Sunday, 8 June 2025
TheStatesTimes

สหรัฐฯ ส่งทีมตรวจสอบบัญชีถึงเคียฟ ตรวจการใช้งบช่วย ‘ยูเครน’ ทุกดอลลาร์

(7 มิ.ย. 68) ทีมผู้ตรวจสอบบัญชีจากสหรัฐฯ ได้เดินทางถึงกรุงเคียฟ ประเทศยูเครน เพื่อดำเนินการตรวจสอบการใช้จ่ายเงินช่วยเหลือด้านการทหารและมนุษยธรรมที่สหรัฐฯ มอบให้ยูเครนอย่างต่อเนื่อง โดยพวกเขาวางแผนจะพักอยู่ในเคียฟจนถึงวันที่ 30 มิถุนายนนี้

การตรวจสอบนี้มีเป้าหมายเพื่อประเมินประสิทธิภาพและความโปร่งใสในการใช้จ่ายเงินช่วยเหลือดังกล่าว ซึ่งรวมถึงการตรวจสอบว่าการใช้จ่ายเป็นไปตามวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้หรือไม่ ก่อนหน้านี้ สำนักงานผู้ตรวจการทั่วไปของ USAID ได้ดำเนินการตรวจสอบและให้คำแนะนำเกี่ยวกับความช่วยเหลือของสหรัฐฯ ต่อยูเครน

นอกจากนี้ สำนักงานความรับผิดชอบของรัฐบาลสหรัฐฯ (GAO) ยังได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของการกำกับดูแลความช่วยเหลือที่มอบให้ยูเครน โดยระบุว่าจำเป็นต้องมีการติดตามและประเมินผลการใช้จ่ายอย่างเข้มงวด

การดำเนินการตรวจสอบดังกล่าวสะท้อนถึงความมุ่งมั่นของสหรัฐฯ ในการรับรองว่าความช่วยเหลือที่มอบให้ยูเครนถูกใช้อย่างมีประสิทธิภาพและโปร่งใส เพื่อสนับสนุนความพยายามของยูเครนในการรับมือกับสถานการณ์ปัจจุบัน

ด่านชายแดนจันทบุรีงดนักท่องเที่ยวชั่วคราว เปิดทางเฉพาะแรงงาน หวั่นสถานการณ์ไม่ปลอดภัย

(7 มิ.ย. 68) หน่วยเฉพาะกิจนาวิกโยธินจันทบุรีออกหนังสือแจ้งไปยังตรวจคนเข้าเมืองจันทบุรี ขอให้ระงับการเดินทางเข้า-ออกของนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและกัมพูชาผ่านจุดผ่านแดนถาวรบ้านแหลมและบ้านผักกาดชั่วคราว โดยอนุโลมให้เฉพาะแรงงานกัมพูชาที่เข้ามาทำงานในไทยสามารถผ่านเข้าออกได้ตามปกติ

คำสั่งดังกล่าวอ้างอิงจากประกาศใช้กฎอัยการศึกในพื้นที่บางอำเภอของจันทบุรี และอาศัยอำนาจตาม พ.ร.บ.กฎอัยการศึกฯ มาตรา 5 เพื่อรักษาความสงบเรียบร้อย หลังมีสถานการณ์ที่อาจเป็นภัยคุกคามจากประเทศเพื่อนบ้าน และเพื่อป้องกันผลกระทบต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน

พลเรือเอก นพโรจน์ สิริปริยพงศ์ ผู้บังคับหน่วยฯ ยืนยันกับผู้สื่อข่าวว่าไม่ได้มีการ “ปิดด่าน” อย่างที่เข้าใจกัน แต่เป็นการประกาศเพื่อเตือนนักท่องเที่ยว โดยเฉพาะกลุ่มที่เดินทางมาเล่นกาสิโนหรือท่องเที่ยวในแนวชายแดน ให้เพิ่มความระมัดระวัง เนื่องจากอาจไม่ทราบสถานการณ์พื้นที่

ขณะที่การค้าแรงงานและรถขนส่งสินค้ายังคงดำเนินการได้ตามปกติ ด่านถาวรและจุดผ่อนปรนในเขตจังหวัดจันทบุรียังเปิดบริการตามปกติ พร้อมขอความร่วมมือจากสื่อมวลชนช่วยชี้แจงข้อมูลให้ประชาชนเข้าใจอย่างถูกต้อง และไม่ตื่นตระหนกจากข่าวที่อาจสื่อสารไม่ครบถ้วน

‘การ์ตูนอเมริกัน’ กับ ‘บาทหลวงรัสเซีย’ ความย้อนแย้ง!! ที่สะท้อนอุดมการณ์

(8 มิ.ย. 68) ในยุคโลกาภิวัตน์ที่สื่อและวัฒนธรรมข้ามพรมแดนได้อย่างรวดเร็วการ์ตูนอเมริกันเรื่อง The Simpsons กลายเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ของวัฒนธรรมป๊อปที่ได้รับความนิยมอย่างกว้างขวางทั่วโลกด้วยเนื้อหาที่เสียดสีสังคมการเมืองและความสัมพันธ์ในครอบครัวในมุมมองเสรีนิยมแบบตะวันตกแต่กลับสร้างภาพครอบครัวที่แม้จะมีความผิดพลาดและความขัดแย้งแต่ยังคงรักษาความผูกพันในระดับหนึ่งไว้ได้อย่างเหนียวแน่นอย่างน่าสนใจ อย่างไรก็ตามในความย้อนแย้งที่ดูเหมือนจะขัดแย้งนี้กลับปรากฏว่าในเดือนมกราคม ค.ศ. 2024 บุคคลในวงการศาสนาออร์โธดอกซ์รัสเซียบางท่านออกมายกย่องการ์ตูน The Simpsons ว่าเป็นสื่อที่ส่งเสริม “ค่านิยมดั้งเดิม” (traditional values) และแสดงให้เห็นถึงความสำคัญของครอบครัวและศีลธรรมซึ่งเป็นค่านิยมที่รัฐบาลและศาสนจักรรัสเซียพยายามส่งเสริมในฐานะอุดมการณ์หลักของชาติในช่วงทศวรรษหลังสงครามเย็น ความเห็นนี้สร้างความตื่นตะลึงในหมู่นักวิชาการและผู้สนใจวัฒนธรรมป๊อปเนื่องจาก The Simpsons เป็นที่รู้จักในฐานะการ์ตูนเสียดสีที่มักตั้งคำถามและล้อเลียนระบบการเมือง ศาสนา และสถาบันครอบครัวแบบดั้งเดิมในสังคมอเมริกันอย่างเปิดเผย

ความคิดเห็นดังกล่าวได้รับความสนใจเป็นพิเศษเนื่องจากตรงข้ามกับภาพลักษณ์ที่สื่อและนักวิเคราะห์จำนวนมากมองว่า Russian Orthodox Church มักจะมีท่าทีเข้มงวดและปฏิเสธวัฒนธรรมตะวันตกเสรีนิยมอย่างเด็ดขาด เหตุการณ์นี้จึงกลายเป็นกรณีศึกษาที่แสดงให้เห็นถึงความซับซ้อนของอุดมการณ์อนุรักษนิยมในรัสเซียซึ่งไม่ใช่การปฏิเสธตะวันตกอย่างสิ้นเชิง หากแต่เป็นการคัดเลือกและตีความสื่อจากโลกตะวันตกในแบบที่สอดคล้องกับเป้าหมายทางวาทกรรมและภูมิรัฐศาสตร์ของตนเอง ปรากฏการณ์นี้จึงไม่ได้เป็นเพียงเรื่องของรสนิยมทางวัฒนธรรมเท่านั้นแต่เป็นสัญญาณของกระบวนการทางวาทกรรมที่รัสเซียใช้สื่อสมัยนิยมตะวันตกในรูปแบบที่ “ถูกคัดกรอง” (selective appropriation) เพื่อเสริมสร้างอุดมการณ์อนุรักษนิยมในประเทศรวมทั้งเป็นกลยุทธ์ทางภูมิรัฐศาสตร์ในการตอบโต้แนวคิดเสรีนิยมและลัทธิโลกาภิวัตน์ที่รัสเซียมองว่าเป็นภัยต่ออัตลักษณ์ของตน บทความนี้จึงมีจุดมุ่งหมายเพื่อวิเคราะห์ความย้อนแย้งของกรณีบาทหลวงรัสเซียที่ชื่นชม The Simpsons ในฐานะสื่อที่สะท้อนค่านิยมดั้งเดิม โดยมองผ่านเลนส์ของวาทกรรมทางวัฒนธรรมและภูมิรัฐศาสตร์ พร้อมตั้งคำถามว่า การตีความเช่นนี้สะท้อนถึงความพยายามของรัสเซียในการต่อรองกับวัฒนธรรมตะวันตกอย่างไร และสิ่งนี้จะบอกอะไรเราเกี่ยวกับความซับซ้อนของอุดมการณ์อนุรักษนิยมในยุคโลกาภิวัตน์

