Monday, 9 June 2025
TheStatesTimes

ILINK พบนักลงทุน Opp Day Q4/66 ฉายผลงานความสำเร็จ ทำรายได้ 6,965.19 ลบ. มีกำไรสุทธิเด่น พร้อมตั้งเป้าทั้งปี 67 แตะ 7,002 ลบ. เน้นโกยกำไร New High ต่อเนื่อง บอร์ดอนุมัติจ่ายปันผลแรง 0.39 บาทต่อหุ้น เตรียมประกาศ 8 พ.ค. นี้

ILINK ปิดงบปีไตรมาส 4/66 ทำตัวเลขสวย บริษัท อินเตอร์ลิ้งค์ คอมมิวนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) ร่วมอัปเดตนำเสนอข้อมูลบริษัทฯ พบนักลงทุนในงาน 'Opportunity Day' จัดโดย ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ ชี้ชัดถึงผลการดำเนินงานธุรกิจในปี 2566 ที่ผ่านมา โดดเด่น กอบโกยรายได้ พร้อมทำกำไรเติบโตตามยุทธศาสตร์ที่ตั้งเป้า “จะเติบโตแบบมีคุณภาพ ทั้งรายได้ และกำไรสุทธิ” พร้อมเคาะตัวเลข เผยปันผลให้ 0.39 บาทต่อหุ้น (พาร์ 1 บาท) เพื่อยืนยันการเป็นหุ้นปันผล โชว์ศักยภาพธุรกิจดันรายได้ปีนี้แตะ 7,002 ล้านบาท มั่นใจฟื้นตัวเน้นทำกำไร New High ต่อเนื่อง 

คุณสมบัติ อนันตรัมพร ประธานกรรมการ กลุ่มบริษัท อินเตอร์ลิ้งค์ฯ หรือ ILINK เผยถึงภาพรวมและผลการดำเนินงานทั้ง 3 ธุรกิจ จากผลงานตลอดทั้งปี 2566 ว่า “กลุ่มธุรกิจในเครือของอินเตอร์ลิ้งค์ มีธุรกิจจัดจำหน่ายสายสัญญาณ ธุรกิจวิศวกรรมโครงการ และธุรกิจโทรคมนาคมและดาต้าเซ็นเตอร์ พลิกบวกทำรายได้ 4 ไตรมาสรวม 6,965.19 ล้านบาท ขานรับทำกำไรสำหรับงวดโดดเด่น รวมแล้วอยู่ที่ 712.20 ล้าทบาท เพิ่มขึ้น 170.24 ล้านบาท พุ่งแรง 31.41% โดยเป็นการตอกย้ำว่า ทุกธุรกิจในเครือประสบความสำเร็จตามเป้าประสงค์ที่ตั้งไว้ พร้อมทำกำไรเซอร์ไพรส์ สูงเป็นประวัติการณ์ ชี้ชัดถึงการเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง และยั่งยืนแบบมีคุณภาพ

ซึ่งรายได้ของกลุ่มธุรกิจจัดจำหน่ายสายสัญญาณ (Cabling Distribution Business) สร้างผลงานจากทั้งปีที่ผ่านมา มีรายได้รวม 2,881.07 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 366.27 ล้านบาท หรือ 14.56% โดยทำกำไรสุทธิรวม 309.88 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 105.76 ล้านบาท หรือ 51.82% เป็นผลสำเร็จเติบโตหลัก ๆ มาจากรายได้ที่ดีขึ้นของสินค้าในหมวดสาย LAN และในหมวดของสาย Solar ที่ประเทศไทยมีนโยบายสนับสนุนให้ครัวเรือนติดตั้งพลังงานแสงอาทิตย์ที่เป็นพลังงานสะอาด ทั้งโซลาร์รูฟท็อป (Solar Rooftop) และเทรนด์ของโซลาร์ฟาร์มลอยน้ำ (Floating Solar) ก็เป็นตัวผลักดันให้ตลาดแผงพลังงานแสงอาทิตย์ (Solar Cell) เติบโตอย่างก้าวกระโดด”

ด้านรายได้ในกลุ่มธุรกิจวิศวกรรมโครงการ (Turnkey Engineering Business) เป็นรายได้จากบริษัทย่อย IPOWER ซึ่งรับเหมาดำเนินงานโครงการที่เกิดขึ้นตามสัญญาจ้าง โดยมุ่งเน้นไปที่งานวางระบบไฟฟ้าสายเคเบิลใต้น้ำ, งานก่อสร้างสายส่งไฟฟ้าแรงสูง, งานก่อสร้างและปรับปรุงสถานีไฟฟ้าย่อย และงานวางระบบไฟฟ้าสายเคเบิลใต้ดิน ซึ่งนับว่าเป็นงานที่บริษัทฯ มีความเชี่ยวชาญสูง ทำให้มีรายได้ที่ก้าวกระโดดรวมทั้งปี 2566 จากธุรกิจอยู่ที่ 1,329.18 ล้านบาท เติบโต 178.96 ล้านบาท หรือ 15.56% และทำกำไรสุทธิรวม 106.36 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 43.96 ล้านบาท หรือ 70.45% พร้อมกันนี้ ปัจจุบันมี Backlog ในมือราว 1.14 พันล้านบาท กว่า 80% ที่รอรับรู้รายได้ภายในปี 2567 นี้ ที่จะส่งผลทำกำไร พร้อมรายได้สะสมไม่ต่ำกว่าเกณฑ์ที่ตั้งไว้แน่นอน

โดยรายได้จากธุรกิจโทรคมนาคมและดาต้าเซ็นเตอร์ (Telecom & Data Center Business) เป็นรายได้จากบริษัทย่อย ITEL ทำรายได้รวม 4 ไตรมาส 2,754.94 ล้านบาท มีกำไรสุทธิรวม 295.96 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 16.75 ล้านบาท หรือคิดเป็น 6% โดยในอัตรากำไรสุทธิเท่ากับ 10.74% ของรายได้เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 32% ถึงแม้จะทำรายได้ลดลงเมื่อเทียบกับปี 2565 นั้น แต่ในทางกลับกัน บริษัทย่อย ITEL กลับสามารถเพิ่มอัตราทำกำไรสุทธิเทียบกับยอดขายได้เพิ่มขึ้น ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงการเติบโตแบบมีคุณภาพได้เป็นอย่างดี

สำหรับภาพรวมของทิศทางตลอดทั้งปี 2567 ด้านการขับเคลื่อนกลุ่มธุรกิจทั้ง 3 ในเครือ มีการวางแผนตั้งเป้าหมายแน่วแน่ให้กอบโกยรายได้แตะ 7,002 ล้านบาท ไปพร้อมกับเน้นทำกำไร New High ต่อเนื่อง ดันยอดขายในกลุ่มธุรกิจจัดจำหน่ายสายสัญญาณ ผลิตภัณฑ์ LINK AMERICAN จากสินค้านวัตกรรมใหม่ ที่ได้เปิดตัวไปอย่างยิ่งใหญ่ในกลุ่มของ Super S Series : UTP CAT 6A และ FTTR (Fiber Optic To The Room Solution) ซึ่งนับเป็นสินค้าชิ้นโบว์แดงแห่งปีที่ ILINK เป็นผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายแต่เพียงผู้เดียวในอาเซียน ได้คิดค้นพัฒนามาเพื่อตอบโจทย์แก่เทคโนโลยีแห่งยุคนี้โดยเฉพาะ จึงมั่นใจว่าทิศทางของผลประกอบการเมื่อเปรียบเทียบคุณภาพกับราคาแล้ว ผลิตภัณฑ์ LINK AMERICAN และ GERMAN RACK จะสามารถผลักดันยอดขายให้สอดรับกับการเติบโตของตลาดธุรกิจโลกที่เปิดกว้างมากขึ้นได้อย่างก้าวกระโดด ขณะที่การประมูลงานของกลุ่มธุรกิจวิศวกรรมโครงการในปีนี้ เน้นไปที่งาน Submarine เกาะสมุยของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (PEA) ที่เป็นลูกค้าหลักรายใหญ่ในมือมาอย่างยาวนาน และเป็นความเชี่ยวชาญที่กลุ่มธุรกิจมีความชำนาญโดดเด่น 

