Monday, 9 June 2025
TheStatesTimes

หอยนางรมเกาะหิน คล้ายพระพุทธรูป ชาวบ้านแห่ ส่องเลขเด็ด เจ้าของ ยัน ไม่ขาย ตั้งใจเก็บไว้ให้ นทท.ดู ในงานเทศกาลกินหอย

(2 มี.ค. 67) ที่บ้านแหลม หมู่ที่ 3 ต.วังวน อ.กันตัง จ.ตรัง มีชาวบ้านออกไปหาหอยนางรมที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ นำมาขายให้ น.ส. มล ณะสม หรือ จ๊ะมล อายุ 50 ปี แม่ค้ารับซื้อหอยนางรมที่ท่าเรือบ้านแหลม

แต่ปรากฏว่ามีหอยนางรมสุดแปลกอยู่ 1 ตัวเกาะติดอยู่บนก้อนหินที่มีน้ำหนักประมาณ 5 กิโลกรัม โดยท้ายหอยปักลงด้านล่าง ส่วนตัวหอยอยู่ในแนวตั้ง มองดูคล้ายพระพุทธรูป ซึ่งชาวบ้านพยายามแกะหอยนางรมออกจากก้อนหินก้อนนี้เพื่อเอาแต่ตัวหอย แต่ไม่สามารถแกะออกได้ จึงยกมาขายทั้งหินทั้งหอย ราคา 25 บาท

โดย จ๊ะมล ให้ราคาตามขนาดของหอย คือเป็นหอยนางรมขนาดกลาง รับซื้อตัวละ 25 บาท แต่เห็นว่ามีรูปร่างแปลกตา จึงวางไว้หน้าร้าน ซึ่งเมื่อชาวบ้านผ่านมาพบเห็น ได้สร้างความฮือฮาและแห่เข้ามาดูอย่างต่อเนื่อง บ้างก็ว่ารูปร่างคล้ายพระพุทธรูปบ้าง คล้ายกับเด็กบ้าง คล้ายกับถ้วยรางวัลบ้าง

แต่ที่พลาดไม่ได้ การตีเป็นเลขเด็ดรับวันหวยออก โดยเอาเลขที่บ้านคือ 57 หมู่ที่ 3 ต.วังวน กับเลขที่เห็นจากหินและหอย เป็นเลข 8 บ้าง 9 บ้าง 4 บ้าง

ซึ่งบางคนก็เอามือมาลูบๆ คลำๆ และขอพรให้สมหวัง หากถูกรางวัลจะกลับมาตั้งศาลให้ ขณะที่บางคนบอกถ้างวดนี้ไม่ทัน งวดหน้าก็ยังไม่สาย

เจ๊มล เจ้าของแพรับซื้อ ได้นำไปแช่น้ำทะเลเป็นระยะ เพื่อไม่ให้หอยนางรมตาย และยังไม่ขาย เพราะอีกไม่กี่วันข้างหน้าจะมีงานเทศกาลกินหอยนางรมบ้านแหลม จึงจะเก็บไว้ให้นักท่องเที่ยวได้ดู เพื่อสื่อถึงความอุดมสมบูรณ์ของแหล่งอนุบาลหอยนางรมแหล่งใหญ่ที่สุดใน จ.ตรัง ซึ่งอยู่ที่ตำบลวังวน อ.กันตัง จ.ตรัง

เจ๊มล กล่าวว่า รับซื้อมาตั้งแต่เมื่อวาน หลังชาวบ้านไปเก็บหอยนางรมมาขาย ตัวนี้ซื้อมา 25 บาทพร้อมก้อนหิน เห็นมันแปลกจึงจะเก็บไว้เพื่อให้นักท่องเที่ยวได้ดูว่า มีหอยนางรมที่สมบูรณ์ โดยชาวบ้านมาดูเป็นตัวเลขก็มี มาดูความแปลกใหม่ บางคนก็ตีไปตามสายตาของแต่ละคน บางคนว่าเหมือนพระพุทธรูป บางคนว่าเหมือนเด็ก และบางคนว่าเหมือนถ้วยรางวัล ซึ่งช่วงนี้ใกล้ถึงเทศกาลงานหอย จึงอยากให้คนนอกพื้นที่เข้ามาดู และยังไม่ขาย