นับตั้งแต่เปิดตัวในปี 1989 The Simpsons กลายเป็นการ์ตูนโทรทัศน์ที่ทรงอิทธิพลที่สุดเรื่องหนึ่งของโลกตะวันตก ด้วยการเสียดสีสังคมอเมริกันในทุกมิติ ทั้งการเมือง ศาสนา ทุนนิยม การศึกษา และครอบครัว ซีรีส์นี้มิใช่แค่ล้อเลียนเพื่อขบขันแต่เป็นภาพแทนของเสรีนิยมอเมริกันที่กล้าตั้งคำถามกับอำนาจและค่านิยมของตนเอง ผ่านตัวละครอย่างโฮเมอร์ ชนชั้นแรงงานไร้วินัยแต่นั่งหัวโต๊ะ และมาร์จที่ติดอยู่ในระบบครอบครัวชายเป็นใหญ่ รวมถึงบาร์ต ลิซ่า และแม็กกี้ซึ่งสะท้อนปัญหาของวัยเยาว์และเสรีนิยมทางความคิดในยุคหลังสงครามเย็น The Simpsons ทำหน้าที่ทั้ง “วิพากษ์” และ “สะท้อน” สังคม มันเปิดพื้นที่ให้ตั้งคำถามต่อสิ่งที่เคยถูกมองว่าเป็นเรื่องปกติ เช่น เพศ ศาสนา และครอบครัว โดยไม่ต้องสวมบทผู้สั่งสอนหรือเชิดชูชาติ ตัวการ์ตูนนี้จึงกลายเป็นกระจกวัฒนธรรม ตามแนวทาง Cultural Studiesพื้นที่ที่ผู้ชมต่อรองความหมายและตีความได้ด้วยตนเอง

ในบริบทอเมริกัน The Simpsons คือตัวอย่างของสื่อที่กล้าท้าทายอัตลักษณ์ชาติ ในทางกลับกัน สื่อในรัฐเผด็จการมักถูกควบคุมเพื่อรักษาภาพลักษณ์ของรัฐหรือศาสนา ความกล้าเชิงวิพากษ์เช่นนี้ทำให้การ์ตูนเรื่องนี้ไม่เพียงเป็นสื่อป๊อปคัลเจอร์ทรงพลัง แต่ยังเปิดโอกาสให้ถูก แปลงความหมาย ไปตามบริบทของผู้รับสารในแต่ละประเทศ—เช่นกรณีรัสเซีย ที่หยิบมันมาใช้ในเชิงวาทกรรมในช่วงทศวรรษที่ผ่านมารัสเซียภายใต้การนำของประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน ได้หันกลับไปสู่การสร้างอัตลักษณ์ชาติที่เน้น “ค่านิยมดั้งเดิม” (traditional values) ซึ่งประกอบด้วยแนวคิดเรื่องครอบครัวแบบชาย-หญิง ความเคารพต่อศาสนา ความมั่นคงของรัฐ และบทบาทชายชาติทหาร โดยค่านิยมเหล่านี้ถูกนำเสนอเป็น “ทางเลือกใหม่” ต่อแนวคิดเสรีนิยมตะวันตกที่ถูกกล่าวหาว่าทำลายโครงสร้างของสังคมและศีลธรรมผ่านการผลักดันสิทธิความหลากหลายทางเพศ การลดบทบาทศาสนา และการเปิดเสรีทางวัฒนธรรม แนวคิดนี้ไม่เพียงแต่ถูกผลักดันในระดับนโยบายภายในประเทศผ่านสื่อ การศึกษา และกฎหมาย (เช่น กฎหมายห้ามโฆษณา “ความสัมพันธ์รักร่วมเพศ” กับเยาวชน) แต่ยังถูกใช้เป็นเครื่องมือทางภูมิรัฐศาสตร์เพื่อแสดงให้เห็นถึง “ความเหนือกว่า” ทางคุณค่าทางจริยธรรมของรัสเซียต่อโลกตะวันตกในยุคหลังสงครามเย็น รัสเซียจึงไม่เพียงแต่ปฏิเสธแนวทางของตะวันตกเท่านั้น แต่ยังพยายามสร้าง “วาทกรรมคู่ขนาน” (counter-discourse) ที่จะช่วงชิงพื้นที่ความหมายในเวทีโลก การผลิตซ้ำและเผยแพร่ค่านิยมดั้งเดิมในรัสเซียจึงไม่ใช่เพียงกระบวนการอนุรักษนิยมแบบล้าหลังหากแต่เป็นยุทธศาสตร์วาทกรรมที่แหลมคม มีเป้าหมายในการประกอบสร้างเอกลักษณ์ของรัสเซียในฐานะ “มหาอำนาจทางจริยธรรม” (moral great power) ที่สามารถยืนหยัดอย่างมีศักดิ์ศรีท่ามกลางกระแสโลกาภิวัตน์และเสรีนิยมสุดโต่ง ซึ่งถือเป็นภัยคุกคามต่อระเบียบโลกที่รัสเซียปรารถนาจะฟื้นฟู ในบริบทนี้ The Simpsons ซึ่งเคยเป็นภาพแทนของวัฒนธรรมอเมริกันแบบเสียดสี ถูก “บรรจุความหมายใหม่” เมื่อผ่านสายตาของนักบวชรัสเซียที่เลือกมองสิ่งใดสิ่งหนึ่งในเรื่องนั้น เช่น ความยึดโยงของครอบครัว แล้วนำมาเป็นหลักฐานเชิงวาทกรรมว่าตะวันตกเองก็มี “ร่องรอย” ของค่านิยมดั้งเดิมอยู่ จึงสามารถถูกอ้างถึงเพื่อยืนยันว่าอุดมการณ์แบบรัสเซียไม่ใช่สิ่งล้าหลังหรือแปลกแยก แต่เป็นสิ่งที่ “แม้แต่ตะวันตกเองยังหลงเหลือไว้” ยุทธศาสตร์วาทกรรมเช่นนี้จึงทำให้ The Simpsons กลายเป็นภาพสะท้อนของ “ความย้อนแย้งอันชาญฉลาด” ในการต่อสู้เชิงอุดมการณ์ระหว่างรัสเซียกับตะวันตก โดยที่รัสเซียไม่จำเป็นต้องสร้างวาทกรรมจากศูนย์ แต่สามารถสกัดความหมายจากสื่อของฝ่ายตรงข้ามมาใช้อย่างมีทักษะ

ภายใต้ยุคปูติน รัสเซียได้พัฒนา “ยุทธศาสตร์ทางวาทกรรม” ที่อิงกับแนวคิด “ค่านิยมดั้งเดิม” (traditional values) โดยมีเป้าหมายหลักในการฟื้นฟูความชอบธรรมของรัฐ ท้าทายอิทธิพลวาทกรรมเสรีนิยม และสร้างอัตลักษณ์แห่งชาติที่แยกตัวจากโลกตะวันตก ในแง่นี้ รัสเซียกำลังดำเนินยุทธศาสตร์ “การต่อสู้ทางอุดมการณ์” ที่สอดคล้องกับแนวคิดเรื่อง “อำนาจนำ” (hegemony) ของอันโตนิโอ กรัมชี (Antonio Gramsci) ซึ่งมองว่ารัฐไม่เพียงใช้กำลังทางการเมืองหรือกองกำลังเพื่อครองอำนาจแต่ยังต้องยึดครอง “ความคิด” และ “ความหมาย” ในจิตสำนึกของประชาชนผ่านการผลิตวาทกรรมทางวัฒนธรรม จากมุมมองนี้ การที่ Russian Orthodox Priest หยิบ The Simpsons มาเป็นเครื่องมือยืนยันค่านิยมดั้งเดิมไม่ใช่การเข้าใจผิดทางวัฒนธรรม หากแต่เป็น “การแปลงความหมาย” อย่างมีเป้าหมาย หรือที่สจ๊วต ฮอลล์ (Stuart Hall) เรียกว่าการใส่รหัสและการถอดรหัส (encoding/decoding) กล่าวคือ ข้อความหนึ่งชุดที่ถูกผลิตจากบริบทวัฒนธรรมหนึ่ง (encoding) สามารถถูก “อ่าน” หรือ “ตีความ” (decoding) ใหม่ในอีกบริบทหนึ่งได้อย่างสิ้นเชิง ในกรณีนี้ The Simpsons ซึ่งผลิตขึ้นเพื่อวิพากษ์สถาบันครอบครัวในบริบทอเมริกัน กลับถูกอ่านใหม่ในบริบทรัสเซียว่าเป็นเครื่องยืนยันความสำคัญของ “ครอบครัวที่มั่นคง” และ “บทบาทของพ่อในบ้าน” ซึ่งตรงกับโครงสร้างวาทกรรมของรัฐรัสเซียในปัจจุบัน สอดคล้องกับแนวคิดของณอง โบดริยาร์ด (Jean Baudrillard) ที่เรียกกระบวนการนี้ว่า simulation หรือการสร้างภาพจำลองความจริงที่กลืนกินของจริงไปจนไม่สามารถแยกแยะได้ว่าอะไรคือ “ต้นฉบับ” (reality) และอะไรคือ “ภาพแทน” (representation) 