ซึ่งคาดการณ์ยังมีงานที่อยู่ระหว่างจ่อรอเซ็นสัญญาอีกเพียบตลอดทั้งปีนี้ พร้อมเร่งลุยเข้าประมูลงานโครงการของภาครัฐ และภาคเอกชนเพิ่มเติม Backlog ให้แน่นไม่น้อยกว่าเกณฑ์ที่ตั้งไว้ และสำหรับแนวทางการขับเคลื่อนธุรกิจของบริษัทย่อย ITEL กลุ่มธุรกิจโทรคมนาคมและดาต้าเซ็นเตอร์ ทั้งปีนี้มีแผนดันขยายกิจการเพิ่มเติมสู้ Health Tech หลังเข้าลงทุนใน 'Global Lithotripsy Services Company Limited' เสริมพื้นฐานแข็งแกร่งตรงตามกลยุทธ์ New S-Curve ต่อยอดธุรกิจ คาดว่าปีนี้จะเติบโตอย่างมีนัยสำคัญจากการเสนองานใหม่ เร่งรุกธุรกิจ Data Center ควบคู่การขับเคลื่อนธุรกิจสู่ Digital Transformation ที่มีแนวโน้มการเติบโตสูง พร้อมนำ บมจ.บลู โซลูชั่น 'BLUE' เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ ในปีนี้แน่นอนอีกด้วย และคาดว่าผลการดำเนินงานโดยรวมทั้งปี 2567 นี้เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้แน่นอน

นอกจากนี้ ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ เมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2567 ที่ผ่านมา มีมติอนุมัติจ่ายเงินปันผลสำหรับผลประกอบการประจำปี 2566 ในอัตราหุ้นละ 0.39 บาท จากจำนวนหุ้นที่ชำระแล้วทั้งสิ้น 543,632,325 หุ้น มูลค่าหุ้นที่ตราไว้ หุ้นละ 1 บาท เป็นเงินปันผลจ่ายทั้งสิ้น 212.02 ล้านบาท โดยกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นเพื่อสิทธิในการรับเงินปันผล ในวันที่ 8 พฤษภาคม 2567 และกำหนดวันจ่ายปันผลในวันที่ 23 พฤษภาคม 2567 นี้

“นับเป็นการชี้ชัดถึงการเติบโตของทุกกลุ่มธุรกิจ ทั้งบริษัทแม่ และบริษัทลูก ตอกย้ำถึงความสำเร็จตามแบบแผนของการวางยุทธศาสตร์ที่ได้ตั้งเป้าหมายไว้ ทั้งในแง่รายได้ และกำไรสุทธิ โดยอาศัยจุดแข็งด้านความเชี่ยวชาญของแต่ละกลุ่มธุรกิจเป็นสำคัญ โดยสามารถสร้างผลงานได้เป็นที่ประจักษ์ พร้อมนำพากลุ่มธุรกิจไปสู่ผลลัพธ์ที่ก้าวหน้า เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง และยั่งยืนได้อย่างมีคุณภาพ”  

'นายกฯ สิงคโปร์' แจง!! ปมทุ่มเงินผูกขาดคอนเสิร์ต ‘เทย์เลอร์ สวิฟต์’ ชี้!! เป็นผลบวกต่อ ศก.ประเทศ ไม่มีเจตนาเปิดศึกเพื่อนบ้าน ‘ไทย-ปินส์

(5 มี.ค.67) นายกรัฐมนตรี ลี เซียนลุง แห่งสิงคโปร์ แถลงชี้แจงวันนี้ว่า การที่รัฐบาลทุ่มเงินจูงใจให้นักร้องสาวชื่อดัง ‘เทย์เลอร์ สวิฟต์’ เปิดคอนเสิร์ต The Eras Tour จำนวน 6 รอบที่สิงคโปร์เพียงประเทศเดียวในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ไม่ได้มีเจตนาสร้างความเป็นศัตรูกับประเทศเพื่อนบ้าน หลังเรื่องนี้กลายเป็นประเด็นดรามาที่เรียกเสียงวิพากษ์วิจารณ์ทั้งจากนายกรัฐมนตรี เศรษฐา ทวีสิน ของไทย รวมไปถึง สส.ฟิลิปปินส์บางคนที่มองว่าพฤติกรรมของสิงคโปร์ไม่ใช่สิ่งที่ ‘เพื่อนบ้านที่ดี’ ควรทำ

“หน่วยงานของเราได้เจรจาทำข้อตกลงพิเศษกับเธอ (สวิฟต์) เพื่อให้เดินทางมาสิงคโปร์ และเลือกสิงคโปร์เป็นสถานที่จัดคอนเสิร์ตเพียงแห่งเดียวในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้” ลี ระบุในงานแถลงข่าว ระหว่างเดินทางไปร่วมการประชุมระดับภูมิภาคที่นครเมลเบิร์นของออสเตรเลีย

“ปรากฏว่าทุกอย่างออกมาสำเร็จราบรื่นดี ผมไม่เห็นว่ามันจะเป็นการกระทำที่ไม่เป็นมิตรตรงไหน”

ก่อนหน้านี้ รัฐบาลสิงคโปร์ยอมรับว่าได้ทุ่มเงินจูงใจให้ สวิฟต์ จัดคอนเสิร์ตที่สิงคโปร์เพียงประเทศเดียวในอาเซียน ทว่าไม่ขอเปิดเผยรายละเอียดของข้อตกลงพิเศษนี้

คำแถลงของสิงคโปร์สร้างความไม่พอใจต่อหลายๆ ประเทศในภูมิภาค โดยนายกรัฐมนตรี เศรษฐา ทวีสิน ของไทยออกมาแฉว่า สิงคโปร์ได้เสนอเงินพิเศษ ‘3 ล้านดอลลาร์’ หรือประมาณ 100 ล้านบาทต่อคืน และตั้งเงื่อนไขผูกขาดไม่ให้ สวิฟต์ ไปเปิดคอนเสิร์ตที่อื่นในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ขณะที่ โจอี ซาลเซดา สส.ฟิลิปปินส์ ถึงกับออกมาพูดว่า “นี่ไม่ใช่สิ่งที่เพื่อนบ้านที่ดีทำกัน” แถมยังยุให้กระทรวงการต่างประเทศฟิลิปปินส์ยื่นประท้วงด้วย

เมื่อเดือนที่แล้ว การท่องเที่ยวและกระทรวงวัฒนธรรมของสิงคโปร์ได้ออกมาอ้างถึงผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจที่สิงคโปร์จะได้รับจากการแสดงคอนเสิร์ตของนักร้องสาวซึ่งโด่งดังและมีแฟนคลับล้นหลามทั่วโลก พร้อมยืนยันว่ารัฐบาลกำลังทำงานร่วมกับ AEG Presents เพื่อดึงตัว สวิฟต์ มาเปิดการแสดงที่สิงคโปร์

ส่องจำนวนนักกีฬา 'อาเซียน' สู้ศึก 'โอลิมปิก' ที่ปารีส

ชวนส่องจำนวนนักกีฬาในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้แต่ละประเทศ ที่มีคุณสมบัติเข้าร่วมการแข่งขัน​กีฬาโอลิมปิก​ 2024 ที่ปารีส ซึ่ง ‘ประเทศไทย’ ของเรา ​มีจำนวนนักกีฬา​มากเป็นอันดับ 1 ✨🇹🇭

สำหรับชาวกัมพูชา​ คงจริงดังที่ชาวเน็ตกัมพูชาพูดเอาไว้ว่า "โอลิมปิกไม่สำคัญ​เท่าซีเกมส์” เพราะยังไงกัมพูชาก็ไม่มีโอกาสได้ไปโอลิมปิกแน่นอน…

'รสนา' สงสัย!! จดหมายเปิดผนึกของผู้ใหญ่ 3 ท่านถึงนายกฯ สงสัยห่วงใยประชาชน หรือห่วงใยผลประโยชน์ของใครกันแน่

(5 มี.ค. 67) นางสาวรสนา โตสิตระกูล อดีตสมาชิกวุฒิสภา ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ระบุว่า...