'พีระพันธุ์' ให้คำมั่น!! ยืนหยัดแก้ปัญหาพลังงาน เพื่อ 'ชาติ-ประชาชน' ตามรอย 'พลโทณรงค์' ในงานสมาคมนักเรียนเก่าฟิลิปปินส์ในพระบรมราชูปถัมภ์

(2 มี.ค.67) นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.พลังงาน ได้รับเชิญจากสมาคมนักเรียนเก่าฟิลิปปินส์ในพระบรมราชูปถัมภ์ ไปบรรยายเรื่องพลังงาน ในฐานะที่คุณพ่อ 'พลโทณรงค์ สาลีรัฐวิภาค' เคยเป็นศิษย์เก่าของมหาวิทยาลัยฟิลิปปินส์ และยังดำรงตำแหน่งนายกสมาคมนักเรียนเก่าฟิลิปปินส์ในพระบรมราชูปถัมภ์เป็นคนแรก  

โดยนายพีระพันธุ์ได้เล่าถึงเรื่องราวของ พลโทณรงค์ ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้บุกเบิกกิจการพลังงานของไทย รวมทั้งเป็นผู้บุกเบิกการก่อสร้าง 'โรงกลั่นน้ำมัน' แห่งแรกของประเทศไทย ที่อำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่ และเป็นผู้ก่อตั้งปั๊มน้ำมัน 'สามทหาร' ที่ปัจจุบันแปรสภาพเป็น บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) เพื่อจำหน่ายน้ำมันที่ขุดและกลั่นได้เองจากโรงกลั่นน้ำมันที่อำเภอฝางให้ประชาชนใช้ในราคาถูก และเป็นจุดเริ่มต้นของการพัฒนาอุตสาหกรรมปิโตรเลียมสมัยใหม่ของประเทศไทย

นายพีระพันธุ์ กล่าวย้ำว่า พลังงานคือความมั่นคงของประเทศ แต่ปัจจุบันกิจการด้านพลังงานได้แปรเปลี่ยนไปเป็นเรื่องของธุรกิจ ตนในฐานะ รมว.พลังงาน จึงตั้งใจที่จะเข้ามาแก้ไขปัญหาเพื่อให้เกิดความมั่นคงด้านพลังงานของประเทศและลดภาระค่าใช้จ่ายด้านพลังงานของประชาชน ตามแนวทาง รื้อ ลด ปลด สร้าง ที่ได้เริ่มต้นดำเนินการแล้ว

ผอ.ศูนย์วิจัยทอง ชี้ ทองขาขึ้นเต็มตัว ทุบสถิตินิวไฮไม่มีหยุด ลุ้นแตะ 38,000 บาท

(2 มี.ค. 67) นายพิบูลย์ฤทธิ์ วิริยะผล ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยทองคำ เปิดเผยว่า ภาพรวมตลาดทองคำปรับตัวเพิ่มขึ้นกว่า 600 บาท ภายใน 2 วันทำการ โดยล่าสุดทองคำแท่งราคารับซื้ออยู่ที่ 35,100.00 บาทต่อบาททองคำ ขายออก 35,200.00 บาทต่อบาททองคำ ทองรูปพรรณราคารับซื้ออยู่ที่ 34,473.84 บาทต่อบาททองคำ ขายออก 35,700.00 บาทต่อบาททองคำ ทำให้ราคาที่ปรับขึ้นมาอย่างร้อนแรงขณะนี้ ถือว่าทองคำกลับมาเป็นขาขึ้นแล้ว ซึ่งความจริงวกกลับมาเป็นขึ้นตั้งแต่ช่วงราคาแตะ 34,400 บาทต่อบาททองคำแล้ว ขณะนี้ถือเป็นการทำจุดสูงสุดใหม่อย่างต่อเนื่อง หรือออลไทม์ไฮ โดยเป้าหมายราคาในระยะยาวช่วง 1-2 ปีนี้ ที่ระดับราคา 38,000 บาทต่อบาททองคำ ถือว่ามีความเป็นไปได้ ส่วนในช่วงสั้นๆ นี้ คาดว่าราคาจะปรับขึ้นไปที่ 36,000 บาทต่อบาททองคำได้