ในบริบทนี้ The Simpsons จึงไม่ใช่เพียงการ์ตูน แต่เป็น “ภาพแทนวัฒนธรรม” ที่เปิดให้ตีความได้หลากหลาย เมื่อบาทหลวงรัสเซียเลือกหยิบเฉพาะด้านที่เอื้อกับวาทกรรมของตน ก็เท่ากับสร้าง “ความจริงจำลอง” ที่ถูกนำไปใช้ในเชิงอุดมการณ์เพื่อเน้นย้ำว่ารัสเซียไม่ได้ปฏิเสธตะวันตกทั้งหมด หากแต่เป็นผู้เลือก “สิ่งที่ดี” จากตะวันตกมาใช้ในการต่อสู้เชิงวัฒนธรรมอย่างมีชั้นเชิง ดังนั้น การอ้างถึง The Simpsons จึงไม่ใช่เรื่องบังเอิญหรือผิดบริบท แต่เป็นตัวอย่างคลาสสิกของ “การบรรจุความหมายใหม่” เพื่อให้สอดคล้องกับวาทกรรมครอบงำ (hegemonic discourse) ของรัฐรัสเซียที่พยายามจะกำหนดมาตรฐานคุณค่าทางศีลธรรมในระดับโลกโดยอ้างว่าแม้แต่วัฒนธรรมอเมริกันที่เคยถูกวิพากษ์ก็ยังต้องยอมรับรากฐานของ “ความเป็นครอบครัวแบบดั้งเดิม” ซึ่งรัสเซียเชิดชู

กระบวนการที่นักบวชรัสเซียอ้างถึง The Simpsons ในเชิงบวกมิได้เป็นเพียงการชื่นชมสื่อจากตะวันตกในลักษณะ “อุดมคติสากล” หากแต่เป็นตัวอย่างชัดเจนของปรากฏการณ์ที่เรียกว่า “การแย่งชิงความหมาย” (appropriation) หรือ “การนำสื่อและความหมายของวัฒนธรรมอื่นมาแปลงใช้” ในลักษณะที่ไม่จำเป็นต้องเคารพเจตนารมณ์ดั้งเดิมของผู้ผลิต หากแต่ตัดตอน บรรจุใหม่ และวางไว้ในบริบททางอุดมการณ์ที่เอื้อต่อเป้าหมายของตนเอง ในที่นี้ รัสเซีย—ผ่านปากของนักบวชจาก Russian Orthodox Church—ได้ทำหน้าที่ “ตัดต่อวาทกรรม” (discourse reconfiguration) โดยนำเสนอภาพของ The Simpsons ว่าเป็นตัวแทนของค่านิยมแบบดั้งเดิม ทั้งที่ในความเป็นจริงซีรีส์ดังกล่าวมีเนื้อหาที่ตั้งใจวิพากษ์วิถีชีวิตครอบครัวอเมริกันผ่านอารมณ์ขันแบบเสียดสี (satire) และล้อเลียนสถาบันดั้งเดิมอย่างต่อเนื่องตลอดหลายทศวรรษ

การกระทำนี้สามารถวิเคราะห์ได้ผ่านแนวคิดของสจ๊วต ฮอลล์ เรื่อง “การถอดรหัสทางวัฒนธรรม” (cultural decoding) ซึ่งเน้นว่า ผู้รับสารไม่ได้เป็นเพียงผู้บริโภคที่ไม่มีปฏิกิริยาหากแต่สามารถตีความใหม่ตามบริบทของตนเองได้ (negotiated หรือ oppositional reading) ในกรณีนี้ The Simpsons ถูก “ถอดรหัส” จากมิติการล้อเลียน มาเป็นมิติของการยืนยันค่านิยม เช่น ความสำคัญของพ่อบ้านในครอบครัว หรือบทบาทของแม่ผู้เสียสละ ซึ่งสามารถนำมาตีความให้สอดรับกับแนวคิดอนุรักษนิยมของรัสเซียได้อย่างแนบเนียน ยิ่งไปกว่านั้น “การแย่งชิงความหมาย” (appropriation) ลักษณะนี้ยังสะท้อนกลยุทธ์ทางภูมิรัฐศาสตร์ในเชิงนามธรรม กล่าวคือรัสเซียมิได้เพียงต่อสู้กับตะวันตกด้วยอาวุธหรือเศรษฐกิจแต่ยังเข้าร่วม “สงครามแห่งความหมาย” (war of meaning) โดยอ้างสิทธิ์ในการตีความวัฒนธรรมของอีกฝ่ายเสียเอง ซึ่งทำให้เกิดภาวะ “ย้อนแย้งเชิงยุทธศาสตร์” ที่รัสเซียสามารถโจมตีตะวันตกในขณะที่เลือกใช้ “เครื่องมือ” บางส่วนของตะวันตกมาเสริมพลังของตน หากมองผ่านกรอบของ postmodernism โดยเฉพาะแนวคิดของณอง โบดริยาร์ด การกระทำเช่นนี้คือการเล่นกับ “สัญญะ” (sign) มากกว่าความจริงต้นฉบับ The Simpsons กลายเป็น “ภาพจำลอง” (simulation) ที่ถูกนำไปใช้ในบริบทใหม่โดยไม่ต้องคำนึงถึงความตั้งใจของผู้สร้างเดิม และความจริงต้นฉบับ (original meaning) ก็ถูกกลืนหายไปใน “ภาพแทน” ใหม่ที่สอดคล้องกับวาทกรรมของรัฐรัสเซีย ดังนั้นการ “การแย่งชิงความหมาย” (appropriation) จึงมิใช่เพียงการหยิบสื่อจากอีกวัฒนธรรมหนึ่งมาใช้ในเชิงสร้างสรรค์เท่านั้นหากแต่เป็นเครื่องมือสำคัญในการประกอบสร้างอุดมการณ์ การต่อสู้เพื่อความหมายและการตั้งคำถามต่ออำนาจของ “ผู้ผลิตความรู้” (knowledge producer) ในโลกปัจจุบัน ซึ่งในกรณีนี้รัสเซียกำลังท้าทายอำนาจของตะวันตกด้วยการ “ใช้วัฒนธรรมของตะวันตกเอง” เป็นอาวุธกลับคืน

โลกยุคหลังสงครามเย็นได้เปลี่ยน “สนามรบหลัก” จากสนามการทหารและเศรษฐกิจมาสู่สิ่งที่นักวิชาการวัฒนธรรมเรียกว่า “สนามวัฒนธรรม” (cultural field) ซึ่งไม่ได้ต่อสู้กันด้วยกำลัง แต่ต่อสู้กันด้วย “ความหมาย” และ “การครอบครองพื้นที่ทางจินตนาการ” ในลักษณะที่ Antonio Gramsci เรียกว่าสงครามแห่งตำแหน่ง (war of position)—เป็นการยื้อยุดเพื่อให้ระบบความคิดหนึ่งยึดครองจิตสำนึกของมวลชนให้ได้ในระยะยาว ในบริบทของรัสเซียภายใต้ยุทธศาสตร์การประกอบสร้าง “ค่านิยมดั้งเดิม” ให้เป็นรากฐานอัตลักษณ์รัฐ การเลือกเข้าสู่สงครามวาทกรรมในสนามวัฒนธรรมจึงไม่ใช่เพียงการปกป้องตนเองจากวัฒนธรรมตะวันตกเท่านั้น หากแต่เป็นการ “รุกรบเชิงสัญลักษณ์” เพื่อเสนอโลกทัศน์แบบรัสเซียเป็นทางเลือกคู่ขนานต่อกระแสเสรีนิยมตะวันตก โดยรัฐรัสเซียมีพันธมิตรสำคัญอย่าง Russian Orthodox Church และสื่อมวลชนของรัฐที่ทำหน้าที่ผลิตและขยายวาทกรรมเหล่านี้ออกสู่ทั้งประชาชนภายในและนานาชาติ กรณีที่นักบวชรัสเซียยก The Simpsons มาสนับสนุนค่านิยมแบบครอบครัวในอุดมคติจึงเป็นตัวอย่างคลาสสิกของ “สงครามวาทกรรม” ที่กำลังดำเนินอยู่ในสนามวัฒนธรรมโลก กล่าวคือ รัสเซียไม่ได้ปฏิเสธตะวันตกทั้งหมด แต่คัดเลือก “บางองค์ประกอบ” จากวัฒนธรรมตะวันตกที่สามารถ “ทำให้เป็นของตน” (domesticate) และใช้มันเพื่อตอกย้ำว่าแม้แต่สิ่งที่เกิดในโลกเสรีนิยมเอง ยังยืนยันความจำเป็นของโครงสร้างสังคมดั้งเดิม นี่คือการชิงพื้นที่ทางอำนาจของ “ความชอบธรรมทางวัฒนธรรม” (cultural legitimacy) แนวคิดของสจ๊วต ฮอลล์ ว่าด้วย การต่อสู้ทางวาทกรรม (discursive struggle) ช่วยอธิบายได้ว่าการตีความสื่อหนึ่งๆ ไม่ได้ถูกกำหนดตายตัวจากผู้ผลิต แต่เปิดให้ผู้รับสาร (เช่น รัฐ หรือศาสนจักร) เข้าไปเจาะช่องว่างของความหมาย และ “เสนอการอ่านใหม่” (preferred reading) ที่เอื้อต่ออุดมการณ์ของตน ซึ่งในกรณีของรัสเซียคือการปฏิเสธเสรีนิยม ความหลากหลายทางเพศ และแนวคิดครอบครัวแบบใหม่ ขณะเดียวกันก็อ้างสิทธิ์ในการ “ใช้ตะวันตกต่อต้านตะวันตก” ด้วยการหยิบเนื้อหาตะวันตกมาอ่านอย่างย้อนแย้ง กระบวนการนี้ยังสามารถมองผ่านกรอบของ มิเชล ฟูโกต์ (Michel Foucault) ว่าด้วยความสัมพันธ์ระหว่าง อำนาจ (power) และ ความรู้ (knowledge) เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นคือรัฐรัสเซียกำลังสร้างระบบความรู้ชุดใหม่ที่ถูกทำให้ดูน่าเชื่อถือ ด้วยการอ้างอิงถึงแหล่งที่มาจากวัฒนธรรมคู่แข่ง กล่าวคือ ความน่าเชื่อถือของ The Simpsons ในฐานะสื่อกระแสหลักแบบอเมริกัน กลายเป็น “ทรัพย์สินทางวาทกรรม” ที่รัฐรัสเซียสามารถใช้ประกอบสร้างอำนาจเชิงคุณค่าของตนเองภายใต้บริบทโลกที่เต็มไปด้วยความขัดแย้งของความหมายสื่อวัฒนธรรมจึงไม่ใช่แค่เรื่องของ “ความบันเทิง” แต่เป็น “อาวุธเชิงสัญลักษณ์” ในสงครามที่ไม่มีปืนหากเต็มไปด้วยการต่อสู้เพื่อช่วงชิงความจริง (struggle over the truth) และการประกอบสร้าง “ความชอบธรรมทางอารยธรรม” ระหว่างขั้วอำนาจใหม่

