

นายวรุณเทพ วัชราภรณ์ หัวหน้าฝ่ายงานธุรกิจสัมพันธ์ เอไอเอส ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า “เราได้ร่วมทำงานกับ กสทช. และภาครัฐ ในการเลือกเทคโนโลยีที่เหมาะสมกับระบบเตือนภัยของประเทศตามมาตรฐานสากล นั่นคือ เทคโนโลยี Cell Broadcast Service หรือ ระบบสื่อสารข้อความตรงไปที่โทรศัพท์เคลื่อนที่ของประชาชน ซึ่งระบบนี้มีความเหมาะสมกับการนำมาใช้เพื่อแจ้งเตือนเหตุฉุกเฉิน เนื่องจากสามารถส่งข้อความไปยังโทรศัพท์มือถือทุกเครื่องที่อยู่ในพื้นที่ครอบคลุมของสถานีฐานบริเวณนั้น ๆ ในเวลาเดียวกัน ด้วยรูปแบบของการแสดงข้อความที่หน้าจอโทรศัพท์เคลื่อนที่ (Pop UP Notification) แบบ Near Real Time Triggering เพื่อให้สามารถรับรู้สถานการณ์ได้ทันที โดยล่าสุดได้ทดลอง ทดสอบเทคโนโลยีดังกล่าว ได้ผลตามเป้าหมายที่ต้องการเรียบร้อยแล้ว และพร้อมที่จะขยายผลเชื่อมโยงกับระบบเตือนภัยของประเทศได้อย่างเต็มประสิทธิภาพต่อไป”

โดยโครงสร้างของการนำเทคโนโลยี Cell Broadcast Service มาใช้งานนั้น แบ่งเป็น 2 ฝั่ง

ฝั่งที่ 1 : ดำเนินการและดูแล โดย ศูนย์บัญชาการกลางของภาครัฐ ผ่านระบบ Cell Broadcast Entities (CBE) ซึ่งเป็นระบบที่ใช้ในการกำหนดเนื้อหาและพื้นที่ในการจัดส่งข้อความ ประกอบไปด้วยฟังก์ชั่นต่างๆ อาทิ การบริหารจัดการระบบ (Administrator), การจัดการข้อความที่จะสื่อสาร (Message Creator) และ การอนุมัติยืนยันความถูกต้อง (Approver)

ฝั่งที่ 2 : ดำเนินการและดูแล โดย ผู้ให้บริการโครงข่าย ผ่านระบบ Cell Broadcast Center (CBC) ซึ่งเป็นระบบที่ทำหน้าที่นำเนื้อหาข้อความ ไปจัดส่งในสถานีฐานตามพื้นที่ที่กำหนดได้อย่างถูกต้อง โดยจะประกอบไปด้วย การบริหารระบบและการตั้งค่า (System & Configuration), การส่งต่อข้อความสื่อสารที่ได้รับมาผ่านโครงข่าย (Message Deployment Function) และ การบริหารโครงข่ายสื่อสาร (Network Management)  

KIA เจรจา 'ไทย' ลุยตั้งโรงงานผลิตรถอีวี คาด!! สเกลกำลังผลิต 2.5 แสนคันต่อปี

(6 มี.ค. 67) สำนักข่าว Reuters รายงานว่า บริษัท KIA Corp กำลังเจรจากับประเทศไทยเพื่อที่จะตั้งโรงงานรถยนต์ไฟฟ้าภายในประเทศไทย โดยมีการเจรจากันอย่างจริงจังและมีการยื่นข้อเสนอให้กับรัฐบาลไทย หลังจากมีรายงานว่า KIA ไม่เห็นด้วยกับการลงทุนตั้งโรงงานในไทย 

อย่างไรก็ตาม ทาง BOI ได้ออกมาแสดงความเห็นในเดือน ม.ค. 2024 ว่า KIA กำลังพิจารณาการลงทุนในประเทศไทย 

ทั้งนี้ ไทยเป็นผู้ผลิตและส่งออกรถยนต์รายใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีมาตรการจูงใจ อย่าง EV 3.5 การลดหย่อนภาษี และมาตรการอื่น ๆ เพื่อเป็นศูนย์กลางการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในภูมิภาคตามแผนของรัฐบาล โดยตั้งเป้าที่จะมี EV ในประเทศประมาณ 30% ของการผลิตต่อปีจำนวน 2.5 ล้านคัน ภายในปี 2030

ตลาดรถยนต์ไทย ซึ่งผูกขาดมายาวนานโดยผู้ผลิตรถยนต์ญี่ปุ่นอย่าง Toyota และ Honda ได้ดึงข้อผูกพันด้านการลงทุนกว่า 1.44 พันล้านดอลลาร์ จากผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าของจีนเพื่อสร้างโรงงานผลิต

ด้านบางกอกโพสต์ รายงานว่า KIA มีแผนจะเปิดโรงงานที่มีกำลังผลิต 2.5 แสนคันต่อปี โดยขณะนี้ KIA มีศูนย์บริการในประเทศแล้วกว่า 19 แห่ง และจะเปิดเพิ่มในปี 2024 อีก 26-30 แห่ง พร้อมทั้งในปี 2024–2026 ก็เปิดรถยนต์รุ่นใหม่ๆ ออกมา โดยล่าสุดเปิดตัว KIA EV9 รถ SUV ไฟฟ้า 100% และจะเปิดตัว EV5 อีกรุ่นในงานบางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ ครั้งที่ 45 ปีนี้

มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง เป็นตัวแทนผู้มีจิตศรัทธา ส่งมอบขนมมงคล กว่า 8 หมื่นห่อ แก่สถานสงเคราะห์เด็กและคนชรา 18 แห่ง และผู้ขาดแคลน เนื่องในเทศกาลตรุษจีน ประจำปี 2567