“ทองคำกลับหัวเป็นขาขึ้นอย่างเต็มตัวแล้ว ทำลายสถิติสูงสุดที่เคยขี้นไปอย่างต่อเนื่อง โดยได้อานิสงส์จากการรายงานตัวเลขเงินเฟ้อสหรัฐ ที่ออกมาน้อยกว่าคาดไว้ ประมาณ 2% กว่า ซึ่งถือเป็นระดับที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ต้องการควบคุมให้อยู่ระดับประมาณนี้อยู่แล้ว จึงเป็นความหวังให้เฟดถึงเวลาปรับลดดอกเบี้ยลงแล้ว บวกกับเงินบาทอ่อนค่าลงเรื่อยๆ ถึงแม้ช่วงวันที่ผ่านมาจะแข็งค่าขึ้นบ้าง เพราะมีเม็ดเงินลงทุนต่างชาติ (ฟันด์โฟลว์) เข้ามา แต่ก็ยังอ่อนค่าอยู่ ถือเป็นแรงสนับสนุนราคาทองคำได้อย่างต่อเนื่อง” นายพิบูลย์ฤทธิ์ กล่าว

นายพิบูลย์ฤทธิ์ กล่าวว่า ราคาทองคำสปอต อยู่ประมาณ 2,080 เหรียญสหรัฐต่อออนซ์ คาดว่าจะวิ่งขึ้นไปที่เดิมระดับ 2,140 เหรียญสหรัฐต่อบาททองคำ ซึ่งหากปรับขึ้นไปแล้ว จะมีแรงซื้อเข้ามาจากกลุ่มซื้อเทคนิคเข้ามาร่วมด้วย ทำให้ราคาทองคำจะยิ่งถูกดันสูงขึ้นไปอีก ไม่แตกต่างจากทองคำไทย ที่นักลงทุนมีความเก่งมาก สะท้อนจากตอนนี้ที่แม้มีการปรับขึ้นกว่า 600 บาทต่อบาททองคำแล้ว แต่ก็ยังไม่เห็นแรงขายออกมากนัก โดยในช่วงต่อจากนี้ ยังไม่เห็นสัญญาณลบของราคาทองคำเข้ามาด้วย เนื่องจากมีปัจจัยสนับสนุนอยู่หลายเรื่อง โดยเฉพาะความขัดแย้งภูมิรัฐศาสตร์ สงครามต่างๆ ภาวะเศรษฐกิจที่ยังฟื้นตัวไม่เต็มที่ ทองคำจึงถือเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยที่มีความต้องการสูง เป็นหลุมหลบภัยชั้นดี และหากเฟดประกาศลดดอกเบี้ยลงแล้ว จะถือว่าของแสลงของทองคำหมดลง ปัจจัยลบที่มีผลกระทบหนักสุดจะหายไป เป็นผลบวกต่อราคาทองคำในระยะถัดไปด้วย

‘บุ้ง ทะลุวัง’ อาการหนัก โพแทสเซียมต่ำ ตับอักเสบ หายใจลำบาก อาจตายได้ ตลอดเวลา

เมื่อวานนี้ (1 มี.ค. 67) เพจเฟซบุ๊ก 'ทะลุวัง – ThaluWang' โพสต์ข้อความระบุว่า บันทึกเยี่ยมทะลุวัง เมื่อวานบุ้งถูกส่งตัวกลับมาอยู่ที่โรงพยาบาลราชทัณฑ์หลังเยี่ยมทนาย มีอาการตาพร่า ตาเบลอ หายใจลำบาก แม้จะจิบน้ำบ้างแล้วแต่บุ้งยังคงอ้วกอยู่เรื่อยๆ ค่าต่างๆ ยังขึ้นๆ ลงๆ ไม่ปกติ และตับยังคงอักเสบอยู่ ตรวจค่าโพแทสเซียมได้อยู่ที่ 2.2 บุ้งกลับมาค่าโพแทสเซียมต่ำอีกครั้งเช่นเดียวกับครั้งที่แล้วที่อดอาหาร ต่อให้ได้รับน้ำเกลือ ค่าโพแทสเซียมก็ไม่ขึ้นแล้ว หมอบอกว่าค่าโพแทสเซียมส่งผลกับหัวใจ สามารถหยุดเต้นตอนไหนก็ได้