ดิฉันออกจะผิดหวังกับข้อเสนอของผู้หลักผู้ใหญ่ 3 ท่านที่เขียนจดหมายเปิดผนึกถึงท่านนายกรัฐมนตรี อ้างความห่วงใยในความเสียหายทางเศรษฐกิจของชาติที่เกิดจากนโยบายพลังงานของรัฐบาลจำนวน 5 ข้อ 

โดยภาพรวมของประเด็นความห่วงใยของพวกท่าน ล้วนเป็นความห่วงใยต่อผลประโยชน์ที่จะกระทบทุนพลังงานเป็นหลัก มิได้ห่วงใยประชาชนที่ต้องแบกรับราคาน้ำมันแพง ค่าไฟแพงและค่าก๊าซหุงต้มที่แพงเกินสมควรตลอดมา ใช่หรือไม่

ข้อที่ 1) ท่านห่วงกรณีเรื่องกองทุนน้ำมันติดลบเพราะรัฐบาลนำไปตรึงราคาดีเซล และลดเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมัน 1บาท/ลิตรในผู้ใช้เบนซิน เพื่อลดภาระบนหลังของผู้ใช้เบนซินลงบ้าง แต่พวกท่านไม่เห็นด้วย โดยอ้าง 'ตรรกะดึกดำบรรพ์' ที่ว่า น้ำมันราคาถูก จะทำให้ประชาชนไม่ประหยัด ซึ่งเข้าทางตลาดโลกของผู้ประกอบการ ที่หาทางล้วงส่วนต่างค่าน้ำมันที่มีราคาลดลงตามตลาดโลก แต่ไม่ลดให้เต็มเม็ดเต็มหน่วย โยกไปไว้ในค่าการตลาดบ้าง ย้ายไปไว้ในน้ำมันเอทานอลให้แพงขึ้นโดยไร้การตรวจสอบ จะได้ไม่ต้องลดราคาน้ำมันให้ประชาชน ตามราคาตลาดโลก ด้วยข้ออ้าง น้ำมันแพง ประชาชนจะได้ประหยัด ใช่หรือไม่ !?! 

ดิฉันขอย้ำว่ากองทุนน้ำมันตามกฎหมายคือ เงินที่ประชาชนสะสมไว้ช่วยเหลือตัวเองในยามราคาน้ำมันแพงจากตลาดโลก แต่ปัจจุบันน้ำมันแพงไม่ได้มาจากราคาตลาดโลก แต่มาจากกลไกบวกเพิ่มของผู้ประกอบการ ทั้งค่าการตลาด ราคาน้ำมันชีวภาพ และรวมถึงค่าการ กลั่นด้วย โดยมีกองทุนฯ เป็นเงินประกันกำไรให้ผู้ประกอบการ ใช่หรือไม่

ถ้าพวกท่านห่วงใยประชาชน ไม่อยากเอากองทุนน้ำมันมาตรึงราคาดีเซล ก็ควรเสนอให้ตัดน้ำมันไบโอดีเซลที่เติมในดีเซล 7% ออกไปทำให้ลดราคาน้ำมันลงได้ 2.42 บาท/ลิตร สามารถคงราคาดีเซล 30 บาทโดยไม่ต้องขึ้นราคาดีเซลเป็น 32 บาท ให้เป็นภาระแก่ประชาชน

ราคาน้ำมันลดลงได้อีกถ้าให้ผู้ประกอบการโรงกลั่นน้ำมันลดกำไรส่วนเกินของตนเองลงไปบ้าง เหมือนสมัยที่ปตท.ยังเป็นรัฐวิสาหกิจ เวลาค่าการกลั่นพุ่งสูงขึ้นตามความผันผวนตลาดโลก กพช.ก่อนยุคปตท.ถูกแปรรูป เคยมีมติ (การประชุมครั้งที่ 8/2543) ว่า "ในช่วงที่ภาวะตลาดน้ำมันผิดปกติ ทำให้ค่าการกลั่นมีความผันผวนมาก ให้ ปตท.และโรงกลั่นไทยออยล์ ใช้หลักการบริหารค่าการกลั่นและค่าการตลาด โดยนำส่วนลดค่าการกลั่นมาช่วยตรึงหรือลดราคาขายปลีกน้ำมันเชื้อเพลิงมิให้สูงขึ้น ซึ่งเป็นการบริหารความผันผวนของตลาด" โดยไม่ได้ใช้กองทุนน้ำมันมารับภาระชดเชยค่าน้ำมันแพงตลอดเวลา ผู้ประกอบการมีส่วนช่วยด้วย แต่ปัจจุบันล้วนแต่เงินกองทุนน้ำมันที่เป็นเงินประชาชน ผู้ประกอบการรับแต่กำไร ใช่หรือไม่

ช่วงปี 2566 ที่โรงกลั่นได้กำไรอู้ฟู่จากค่าการกลั่นที่ผันผวนในตลาดโลก กพช.และนายกฯ ในรัฐบาลก่อนไม่หือ ไม่อือ ทั้งที่ควรใช้เครื่องมือของกระทรวงการคลังเก็บภาษีลาภลอยจากโรงกลั่นน้ำมันมาชดเชยให้น้ำมันถูกลง แต่รัฐบาลก็ปล่อยให้โรงกลั่นได้กำไรค่าการกลั่นสูงถึงลิตรละ 8 - 11 บาท ทั้งที่ค่าการกลั่นบวกกำไรในเวลาปกติ ลิตรละ 1.50 บาทก็ใช้ได้แล้ว พวกท่านก็ไม่เคยออกมาเรียกร้องสักแอะให้ประชาชนเลย ใช่หรือไม่ 

ประชาชนคงออกมาแซ่ซ้องสรรเสริญท่าน ถ้าท่านจะแนะนำท่านนายกฯ ให้รัฐบาลยกเลิกการคิดราคาน้ำมันหน้าโรงกลั่นที่บวกต้นทุนเทียมเสมือนนำเข้าจากสิงคโปร์ (Import Parity) ทั้งที่น้ำมันสำเร็จรูปกลั่นในประเทศไทย 100% ในอดีตรัฐบาลเคยให้แรงจูงใจโรงกลั่นสมัยแรกตั้งโรงกลั่น เพื่อให้มีกำไรมากขึ้นในช่วงเริ่มกิจการ แต่นั่นมันก็เป็นเวลาเกือบ 30 ปีมาแล้ว ปัจจุบันควรยกเลิกแรงจูงใจนี้ได้แล้ว จะได้ลดภาระบนหลังของประชาชนลงบ้าง ท่านก็ไม่เรียกร้องให้ประชาชนบ้างเลย ใช่หรือไม่ 

แม้ บมจ.ปตท.เป็นบริษัทเอกชนมหาชน แต่รัฐถือหุ้นเกิน 51% รัฐบาลสามารถสั่งการ บมจ.ปตท.ให้ควบคุมค่าการกลั่น ค่าการตลาดที่เหมาะสมตามนโยบายของกระทรวงพลังงาน ที่ดีเซลลิตรละ 1.50 บาท และเบนซินลิตรละ 2 บาท ก็จะทำให้ราคาน้ำมันลดลงได้ลิตรละ 2-3 บาทโดยไม่ต้องไปล้วงกองทุนน้ำมันเลยก็ได้ ใช่หรือไม่

ข้อที่ 2) ท่านวิจารณ์การลดค่าไฟ โดยการให้ กฟผ. ยืดหนี้ เป็นวิธีแก้ที่จะสร้างภาระหมักหมมหนี้ในอนาคต ข้อนี้ดิฉันเห็นด้วย 

การแก้ปัญหาค่าไฟแพงสำหรับประชาชน ไม่ควรต้องให้ กฟผ.มาแบกรับภาระหนี้ ซึ่งเป็นเรื่องชั่วคราว ท่านก็ควรเสนอวิธีแก้ปัญหาระยะยาวที่ต้นเหตุคือให้รัฐบาลหยุดทำสัญญาซื้อไฟเพิ่มจากเอกชน เพราะปัจจุบันเรามีสำรองไฟฟ้าเกินมาตรฐานมากกว่า 50% แล้ว ทั้งที่ควรมีสำรองไว้แค่ 15% ตามหลักเกณฑ์ทึ่เหมาะสม ประเด็นนี้ต่างหากที่เป็นสาเหตุแท้จริงที่ทำให้ค่าไฟแพง เพราะการสำรองไฟมากเกินไป อุ้มเอกชนมากเกินไป โดยจ่ายค่าความพร้อมจ่ายตลอดอายุสัญญา 25 ปีให้เอกชน จึงควรเสนอรัฐบาลเจรจาเอกชนที่ได้กำไรคุ้มทุนแล้ว ลดค่าความพร้อมจ่ายลง 

นอกจากนี้ควรสนับสนุนรัฐบาลให้รีบเปิดทางให้ประชาชนติดตั้งโซลาร์บนหลังคาผลิตไฟลดค่าใช้จ่ายซึ่งรัฐบาลไม่ต้องเอาภาษีมาลดค่าไฟให้ รัฐบาลแค่ลดอุปสรรคให้ประชาชนติดตั้งโซลาร์บนหลังคาได้สะดวก อนุมัติให้ใช้วิธีหักลบหน่วยไฟฟ้าที่ผลิตได้ กับไฟฟ้าที่ใช้ จ่ายเงินส่วนเกินที่ใช้ไฟจากการไฟฟ้า เรียกว่าระบบ Net Metering เพียงแค่นี้ประชาชนก็ลดภาระได้มากโขแล้วโดยรัฐบาลไม่ต้องเอาภาษีมาลดค่าไฟให้ 