ระหว่างวันที่ 5-6 มีนาคม 2567 มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง นำโดย นางศิริพร กระจ่างหล้า ผู้จัดการฝ่ายสังคมสงเคราะห์ นางสาวดวงชุตา ติยะพจนพรกุล ผู้ช่วยผู้จัดการฝ่ายสังคมสงเคราะห์ และ นางสาวศุภรัตน์ สมบัติเจริญไทย หัวหน้าแผนกส่งเสริมการศึกษาและอาชีพ นำทีมสังคมสงเคราะห์ลงพื้นที่ส่งมอบขนมมงคลที่ผู้มีจิตศรัทธาได้ร่วมทำบุญเนื่องในเทศกาลตรุษจีน ประจำปี 2567 ให้กับสถานสงเคราะห์เด็กและคนชรารวม 18 แห่ง ประกอบด้วย ศูนย์ฝึกอบรมเด็กและเยาวชน บ้านสิรินธร บ้านมุทิตา บ้านกาญจนาภิเษก บ้านปราณี สถานแรกรับเด็กชายปากเกร็ด(ภูมิเวท) สถานสงเคราะห์เด็กชายบ้านปากเกร็ด สถานสงเคราะห์เด็กอ่อนปากเกร็ด สถานสงเคราะห์เด็กอ่อนพญาไท สถานสงเคราะห์เยาวชนมูลนิธิมหาราช สถานแรกรับเด็กหญิงบ้านธัญญพร สถานสงเคราะห์เด็กอ่อนรังสิต

สมาคมสงเคราะห์เด็กกำพร้าแห่งประเทศไทย สถานคุ้มครองและพัฒนาคนพิการบ้านราชาวดี สถานคุ้มครองและพัฒนาคนพิการบ้านเฟื่องฟ้า สถานคุ้มครองคนไร้ที่พึ่งนนทบุรี สถานสงเคราะห์ไร้ที่พึ่งชายธัญบุรี สถานสงเคราะห์ไร้ที่พึ่งหญิงธัญบุรี มูลนิธิมิตรภาพสงเคราะห์คนชราหญิงติวานนท์ โดยมีผู้แทนจากหน่วยงานต่างๆ เป็นผู้รับมอบ อีกทั้งทางมูลนิธิฯ ยังได้แจกจ่ายให้กับผู้ประสบปัญหารายเดือนให้ได้รับประทานขนมมงคลต่อไป รวมจำนวนขนมเปี๊ยะและขนมจันอับที่แจกจ่ายทั้งสิ้น  84,960 ห่อ

สำหรับเทศกาลตรุษจีน มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ประจำปี 2567 ที่ผ่านมา มีประชาชนจำนวนมากร่วมสักการะหลวงปู่ไต้ฮง เพื่อเป็นสิริมงคลในเทศกาลปีใหม่จีน และ ทำบุญพะเก่ง เสริมโชคลาภ เสริมดวงชะตา (พะเก่ง คือ การจดชื่อสวดชัยมงคลคาถา เพื่อความเป็นสิริมงคลแก่ตนเอง และ ครอบครัว) โดยเมื่อลงชื่อทำบุญพะเก่งแล้ว จะได้รับตั๋วขนม เพื่อแลกขนมจันอับ หรือขนมเปี๊ยะ เพื่อนำไปไหว้พระ ไหว้เจ้า รับประทานเพื่อความเป็นสิริมงคล หรือนำทำบุญทำทานต่อไป

มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ขอขอบพระคุณผู้มีจิตศรัทธาทุกท่าน ขอบุญกุศลนี้ส่งผลให้ท่านและครอบครัว มีความสุข ความเจริญ สุขภาพแข็งแรงตลอดไป

เดินเครื่องเชิงพาณิชย์ 'โซลาร์เซลล์ลอยน้ำเขื่อนอุบลรัตน์' สะท้อนความร่วมมือ 'จีน-ไทย' ส่งเสริมพลังงานสะอาดลุล่วง

(6 มี.ค.67) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า โครงการพลังงานแสงอาทิตย์บนทุ่นลอยน้ำแบบไฮบริด ซึ่งร่วมก่อสร้างโดยบริษัทของจีนและไทย ได้เริ่มต้นการดำเนินงานเชิงพาณิชย์เมื่อวันอังคาร (5 มี.ค.) เพื่อสนับสนุนการพัฒนาพลังงานสะอาดของไทย

ตงฟาง อิเล็กทริก อินเตอร์เนชันนัล คอร์เปอเรชัน หนึ่งในผู้ผลิตอุปกรณ์ผลิตไฟฟ้ารายใหญ่ที่สุดของโลก ซึ่งร่วมก่อสร้างโครงการนี้กับหุ้นส่วนไทย ระบุว่าโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์บนทุ่นลอยน้ำแบบไฮบริด ณ เขื่อนอุบลรัตน์ในจังหวัดขอนแก่น บูรณาการแผงโซลาร์เซลล์ลอยน้ำ พลังงานน้ำสะอาด ระบบกักเก็บพลังงานประสิทธิภาพสูง และระบบจัดการพลังงานอัจฉริยะ

จิราพร ศิริคำ รองผู้ว่าการการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (EGAT) กล่าวว่า การก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์บนทุ่นลอยน้ำแบบไฮบริด ถือเป็นก้าวสำคัญสู่การผลิตพลังงานสะอาด และความมั่นคงทางพลังงานของไทย พร้อมชื่นชมบริษัทของจีนและไทยที่สามารถส่งมอบโครงการได้ก่อนกำหนด

จิราพร ซึ่งร่วมพิธีเปิดการดำเนินงานเชิงพาณิชย์ กล่าวว่าสิ่งนี้สะท้อนความมุ่งมั่นอันแรงกล้าในการส่งเสริมพลังงานสะอาดในไทย และหวังว่าพลังงานแสงอาทิตย์บนทุ่นลอยน้ำจะช่วยส่งเสริมพลังงานสะอาดสำหรับเศรษฐกิจชุมชนและสังคมท้องถิ่น