สรุป กรณีที่นักบวชรัสเซียยก The Simpsons มาเป็นตัวอย่างของสื่อที่ส่งเสริม “ค่านิยมดั้งเดิม” มิใช่เรื่องแปลกแต่สะท้อนยุทธศาสตร์ของรัฐรัสเซียและศาสนจักรในการเข้าสู่สงครามวาทกรรมระดับโลกด้วยการตีความใหม่ (appropriation) สื่ออเมริกันให้ตอบสนองอุดมการณ์ตนเอง กลวิธีนี้สอดคล้องกับแนวคิดของ สจ๊วต ฮอลล์, อันโตนิโอ กรัมชี และ ณอง โบดริยาร์ดว่าด้วยการยึดครองความหมายเชิงวัฒนธรรม ในบริบทนี้ The Simpsons จึงกลายเป็นสนามต่อสู้ของอุดมการณ์สองขั้วทั้งเสรีนิยมตะวันตกกับอนุรักษนิยมรัสเซียที่ต่างช่วงชิงการนิยาม “ครอบครัว” และ “อารยธรรม” ท่ามกลางยุคที่อำนาจทางวัฒนธรรมกลายเป็นเครื่องมือสำคัญในเกมภูมิรัฐศาสตร์ร่วมสมัย

เทรนด์โลกออนไลน์ นักศึกษาจีนจบใหม่ ตลกร้ายที่อาจดูขำแต่น้ำตาตกใน จุดเปลี่ยนขาลง ของระบบการศึกษาแบบดั้งเดิม ผลิตบัณฑิต ล้นตลาดแรงงาน

(8 มิ.ย. 68) เข้าสู่ฤดูรับปริญญาของจีน ซึ่งตรงกับช่วงเดือน มิ.ย. - ก.ค. ของทุกปี เป็นช่วงที่จะได้เห็นคอนเทนท์รับปริญญาของนักศึกษาจบใหม่มากมายบนสื่อโซเชียล เช่นเดียวกับที่อื่น ๆ บนโลก การรับปริญญาเป็นเรื่องที่น่ายินดี สำหรับตัวนักศึกษาจบใหม่เอง หรือจากคนรอบตัวที่แห่แสดงความยินดีในรูปแบบต่าง ๆ กลายเป็นเทรนด์บนโลกโซเชียลมากมายที่สะท้อนสังคมในยุคปัจจุบัน

ยกตัวอย่างเช่นคลิปไวรัลของนักศึกษาจบใหม่ที่ทำคลิปขอบคุณ ChatGPT ที่ช่วยเขาในการทำการบ้าน ที่ถ้าหากผมเป็นนายจ้างหรือเจ้าของบริษัท ก็คงจะตั้งคำถามกับตัวเองว่าถ้าเด็กยุคนี้ใช้ ChatGPT จนเรียนสามารถเรียนจบได้ ถ้างั้นแทนที่เราจะจ่ายเงินจ้างงานนักศึกษาจบใหม่ เราจ่ายเงินค่า subscribtion รายเดือนให้ ChatGPT ทำงานให้ไปเลยไม่ดีกว่าหรือ ถูกกว่า เร็วกว่า ฟังก์ชั่นกว่า เพราะหากจ้างเด็กจบใหม่ในยุคนี้ ก็มีความเป็นไปได้สูงว่าเขาก็จะใช้ ChatGPT ทำงานให้อยู่ดี

แม้จะเป็นแค่มุกตลก แต่ว่ากันว่ามุกตลกนั้นสะท้อนภาพสังคมในแต่ละยุคสมัยได้เช่นกัน 

ในกรณีที่ยกตัวอย่างตามข้างต้นนี้ สะท้อนภาพเศรษฐกิจสังคมยุคใหม่ และการแทนที่มนุษย์โดย AI 

นี่เป็นเพียงหนึ่งในหลายเทรนด์คอนเทนท์รับปริญญาบนโลกโซเชียล ทั้งในจีนและทั่วโลก ที่สะท้อนสภาพสังคมและปัญหาที่แก้ได้ยาก ยังมีอีกหลายเทรนด์ที่ยังเป็นไวรัลอย่างต่อเนื่องอีกมากมาย….

“To truly laugh, you must be able to take your pain, and play with it.”
“เพื่อที่จะหัวเราะได้อย่างแท้จริง คุณต้องกล้าเอาความเจ็บปวดของคุณมาเล่นกับมันให้ได้”
— Charlie Chaplin

"毕业快乐!欢迎加入美团。"  
“ยินดีด้วยที่เรียนจบ ยินดีต้อนรับสู่เหม่ยถวน (Meituan)”

— หนึ่งในคำโปรยจากวิดีโอสั้นใน Douyin (Tiktok ของจีน) ที่ถูกแชร์นับล้านครั้ง

เนื้อหาในวิดีโอความยาวไม่ถึง 30 วินาที เป็นภาพนักศึกษาจีนหนุ่มคนหนึ่งเดินออกจากพิธีรับปริญญาในชุดครุย เขาหยุดกลางถนน ถอดชุดครุยออก ก่อนจะเผยให้เห็นเสื้อของแพลตฟอร์มส่งอาหาร “Meituan - เหม่ยถวน” อยู่ข้างใน ใส่หมวกกันน็อก หิ้วกระเป๋าส่งของ แล้วหันมายิ้มกล้องพร้อมพูดออกมาว่า “หางานได้แล้ว!”