บุ้งบอกว่าอากาศข้างในร้อนมากๆ ทำให้หมดแรง หน้ามืดและวิงเวียนได้ตลอดเวลา บุ้งฝันถึงเพื่อนๆ  แต่เริ่มมีอาการ มึน เบลอ ไม่สามารถแยกความจริงกับความฝันได้ สับสนไปหมดว่าอะไรคือเรื่องจริงอะไรคือความฝัน บุ้งยังยืนยันที่จะอดอาหารต่อไป และยืนยันข้อเรียกร้องเช่นเดิม

ปชช. แห่ไปถ่ายรูป เช็กอิน นั่งเล่นที่บันได จุดเกิดเหตุ ที่หมอถูกฝรั่งทำร้าย จนกลายเป็นข่าวดัง

(2 มี.ค. 67) จากกรณีแพทย์หญิงรายหนึ่งออกมาร้องขอความเป็นธรรม ถูกชายต่างชาติที่เป็นเจ้าของศูนย์อนุรักษ์ช้างเตะหลังขณะนั่งบันไดชมจันทร์หน้าวิลล่าแห่งหนึ่ง บริเวณชายหาดภูเก็ต แถมยังถูกหญิงไทยซึ่งเป็นภรรยาของฝรั่งคนดังกล่าวด่ากราด อ้างมีตำรวจยศใหญ่คอยดูแลอยู่เบื้องหลัง ขณะที่คู่กรณีโต้ลั่นไม่ได้เตะ แค่สะดุดแล้วเท้าไปโดนหลังเท่านั้น

หลังจากเกิดเหตุดังกล่าวจนกลายเป็นกระแสโด่งดัง และเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์จำนวนมาก จนสู่กระแสนัดรวมตัวขับไล่ ในวันที่ 3 มีนาคม เวลา 09.00 น. นั้น ล่าสุดทางเพจ “โหดจัง จังหวัดภูเก็ต” โพสต์ข้อความ โดยระบุว่า

“สุดจัด #แลนด์มาร์ก แห่งใหม่ของชาวภูเก็ต ใครไม่มาถือว่าพลาดอย่างแรงพี่น้อง ใครไปแล้วบ้าง ถ่ายรูปมาโชว์หน่อย !”

กลายเป็นว่า มีประชาชนจำนวนมาก แห่ไปถ่ายรูปเช็กอิน พร้อมกับนั่งบันได จุดเกิดเหตุที่แพทย์หญิงถูกฝรั่งทำร้ายร่างกาย จนกลายเป็นข่าวดังระดับประเทศ

หลังจากโพสต์ไปไม่นาน มีคนเข้ามาแสดงความคิดเห็น พร้อมกับแนบรูปถ่ายเซลฟี่ เช็กอินสถานที่เกิดเหตุระนาว ก็มีทั้งคนมีชื่อเสียง เข้ามาแสดงความคิดเห็นด้วย เช่น หมอแล็บแพนด้า

ขณะที่ นายฐิติกันต์ ฐิติพฤฒิกุล ส.ส.ภูเก็ต เขต 3 พรรคก้าวไกล ประธานคณะอนุกรรมาธิการทะเลสาบสงขลาฯ โฆษกคณะกรรมาธิการการที่ดิน ทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม ได้เข้ามาแสดงความคิดเห็นเช่นกัน

'โฆษก รมว.พลังงาน' แจง!! 'หม่อมอุ๋ย' ปมนโยบายพลังงานทำลายประเทศ ยัน!! 'อุ้มดีเซล-ลดค่าไฟ' เป็นมาตรการที่ช่วย ปชช.ได้จริงในระยะสั้น