ท่านควรสนับสนุนนายกเศรษฐาให้รีบปฏิบัติตามมติ ครม.สมัยที่ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รักษาการนายกรัฐมนตรีที่ให้ใช้ระบบหักลบหน่วยไฟฟ้า ควรเร่งรัดรัฐบาลให้ช่วยลดค่าไฟประชาชนด้วยวิธีนี้ ก็จะลดค่าใช้จ่ายค่าไฟฟ้าให้ประชาชนอย่างเป็นจริง ดีกว่าการบีบให้กฟผ.ชะลอหนี้สินออกไปเพื่อลดค่าไฟให้ประชาชนแบบชั่วคราว ใช่หรือไม่

ข้อ 3 และ ข้อ 4 ที่ท่านผู้ใหญ่แสดงความกังวลห่วงใยคุณภาพอากาศของประเทศ แต่มาสรุปท้ายให้รัฐบาลอนุมัติโรงกลั่น 6 โรงที่ปรับปรุงคุณภาพน้ำมันจากยูโร 4 เป็นยูโร 5 สามารถขึ้นราคาน้ำมันได้นั้น

เป็นข้อเสนอที่ทำให้ผู้ฟังสะดุดกึก และทำให้ประชาชนอดคลางแคลงใจไม่ได้ว่า เพราะเหตุใด พวกท่านยอมใช้เครดิตตำแหน่งฐานะทางสังคมมาทวงเงินแทนโรงกลั่นเหล่านี้!? หรือท่านถือหุ้น? รับทุน? หรือเป็นกรรมการ ฯลฯ ในบริษัทเหล่านี้หรือไม่ อย่างใด !?

ในเมื่อพวกท่านเป็นห่วงคุณภาพอากาศจากคุณภาพน้ำมัน ดิฉันก็อยากให้ท่านช่วยสอบถามบริษัทพลังงานที่ขายก๊าซ NGV ว่าปัจจุบันยังเติมก๊าซ CO2 สูงถึง 18% ในก๊าซ NGV อยู่อีกหรือเปล่า? 

สมัยที่ดิฉันเป็นสมาชิกวุฒิสภา (พ.ศ 2551-2557) เคยตรวจสอบเรื่องการเติม CO2 ในก๊าซรถยนต์ NGV 18% โดยมีข้าราชการระดับสูงในกระทรวงพลังงาน อ้างว่าก๊าซในอ่าวไทยแต่ละแหล่งมี CO2 สูงต่ำไม่เท่ากันตั้งแต่ 14-16 % และก๊าซบนบกมี CO2 ต่ำประมาณ 2-3% เพื่อไม่ให้ค่าความร้อนแตกต่างเกินไป เลยปรับให้เท่ากัน ด้วยการเติม CO2 ลงไป 18% เพื่อไม่ให้เครื่องยนต์มีปัญหา หรือเกิดการน็อก แทนที่จะใช้เทคโนโลยีเอา CO2 ออกจากก๊าซในทะเลออกไป ผู้บริหารในกระทรวงบอกกรรมาธิการว่า ที่ทำแบบนี้เพื่อให้ธุรกิจพอจะอยู่ได้ ?!!!? 

นี่ก็ผ่านมาหลายปีแล้ว ฝากท่านผู้ใหญ่ช่วยถามว่า ยังใส่ก๊าซขยะ 18% อยู่หรือเปล่า มาตรฐานต่างประเทศให้มี CO2 ในก๊าซ NGV ได้ไม่เกิน 3% และต้องลดลงเรื่อย ๆ จนเหลือไม่เกิน 1% แต่บริษัทพลังงานของไทยเติม CO2 ถึง 18% โดยกระทรวงพลังงานอนุญาต ดูแล้วก็มีความลักลั่นกับแนวทางปรับปรุงคุณภาพน้ำมันเป็นยูโร 5 หรือไม่?

การเติม Co2 18% นอกจากเอาเปรียบผู้ใช้ ที่จ่ายเงินซื้อก๊าซ NGV 100% แต่ได้เนื้อก๊าซไม่ถึง 100% เพราะคนขายใส่ก๊าซขยะมาให้ 18% และก๊าซขยะพวกนั้นถูกปล่อยเป็นก๊าซเรือนกระจกจำนวนมหาศาลในแต่ละปีที่ทำให้โลกร้อน ดิฉันไม่ทราบว่าท่านผู้ใหญ่เหล่านี้ ทราบหรือไม่ และผู้กำกับดูแล ได้แก้ไขแล้วหรือยัง?

ประชาชนอดสงสัยมิได้ว่า การปรับปรุงคุณภาพทั้งที่เลวลง (กรณีเติม CO2 ใน NGV) และที่อ้างว่าดีขึ้น เช่นการปรับคุณภาพเป็นยูโร 5 เป้าประสงค์หลักคือการทำกำไรของผู้ประกอบการ ใช่หรือไม่?

และการปรับน้ำมันเป็นยูโร 5 เป็นวิธีการกีดกันทางการค้าหรือไม่ เป็นการกีดกันน้ำมันราคาถูกจากที่อื่นด้วยหรือไม่?

ข้อที่ 5) ท่านอ้างว่า “ตั้งแต่ต้นปี 2567 กระทรวงพลังงานใช้กลเม็ดการคิดเลขในการหาต้นทุนที่ต่ำลงสำหรับก๊าซใน Pool Gas ที่ใช้สำหรับผลิตไฟฟ้า โดยมิได้เป็นการจัดหาและนำก๊าซต้นทุนต่ำมาเพิ่มเติมใน Pool Gas โดยนำราคาก๊าซธรรมชาติจากอ่าวไทย (ซึ่งมีราคาต่ำกว่าราคาก๊าซจากพม่าและก๊าซ LNG) ส่วนที่เคยส่งเป็นวัตถุดิบ ไปเข้าโรงแยกก๊าซเพื่อผลิตผลิตภัณฑ์คืออีเทนและโพรเพนป้อนเข้าสู่อุตสาหกรรมปิโตรเคมี เอามารวมคำนวณเป็นราคาใน Pool Gas เพื่อให้ได้ราคาเฉลี่ยสำหรับการผลิตไฟฟ้าที่ต่ำลง ผลที่ตามมาก็คือราคาของก๊าซส่วนที่แยกไปใช้ผลิตเป็นวัตถุดิบในโรงแยกก๊าซ (GSP) เพิ่มสูงขึ้นทันที อันส่งผลต่อการทำผลิตภัณฑ์ต่อเนื่อง และทำให้ต้นทุนวัตถุดิบของปิโตรเคมีทั้งระบบเพิ่มขึ้น” นั้น

ดิฉันผิดหวังจริง ๆ ที่ท่านเห็นว่าก๊าซธรรมชาติในอ่าวไทยควรจะเป็นอภิสิทธิ์ของบริษัทปิโตรเคมีที่เป็นบริษัทลูกของ บมจ.ปตท.ได้ใช้ก๊าซในราคาถูกเท่านั้น แล้วประชาชนทั้งประเทศล่ะ ท่านไม่คิดถึงเลยหรือ?

ก๊าซธรรมชาติในอ่าวไทยเป็นทรัพยากรของชาติ ประชาชนควรได้ใช้ในการดำรงชีพด้วยราคาในประเทศ ส่วนบริษัทปิโตรเคมีเอกชน ควรไปแข่งขันตามกลไกตลาดเสรี การใช้แต้มต่อต้นทุนก๊าซราคาถูกเพื่อทำกำไร แต่ผลักประชาชนไปใช้ก๊าซหุงต้มราคาแพงตามราคาตลาดโลก เเล้วเอากองทุนมาชดเชย เป็นหนี้สินวน ๆ กันไป ไม่มีวันจบ เป็นการแย่งชิงทรัพยากรของประชาชนไปทำกำไรให้กลุ่มทุน

แทนการล้วงเงินจากกระเป๋าประชาชนไปใส่กองทุนน้ำมันเพื่อชดเชยราคาก๊าซหุงต้มราคาตลาดโลก การขายทรัพยากรก๊าซชั้นดีที่เป็นไม้สัก ควรได้ราคาไม้สัก จะได้นำกำไรจากการขายไม้สัก หรือก๊าซชั้นดีมาชดเชยราคาให้ประชาชน เพราะที่แล้วมาการใช้เงินจากกระเป๋าประชาชนในกองทุนน้ำมันมาชดเชยราคาก๊าซหุงต้ม วิธีแบบนั้นไม่ใช่การชดเชยราคา แต่เป็นวิธีหลอกขายก๊าซหุงต้มให้ประชาชนแบบผ่อนส่งราคาเพื่ออำพรางกำไรที่ฉกฉวยจากทรัพยากรก๊าซในประเทศไว้ในมือของคนฝ่ายเดียว ใช่หรือไม่