เทรนด์ดังกล่าวถูกเรียกว่าเทรนด์ “毕业即失业 - เรียนจบแต่ตกงาน” ซึ่งมักปรากฏในรูปแบบของวิดีโอเปลี่ยนชุดครุยเป็นชุดไรเดอร์ พนักงานร้านสะดวกซื้อ หรือแรงงาน Gig economy อื่น ๆ นี่เป็นอีกหนึ่งเทรนด์ที่กำลังมาแรงในจีน และจะเป็นกรณีหลักในการวิเคราะห์ของบทความนี้ 

คลิปเหล่านี้ไม่ได้แค่เป็นไวรัล แต่ยังเป็นพื้นที่ที่ผู้ชมใช้ในการระบาย เช่นคอมเมนต์ทำนองว่า “ฉันก็จบจากมหาวิทยาลัย 985 (คล้าย ๆ กับ Ivy League ในสหรัฐฯ) เหมือนกัน ตอนนี้ส่งอาหารอยู่” คอนเทนท์ในเทรนด์นี้ค่อนข้างหลากหลาย มีผู้คนนำมาดัดแปลงรูปแบบการตัดต่อ ใส่เพลง และวิธีเล่า และไม่ได้มีแค่อาชีพส่งอาหาร ยังมีอาชีพอื่น ๆ อีกมากมายที่เป็นส่วนหนึ่งของคอนเทนท์ในเทรนด์ ตัวอย่างเช่นกรณีหนุ่มเรียนจบมหาวิทยาลัยปักกิ่ง มหาวิทยาลัยอันดับที่ 1 ของจีน (จากการจัดอันดับในปี 2024) แต่กลับต้องเป็นคนขายเต้าหู้เหม็น

ซึ่งจริง ๆ เทรนด์การทำคลิปประมาณนี้ก็ฮิตมาถึงที่ไทย ผมเห็นคลิปคนไทยถอดชุดครุยแล้วสวมแจ็กเก็ตแอปสั่งอาหารสีเขียว บ้างก็ขายหมูปิ้ง บ้างก็ใส่ชุดพนักงาน 7-11 แตกต่างกันไป

วิดีโอเหล่านี้ กลายเป็นพื้นที่ของคนรุ่นใหม่ที่ใช้เสียงหัวเราะเป็นเกราะป้องกันความเจ็บปวด และเป็นการสะท้อนปัญหาที่ฝังรากลึกในโครงสร้างเศรษฐกิจของจีนยุคใหม่ ความตลกกลายเป็นสื่อกลางในการสะท้อนความสิ้นหวัง — หรืออย่างที่นักแสดงตลกชาวอังกฤษ ผู้มีชื่อเสียงที่สุดคนหนึ่งอย่าง Charlie Chaplin เคยกล่าวเอาไว้ว่า “To truly laugh, you must be able to take your pain, and play with it. – เพื่อที่จะหัวเราะได้อย่างแท้จริง คุณต้องกล้าเอาความเจ็บปวดของคุณมาเล่นกับมันให้ได้”

หรืออีกหนึ่งเทรนด์ไวรัลที่เรียกว่า “孔乙己文学” (วรรณกรรมข่งอี้จี๋) ซึ่งกลายเป็นคำฮิตในโลกออนไลน์จีนในช่วงปี 2023–2024 โดยพูดถึงตัวละคร “ข่งอี้จี๋” จากเรื่องสั้นของหลู่ซิ่น ซึ่งเป็นชายมีการศึกษา แต่ยากจน ถูกสังคมเย้ยหยัน และไร้ที่ยืน เปรียบเทียบคนรุ่นใหม่ที่มีการศึกษา แต่ไม่สามารถหางานที่เหมาะสมได้ 

โดยเยาวชนส่วนใหญ่จะมองว่าเป็นเพราะโครงสร้างสังคมไม่เปิดทางให้พวกเขา และพวกเขาก็ทำอะไรไม่ได้ นอกจากมองให้เป็นเรื่องตลกและนำมาทำเป็นคอนเทนท์ประชดสังคม

เทรนด์นี้คือการที่เยาวชนนำเอาเรื่องราวชีวิตของตัวเองมาเขียนเล่าในแบบวรรณกรรม โดยดัดแปลงจากเรื่อง “ข่งอี้จี๋” ใช้ภาษาแบบกวี แต่เล่าให้เป็นเรื่องราวของตัวเอง ใช้ตัวเองเป็นตัวละครหลัก บอกเล่าถึงการเรียนอย่างหนักตั้งแต่เด็กจนจบมหาวิทยาลัย แต่ไม่สามารถหางานทำได้ ชีวิตมีอุปสรรคมากมาย ทำได้แค่เกาะพ่อแม่กิน แม้ต้องทนได้ยินคำดูถูกจากป้าข้างบ้าน

บางคนเอามาอัดคลิป ลงเสียง ตัดต่อเป็นเรื่องเป็นราว แต่งเป็นเพลงแร็พแสดงความเข้าอกเข้าใจ “ข่งอี้จี่” กลายเป็นสีสันช่วงวันรับปริญญาในปีที่แล้วไป….

“We were poor, but we didn’t know it. Then I got a degree, and I was broke — now I knew it.”
“เราเคยยากจนตอนเด็ก ๆ แต่เราไม่รู้ตัว หลังจากนั้นผมก็ได้ใบปริญญา ตอนนี้ผมรู้แล้วว่าผมมันจน”
—Chris Rock

ในอดีต ใบปริญญาถือเป็น "ตั๋วทอง" สู่อนาคตที่มั่นคง โดยเฉพาะในสังคมจีนที่ให้คุณค่ากับการศึกษาอย่างสูง แต่ในยุคที่มหาวิทยาลัยขยายจำนวนรับนักศึกษาอย่างรวดเร็วในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของนโยบาย “การศึกษาสำหรับทุกคน” แต่ในทางกลับกัน ตลาดแรงงานไม่สามารถดูดซับผู้สำเร็จการศึกษาได้เท่าทัน ทำให้การศึกษากลายเป็นสินค้าที่ล้นตลาด

จากรายงาน 2023 China College Graduates Employment Competitiveness Report ของ Tencent Research Institute ระบุว่า ในปี 2023 จีนมีผู้สำเร็จการศึกษาระดับอุดมศึกษาจำนวน 11.58 ล้านคน ซึ่งเป็นจำนวนสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ในขณะที่อัตราการว่างงานในกลุ่มเยาวชนอายุ 16–24 ปีพุ่งสูงถึง 21.3% ในเดือนมิถุนายน 2023 การสำรวจยังพบว่า 64% ของนักศึกษาจีนต้องการทำงานในภาครัฐ ไม่ว่าจะเป็นหน่วยงานราชการหรือรัฐวิสาหกิจ ชี้ให้เห็นว่าคนรุ่นใหม่สนใจอาชีพที่ให้ความมั่นคง มากกว่าอาชีพที่ให้ความมั่งคั่งแต่การแข่งขันสูง

ซึ่งหากมองให้สอดคล้องกับยุคสมัยนั้น สองตัวแปรสำคัญที่ควรนำมาตั้งคำถามเพื่อศึกษาปัญหาปัญหานี้ คือเรื่องระบบการศึกษา และกระแสความต้องการของตลาดแรงงาน

ประเด็นคน “จบปริญญา” แต่ทำงาน “รายได้ต่ำ” หรือการที่ผู้สำเร็จการศึกษาจำนวนมากต้องประกอบอาชีพที่ไม่ได้สอดคล้องกับสาขาที่เรียนมา ไม่ใช่เพราะขาดความสามารถ แต่เพราะตลาดแรงงานมีข้อจำกัดในการรองรับทักษะและความหลากหลายของแรงงานในยุคเปลี่ยนผ่าน ในขณะเดียวกัน ระบบการศึกษาเองก็ไม่ได้ผลิตบุคคลากรที่ตรงกับความต้องการตลาดเสมอไป

รายงานของ Tencent Research Institute ระบุถึงความคาดหวังของบัณฑิตรุ่นใหม่ว่าบัณฑิตระดับปริญญา บัณฑิตระดับปริญญาตรีคาดหวังเงินเดือนเริ่มต้นเฉลี่ย 10,792 หยวน (ประมาณ 50,000 บาท) ต่อเดือน

ในรายงานยังระบุอีกว่า ความต้องการบัณฑิตระดับปริญญาเอกเพิ่มขึ้น 202.1% และปริญญาโทเพิ่มขึ้น 142.6% ในช่วงสามปีที่ผ่านมา ในทางตรงกันข้าม ความต้องการสำหรับบัณฑิตระดับอนุปริญญาหรือต่ำกว่าลดลงเกือบ 40% 

ส่วนความต้องการบัณฑิตระดับปริญญาตรีในตำแหน่งงานใหม่เพิ่มขึ้นจาก 28.8% ในปี 2021 เป็น 42.9% ในปี 2023 ซึ่งแสดงถึงแนวโน้มที่ตลาดแรงงานยังคงให้ความสำคัญกับบัณฑิตระดับปริญญาตรี

หากเป็นยุคสมัยก่อน สาขาอย่างเช่น วรรณกรรม ปรัชญา ประวัติศาสตร์ การจัดการ ภาษาศาสตร์ หรือรัฐศาสตร์ ซึ่งเป็นสาย Social/Humanities ผู้ที่จบสาขาเหล่านี้อาจถูกมองว่าเป็นปัญญาชน หารายได้ได้มากกว่าชนชั้นแรงงาน แต่ในปัจจุบัน คนที่เรียนจบจากสายสังคม แม้จะมีความรู้รอบด้าน มีทักษะการสื่อสารที่แข็งแรง แต่ขาดทักษะและความเชี่ยวชาญในการสร้างหรือผลิตสินค้าตลาดใหม่หรือและบริการด้านเทคโนโลยีที่มีมูลค่าสูงในปัจจุบัน

เมื่อวิเคราะห์จากข้อมูลในตลาดแรงงานของจีน จะพบว่าสาขาที่มีความต้องการสูงอย่างต่อเนื่องคือสาย STEAM ได้แก่ Science, Technology, Engineering, Arts และ Mathematics โดยเฉพาะในภาคเทคโนโลยีขั้นสูง เช่น ปัญญาประดิษฐ์ (AI), วิทยาศาสตร์ข้อมูล (Data Science), เทคโนโลยีชีวภาพ (Biotech), วิศวกรรมหุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติ (Automation)