(2 มี.ค. 67) นายพงศ์พล ยอดเมืองเจริญ โฆษกรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ้กส่วนตัว แสดงความเห็นตอบโต้หนังสือเปิดผนึกของ ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล อดีตรองนายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยนายณรงค์ชัย อัครเศรณี อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน และนายคุรุจิต นาครทรรพ ผู้อำนวยการสถาบันปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย และอดีตปลัดกระทรวงพลังงาน ที่ออกมาแสดงความเป็นห่วงต่อการดำเนินนโยบายพลังงานของรัฐบาล โดยข้อความระบุว่า

เข้าใจว่าท่านรัฐมนตรีไม่ได้ชื่นชอบแนวทาง "จ่ายก่อนคืนทีหลัง" เท่าไหร่นัก แต่เป็นมาตรการเดียวที่ลดความเดือดร้อนประชาชนได้ในระยะสั้น ภายใต้โครงสร้างพลังงานเดิมที่มีอยู่ 

ระยะยาวกระทรวงมีการผลักดัน โซลาร์รูฟท็อปภาคประชาชน ปลดข้อจำกัดให้ประชาชนมีไฟฟ้าที่พึ่งพาตัวเองได้ ,กฎหมายน้ำมันสำหรับเกษตรกร และผู้มีรายได้ต่ำกำลังร่างกฎหมายกันอยู่ ,รื้อระบบกองทุนน้ำมันที่ทำให้ภาระหนี้ตกอยู่กับรัฐ  

สิ่งเหล่านี้จะเปลี่ยนฉากทัศน์โครงสร้างพลังงานไทย ถาวรแน่นอน

ประเด็น3-4 เกี่ยวเนื่องกับสิ่งแวดล้อม ที่ว่ากระทรวงเอาจริงขนาดไหนเกี่ยวกับการลดควันPM2.5

ตอบในฐานะหนึ่งในกรรมาธิการพ.ร.บ. อากาศสะอาด ก็ต้องเรียนว่าทางกระทรวงพลังงานจริงจังมาก ได้ประกาศใช้น้ำมันมาตรฐานยูโร5 ที่ลดการปล่อยPM2.5ตั้งแต่ต้นม.ค.67 เป็นที่เรียบร้อย 

ส่วนเรื่องราคาที่พรีเมียมขึ้น น่าจะอยู่ในช่วงที่กระทรวงกำลังหารือเจรจากับผู้กลั่นน้ำมัน นอกจากนั้นร่วมกับกระทรวงอุตสาหกรรม ส่งเสริมเรื่องยานยนต์EV3.5 ลดการใช้รถพลังงานสันดาบ และส่งเสริม Utility Green Tariff ไฟฟ้าสีเขียวให้ใช้แพร่หลายในภาคอุตสาหกรรมไทยเป็นที่เรียบร้อย 

อย่าตัดสินว่าลดราคาน้ำมัน แล้วจะไม่จริงจังปัญหาสิ่งแวดล้อม เพราะคนละส่วน

ประเด็นข้อ5 เรื่องสูตรราคาPool Gas 

พูดว่าพูลแก๊ส(ราคาก๊าซเฉลี่ย+นำเข้า) คนส่วนใหญ่ไม่คุ้นชินนัก ต้องบอกประชาชนผู้ใช้พลังงานทุกท่านว่า สูตรที่รัฐมนตรีพีระพันธุ์ ได้ปรับผ่านมติเห็นชอบจากกกพ. เมื่อปลาย ธ.ค. 66 ได้สร้างประโยชน์กับประชาชนผู้ใช้ไฟทั้งประเทศมหาศาล เพราะการนำเอาโควต้าก๊าซธรรมชาติอ่าวไทยราคาถูก ที่เคยให้กับบริษัทปิโตรเคมีเอกชน ไปให้การใช้กับก๊าซหุงต้มภาคครัวเรือนก่อน เอกชนจะต้องไปซื้อราคาPool Gasแพงขึ้น แต่ราคาต้นทุนผลิตไฟฟ้าคนไทยถูกลงถาวร 18สตางค์/หน่วย