หลิวหงเหมย กงสุลใหญ่จีนประจำจังหวัดขอนแก่น แสดงความเชื่อมั่นว่าการดำเนินงานเชิงพาณิชย์ของโครงการนี้จะส่งเสริมชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นของประชาชนในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทย และถือเป็นหมุดหมายใหม่สำหรับการลงทุนของผู้ประกอบการจีนในภูมิภาคดังกล่าว

การไฟฟ้าฯ ระบุว่าโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์บนทุ่นลอยน้ำแบบไฮบริด ณ เขื่อนอุบลรัตน์ เป็นโครงการพลังงานแสงอาทิตย์บนทุ่นลอยน้ำแบบไฮบริดแห่งที่ 2 และการไฟฟ้าฯ มีเป้าหมายก่อสร้างโครงการลักษณะเดียวกันเพิ่มขึ้นทั่วประเทศเพื่อส่งเสริมพลังงานสะอาด

'อาจารย์อุ๋ย ปชป.' จี้รัฐลดพึ่งพาแพลตฟอร์มต่างชาติ หนุนแพลตฟอร์มคนไทย สร้าง 'อธิปไตยทางไซเบอร์' เพื่อ 'อำนาจต่อรอง-ความมั่นคงทาง ศก.' ระยะยาว

'นักวิชาการด้านกฎหมาย' ชี้!! ประเทศไทยต้องเร่งสร้างอธิปไตยทางไซเบอร์ ลดการพึ่งพาแพลตฟอร์มของต่างประเทศ สนับสนุนแพลตฟอร์มของคนไทย เพื่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจในระยะยาว 

(6 มี.ค.67) จากเหตุการณ์เครือข่ายแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียชื่อดังใช้การไม่ได้เป็นเวลานานนับชั่วโมง นายประพฤติ ฉัตรประภาชัย หรืออาจารย์อุ๋ย นักวิชาการด้านกฎหมายดิจิทัลและอดีตผู้สมัคร สส. กรุงเทพมหานคร เขตบางกะปิ พรรคประชาธิปัตย์ ได้ให้ความเห็นว่า เหตุการณ์ดังกล่าว ทำให้ผู้ใช้มากมายโดยเฉพาะผู้ที่ต้องใช้ระบบดังกล่าวในการหารายได้เพื่อเลี้ยงชีพ ไม่ว่าจะเป็นผู้ค้าออนไลน์ หรืออินฟลูเอนเซอร์ต่าง ๆ ต้องประสบปัญหามากมาย ถูกระบบไล่ออกมาและไม่สามารถเข้าระบบได้ ส่งผลให้เกิดความเสียหายทางเศรษฐกิจมากมาย ทั้งที่ได้จ่ายค่าบริการให้กับระบบดังกล่าวไปเป็นจำนวนไม่น้อย และตนก็เชื่อว่าเป็นการยากที่กลไกทางกฎหมายของประเทศไทยในปัจจุบันจะเอาผิด ลงโทษหรือแม้แต่เรียกร้องค่าเสียหายจากความผิดพลาดของแพลตฟอร์มดังกล่าวได้ เนื่องจากรัฐบาลไทยไม่เคยให้ความสำคัญกับ ‘อธิปไตยไซเบอร์’

ทั้งนี้ สภาเศรษฐกิจโลก (World Economic Forum) ได้ให้นิยามคำว่า อธิปไตยไซเบอร์ (Digital Sovereignty) ว่าหมายถึง 'การมีความสามารถในการกำหนดชะตากรรมด้านดิจิทัลด้วยตัวของเราเอง ไม่ว่าจะเป็นข้อมูล ฮาร์ดแวร์ หรือซอฟต์แวร์ที่เราสร้างหรือใช้งานอยู่' ตนจึงอยากตั้งคำถามไปยังรัฐบาลว่าตอนนี้ประเทศไทยสามารถกำหนดชะตากรรมทางดิจิทัลอะไรได้บ้าง? เพราะแพลตฟอร์มที่คนไทยใช้ในปัจจุบัน ล้วนแล้วแต่เป็นของต่างชาติ ที่กฎหมายไทยควบคุมได้น้อยมากหรือแทบไม่ได้เลย และกรณีที่แพลตฟอร์มล่มในลักษณะนี้ก็ไม่ใช่ครั้งแรก และไม่สามารถลงโทษหรือเรียกร้องค่าเสียหายจากใครได้เลย 

ซึ่งเป็นเรื่องน่าเสียดาย ทั้ง ๆ ที่ จากสถิติ คนไทยใช้แพลตฟอร์มออนไลน์ติดอันดับต้น ๆ ของโลกมาตลอด แต่ประเทศกลับไม่มีมีอำนาจต่อรองกับแพลตฟอร์มออนไลน์ต่างชาติได้มากเท่าที่ควร ไม่สามารถควบคุมและกำกับดูแลมาตรฐานของการให้บริการของแพลตฟอร์มเหล่านี้ได้ และปล่อยให้แพลตฟอร์มเหล่านี้กอบโกยประโยชน์ที่ประชาชนชาวไทยควรจะได้กลับประเทศแม่ไปหมด 

ตนจึงเสนอให้รัฐบาลเร่งสร้างอธิปไตยทางไซเบอร์ ออกแบบมาตรการทางกฎหมายและบังคับใช้กฎหมายเพื่อควบคุมมาตรฐานการให้บริการของแพลตฟอร์มต่างชาติเหล่านี้ รวมทั้งสนับสนุนแพลตฟอร์มที่สร้างและดำเนินการโดยคนไทย ให้เป็นแพลตฟอร์มใหญ่ที่สามารถแข่งขันกับต่างชาติได้ เพื่อที่ประโยชน์จากกิจกรรมทางไซเบอร์เหล่านี้จะตกอยู่กับพี่น้องคนไทย เพื่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจในระยะยาวของประเทศต่อไป

“บช.ส.เปิดจอง พระประจำหน่วย“หลวงพ่อสำเร็จศักดิ์สิทธิ์ รุ่น สมความปรารถนา”วันนี้วันแรกที่ศูนย์รับจอง 53 ศูนย์ ทั่วประเทศ 

เมื่อวันที่ 6 มกราคม 2567 ที่กองบัญชาการตำรวจสันติบาล  สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) พ.ต.อ.หญิง ฉันฉาย รัตนพานิช รอง ผบก.ส.2 เปิดเผยว่า ด้วยกองบัญชาการตำรวจสันติบาลอยู่ระหว่างการก่อสร้างอาคารที่ทำการกองบัญชาการตำรวจสันติบาลแห่งใหม่ ซึ่งตั้งอยู่ที่แขวงทุ่งสองห้อง เขตหลักสี่ กรุงเทพฯ โดยจะแล้วเสร็จปลายปี 2567 

ทางคณะกรรมการสวัสดิการ กองบัญชาการตำรวจสันติบาล ได้ปรึกษาหารือกับคณะที่ปรึกษา กองบัญชาการตำรวจสันติบาล ซึ่งมีคุณ สมภพ ไทยธีระเสถียร ที่ปรึกษา กองบัญชาการตำรวจสันติบาล ได้ร่วมกันพิจารณาแล้วเห็นว่าเพื่อความเป็นสิริมงคลแก่หน่วยงานและกำลังพล เห็นควรต้องมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประดิษฐานประจำหน่วยงาน 

จึงมีมติเห็นควรจัดสร้างพระหลวงพ่อสำเร็จศักดิ์สิทธิ์  วิหารหลวงพ่อสำเร็จศักดิ์สิทธิ์  ต.คชสิทธิ์ อ.หนองแค จว.สระบุรี ซึ่งท่านเป็นพระพุทธรูปโบราณ มีความศักดิ์สิทธิ์ มีชื่อเสียง เป็นที่เลื่องลือ รวมถึงความหมายชื่อของท่าน "สำเร็จ ศักดิ์สิทธิ์ รุ่น สมปรารถนา"จะสร้างขวัญและกำลังใจให้กับข้าราชการตำรวจสันติบาล ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ทำงานปิดทองหลังพระได้ปฏิบัติงานได้สำเร็จ สมปรารถนา รวมถึงเป็นที่เคารพสักการะกราบไหว้บูชาของข้าราชการตำรวจและประชาชนทั่วไป 

พ.ต.อ.หญิง ฉันฉาย เปิดเผยอีกว่า การที่นำรูปแบบพระหลวงพ่อสำเร็จศักดิ์สิทธิ์มาเป็นองค์ต้นแบบในการจัดสร้างพระหลวงพ่อสำเร็จศักดิ์สิทธิ์ประจำกองบัญชาการตำรวจสันติบาลในครั้งนี้ โดยมีวัตถุประสงค์ในการจัดสร้างฯ ดังนี้

1. เพื่อจัดสร้างพระหลวงพ่อสำเร็จศักดิ์สิทธิ์ประจำกองบัญชาการตำรวจสันติบาล ไว้เพื่อประดิษฐาน ณ ที่ทำการใหม่ของกองบัญชาการตำรวจสันติบาล สำหรับเป็นที่สักการะกราบไหว้บูชาของข้าราชการตำรวจ

2. เพื่อจัดสร้างวัตถุมงคลพระหลวงพ่อสำเร็จศักดิ์สิทธิ์แบบต่างๆ ไว้เพื่อให้ข้าราชการตำรวจและประชาชนทั่วไปที่สนใจไว้สำหรับสักการะบูชา

3. เพื่อหาทุนจากการจำหน่ายหลังหักค่าใช้จ่ายทั้งหมด เพื่อสาธารณะประโยชน์อื่นๆ อาทิ ทำนุบำรุงพระศาสนา, บริจาคให้กับโรงพยาบาล, ทุนการศึกษา, ช่วยเหลือข้าราชการตำรวจสันติบาลที่ได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิตจากการปฎิบัติหน้าที่ และเป็นสวัสดิการให้กับข้าราชการตำรวจกองบัญชาการตำรวจสันติบาล  

   กองบัญชาการตำรวจสันติบาลได้รับความกรุณาจากท่านประธานกรรมการและคณะกรรมการมูลนิธิหลวงพ่อสำเร็จศักดิ์สิทธิ์ ที่ได้อนุญาตให้กองบัญชาการตำรวจสันติบาลใช้สถานที่ภายในวิหารหลวงพ่อสำเร็จศักดิ์สิทธิ์ทำพิธีจัดสร้างวัตถุมงคล ดังนี้ 
วันที่ 2 มี.ค.67 เวลา 09.09 น. พิธีบวงสรวงฯ
วันที่ 1 พ.ค.67 เวลา 09:59 น. พิธีเททองฯ
วันที่ 4 ก.ค.67 เวลา 13:59 น. พิธีพุทธาภิเษกวัตถุมงคลหลวงพ่อสำเร็จศักดิ์สิทธิ์

ซึ่งที่ผ่านมาทางมูลนิธิฯ ไม่มีการอนุญาตให้ผู้หนึ่งผู้ใดมาจัดแถลงข่าวหรือจัดทำพิธีพุทธาภิเษกวัตถุมงคลภายในวิหารหลวงพ่อสำเร็จศักดิ์สิทธิ์ แต่ครั้งนี้กองบัญชาการตำรวจสันติบาลได้รับความกรุณาจากท่านประธานกรรมการและคณะกรรมการมูลนิธิหลวงพ่อสำเร็จศักดิ์สิทธิ์อนุญาตให้กองบัญชาการตำรวจสันติบาลจัดทำพิธีพุทธาภิเษกวัตถุมงคลหลวงพ่อสำเร็จศักดิ์สิทธิ์ภายในวิหารได้ 