จากรายงานของ Tencent ยังมีการระบุว่าบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่เสนอเงินเดือนระดับเริ่มต้นให้กับนักศึกษาจบใหม่ในสาย Data Science สูงถึง 20,000 หยวนต่อเดือน ในขณะที่สาย Humanities ได้เริ่มต้นเฉลี่ยเพียง 6,000–8,000 หยวน แสดงให้เห็นการเปลี่ยนแปลงในความต้องการของตลาดแรงงาน โดยมีความต้องการสูงในสาขาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ในขณะที่สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์มีความต้องการลดลง

ผลกระทบของความไม่สมหวังทางวิชาชีพของเหล่าเด็กจบใหม่ กลายเป็นกระแสที่คนรุ่นใหม่เริ่มลดแรงจูงใจในการแสวงหาความก้าวหน้า และเข้าสู่โหมด "躺平" (นอนราบ) หมายถึง การใช้ชีวิตแบบเรียบง่าย หลีกเลี่ยงการแข่งขัน ไม่พยายามไล่ตามมาตรฐานความสำเร็จตามระบบ เช่น ไม่ซื้อบ้าน ไม่แต่งงาน ไม่ทำงานหนัก หรือโหมด "摆烂" (ปล่อยให้พัง) ซึ่งเป็นการยอมแพ้แบบประชดตัวเอง คือแม้รู้ว่าทุกอย่างกำลังแย่ ก็ไม่พยายามจะแก้ไขอีกแล้ว คล้าย ๆ กับการ “ปล่อยวางแบบขมขื่น”

"They say follow your dreams. So I went back to bed."
"เขาบอกให้ทำตามความฝัน… งั้นฉันก็เลยกลับไปนอนต่อ"
— Some viral Internet meme

ในทางทฤษฎี คำถามสำหรับตลาดแรงงานในวันนี้คือ : เป็นเพราะ “เศรษฐกิจไม่ดี” หรือ “เทคโนโลยีแย่งงาน” ที่ทำให้ความต้องการนักศึกษาจบใหม่ในตลาดแรงงานลดลง ?

คำตอบคือ : ทั้งสองอย่างผสมกัน แต่ไม่ใช่ทั้งหมด

แน่นอนว่าปัญหาในภาพรวมเกิดขึ้นจากการที่เศรษฐกิจชะลอตัว และความล้ำหน้าของเทคโนโลยีที่สามารถแทนที่แรงงานบางประเภทได้แล้ว แต่สิ่งที่สำคัญที่สุด ผมกลับมองว่าเป็นเรื่องของโครงสร้างตลาดแรงงานเปลี่ยนเร็วมากในปัจจุบัน เราอาจอาจเลือกเรียนในคณะหรือสาขาที่คิดว่ามีความสำคัญและหาเงินได้ แต่ภายใน 4 ปีที่เรียนนั้น เกิดนวัตกรรมใหม่ที่ส่งผลต่อตลาด ทำให้คณะหรือสาขาที่เลือกเรียนไปมีความสำคัญน้อยลง ความรู้จากการเรียน 4 ปีที่ผ่านมาอาจไม่สำคัญอีกต่อไป ในจุดนี้ เป็นสิ่งที่ต้องนำไปตั้งคำถามต่อกับระบบการศึกษาที่ผลิตบุคคลากรป้อนเข้าสู่ตลาดแรงงาน

อีกหนึ่งคำถามสำคัญ : “เรียนจบแล้วหางานไม่ได้” – แล้วการระบบศึกษายังสำคัญอยู่หรือไม่ ?

คำตอบคือ : ยังสำคัญอยู่ แต่ไม่ใช่ในแบบเดิม 

กล่าวคือ ไม่ใช่แค่เรียนเพื่อ “ได้ใบปริญญา” แต่ต้องเรียนเพื่อ “พัฒนาทักษะ + ความสามารถที่ตลาดต้องการ”

แม้ระบบการเรียนเพื่อ “ได้ใบปริญญา” ซึ่งเน้นวิชาการ ท่องจำ และการวัดผลตามระบบ จะเคยตอบโจทย์ในอดีต เพราะด้วยโครงสร้างทางสังคม จำนวนคนเรียนสูงยังไม่มาก คนมีปริญญาจึง “มีค่าหายาก” ในจังหวะที่ เศรษฐกิจขยายตัว สร้างตำแหน่งงานใหม่ ต้องการคนมีความรู้จำนวนมาก

แต่ในปัจจุบัน เกิด “academic inflation” การมีใบปริญญากลายเป็นเรื่องธรรมดา ใคร ๆ เขาก็มีกัน ในขณะที่เศรษฐกิจก็ชะลอตัว ตำแหน่งงานลดลง เทคโนโลยีก้าวหน้า แต่การแข่งขันก็ยังสูง ทำให้ตลาดต้องการคนที่ “ทำได้จริง” ไม่ใช่แค่ “สอบได้ดี”

สิ่งที่เปลี่ยนไปไม่ใช่ “คุณค่าของความรู้” แต่คือ “วิธีเรียนรู้” และ “สิ่งที่ต้องรู้” ที่จะต้องเน้นภาคปฏิบัติมากขึ้น ที่สำคัญ คือต้องไม่สอนให้เด็กเป็น “เครื่องมือของระบบเดิม”

ในส่วนนี้ รัฐบาลจีนพยายามใช้นโยบายปฏิรูปการศึกษาด้วยแนวคิด Key Competencies-Based Education Reform และ TVET Reform สนับสนุนให้นักศึกษาได้มีโอกาสฝึกงานมากขึ้น เพื่อเพิ่มประสบการณ์ในสนามจริง ทั้งยังส่งเสริมการเรียนรู้ทักษะข้ามสาย เพื่อรับมือกับตลาดแรงงานที่เปลี่ยนแปลงความต้องการทางทักษะอย่างรวดเร็วในปัจจุบัน ให้เด็กมีความสามารถในการแก้ปัญหาใหม่ ๆ พร้อมปรับตัวกับอาชีพที่ยังไม่เคยมีในโลกวันนี้

อีกหนึ่งคำถามที่สำคัญคือ ประเทศไทยสามารถถอดบทเรียนจากเรื่องนี้อย่างไรได้บ้าง ? เพราะจริง ๆ แล้วทั่วโลก รวมถึงเราเองก็เผชิญกับปัญหาในลักษณะที่คล้ายกัน อาจต่างกันในเชิงบริบท แต่ในเมื่อใจความสำคัญของระบบการศึกษาคือการสร้างบุคคลากรที่มี “ทักษะ” (skill) แล้วทักษะไหนสำคัญที่สุด ระหว่าง “ทักษะแข็ง” (hard skills) ที่เน้นความสามารถเชิงเทคนิค หรือ “ทักษะอ่อน” (soft skills) ที่เน้นความสามารถทางสังคมและการสื่อสาร ?

ส่วนตัวผม ไม่ว่าจะทักษะไหนก็สำคัญทั้งนั้น แต่ในวันนี้ มีอีกหนึ่งทักษะที่ต้องบรรจุเพิ่มเข้าไปใน capacity ของคนรุ่นใหม่ นั่นก็คือ “ทักษะระดับเหนือ” หรือ “ทักษะกรอบใหญ่” ที่ภาษาอังกฤษเรียกว่า “Meta Skills” ซึ่งนอกจากจะเน้นเรื่องการเรียนรู้ด้วยตนเอง ยังต้องเรียนรู้ที่จะรับมือกับความล้มเหลว การรู้จักตัวเอง การรู้จุดแข็ง จุดอ่อน สามารถวิเคราะห์ความสัมพันธ์ต่าง ๆ ได้อย่างเป็นระบบ รวมถึงความสามารถในการปรับตัวต่อสถานการณ์ใหม่ ความสามารถและเจตจำนงในการเรียนรู้ตลอดชีวิต (Life long learning) และความเชื่อว่าความสามารถสามารถพัฒนาได้ (Lifelong Learning)

โดยสรุป แม้ว่าวิดีโอแนวไวรัลที่เปลี่ยนจากชุดครุยเป็นเสื้อไรเดอร์จะดูขบขันในแวบแรก แต่มันสะท้อนเสียงเงียบของคนรุ่นใหม่ที่ตั้งคำถามถึงระบบการศึกษาที่ไม่สอดคล้องกับตลาดแรงงาน ความหวังที่เคยผูกไว้กับการเรียนสูงเริ่มสั่นคลอน กลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ ที่จีนเองก็จำเป็นต้องปฏิรูปหลักสูตร ส่งเสริมความยืดหยุ่นในการแนะแนวอาชีพ 