ด้วยวิธีนี้จะเป็นการจัดสรรทรัพยากรก๊าซในอ่าวไทยที่มีความเป็นธรรมต่อประชาชนในฐานะเจ้าของทรัพยากรร่วมกัน ส่วนบริษัทเอกชนก็ขอให้ท่านใช้ความสามารถในการแข่งขันในตลาดเสรีที่ท่านมักพร่ำพูดอยู่เสมอว่าราคาพลังงานในประเทศเป็นไปตามกลไกตลาดเสรี 

การสร้างสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจของประเทศนั้น ไม่ใช่มาจากบริษัทเอกชนเท่านั้น แต่มาจากการจับจ่ายใช้สอยของประชาชน ที่เป็นการบริโภคภายในประเทศของประชาชน ซึ่งมีมูลค่าถึงครึ่งหนึ่งคือ 50% ของ GDP เลยทีเดียว การทำให้กำลังซื้อของประชาชนเพิ่มขึ้น ด้วยการลดกำไรส่วนเกินที่ทำให้ราคาพลังงานไม่สูงเกินจริงลงไป จะเป็นการช่วยเศรษฐกิจของประเทศและคุณภาพชีวิตของประชาชน 

จึงขอให้ท่านผู้ใหญ่ของบ้านเมืองนี้ และท่านนายกรัฐมนตรีช่วยพิจารณาให้ความเป็นธรรมต่อประชาชนคนเล็กคนน้อยในประเทศนี้ด้วย

สืบนครบาล จับ ”เสี่ยสันต์” ลักลอบค้ากระสุนปืนเถื่อน เร่ขายให้ลูกค้าทางออนไลน์

จากสถิติอาชญากรรมที่มีการใช้นำอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืนก่อเหตุอาชญากรรมมีเพิ่มมากขึ้นเป็นอย่างมาก อาทิ เหตุกราดยิงภายในห้างสรรพสินค้า , เด็กนักเรียนนักศึกษาต่างสถาบันนำอาวุธปืนไปใช้ยิงคู่อริ เป็นต้น โดยสืบสวนขยายผลจนทราบว่าผู้ก่อเหตุซื้ออาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนเพื่อมาก่อเหตุผ่านช่องทางออนไลน์ 

พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผบก.สส.บช.น. ได้ตระหนักและเน้นย้ำให้กำลังพลในสังกัดเฝ้าสืบสวนติดตามจับกุมกลุ่มเครือข่ายที่ลับลอบจำหน่ายอาวุธปืน และเครื่องกระสุนปืนขนาดต่างๆ ทางออนไลน์และช่องทางอื่นให้มีผลการปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรมอย่างต่อเนื่อง จนชุดลาดตระเวนออนไลน์ กก.วิเคราะห์ข่าวและเครื่องมือพิเศษ บก.สส.บช.น. ออกแกะรอยสืบสวน

วันที่ 4 มีนาคมที่ผ่านมา พ.ต.อ.จักราวุธ คล้ายนิล ผกก.วิเคราะห์ข่าวและเครื่องมือพิเศษ บก.สส.บช.น. , พ.ต.ท.พัชรพงษ์ กาญจนวัฏศรี , พ.ต.ท.นิธิ ปิยะพันธุ์ รอง ผกก.วิเคราะห์ข่าวและเครื่องมือพิเศษ บก.สส.บช.น. ,พ.ต.ท.สมพงษ์ เกตุระติ สว.กก.วิเคราะห์ข่าวฯ ร่วมกันจับกุม นายสันติ์ (สงวนนามสกุล) อายุ 66 ปี ขณะขับรถกระบะส่วนตัว นำกระสุนปืนขนาดต่างๆ ไปจัดส่งพัสดุให้แก่ลูกค้าที่สั่งซื้อ บริเวณโกดังจัดส่งพัสดุบริษัทเอกชนแห่งหนึ่ง ภายในซอยปรีดีพนมยงค์ 14 

ตรวจยึดของกลาง กระสุนปืนขนาดต่างๆได้ รวม จำนวน 31,800 นัด ซึ่งมีการบรรจุพัสดุจ่าหน้าซองผู้ส่ง – ผู้รับ เรียบร้อยเพื่อเตรียมจัดส่งให้แก่ลูกค้า นอกจากนั้น เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ตรวจค้นภายในรถกระบะซึ่งผู้ต้องหาขับมาส่งพัสดุพบ กระสุนปืนขนาด .45 จำนวน 2,500 นัด บรรจุอยู่ในกล่องห่อด้วยกระดาษที่น้ำตาลอำพราง

จากนั้นตำรวจได้นำตัวนายสันติ์ ไปที่บ้านเลขที่ 125 ซอยเจริญใจ ถนนเอกมัย แขวงคลองตันเหนือ เขตวัฒนา กรุงเทพฯ เพื่อตรวจค้นตามหมายค้นศาลอาญากรุงเทพใต้ ที่ ค 45/2567 ลงวันที่ 3 มีนาคม พ.ศ.2567 ผลการตรวจค้น พบ กระสุนปืน ขนาด .22 LR จำนวน 21,150 นัด ,กระสุนปืนลูกซอง ขนาด 12 จำนวน 1,050 นัด ,กระสุนปืน ขนาด .45 จำนวน 100 นัด ,กระสุนปืน ขนาด .38 จำนวน 1,300 นัด ,กระสุนปืน ขนาด 9 มม. จำนวน 1,650 นัด ,กระสุนปืน ขนาด .380 จำนวน 800 นัด ,กระสุนปืน ขนาด .32 จำนวน 150 นัด และกล่องพัสดุเปล่าสำหรับเตรียมบรรจุจัดส่งพัสดุ และอุปกรณ์สำหรับแพ็คส่งพัสดุ จำนวนหนึ่ง รวมกระสุนที่ตรวจค้นพบทั้งหมด จำนวน 31,800 นัด

สอบสวนนายสันติ์ หรือ สันติ์ ปรีดี ” ให้การภาคเสธ โดยให้การว่าเดิมทีตนเปิดบริษัทเกี่ยวกับขายวัสดุก่อสร้าง ต่อมาตนประสบปัญหาทางเศรษฐกิจ มีเพื่อนแนะนำให้เข้าไปทำงานเป็นเซลล์ในบริษัทจำหน่ายกระสุนรายหนึ่งจนมีความรู้ ทำได้ประมาณ 1 ปี จึงลาออก เนื่องจากตนมีฐานลูกค้าและได้รู้จักกับคนในวงการพอสมควรจึงสามารถติดต่อสั่งซื้อกระสุนปืนขนาดต่างๆ จากตลาดมืด เพื่อนำมาส่งขายให้แก่ลูกค้าต่างๆ ซึ่งสั่งซื้อผ่านช่องทางออนไลน์

‘อุ๊งอิ๊ง’ โต้!! ไม่ใช่ตัวแทน ‘ทักษิณ’ บินกัมพูชา เข้าพบ ‘ฮุนเซน’ ยัน!! ไปในนามหัวหน้าพรรค ส่วนหัวข้อพูดคุยยังไม่ได้ตกลงแน่ชัด

(5 มี.ค.67) ที่พรรคเพื่อไทย (พท.) น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ในฐานะหัวหน้าพรรค พท. ให้สัมภาษณ์ถึงกำหนดการที่จะเดินทางไปเยือนประเทศกัมพูชาเพื่อพบสมเด็จอัครมหาเสนาบดี เดโช ฮุน เซน ประธานคณะองคมนตรีกัมพูชา อดีตนายกรัฐมนตรีกัมพูชา ว่า มีแพลนว่าจะเดินทางไปวันที่ 18-19 มีนาคมนี้ แต่แพลนโดยละเอียดยังไม่ได้ลง เพราะต้องแพลนร่วมกับทางประเทศกัมพูชาด้วย ซึ่งขณะนี้ยังไม่กำหนดหัวข้อที่จะมีการพูดคุยกัน แต่ใกล้ถึงเวลาที่จะเดินทางไปจะมีการเปิดเผยอีกครั้งว่าจะมีการพูดกันเรื่องอะไรบ้าง