หากคิดถึงคนทั้งชาติ กับทรัพยากรธรรมชาติในประเทศไทย เรื่องนี้ยกประโยชน์ให้ประชาชนผู้เป็นเจ้าของที่แท้จริง ดีกว่าเอื้อเอกชนรายใหญ่ไม่กี่ราย จึงไม่ควรต้องปรับเปลี่ยนสูตรกลับไป

"เข้าใจว่าทั้ง 3 ท่านต่างมีเจตนาดีต่อการบริหารงานประเทศ เข้าใจว่าทางรัฐมนตรีและกระทรวงพลังงาน ก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ สร้างผลงานให้โครงสร้างพลังงานเป็นธรรม-ยั่งยืน-มั่นคง ให้เป็นที่ประจักษ์ ครับ

รายงานข่าวระบุว่า ขณะนี้กระทรวงพลังงานอยู่ระหว่างรวบรวมข้อมูลและรายละเอียดเพื่อเตรียมชี้แจงข้อเท็จจริง และทำความเข้าใจกรณีต่างๆ ของหนังสือเปิดผนึกอย่างเป็นทางการในที่ 4 มี.ค.2567

เพจดัง แจ้ง มีคนแอบเปลี่ยนข้อมูลใหม่ บิดเบือนว่า ‘มวยไทย’ มีต้นกำเนิดมาจาก ‘มวยของเขมร’ วอนผู้เชี่ยวชาญคอม เข้าไปช่วย แก้ไขข้อมูล

(2 มี.ค. 67) เพจเฟซบุ๊ก Drama-addict ได้มีการโพสต์ข้อความจากลูกเพจที่ส่งข้อมูลมาให้ โดยระบุว่า  ลูกเพจฝากมา มีคนมือบอน เข้าไปใส่ข้อมูลเท็จในวิกิพีเดีย อ้างว่ามวยไทยมีต้นกำเนิดมาจากมวยของเขมร ใครว่างๆ ช่วยเข้าไปแก้ไขเอาข้อมูลเท็จออกหน่อยครับ 

ปล. สงสาร สมเพช คนที่ทำเรื่องแบบนี้จัง

'รัดเกล้า' เผย!! สาระสำคัญการประชุม รมต.เศรษฐกิจอาเซียน 9 มี.ค.นี้ มุ่ง 'ยกระดับ-เชื่อมโยง' เศรษฐกิจภาคบริการในภูมิภาคอาเซียน

(3 มี.ค.67) นางรัดเกล้า อินทวงศ์ สุวรรณคีรี รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เมื่อวันที่ 27 ก.พ.ที่ผ่านมา ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบร่างเอกสารกรอบการอำนวยความสะดวกด้านบริการของอาเซียน (ASEAN Services Facilitation Framework: ASFF) โดยมีกำหนดการร่วมรับรองเอกสารในการประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียนอย่างไม่เป็นทางการ ในวันที่ 9 มี.ค.นี้ ซึ่ง สปป.ลาว ในฐานะประธานอาเซียน ปี 67 กำหนดจัดการประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียนอย่างไม่เป็นทางการ ครั้งที่ 30 โดยในระหว่างการประชุมจะมีการรับรองร่างเอกสาร ASFF จำนวน 1 ฉบับ ซึ่งประกอบด้วยประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการค้าบริการต่างๆ ที่นำมาจากความตกลงการค้าบริการอาเซียน ความตกลงอาเซียนว่าด้วยการเคลื่อนย้ายบุคคลธรรมดา และข้อริเริ่มร่วมว่าด้วยกฎระเบียบภายในประเทศภาคบริการขององค์การการค้าโลก ซึ่งไทยเป็นภาคีสมาชิกแล้ว 

รองโฆษกรัฐบาล กล่าวว่า สำหรับสาระสำคัญของร่างเอกสาร ASFF มี 5 ด้านดังนี้...