ที่สำคัญ คือต้องสร้างคุณค่าใหม่ให้กับสังคม โดยลดทัศนคติแบบ “มีปริญญา = ประสบความสำเร็จ” และให้ความสำคัญกับการพัฒนาทักษะในสนามจริงที่เป็นที่ต้องการในปัจจุบัน

"The only thing that interferes with my learning is my education."
"สิ่งเดียวที่ขัดขวางการเรียนรู้ของฉันคือการศึกษา"
— Albert Einstein

‘ป.ป.ช.’ ยอมรับ!! ‘ทวีวัฒน์’ ลืมเงิน 12 ล้าน เป็นสามีขรก.ปปช. เร่งสอบแจง!! บัญชีทรัพย์สิน

เมื่อวานนี้ (7 มิ.ย. 68) นายสาโรจน์ พึงรำพรรณ เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ในฐานะโฆษกสำนักงาน ป.ป.ช. เปิดเผยว่า จากที่มีการนำเสนอข่าวของสื่อมวลชน กรณีการพบเงินสด 12 ล้านบาทถูกทิ้ง ที่คอนโดย่านเมืองทองธานี โดยมี นายทวีวัฒน์ เส้งแก้ว แสดงตนว่าเป็นเจ้าของเงิน และพบว่าชายคนดังกล่าวมีสถานะเป็นสามีของข้าราชการ ป.ป.ช.ระดับผู้อำนวยการ ซึ่งตามกฎหมายจะต้องแจ้งบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สิน อีกทั้งยังเป็นอนุกรรมการชุดต่างๆ ของกรรมการ ป.ป.ช.ด้วยนั้น

สำนักงาน ป.ป.ช.ขอชี้แจงว่า นายทวีวัฒน์ เส้งแก้ว เป็นสามีของข้าราชการท่านหนึ่งระดับผู้อำนวยการของสำนักงาน ป.ป.ช.จริง และเงินสด จำนวน 12 ล้านบาท ดังกล่าว อยู่ระหว่างการตรวจสอบว่าเป็นส่วนหนึ่งของรายการในบัญชีทรัพย์สินที่จะต้องยื่นบัญชีทรัพย์สินฯ ด้วยหรือไม่

นอกจากนี้ ในประเด็นการแต่งตั้งเป็นอนุกรรมการของคณะกรรมการ ป.ป.ช.นั้น คณะกรรมการ ป.ป.ช.จะแต่งตั้งตามความรู้ ความสามารถ ความเชี่ยวชาญ และคุณวุฒิของบุคคลนั้นๆ ทั้งนี้หากมีข้อเท็จจริงเพิ่มเติมสำนักงาน ป.ป.ช.จะชี้แจงในขั้นตอนต่อไป

‘พล.ต.วันชนะ’ เผย!! แผนที่เขมร คลาดเคลื่อนสูงกว่าไทย เปรียบ!! ใช้เมจิกหัวใหญ่ กินแดนของไทย ไปโดยอัตโนมัติ

(8 มิ.ย. 68) พลตรี วันชนะ สวัสดี รองโฆษกกองบัญชาการกองทัพไทย ผู้อำนวยการสำนักงานประสานภารกิจด้านความมั่นคงกับกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร กรมยุทธการทหาร กองบัญชาการกองทัพไทย ได้โพสต์ข้อความระบุว่า ...

แค่ใช้ 1/2แสนก็ไม่แม่นแล้ว

เขมรยึดถือแผนที่ 1ต่อ 200,000 ไทยใช้แผนที่ 1ต่อ 50,000(L 7018) อธิบายง่ายๆว่า ถ้าขีดเส้น 1เส้นลงไปในแผนที่ 1ต่อ 200,000 จะมีความกว้าง 200 เมตร 

ส่วนใน 1ต่อ 50,000 จะมีความกว้าง 50 เมตร ซึ่งต่างกันถึง 4 เท่า เหมือนเขมรเอาเมจิกหัวใหญ่ ทู่ ส่วนไทยใช้เมจิกหัวเล็กแหลม ขีดเส้นบนแผนที่ หัวใหญ่ทู่จะกินดินแดนของอีกฝ่ายไปโดยอัตโนมัติ เกิดความคลาดเคลื่อนสูงกว่าไทยแน่นอน คาดเดาต่อไปว่า

1 เขมรน่าจะทำแผนที่ 1ต่อ 50,000 ไม่ได้ เพราะการทำจะต้องใช้เทคโนโลยีที่สูงกว่า แต่อาจมีใช้จากการสนับสนุนจากต่างประเทศ

2 และถ้าใช้แผนที่ 1/200,000 การยิงอาวุธระยะไกล ไม่แม่นแน่นอนครับ 

อธิบายด้วยภาพชัดเจน ว่าช่องบกที่ปะทะ อยู่ในไทยครับ 

‘สส.จิรัฏฐ์’ ทวิต!! อย่าสร้างสถานการณ์ ให้ประชาชนแตกตื่น ชี้!! กองทัพฉวยโอกาสสร้างกระแส โหม PR. ถึงขั้นจะเสียเอกราช

(8 มิ.ย. 68) นายจิรัฏฐ์ ทองสุวรรณ์ สส.พรรคประชาชน ทวิต 

“จากดราม่า ผมยอมรับว่าสวนกระแสสังคมครับ

แต่ยังขอยืนยันข้อความที่โพสต์

ตำรวจ หมอ พยาบาล ทำงานเสี่ยงตายทุกวัน ไม่เคยเห็นต้องมาทำ Pr ขอแรงสนับสนุน นี่เกิดการปะทะตามตะเข็บชายแดนแค่ 10 นาที บนที่พื้นที่ป่า 200 เมตร ซึ่งยังพิพาทกันอยู่

กองทัพเล่นฉวยโอกาสมาสร้างกระแส โหม Pr
ถึงขนาดจะเสียชาติไทย* จะเสียเอกราช *

แบบนี้ไม่ได้เป็นผลดีกับประเทศเลย

กองทัพไม่ควรเล่นการเมือง มันเป็นหน้าที่รัฐบาลตัดสินใจ จะเจรจาอย่างไร จะใช้มาตรการอะไร

ทุกประเทศทั่วโลกมีปัญหาพิพาทเส้นเขตแดนทั้งนั้น เค้าก็แก้ด้วยการทูต ใครละเมิดข้อตกลงก็ว่ากันไป ไม่ได้แก้ด้วยการบอกว่าพร้อมจะทำสงคราม
กองทัพแค่ทำหน้าที่ตัวเอง เตรียมกำลังเตรียมความพร้อมไป ให้รัฐบาลเจรจาหาข้อยุติโดยไม่เกิดการปะทะคือเป้าหมาย 

อย่าสร้างสถานการณ์ให้ประชาชนแตกตื่น จนถึงขนาดเรียกร้องหาสงคราม!!”

‘อนุทิน’ ลั่น!! ไม่แลก ‘มหาดไทย’ กับอะไรทั้งนั้น ชี้!! นี่คือข้อตกลง ตามคำเชิญมาร่วมรัฐบาลของเพื่อไทย

(8 มิ.ย. 68) กระแสข่าวเพื่อไทยทวงคืนเก้าอี้ รมว.มหาดไทย จากภูมิใจไทยยังมีอย่างต่อเนื่อง โดยว่ากันว่า ทางเพื่อไทยวางตัว “เสี่ยไก่” ประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกฯ และ รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ( ดีอี ) นั่ง มท.1 แทน “เสี่ยหนู” อนุทิน ชาญวีรกูล ในเรื่องนี้ เสี่ยหนูให้สัมภาษณ์สยบความเคลื่อนไหว ว่า พรรคภูมิใจไทยยืนยันว่าเราไม่ปรับเปลี่ยนอะไร มาเขย่าเก้าอี้ รมว.มหาดไทย ไม่ได้ นี่เป็นรัฐบาลผสม และเป็นข้อตกลงที่เราหารือกันตั้งแต่เราตั้งรัฐบาล “เสี่ยนิด” เศรษฐา ทวีสิน 2 ปีแล้ว และมายังรัฐบาล “นายกฯ อิ๊งค์” แพทองธาร ชินวัตร

เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า หากอยู่ในสถานการณ์ที่ต้องแลก กระทรวงไหนควรแลกกับกระทรวงมหาดไทย นายอนุทิน กล่าวว่า ไม่มีกระทรวงอะไร อะไรที่ตกลงไปแล้วก็ต้องเป็นไปตามนั้น มันไม่เกี่ยวกับยอมหรือไม่ยอม เพราะเป็นข้อตกลง พรรคภูมิใจไทยไม่ได้เดินไปขอร่วมรัฐบาล อย่าลืมว่าเรามาตามคำเชิญของพรรคเพื่อไทย จำได้หรือไม่