หน่วยงานของเราขอกราบขอบพระคุณทุกท่านมา ณ โอกาสนี้เป็นอย่างสูง  

เนื่องจากทางกองบัญชาการตำรวจสันติบาลไม่เคยมีการจัดสร้างวัตถุมงคลมาก่อน และไม่มีผู้เชี่ยวชาญ ในการจัดสร้างวัตถุมงคล โดยเห็นว่า คุณสมภพ ไทยธีรเสถียร(อั้ง เมืองชล) ซึ่งเป็นอุปนายกสมาคม ผู้นิยมพระเครื่องพระบูชาไทย และเป็นที่ปรึกษากองบัญชาการตำรวจสันติบาล  เป็นผู้มีความรู้ ความสามารถในการจัดสร้างวัตถุมงคล  กองบัญชาการตำรวจสันติบาลจึงมอบหมายให้เป็นผู้ดำเนินการจัดสร้างวัตถุมงคลในนามกองบัญชาการตำรวจสันติบาลต่อไป

พล.ต.ท.อภิชาติ  เพชรประสิทธิ์  ผบช.ส.  พร้อมด้วย คุณสมภพ ไทยธีระเสถียร (อั้ง เมืองชล) อุปนายกสมาคมผู้นิยมพระเครื่องพระบูชาไทย และที่ปรึกษา บช.ส. เป็นประธานในพิธีบวงสรวงพ่อสำเร็จศักดิ์สิทธิ์ และพิธีรับมอบมวลสารจากจากพระเกจิทั่วประเทศ เพื่อเป็นมวลสารในการจัดสร้างวัตถุมงคล หลวงพ่อสำเร็จศักดิ์สิทธิ์ ประจำ บช.ส. “รุ่นสมปรารถนา” พร้อมแถลงวัตถุประสงค์ในการดำเนินการจัดสร้างวัตถุมงคล หลวงพ่อสำเร็จศักดิ์สิทธิ์  

โดยในวันนี้เปิดจองรอบปฐมฤกษ์และตั้งแต่วันที่ 6 มี.ค.67สามารถจองผ่านศูนย์รับจอง 53 ศูนย์ ทั่วประเทศได้ตามรายนามที่แนบ“พ.ต.อ.หญิง ฉันฉาย กล่าว”

#หลวงพ่อสำเร็จศักดิ์สิทธิ์
#รุ่นสมปรารถนา
#กองบัญชาการตำรวจสันติบาล

‘ญี่ปุ่น’ ประกาศเก็บค่าผ่านทางเข้าชม ‘ภูเขาไฟฟูจิ’ เกือบ 500 บ. ผ่านเส้นทางยอดฮิต ‘โยชิดะ’ หวังคุมจำนวน นทท.ล้น เริ่ม!! 1 ก.ค.นี้

(6 มี.ค. 67) รัฐบาลท้องถิ่น ‘ญี่ปุ่น’ เตรียมเก็บค่าผ่านทางเข้าชม ‘ภูเขาไฟฟูจิ’ เกือบ 500 บาท เริ่มตั้งแต่ 1 ก.ค.67 นี้ เฉพาะเส้นทางโยชิดะ หวังลดจำนวนนักท่องเที่ยว หลังจากมีผู้คนเดินทางมาท่องเที่ยวมากเกินไป และทิ้งขยะเกลื่อนกลาด บางคนแต่งกายไม่เหมาะสมอีกด้วย

สำนักข่าว Japan Times รายงานว่า โคทาโร นางาซากิ ผู้ว่าการจังหวัดยามานาชิ ได้ออกประกาศเก็บค่าธรรมเนียมเข้าเส้นทางการเดินเขาโยชิดะ ซึ่งเป็นเส้นทางที่ใช้มากที่สุดในการขึ้นสู่ยอดภูเขาไฟฟูจิ ราคา 2,000 เยน หรือประมาณ 475 บาท โดยนักท่องเที่ยวจะต้องชำระเงินที่สถานีที่ห้าของเส้นทาง ซึ่งอยู่บนภูเขา ใกล้กับพื้นที่จังหวัดยามานาชิ จะเริ่มเก็บเงินตั้งแต่วันที่ 1 ก.ค.67 เป็นต้นไป

รัฐบาลท้องถิ่นหวังว่า การเก็บค่าเข้าในครั้งนี้จะช่วยควบคุมจำนวนผู้เข้าชมภูเขาไฟฟูจิ และใช้เป็นเงินทุนสำหรับมาตรการความปลอดภัยเพิ่มเติม เช่น การก่อสร้างที่พักพิงในกรณีที่เกิดการปะทุของภูเขาไฟ 

ในเดือนธ.ค.2566 มีประกาศการปิดเส้นทางขึ้นภูเขาไฟฟูจิตั้งแต่เวลา 16.00 - 02.00 น. ในช่วงฤดูปีนเขาปี 2024 (1 ก.ค.-10 ก.ย.67) เพื่อไม่ให้นักปีนเขาเดินทางลงมาในช่วงยามวิกาล และจะมีการจำกัดจำนวนนักเดินป่าที่ 4,000 คนต่อวัน

ภูเขาไฟฟูจิถือเป็นหนึ่งในเส้นทางที่นักปีนเขา และนักท่องเที่ยวจะรีบเดินทางอย่างรวดเร็ว ไม่มีการพักระหว่างทาง หรือ ‘Bullet Climbing’ โดยนักปีนเขามักจะพยายามปีนยอดเขาที่สูงที่สุด 3,776 เมตร แบบรวดเดียวจบ เพื่อจะได้ชมพระอาทิตย์ และกลับลงมาข้างล่างภายในวันเดียว ไม่ต้องนอนค้างคืนบนภูเขา ซึ่งถือว่าเป็นพฤติกรรมการปีนเขาที่ไม่ปลอดภัย โดยในแต่ละปีมักมีรายงานถึงนักท่องเที่ยวที่มาปีนเขาทั้งที่มีอุปกรณ์ไม่ครบ บางคนนอนบนเส้นทาง หรือจุดไฟเพื่อความร้อน ซึ่งอาจส่งผลให้นักท่องเที่ยวป่วยหรือได้รับบาดเจ็บ