1.การสร้างความเป็นธรรม และการเปิดโอกาสให้เศรษฐกิจการค้าบริการของอาเซียน 
2.การสนับสนุนการเคลื่อนย้ายและการเชื่อมโยงเศรษฐกิจภาคบริการในภูมิภาคอาเซียน 
3.การพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัลด้านการค้าบริการของอาเซียน 
4.การสร้างเศรษฐกิจบริการของอาเซียนที่ยั่งยืนและมีนวัตกรรม 
และ 5.การเป็นหุ้นส่วนกับภาคธุรกิจเพื่อกำหนดอนาคตของเศรษฐกิจบริการของอาเซียนร่วมกัน

“ASFF จะทำให้เกิดการเชื่อมโยงเศรษฐกิจภาคบริการในภูมิภาคอาเซียน และการปรับปรุงนโยบายด้านการค้าบริการ และการกำกับดูแลเพื่อสร้างสภาพแวดล้อม ที่เอื้ออำนวยต่อการค้าบริการ รวมถึงช่วยอำนวยความสะดวกในการเข้าเมืองของผู้ให้บริการ และเป็นแนวทางกำกับดูแลการใช้กฎระเบียบภายในประเทศ มีความโปร่งใส มีประสิทธิภาพ และคาดการณ์ได้” รองโฆษกรัฐบาล กล่าว

‘ลุงป้อม’ ลงพื้นที่ หนองคาย รับฟังปัญหา ปชช. เพื่อแก้ไขภัยแล้ง-ยากจน-ยกระดับการขนส่ง-พัฒนาฝีมือแรงงาน

(3 มี.ค.67) เมื่อเวลาประมาณ 09.10 น.ที่รร.พันล้าน อ.เมือง จ.หนองคาย พล.อ.ประวิตรวงษ์สุวรรณ สส.บัญชีรายชื่อหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) เดินทางถึงจ.หนองคาย โดยนั่งรถยนต์โตโยต้า อัลพาร์ด สีขาว ทะเบียน กม 8888 ขอนแก่น เมื่อเดินทางถึงมีตัวแทนกลุ่มผู้ร่วมพัฒนาชาติไทย ต้อนรับและให้กำลังใจ ถูกผ้าขาวม้าแดง และสส. นำพระพุทธรูปมามอบให้เป็นที่ระลึก ทั้งนี้พล.อ.ประวิตร มีสีหน้าแจ่ม แต่งกายด้วยสีแดงสดใสทั้งตัว โดยสวมเสื้อฮาวายสีแดง ทับด้วยแจ็กเก็ตสีแดง กางเกงสแลคและรองเท้าผ้าใบแดง สีสันแปลกตาว่าทุกครั้ง 

จากนั้นเวลา 09.30 น. พล.อ.ประวิตร เป็นประธานเปิดเวทีวิชาการรับฟังปัญหาและความคิดเห็นของประชาชน ผู้ประกอบการเอกชน กลุ่มจ.หนองคาย อุดรธานี บึงกาฬ หนองบัวลำภู และจ.เลย ทั้งเรื่องของการแก้ปัญหาความยากจน ความเหลื่อมล้ำ การยกระดับอุตสาหกรรมและสร้างระบบเศรษฐกิจบีซีจี ยกระดับโครงสร้างการขนส่งและ
คมนาคมของประชาชน พัฒนาทักษะฝีมือแรงงาน รวมถึงปฏิรูปรัฐราชการและการแก้ไขกฎหมายที่เป็นอุปสรรคในการดำรงชีวิต มีแกนนำ กรรมการบริหารพรรค ส.ส. เข้าร่วม อาทิ นายสันติ พร้อมพัฒน์ รมช.สาธารณสุข นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ น.ส.ตรีนุช เทียนทอง นายวราเทพ รัตนากร นายอุตตม สาวนายน โดยผู้สื่อข่าวเอ่ยแซวว่าวันนี้สวมเสื้อแดงทั้งชุดพล.อ.ประวิตร หันมามองสื่อโดยไม่ได้แสดงท่าทีหรือกล่าวสิ่งใดสิ่งใด