เมื่อถามถึง กรณีที่มีการวิเคราะห์ว่าการเดินทางไปเยือนประเทศกัมพูชาครั้งนี้ เพราะเป็นเรื่องอำนาจทางการเมืองแทนนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี น.ส.แพทองธารกล่าวว่า ไม่ต้องแทน ซึ่งหากถึงเวลาที่นายทักษิณจะไป ท่านก็ไปเองได้ แต่ขณะนี้ตนเป็นหัวหน้าพรรค พท. ฉะนั้น จึงไปในฐานะหัวหน้าพรรค ไม่ใช่ในนามของนายทักษิณ

ผู้สื่อข่าวถามย้ำว่า การเดินทางไปเยือนประเทศกัมพูชาในครั้งนี้ไม่เกี่ยวข้องกับฝ่ายบริหารในรัฐบาลใช่หรือไม่ น.ส.แพทองธารกล่าวว่า ครั้งนี้ตนไปในนามพรรค พท. อย่างไรก็ตาม ย้ำว่ารายละเอียดที่จะพูดคุยกันนั้น เรายังไม่ได้ตกลงกันเนื่องจากต้องดูว่าจะสามารถพูดคุยกันได้ประมาณไหน และต้องดูเรื่องความอ่อนไหวของประเด็นนั้นๆ ด้วยว่าจะสามารถพูดคุยกันได้เท่าไหร่ แต่เรื่องส่วนตัวต้องไม่คุยแน่นอน เพราะก่อนหน้านี้ตนเคยเดินทางไปเองก็จะเป็นการคุยเรื่องส่วนตัวไม่ใช่เรื่องงาน แต่ในครั้งนี้เราเดินทางไปในนามของหัวหน้าพรรค พท. เราจะต้องเตรียมเรื่องงานไปด้วย

กองทัพเรือ เปิดการฝึกกองทัพเรือ ประจำปี 2567

วันนี้ 5 มี.ค.67 พลเรือเอก อะดุง พันธุ์เอี่ยม ผู้บัญชาการทหารเรือ เป็นประธานในพิธีเปิดการฝึกกอง ทัพเรือ ประจำปี 2537 ณ สนามฝึกกองทัพเรือ หมายเลข 15 หาดยาว แสมสาร อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี โดยมีผู้บังคับบัญชาระดับสูงของกองทัพเรือ และผู้บังคับบัญชาในกองอำนวยการฝึกกองทัพเรือ ประจำปี 2567  ให้การต้อนรับ ในโอกาสนี้ ผู้บัญชาการทหารเรือ ได้มอบโอวาทให้กับกำลังพลที่เข้าร่วมการฝึก และร่วมชมการสาธิตการปฏิบัติการทางทหาร ซึ่งมีการประกอบกำลังจากหน่วยกำลังรบ และหน่วยสนับสนุนต่าง ๆ ในกองทัพเรือมาเข้าร่วมปฏิบัติการฝึก เป็นการปฏิบัติการต่อต้านกำลังรบยกพลขึ้นบก กำลังปฏิบัติการพิเศษ และอาวุธจากเรือผิวน้ำและอากาศยาน นอกจากนี้ ยังมีการสาธิตการป้องกันพื้นที่สำคัญบนฝั่ง ด้วยกำลังต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่ง อีกด้วย

กองทัพเรือได้จัดให้มีการฝึกกองทัพเรือประจำปี มาอย่างต่อเนื่อง เพื่อดำรงความพร้อมของหน่วยต่าง ๆ ในการปฏิบัติตามแผนป้องกันประเทศ โดยเป็นการฝึกในสถานการณ์ปกติจนถึงขั้นการป้องกันประเทศ สำหรับการฝึกกองทัพเรือ ในปีนี้ จัดขึ้นระหว่าง วันที่ 20 พ.ย.66 - 1 ส.ค.67 โดยมีกำลังทางเรือประเภทต่าง ๆ เข้าร่วมการฝึก ได้แก่ เรือผิวน้ำ 20 ลำ เครื่องบิน 4 เครื่อง เฮลิคอปเตอร์  6 เครื่อง อากาศยานไร้คนขับ 2 ระบบ และกำลังพลจากหน่วยงานต่างๆของกองทัพเรือ ส่งเข้าร่วมการฝึก 1,500 นาย มีพื้นที่การฝึกทั้งในทะเลและบนบก แบ่งการฝึกเป็น 2 ส่วน คือ การฝึกปัญหาที่บังคับการ (Command Post Exercise: CPX) เพื่อฝึกการควบคุมบังคับบัญชา และทดสอบแนวความคิดในการใช้กำลังและหลักนิยมต่างๆ ของหน่วยบังคับบัญชาในระดับต่าง ๆ และการฝึกภาคสนาม/ภาคทะเล (Field Training Exercise: FTX) เป็นการฝึกปฏิบัติจริงของหน่วยกำลังรบประเภทต่าง ๆ เพื่อสร้างความคุ้นเคยและประสบการณ์ให้กับกำลังพล รวมทั้งเป็นการทดสอบขีดความสามารถในการปฏิบัติการ อาทิ การคุ้มครองเส้นทางคมนาคมทางทะเล การโจมตีกำลังทางเรือของฝ่ายตรงข้าม การปฏิบัติการยุทธ์สะเทินน้ำสะเทินบก และการป้องกันฝั่ง ซึ่งกำลังทางเรือต้องฝึกการปฏิบัติทางยุทธวิธี ตามสาขาปฏิบัติการต่าง ๆ ได้แก่ การปราบเรือดำน้ำ การต่อต้านเรือผิวน้ำ การป้องกันภัยทางอากาศ การปฏิบัติการพิเศษ รวมทั้งปฏิบัติการข่าวสารและสงครามไซเบอร์ ทั้งนี้ จะมีการฝึกยิงอาวุธปล่อยนำวิถี พื้น - สู่ อากาศ แบบ ESSM การฝึกยิงตอร์ปิโด การฝึกปฏิบัติการร่วมระหว่างเรือและอากาศยาน 

นอกจากอากาศยานของกองทัพเรือแล้ว กองทัพอากาศยังได้จัดส่งเครื่องบินขับไล่แบบ JAS-39 Gripen (บข.20) และเครื่องบินควบคุมและแจ้งเตือนภัยทางอากาศ SAAB 340 AEW (บ.ค.1) เข้าร่วมในการฝึกการป้องกันภัยทางอากาศและการโจมตีเรือในทะเล นอกจากนั้นยังมีการฝึกปฏิบัติการยุทธ์สะเทินน้ำสะเทินบก การยิงอาวุธประจำหน่วยและการฝึกดำเนินกลยุทธ์ด้วยกระสุนจริงของกำลังภาคพื้นดิน ทั้งกำลังจากหน่วยบัญชาการนาวิกโยธิน หน่วยบัญชาการต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่ง รวมทั้งกองทัพบกและกองทัพอากาศ ที่ได้จัดกำลังเข้าร่วมการฝึกในครั้งนี้ด้วย 

โดยผลที่คาดว่าจะได้รับจากการฝึกกองทัพเรือนั้น นอกจากกำลังพลที่เข้าร่วมการฝึกจะได้รับความรู้ ความชำนาญเพิ่มขึ้นแล้ว ยังทำให้กองทัพเรือได้รับทราบถึงขีดความสามารถและข้อจำกัดของกำลังทางเรือที่มีอยู่ในปัจจุบัน รวมทั้งการปฏิบัติการร่วมกันกับ ศรชล. และเหล่าทัพ เพื่อนำไปใช้ในการวางแผนพัฒนาขีดความสามารถสำหรับการปฏิบัติภารกิจ โดยเฉพาะในการป้องกันประเทศให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น โดยขีดความสามารถของกำลังทางเรือที่เตรียมไว้สำหรับการทำสงคราม ยังสามารถนำมาใช้ในการรักษาผลประโยชน์ของชาติ การช่วยเหลือพี่น้องประชาชนที่ประสบภัยพิบัติต่าง ๆ ในยามปกติ ได้อีกด้วย

นิราช/นันทพล ทิพย์ศรี รายงาน 0909535645

นราธิวาส - กิจกรรมพบปะเพื่อหารือแนวทางการขับเคลื่อนรอมฎอนสันติสุข และส่งเสริมสังคมพหุวัฒนธรรม ประจำปี ฮิจเราะห์ศักราช 1445 ในพื้นที่จังหวัดนราธิวาส