“นักท่องเที่ยวล้นเกิน และผลที่ตามมาทั้งหมด เช่น ขยะ การปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่เพิ่มขึ้น และนักเดินป่าที่ประมาท เป็นปัญหาใหญ่ที่สุดที่ภูเขาไฟฟูจิกำลังเผชิญ” มาซาตาเกะ อิซุมิ เจ้าหน้าที่รัฐบาลจังหวัดยามานาชิ กล่าวกับสำนักข่าว CNN 

ช่วงฤดูปีนเขา มีนักท่องเที่ยวเดินทางมายังภูเขาไฟฟูจิมากกว่า 220,000 คน โดยเส้นทางโยชิดะเป็นเส้นทางที่นักปีนเขาประมาณ 60% เลือกเส้นใช้ เพราะเดินทางได้สะดวกจากกรุงโตเกียว ส่วนอีก 3 เส้นทางที่เหลือ ได้แก่ ซูบาชิริ, โกเท็มบะ และฟูจิโนะมิยะ ยังเปิดให้เข้าฟรี

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ร่วมกับสมาคมแม่บ้านตำรวจ เปิดค่ายส่งสุขทางการเงิน โครงการ Money Management & Investment เพื่อให้ความรู้ด้านการบริหารการเงิน การวางแผนการเงิน การออม การลงทุน และการจัดการหนี้สิน ให้แก่ข้าราชการตำรวจและครอบครัว สร้าง 30 บุคคลต้นแบบ

วันนี้ (6 มีนาคม 2567) เวลา 09.00 น. สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และสมาคมแม่บ้านตำรวจ เปิดโครงการ Money Management & Investment เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตครอบครัวข้าราชการตำรวจ ณ ห้องแจ้งยอดสุข อาคารศูนย์ฝึกอบรมพัฒนาบุคลากร และสวัสดิการ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยมีคุณนิภาพรรณ สุขวิมล นายกสมาคมแม่บ้านตำรวจ เป็นประธาน , คุณณฐิกา ปิตะนีละบุตร กรรมการบริหารสมาคมฯ/ที่ปรึกษาโครงการ , คุณพรรณวดี  ลดาวัลย์ ณ อยุธยา ผู้ช่วยผู้จัดการ หัวหน้ากลุ่มงานพัฒนาความรู้ตลาดทุน ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ร่วมพิธี และ พล.ต.ท.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เป็นประธานพิธีเปิดทางออนไลน์ โดยระบบวิดีโอ คอนเฟอร์เรนซ์ 

คุณนิภาพรรณ สุขวิมล นายกสมาคมแม่บ้านตำรวจ เปิดเผยว่า สมาคมแม่บ้านตำรวจ ได้ดำเนินโครงการ Money Management & Investment ร่วมกับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 2564 ปีนี้เข้าปีที่ 4 แล้ว ซึ่งที่ผ่านมาได้พัฒนาความรู้ด้านการเงินให้กับนักเรียนนายร้อยตำรวจ นักเรียนนายสิบตำรวจ และข้าราชการตำรวจวัยทำงานจนถึงวัยใกล้เกษียณอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งสิ้น 3,584 คน ปีนี้ได้พัฒนาหลักสูตรการอบรมให้ความรู้ทางการเงิน 1 วัน สู่กิจกรรม Happy Money In action “ค่ายส่งสุขทางการเงิน เพื่อครอบครัวตำรวจไทย” ร่วมกับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย 3 วัน 2 คืน มุ่งเน้นการให้ความรู้และสร้างบุคคลต้นแบบ และต้นกล้าทางการเงินให้กับกลุ่มผู้ที่มีความตั้งใจในการลดภาระหนี้สินอย่างมีนัยสำคัญ จำนวน 30 ครอบครัว ซึ่งเป็นบุคคลที่มีสถานะทางการเงินดีขึ้น มีเป้าหมายทางการเงิน มีวินัยทางการเงินเพิ่มขึ้น ทำให้หนี้สินที่มีลดลงอย่างต่อเนื่อง มีความสุขทางการเงินมากขึ้น สามารถเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับเพื่อนตำรวจได้อย่างเป็นรูปธรรม

นอกจากนี้ นายกสมาคมแม่บ้านตำรวจ กล่าวว่า สมาคมแม่บ้านตำรวจมีหลายโครงการที่มุ่งสนับสนุนการพัฒนาคุณภาพชีวิตของครอบครัวตำรวจ ให้มีความมั่นคงในด้านสวัสดิภาพความเป็นอยู่ สร้างขวัญกำลังใจให้แก่ครอบครัวข้าราชการตำรวจ และสมาชิกแม่บ้านตำรวจ และสามารถนำมาต่อยอดในโครงการ Money Management & Investment  ได้แก่ โครงการ One Province One Product (OPOP) “1 จังหวัด 1 ผลิตภัณฑ์” ได้ดำเนินการ มาตั้งแต่ปี 2565 และดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างรายได้ให้ครอบครัวข้าราชการตำรวจ ได้นำผลิตภัณฑ์ของแต่ละครอบครัวมาพัฒนาให้ดียิ่งขึ้นไป โดยสมาคมแม่บ้านตำรวจช่วยในเรื่องการปรับรูปแบบผลิตภัณฑ์ เพื่อให้ได้มาตรฐาน ร่วมกับผู้เชี่ยวชาญ ไม่ว่าจะเป็น ศิลปินครูปาน สมนึก คลังนอก ,คุณหมู Asava  เป็นที่ปรึกษากิตติมศักดิ์ของสมาคมแม่บ้านตำรวจ และเป็นที่ปรึกษาโครงการ และช่วยพัฒนาช่องทางการตลาด เพื่อสร้างรายได้ที่ยั่งยืนให้กับครอบครัวตำรวจให้มีคุณภาพชีวิตที่ดี ซึ่งสมาคมแม่บ้านตำรวจจะจัด “งาน Side by Side ช้อป ชิม แชร์ จากใจเรา…ถึงมือคุณ” ระหว่างวันที่ 20 - 24 มีนาคม 2567 นี้ ที่ห้างสรรพสินค้าเอ็มควอเทียร์ 