เมื่อถามต่อว่า นายกฯ ให้ความมั่นใจอย่างไรบ้าง นายอนุทิน กล่าวว่า “เนี่ยทำงานกันไม่ได้แล้ว รัฐมนตรีทั้งหลายที่เป็นข่าวก็ไม่มีความมั่นใจ ไอ้ตรงนั้นไม่เท่าไร แต่ที่แย่คือ กลัวข้าราชการจะไม่มีความมั่นใจ และงานจะเดินไม่ได้ หากทำไปจะถูกกล่าวหาว่าถูกต้องหรือเปล่า เป็นเด็กคนนั้นคนนี้อะไรหรือไม่ มันมีสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์ต่อบ้านเมือง ต่อประชาชน ซึ่งในส่วนนี้ นายกฯ ก็ให้ความมั่นใจกับ ครม. พูดในที่ประชุม ครม. ลงมาแถลงกับสื่อมวลชน จริงๆ ก็ไม่ควรถามเรื่องนี้กันแล้ว เราได้ฟังจากนายกฯ ชัดเจนว่ายังไม่มีแนวคิดที่จะปรับ ครม. ก็ไม่ทราบว่าใครที่ยังไม่หยุดเรื่องพวกนี้”

เมื่อถามถึงกระแสข่าวการนัดกินข้าวระหว่างพรรคภูมิใจไทยกับพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ในวันที่ 8 มิ.ย. ที่สโมสรราชพฤกษ์ เพื่อรวมพลังต่อรองเก้าอี้รัฐมนตรี นายอนุทิน ปฏิเสธว่า ไม่มีการนัดกินข้าวกัน มีแต่นัดทำงาน ตนนั่งประชุม ครม. ติดกับ “รองตุ๋ย” พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกฯ และรมว.พลังงาน หัวหน้าพรรค รทสช. เมื่อวันที่ 1 มิ.ย. ก็คุยกันในเรื่องของภาคการผลิตไฟฟ้า นายกฯ มีนโยบายลดค่าไฟฟ้าให้กับประชาชน เห็นว่า ถึงเวลาควรจัดเวิร์กช็อป เพื่อหาวิธีทางในการลดค่าไฟฟ้าให้ตอบรับกับเศรษฐกิจในปัจจุบัน ซึ่งกำลังรอกำหนดวัน

“พรรคภูมิใจไทยมีมติแล้ว ว่าคนที่จะให้ข่าวเรื่องปรับ ครม. ได้ คือหัวหน้าพรรคเท่านั้น แต่ถ้าในเรื่องของพรรคเป็นหน้าที่ของเลขาธิการพรรค ผมไม่ได้เตรียมความคิดว่า หากหลุดจากเก้าอี้ รมว.มหาดไทย จะทำอย่างไร เพราะมันเกิดขึ้นไม่ได้แน่นอน”

นายวิสุทธิ์ ไชยณรุณ สส.บัญชีรายชื่อ ในฐานะประธาน สส.พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ที่นายอนุทินยืนยันว่า การนั่งตำแหน่ง รมว.มหาดไทย คุยกันตั้งแต่จัดตั้งรัฐบาลช็อกมินต์ แต่การปรับ ครม. เป็นเรื่องของนายกฯ ที่ดูความเหมาะสมในการทำงานเพื่อประชาชน ไม่ใช่นึกถึงสัญญา ไม่มีสัญญาอะไรหรอกวันนี้ ทำงานไประยะหนึ่ง ตอนนี้ 2 ปีแล้ว ตรงไหนที่ยังติดขัด เขาก็ต้องปรับ เพราะฉะนั้นนโยบายรัฐบาลไปไม่ถึงชาวบ้านสักที ซึ่งไม่ใช่ว่าทุกพรรคพูดแบบนี้ แล้วก็ปรับไม่ได้

ผู้สื่อข่าวถามว่า การที่นายอนุทินบอกว่าพรรคภูมิใจไทยไม่ได้มาขอร่วมรัฐบาล แต่พรรคเพื่อไทยเป็นคนชวน เป็นการทวงบุญคุณหรือไม่ นายวิสุทธิ์ กล่าวว่า ไม่ทวงบุญคุณ ตอนนั้นมาร่วมกัน แต่ตอนนี้ไม่รู้ว่าถ้าปรับแล้วเขาจะเป็นอย่างไร ใครๆ ก็ไม่อยากออกจากมหาดไทย แต่เวลาปรับ นายกฯ ต้องเรียกหัวหน้าพรรคร่วมมาคุย นายกฯ ที่ต้องต่อรองเพื่อให้งานถึงมือประชาชน การบังคับใช้หน่วยงานที่มีอำนาจการปกครอง นโยบายจะถึงมือประชาชนโดยตรง เป็นเรื่องที่อยู่ในอำนาจหน้าที่ของนายกฯ ต้องทำ ก็ให้เขาคุยกันก่อน

เมื่อถามว่า เรื่องเร่งด่วนขณะนี้มีเรื่องชายแดนไทย-กัมพูชา และปัญหาเศรษฐกิจ แต่ประชาชนมองว่าพรรคเพื่อไทยมุ่งกับการปรับ ครม. และเรื่องเอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ นายวิสุทธิ์ กล่าวว่า เรื่องเอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ยังไม่ถึงเวลา เพราะสภายังไม่เปิด เรื่องกัมพูชา วันนี้ก็ยังไม่ได้รบกัน เป็นการใช้อำนาจของทหารในการปิดด่าน เปิดด่าน เป็นหน้าที่ของทหารในการดำเนินการ จะปรับ ครม. ก็ปรับไป ไม่ได้มีปัญหาอะไร อย่ากังวลมาก ยังไม่ถึงเวลา

รัฐกลายเป็น ‘เจ้าบ้าน’ ของอาชญากรรมข้ามชาติ ไทยไม่ควรนิ่งเฉย!! ปัญหาด้านความมั่นคง

(8 มิ.ย. 68) ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ชื่อของกัมพูชาเริ่มปรากฏขึ้นบ่อยครั้งในฐานะ “แหล่งหลอกลวง” ของขบวนการคอลเซ็นเตอร์ ซึ่งเชื่อมโยงกับการฟอกเงิน การพนันออนไลน์ และเครือข่ายอาชญากรรมข้ามชาติ ล่าสุด รายงานจาก Humanity Research Consultancy ได้ระบุอย่างชัดเจนว่า อุตสาหกรรมสีเทาเหล่านี้ไม่ได้เป็นแค่ “พื้นที่อาชญากรรม” หากแต่มีลักษณะของ การได้รับการอุปถัมภ์จากภาครัฐ อย่างเป็นระบบ

โครงสร้างทุนเหล่านี้ฝังรากอยู่ในเมืองชายแดนอย่างปอยเปต สีหนุวิลล์ และอุดรมีชัย โดยมีบุคคลระดับสูงในรัฐบาลกัมพูชาเกี่ยวข้องโดยตรง เช่น ลูกพี่ลูกน้องของฮุน มาเนต ที่นั่งเป็นบอร์ดบริหารแพลตฟอร์มฟอกเงิน, รัฐมนตรีมหาดไทยที่ถูกกล่าวหาว่าร่วมทุนกับกาสิโน รวมถึงมหาเศรษฐีสายการเมืองที่มีบทบาทในพรรคประชาชนกัมพูชา (CPP) หลายคน

ความน่ากังวลไม่ใช่แค่ในระดับภายในกัมพูชา แต่ยังขยายผลมาสู่ประเทศไทยโดยตรง เพราะโครงสร้างสีเทาเหล่านี้ พึ่งพาไฟฟ้าและอินเทอร์เน็ตจากฝั่งไทย ใช้แรงงานผ่านชายแดนไทย และในบางกรณี ยังใช้ไทยเป็น “ทางผ่าน” ของกระบวนการฟอกเงินอีกด้วย

ด้วยเหตุนี้ จึงไม่อาจมองปัญหานี้เป็นแค่ “เรื่องอาชญากรรม” แต่ควรถือเป็นปัญหาด้าน ความมั่นคงเชิงโครงสร้าง ที่กำลังบั่นทอนศีลธรรมทางการเมืองของภูมิภาคไปพร้อมกัน

ไทยจึงควรทบทวนบทบาทของตนในฐานะ “ผู้ส่งทรัพยากรให้ทุนเทา” อย่างจริงจัง การตัดไฟฟ้าและอินเทอร์เน็ตไปยังพื้นที่เสี่ยงอาจเป็นเพียงมาตรการเบื้องต้น แต่ในภาพรวม ไทยควรใช้สถานะของตนในเวทีระหว่างประเทศ เช่น องค์การสหประชาชาติ (UN) หรืออาเซียน ในการยกประเด็นนี้ให้เป็น ภัยต่อความมั่นคงสากล ไม่ต่างจากปัญหาค้ามนุษย์หรือยาเสพติด

หากไม่เริ่มตั้งแต่วันนี้ การเพิกเฉยของรัฐไทยอาจกลายเป็นการร่วมสร้างระบบที่เอื้อให้ทุนสีเทาแปรสภาพเป็นทุนการเมือง และท้ายที่สุด ไม่ว่าด่านจะเปิดหรือปิด ประเทศไทยก็อาจเป็นเพียง “ผู้เฝ้าชายแดนให้ทุนมืด” โดยไม่รู้ตัว


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top