ณ ห้องประชุมหน่วยเฉพาะกิจนราธิวาส ค่ายกัลยาณิวัฒนา ตำบลกะลุวอ อำเภอเมือง จังหวัดนราธิวาส พลตรี เฉลิมพร ขำเขียว ผู้บัญชาการกองพลทหารราบที่ 15 / ผู้บังคับหน่วยเฉพาะกิจนราธิวาส จัดกิจกรรมพบปะเพื่อหารือแนวทางการขับเคลื่อนรอมฎอนสันติสุข และส่งเสริมสังคมพหุวัฒนธรรม ประจำปี ฮิจเราะห์ศักราช 1445 ในพื้นที่จังหวัดนราธิวาส ซึ่งกิจกรรมดังกล่าวจัดขึ้นโดยมี วัตถุประสงค์ เพื่อเป็นการเชื่อมสัมพันธไมตรีที่ดี ระหว่างเจ้าหน้าที่รัฐ พระสงฆ์ ผู้นำศาสนา กับพี่น้องประชาชนไทยมุสลิม และพี่น้องประชาชนไทยพุทธในพื้นที่ 

พร้อมทั้งเพื่อเพิ่มพูนความรู้ ความเข้าใจการปฏิบัติงาน ก่อนเข้าเดือนรอมฎอนที่จะนำความรู้ ทางด้านศาสนา วิธีชีวิตและหลักการปฏิบัติต่างๆในเรื่องข้อห้าม ข้อจำกัดตามประเพณีวัฒนธรรม เกี่ยวกับเดือนรอมฎอน และการส่งเสริมสังคมพหุวัฒนธรรในพื้นที่ นำไปปฏิบัติงานจริงในพื้นที่ และเกิดประโยชน์ต่อพี่น้องประชาชนในพื้นที่ และลดเงื่อนไขในการแก้ปัญหาความไม่สงบในพื้นที่ อันนำไปสู่การสร้างสภาวะแวดล้อมที่เกื้อกูลหนุนเสริมกระบวนการแสวงหาทางออกจากความขัดแย้งโดยสันติวิธี อย่างยั่งยืนตลอดไป โดยมี นายฉัตรชัย อุสาหะ รองผู้ว่าราชจังหวัดนราธิวาส เป็นประธาน พร้อมด้วย พระโสภณคุณาธาร เจ้าคณะจังหวัดนราธิวาส ผู้แทนคณะกรรมการอิสลามจังหวัดนราธิวาส ผู้บังคับหน่วยเฉพาะกิจหมายเลขประจำพื้นที่ ผู้แทนศูนย์ปฏิบัติการอำเภอ ผู้แทนสถานีตำรวจภูธร และกลุ่มมวลชนในพื้นที่ เข้าร่วมกิจกรรม 

ทั้งนี้ พลตรี เฉลิมพร ขำเขียว ผู้บังคับหน่วยเฉพาะกิจนราธิวาส กล่าวว่า การพบปะสานสัมพันธ์ในครั้งนี้ เป็นตามนโยบาย ของ พลโท ศานติ  ศกุนตนาค แม่ทัพภาคที่ 4/ผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4  ที่ได้เล็งเห็นถึงความสำคัญในการปฏิบัติศาสนกิจอันดีงามของพี่น้องมุสลิม ที่ปฏิบัติตนด้วยการแสดงความเคารพภักดี และเชื่อฟังอัลลอฮฺ ซึ่งในเดือนรอมฎอนมีความสำคัญสำหรับพี่น้องชาวไทยมุสลิมเป็นอย่างยิ่ง เพื่อต้องการให้เราทำทานมากขึ้น สร้างความสัมพันธ์ระหว่างเรากับคัมภีร์กุรอ่านให้มากยิ่งขึ้น 

จึงถือเป็นเดือนที่จูงใจให้ผู้ศรัทธาทำความดีทั้งปวงกว่าเดือนอื่นๆ หัวใจจะจดจ่ออยู่กับการแสดงความเคารพภักดี หมั่นทำอิบาดะฮฺต่ออัลลอฮฺ หน่วยพร้อมที่จะให้การสนับสนุนให้พี่น้องมุสลิมประกอบศาสนกิจอย่างเต็มที่ เพื่อเป็นการสร้างความรัก ความสามัคคี พร้อมที่จะส่งเสริม สนับสนุน การปฏิบัติศาสนกิจอันดีงามของพี่น้องไทยมุสลิมด้วยจิตใจที่เมตตา และเข้าใจต่อการปฏิบัติตนในห้วงเดือนรอมฎอนร่วมกันสร้างสันติสุข ภายใต้สังคมพหุวัฒนธรรมที่หลากหลายของจังหวัดชายแดนภาคใต้ ในการนี้ ได้มอบอินทผลัม และสิ่งของเครื่องบริโภค ให้แก่ผู้นำศาสนา เพื่อนำไปมอบให้แก่พี่น้องมุสลิมไว้ใช้การละศีลอด (เปิดปอซอ) ในช่วงเดือนรอมฎอน ประจำปีฮิจเราะห์ศักราช 1445  ต่อไป

‘จีน’ มุ่งปรับปรุง 'ระบบอุตสาหกรรม' ให้ทันสมัย เตรียมพร้อมรับมือ ‘อุตสาหกรรมแห่งอนาคต’

(5 มี.ค. 67) สำนักซินหัวรายงานการปฏิบัติงานของรัฐบาลจีน ซึ่งเสนอต่อสภานิติบัญญัติระดับชาติเพื่อการพิจารณา ระบุว่าจีนจะพยายามปรับปรุงระบบอุตสาหกรรมให้มีความทันสมัย และพัฒนาพลังการผลิตที่มีคุณภาพใหม่ในระดับรวดเร็วยิ่งขึ้น

รายงานระบุว่า พันธกิจในด้านนี้ครอบคลุมการปรับปรุงและยกระดับห่วงโซ่อุปทานและห่วงโซ่อุตสาหกรรม การบ่มเพาะอุตสาหกรรมเกิดใหม่และอุตสาหกรรมแห่งอนาคต เช่น พลังงานไฮโดรเจน วัสดุใหม่ การผลิตทางชีวภาพ การท่องเที่ยวอวกาศเชิงพาณิชย์ เทคโนโลยีควอนตัม และชีววิทยาศาสตร์

ขณะเดียวกันจีนจะส่งเสริมการพัฒนาเชิงนวัตกรรมของเศรษฐกิจดิจิทัล โดยมีแผนดำเนินโครงการริเริ่มเอไอ พลัส (AI Plus) อันเกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ พร้อมกับเสริมสร้างความแข็งแกร่งและยกระดับสถานะผู้นำในอุตสาหกรรมต่าง ๆ เช่น ยานยนต์พลังงานใหม่เชื่อมต่ออัจฉริยะ

7 มีนาคม พ.ศ. 2494 รำลึกวันคล้ายวันสิ้นพระชนม์ ‘สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาชัยนาทนเรนทร’ อธิบดีกรมสาธารณสุขคนแรก ผู้แยกหน้าที่ 'แพทย์-เภสัชกร' ตามแบบแผนที่ถูกหลัก

สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้ารังสิตประยูรศักดิ์ กรมพระยาชัยนาทนเรนทร พระราชโอรสองค์ที่ 52 ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ประสูติแต่เจ้าจอมมารดาหม่อมราชวงศ์เนื่อง สนิทวงศ์ (ธิดาในพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าสายสนิทวงศ์) โดยประสูติในพระบรมมหาราชวังเมื่อวันพฤหัสบดี ขึ้น 6 ค่ำ เดือน 12 ปีระกา ตรงกับวันที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2428 หลังให้ประสูติกาลพระราชโอรสได้ 12 วัน เจ้าจอมมารดาหม่อมราชวงศ์เนื่องก็ถึงแก่อนิจกรรม

พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงอุ้มพระเจ้าลูกยาเธอ พระองค์เจ้ารังสิตประยูรศักดิ์ มาพระราชทาน สมเด็จพระนางเจ้าสว่างวัฒนาพระบรมราชเทวี (พระอิสริยยศในขณะนั้น) ด้วยพระองค์เองพร้อมกับตรัสว่า “ให้มาเป็นลูกแม่กลาง” สมเด็จพระนางเจ้าสว่างวัฒนาพระบรมราชเทวีทรงรับพระองค์เจ้ารังสิตประยูรศักดิ์ไว้อุปการะพร้อมทั้งพระเชษฐภคินี คือ พระองค์เจ้าเยาวภาพงศ์สนิท โดยทรงเลี้ยงดูพระองค์เจ้ารังสิตประยูรศักดิ์ ซึ่งทรงมีพระชนมายุใกล้เคียงกับเจ้าฟ้ามหิดลอดุยเดชเหมือนกับพระราชโอรสที่ประทานกำเนิดด้วยพระองค์เอง