ในส่วนโครงการสร้างอาชีพให้กับครอบครัวตำรวจ สมาคมแม่บ้านตำรวจยังได้จัดทำแฟรนไชส์ “กาแฟอาซ้อ” ได้รับการสนับสนุนจากบริษัท อุตสาหกรรมนมไทย จำกัด หรือ นมตรามะลิ โดยใช้กาแฟเมล็ดพันธุ์จากดอยสามหมื่นของตำรวจตระเวนชายแดน  เพื่อให้ครอบครัวตำรวจที่อยากจะเริ่มธุรกิจ ได้มีโอกาสทำ ทางสมาคมแม่บ้านตำรวจจัดทำ Brand ให้ โดยได้มอบให้กับครอบครัวตำรวจที่มีบุตรออทิสติก จำนวน 18 ครอบครัว

ด้าน พล.ต.ท.ธัชชัย ฯ กล่าวว่า ปัญหาทางการเงินทำให้เกิดความเครียดและภาวะกดดันมากมาย อาจส่งผลต่อหน้าที่การงาน การใช้ชีวิต และความสัมพันธ์ในครอบครัว ถ้าไม่ติดอาวุธความรู้ให้กับตนเอง และคู่ชีวิตของเรา ก็จะยากในการแก้ไขปัญหาและฟันฝ่าอุปสรรคทั้งหลายทั้งปวงได้ การดำเนินโครงการของสมาคมแม่บ้านตำรวจ ร่วมกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ในการจัดค่ายขึ้นมาในปีนี้ ต้องการให้การอบรมมีประสิทธิภาพสูงสุด ผู้ที่มีความตั้งใจในการลดภาระหนี้สิน สามารถพบทางสว่างสามารถเดินไปสู่เป้าหมายทางการเงินที่วางไว้อย่างสัมฤทธิ์ผล เพราะถ้าเราสุขเงินแล้ว เราก็จะ สุขกาย และสุขใจ ตามมา มีชีวิตที่มีความสุขอย่างยั่งยืนกลับมาอีกครั้งหนึ่ง

ตร. เตือนภัยข้าราชการบำนาญ อย่าหลงเชื่อ มิจฉาชีพแอบอ้างเป็นกรมบัญชีกลาง

พล.ต.อ.รอย อิงคไพโรจน์ รอง ผบ.ตร./ผอ.ศปอส.ตร. และ พล.ต.ท.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร ผู้ช่วย ผบ.ตร./รอง ผอ. ศปอส.ตร. ได้มีความห่วงใยพี่น้องประชาชนที่อาจได้รับความเสียหายจากอาชญากรรมรูปแบบต่าง ๆ ซึ่งในปัจจุบันมีพี่น้องประชาชนจำนวนมากที่ได้รับความเสียหายจากการหลอกลวงบนโลกออนไลน์ ทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้ตรวจสอบพบว่ามีเหตุคนร้ายแอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่กรมบัญชีกลางโทรหาข้าราชการผู้รับบำนาญเพื่อแจ้งให้อัปเดตข้อมูลบัญชีธนาคารแล้วหลอกให้กดลิงก์กรอกข้อมูลส่วนตัว เพื่อขโมยเงินในบัญชีธนาคารทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติจึงขอแจ้งเตือนภัยดังนี้

คนร้ายแอบอ้างเป็นกรมบัญชีกลางหลอกเอาข้อมูลส่วนตัวเพื่อดูดเงิน
คนร้ายโทรศัพท์หาเหยื่อแจ้งว่าเป็นเจ้าหน้าที่กรมบัญชีกลางและยังแจ้งเหยื่อว่าทางกรมบัญชีกลางจะมีการปรับเงินเดือนข้าราชการบำนาญเพิ่มอีกร้อยละ 5%  โดยคนร้ายทราบข้อมูลส่วนตัวของเหยื่อที่เกี่ยวข้องกับกรมบัญชีกลางทั้งหมดเหยื่อจึงหลงเชื่อว่าเป็นเจ้าหน้าที่กรมบัญชีกลางจริงๆ  คนร้ายจึงให้เหยื่อเพิ่มเพื่อนไลน์ ส่งลิงก์ให้เหยื่อกรอกข้อมูล พร้อมให้ดาวน์โหลดติดตั้ง Application ควบคุมโทรศัพท์มือถือและเร่งเหยื่อให้ดำเนินรายการให้เร็วที่สุด เหยื่อจึงได้ดำเนินการตามคนร้ายทุกขั้นตอนจนเสร็จสิ้น จนเหยื่อมารู้ตัวทีหลังว่ามีการโอนเงินออกจากบัญชีเหยื่อไป

จุดสังเกต
•คนร้ายรู้ข้อมูลส่วนตัวทั้งหมดจึงทำให้เหยื่อหลงเชื่อได้ง่าย
•คนร้ายให้เพิ่มเพื่อนผ่านไลน์ โดยไลน์ของคนร้ายปลอมเป็นเจ้าหน้าที่ของหน่วยงาน
•คนร้ายส่งหน้า Website จริงของกรมบัญชีกลางให้น่าเชื่อถือ
•เมื่อเหยื่อเริ่มเชื่อคนร้ายจึงส่งลิงก์ให้เหยื่อกดติดตั้ง Application
วิธีป้องกัน
•กรมบัญชีกลางไม่มีนโยบายให้เจ้าหน้าที่โทรติดต่อข้าราชการหรือผู้รับบำนาญ
•หากมีสายติดต่อเข้ามาจากหน่วยงานต่างๆให้วางสายก่อนแล้วโทรกลับไปใหม่ ปกติสายของคนร้ายจะไม่สามารถโทรกลับได้
•หน่วยงานราชการไม่มีการโทรติดต่อไปก่อน และไม่มีการให้ติดต่อผ่านทางไลน์หากไม่มั่นใจให้โทรสอบถามหน่วยงานนั้นๆก่อน
•ตรวจสอบลิงก์ก่อนกดทุกครั้ง ในกรณีนี้เป็นหน่วยงานราชการลิงก์ควรเป็น Domain ลงท้ายด้วย .go.th ถ้าไม่ถูกต้องไม่ควรกดลิงก์ใดๆที่มีคนส่งมาผ่านทางสื่อสังคมออนไลน์ หรือติดตั้ง Application ที่ไม่ผ่านจาก Play Store หรือ App Store

สำหรับช่องทางรับรู้ข่าวสารเพื่อให้รู้เท่าทันภัยออนไลน์ในรูปแบบใหม่ สามารถติดตามข้อมูลการแจ้งเตือนภัยออนไลน์ได้ผ่านทาง www.เตือนภัยออนไลน์.com หมายเลขโทรศัพท์สายด่วน AOC 1441 กรณีถูกคนร้ายหลอกลวงแจ้งความตำรวจผ่านระบบกรณีถูกคนร้ายหลอกลวงแจ้งความตำรวจผ่านระบบ www.thaipoliceonline.go.th
 

รู้จัก ‘ภัณฑารักษ์’ ประจำพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติอินเดีย ผู้ถือ-ดูแล ‘พระบรมสารีริกธาตุ-พระอรหันตธาตุ’ ด้วยชีวิต

เมื่อวานนี้ (5 มี.ค.67) จากช่องติ๊กต็อก ‘โลก กะ ธรรม กับ ม่อน’ ได้โพสต์คลิปวิดีโออธิบายเกี่ยวกับประเด็นที่มี ‘หญิงสาวอินเดีย’ รายหนึ่งกำลังใกล้ชิดและถือ ‘พระบรมสารีริกธาตุ’ อยู่ ซึ่งหลายคนอาจสงสัยว่าผู้หญิงสามารถใกล้ชิดได้หรือ? โดยระบุว่า….

ผู้หญิงท่านนี้เป็น ‘ภัณฑารักษ์’ ประจําพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติอินเดีย ซึ่งเป็นข้อตกลงระหว่างไทยกับอินเดียว่าเขาจะเป็นคนถือพระบรมสารีริกธาตุ ดังนั้นจะจัดใครมาอารักขาพระบรมสารีริกธาตุก็เป็นสิทธิ์ของเขา และเราไม่มีสิทธิ์ ซึ่งพวกเราได้บูชาพระบรมสารีริกธาตุก็ดีแล้ว ฉะนั้น ‘ภัณฑารักษ์’ ก็คือผู้ดูแลวัตถุโบราณของพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติอินเดียนั่นเอง ซึ่งก็มีหลายคนไม่ได้มีคนเดียว โดยเขาจะต้องดูแลวัตถุสิ่งของโบราณด้วยชีวิต ดังนั้นจะมาให้คนอื่นถือง่าย ๆ ไม่ได้ และจะต้องอยู่ในความดูแลของเขาเท่านั้น

ถัดมาก็จะมีคําถามว่าแล้วผู้หญิงควรจะใกล้ชิดพระบรมสารีริกธาตุ หรือพระพุทธเจ้าเหรอ…พระพุทธเจ้าจะมีพระชนม์ชีพหรือปรินิพพานแล้วก็ตาม ก็ไม่ควรที่จะใกล้พระองค์ขนาดนั้นถูกไหม? ซึ่งอย่างที่บอกว่าเป็นข้อตกลง มีสิทธิ์หรือไม่มีสิทธิ์ ก็คือทางอินเดียจะเป็นคนพิจารณาคนที่เหมาะสมมาปกป้องดูแลพระบรมสารีริกธาตุ และจริง ๆ แล้วผู้หญิงจะมีความละเอียดรอบคอบมากกว่าผู้ชาย โดยบางทีเขาก็มองว่าผู้หญิงมีความรอบคอบกว่าและละเอียดกว่า ยกตัวอย่างเช่น ‘นางมัลลิกา’...

ครั้งนั้น ‘พระเจ้าปเสนทิโกศล’ ทําทานแข่งกับชาวบ้านแล้วก็ไม่ชนะสักที จึงทรงกุ้มพระทัยและเสียพระทัยจนพระนางมัลลิกาทราบข่าว ก็ยิ้มแบบขํา ๆ ประมาณว่าเรื่องแค่นี้เองเหรอ คือเป็นเรื่องง่าย ๆ สําหรับเธอ โดยเธอก็บอกว่าแค่ทําทานแข่งกับชาวบ้านพระราชายังทําแข่งกับชาวบ้านไม่ชนะสักที ซึ่งจริง ๆ ไม่ใช่เรื่องยากสําหรับนางมัลลิกา และไม่ใช่เรื่องยากสําหรับผู้หญิงที่มีปัญญา โดยเธอก็บอกว่าชาวบ้านไม่มีช้าง ไม่มีเจ้าหญิง ไม่มีเศวตฉัตร ไม่มีเครื่องทรงที่วิจิตรเหมือนพระราชา และเธอก็ให้นําสิ่งของเหล่านี้ที่ชาวบ้านไม่มีมาประกอบในพิธีอธิษฐานคือฐานที่หาประมาณไม่ได้ ฉะนั้นก็จะเห็นได้ว่าผู้หญิงนั้นมีความละเอียดรอบคอบ ขนาดพระองค์ยังสรรเสริญผู้หญิงเลย

ดังนั้น ผู้หญิงที่ถือพระบรมสารีริกธาตุก็เป็นที่ไว้ใจของพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติอินเดีย ที่เขาเลือกคนที่เหมาะสมมาแล้วนั่นเอง….


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top