เสด็จในกรมฯ ทรงเข้ารับการศึกษาเบื้องต้น ณ โรงเรียนราชกุมารในพระบรมมหาราชวัง และยังทรงได้รับการอบรมอย่างใกล้ชิดในเรื่องประวัติศาสตร์ ศิลปะ ดนตรี และความรู้ทั่วไปจากสมเด็จพระบรมชนกนาถ นอกจากนั้น ยังทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตามเสด็จทั้งในกรุงเทพฯ และหัวเมือง

พ.ศ. 2442 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เสด็จออกเดินทางไปยุโรปเพื่อรับการศึกษาที่ประเทศเยอรมัน เสด็จในกรมฯ เข้าศึกษาในโรงเรียนมัธยม เมืองฮัลเบอร์สตัด และทรงเข้าศึกษา ณ มหาวิทยาลัยเมืองไฮเดิลแบร์ก ทรงสนพระทัยที่จะศึกษาวิชาแพทย์มานานแล้ว แต่สมเด็จพระบรมชนกนาถรับสั่งว่า พระพลานามัยไม่สมบูรณ์ วิชาทหารและวิชาแพทย์ไม่เหมาะสม จึงทรงแนะนำให้ศึกษาวิชากฎหมายแทน ซึ่งจะน่ากลับมาช่วยบ้านเมืองได้มากมาย

เมื่อทรงสำเร็จการศึกษาและเดินทางกลับประเทศไทยในวันที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2456 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เป็นพระองค์เจ้าต่างกรมที่ ‘กรมหมื่นชัยนาทนเรนทร’ ทรงรับราชการเป็น ‘ผู้ช่วยปลัดทูลฉลอง’ กระทรวงธรรมการ และรับหน้าที่เป็น ‘ผู้บัญชาการโรงเรียนราชแพทยาลัย’

พ.ศ. 2458 ทรงปรับปรุงหลักสูตรการเรียนวิชาพยาบาลผดุงครรภ์ ให้ได้มาตรฐาน ซึ่งในสมัยนั้นยังนิยมใช้การแพทย์แผนโบราณ คลอดบุตรโดยหมอตำแยกันอยู่ ทรงส่งเสริมให้ข้าราชบริพารในสมเด็จพระศรี สวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า เข้าเรียนต่อหลักสูตรของศิริราชพยาบาล สนับสนุนให้ศึกษาวิชาแพทย์และพยาบาลแผนปัจจุบันให้มากขึ้น ทรงปลูกฝังความนิยมในการเรียนแพทย์ให้เป็นที่แพร่หลาย จัดการศึกษาในโรงเรียนแพทย์ให้มีมาตรฐาน นอกจากนี้พระองค์ท่านยังเป็นผู้โน้มน้าวสมเด็จเจ้าฟ้ามหิดลอดุลยเดช ให้ทรงสนพระทัยวิชาการแพทย์

พ. ศ. 2460 ทรงได้รับตำแหน่งอธิบดีกรมมหาวิทยาลัยในกระทรวงธรรมการ เสด็จในกรมฯ ได้ทรงเพิ่มคณะใหม่ๆ ในมหาวิทยาลัย ได้แก่ คณะแพทยศาสตร์ คณะอักษรศาสตร์ คณะวิทยาศาสตร์ และคณะวิศวกรรมศาสตร์ และให้โรงเรียนราชแพทยาลัยเป็นคณะแพทยศาสตร์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และปรับปรุงหลักสูตรการศึกษาแพทย์เพิ่มระยะเวลาการศึกษาเป็น 6 ปี

พ.ศ. 2460 ทรงจัดตั้งกองนักเรียนแพทย์เสือป่า และทรงดำรงตำแหน่งผู้บังคับการกรมนักเรียนแพทย์เสือป่าหลวง

พ.ศ. 2461 ทรงได้รับโปรดเกล้าฯ ให้เป็นอธิบดีกรมสาธารณสุขคนแรก สมัยนั้นคำว่า ‘สาธารณสุข’ ยังเป็นคำใหม่ซึ่งคนไทยไม่เข้าใจ จึงทรงวางรากฐาน ประสัมพันธ์และวางแผนจัดทำโครงการ แบ่งงานสาธารณสุขในพระราชอาณาเขตเป็นสาธารณสุขจังหวัดในปัจจุบัน แม้กระนั้นพระองค์ก็ยังทรงห่วงใยเรื่องหลักสูตรแพทย์ปรุงยา โดยทรงรับสั่งกับรัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุขไว้ว่า

“เรื่องการเภสัชกรรมนั้นมีความสำคัญมาก สมควรที่ต้องมีกฎหมายบังคับคุ้มครองขึ้น จัดให้มีการแบ่งแยกหน้าที่ของแพทย์และเภสัชกรตามแบบแผนที่ถูกต้อง ตลอดจนถึงการควบคุมคุณภาพ และมาตรฐานของยาตามแบบยุโรป เพื่อสวัสดิภาพและความปลอดภัยของประชาชน”

ระหว่างที่ดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมสาธารณสุขทรงริเริ่มงานการศึกษาและฝึกอบรม นอกจากนี้ อีกหนึ่งผลงานสำคัญที่คนโดยมากไม่ใคร่รู้ ซึ่งก็คือการที่พระองค์ทรงจัดให้มี ‘กองกำกับโรคระบาด’ ขึ้น ทำให้มีการกักกันผู้เป็นโรคและผู้ที่สงสัยว่าเป็นโรคเมื่อเดินทางเข้ามาในสยาม ซึ่งรู้จักกันในสมัยนี้ว่า State quarantine

อีกทั้งยังเป็นครั้งแรกที่ประเทศได้มีการจัดวัคซีนหมู่ ป้องกันโรคระบาด ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องใหม่มากสำหรับยุคนั้น ทรงให้มีการประชาสัมพันธ์ให้มีการปลูกฝีป้องกันไข้ทรพิษ อีกทั้งได้ทรงออกมาตรการใหม่ขึ้นมาปราบปราม โรคร้ายต่าง ๆ ที่เคยมีและพบมากในประเทศ เช่น ไข้มาลาเรีย โรคเรื้อน และอหิวาตกโรค จึงได้ถูกควบคุมและเริ่มลดลงไปตามลําดับ ซึ่งในกาลต่อมาหน่วยงานเหล่านี้ได้วิวัฒนาการ มาเป็น กองโรคป้องกันด้วยวัคซีน ภายใต้กรมควบคุมโรค จนพัฒนามาเป็นสถาบันวัคซีนแห่งชาติในปัจจุบัน

ดังนั้นจะเห็นได้ว่าการควบคุมโรคระบาดด้วยความเข้าใจทางวิทยาศาสตร์ การกักกันผู้ป่วย หรือผู้ต้องสงสัยว่ามีเชื้อโรค (Maritime quarantine) รวมไปถึงการริเริ่มฉีดวัคซีน เพื่อป้องกันและปราบปรามโรคระบาด ในสยามประเทศ ล้วนเกิดขึ้นเป็นครั้งแรกในยุคนี้ ทรงรับใช้ชาติโดยการดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมสาธารณสุขอยู่ถึง 7 ปีเต็ม จนพระองค์ทรงลาออกจากราชการเมื่อต้นปี 2468

หลังจากเกษียณจากราชการแล้ว ก็ทรงดำเนินชีวิตส่วนพระองค์อย่างเรียบง่าย ทรงงานศิลปะ ออกแบบ ตกแต่งภายในจากผลงานศิลปะและโบราณวัตถุที่ทรงสะสมทั้งจากต่างประเทศและภายในประ เทศ อันเป็นที่ชื่นชมกันว่าทรงมี ‘ตาดี’ ในเรื่องงานศิลปะ ที่ทรงสืบทอดมาจาก สมเด็จพระราชบิดา ทรงงานอดิเรกถ่ายภาพและถ่ายภาพยนตร์โดยทรงเป็นกรรมการผู้ร่วมก่อตั้ง ‘สมาคมภาพยนตร์สมัครเล่นแห่งสยาม’ นอกจากนี้ ยังทรงเป็นผู้พัฒนาและบุกเบิกการพัฒนาที่ดินรุ่นแรกๆ ของสยามอีกด้วย

ทั้งนี้ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้ารังสิตประยูรศักดิ์ กรมพระยาชัยนาทนเรนทร สิ้นพระชนม์อย่างกระทันหัน ณ วังถนนวิทยุ เมื่อเวลาประมาณ 1 นาฬิกาของวันที่ 7 มีนาคม พ.ศ. 2494 ด้วยพระโรคหืดและโรคพระหทัยวาย เป็นราชโอรสองค์สุดท้ายในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวและพระชนม์ยืนที่สุดด้วยพระชนมายุ 65 ปี 4 เดือน


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top