พล.อ.ประวิตร กล่าวเปิดสัมมนา  พรรคพปชร.ขอบคุณทุกคนที่ร่วมสัมมนา และเสียสละเวลามาร่วมเวทีรับฟังความคิดเห็น เพื่อจัดทำยุทธศาสตร์การพัฒนาภาคอีสาน พรรคพลังประชารัฐ รู้สึกยินดีที่มาเปิดเวทีรับฟังและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเพื่อรับฟังทุกปัญหากับประชาชนในพื้นที่โดยตรง ตลอดเวลาที่ผ่านมาพรรคพลังประชารัฐ ขับเคลื่อนแก้ปัญหาความยากจน การลดความเหลื่อมล้ำ โดยเพิ่มสิทธิและสวัสดิการความเป็นอยู่ให้ประชาชนส่งเสริมที่ดินทำกินและเร่งรัดการพัฒนาแหล่งน้ำระบบชลประทาน การแก้ปัญหาน้ำท่วมน้ำแล้ง ให้เบ็ดเสร็จที่ทำมาต่อเนื่องทั่วประเทศ ตลอดเวลา 8 ปีที่ผ่านมาโดยพรรคตระหนักดีว่าจะแก้ไขปัญหาและพัฒนาประเทศ โดยคำนึงถึงบริบทความต้องการที่แตกต่างกันของแต่ละจังหวัดและภูมิภาคที่จะจัดทำภูมิศาสตร์หลายภาคขึ้น

พล.อ. ประวิตร กล่าวว่า ดูข้อมูลที่ได้รับจากทุกภาคส่วนคณะกรรมการยุทธศาสตร์จะนำไปจัดทำเป็นยุทธศาสตร์พัฒนาภาคอีสาน ให้ทันสมัยและยึดโยงความต้องการของคนในภาคอีสาน โดยยึดมั่นในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข การฟังความคิดเห็นในแต่ละภาคส่วนทุกพื้นที่จะนำมาจัดทำเป็นยุทธศาสตร์ของพรรคต่อไป ทั้งนี้ภาคอีสานมีหลายเรื่องที่มีศักยภาพในการพัฒนาที่แตกต่างกันออกไปเช่น กลุ่มจังหวัดอีสานเหนือเป็นศูนย์กลางการลงทุน ขนส่งและการค้าชายแดน ของอนุภูมิภาคแม่น้ำโขง และเป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวที่เชื่อมโยงกับประเทศเพื่อนบ้านที่ต้องยกระดับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานคมนาคมขนส่งให้เชื่อมโยงรถไฟจีน-ลาว ส่วนกลุ่มจังหวัดอีสานกลางเป็นกลุ่มการค้าอินโดจีนและอีสานใต้โดดเด่นอุตสาหกรรมชีวภาพเกษตรและอาหาร แต่ละพื้นที่มีบริบทต่างกัน ใครมีความคิดเห็นอย่างไร ขอให้แสดงความคิดเห็นมาเพื่อเราจะนำไปพัฒนาภาคอีสานให้เจริญรุ่งเรืองต่อไป

หลังจากนั้น พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ก็ได้เป็นประธาน เพื่อชมการลงทะเบียนของเกษตรกร เพื่อเปลี่ยนส.ป.ก.4-01 เป็นโฉนดเพื่อการเกษตร 

'สื่ออังกฤษ' ยก สนามบิน 'โหน่ยบ่าย' ดีที่สุดใน 'เอเชีย-อาเซียน' ส่วน 'ดอนเมือง-สุวรรณภูมิ' ติดกลุ่ม 10 อันดับแย่ที่สุด

(3 มี.ค.67) เพจ 'BTimes' ได้รายงานว่า บิสสิเนส แทรเวลเลอร์ (Business Traveller) สื่อผลิตเนื้อหาและข้อมูลด้านการเดินทางและท่องเที่ยวชื่อดังระดับโลกจากอังกฤษมีอายุมาถึง 48 ปี และได้รับการยอมรับจากนักเดินทางและนักท่องเที่ยวทั่วโลก โดยเฉพาะนักธุรกิจและนักบริหาร เปิดเผยรายงานผลการจัดอันดับสนามบินนานาชาติดีที่สุดและแย่เลวร้ายที่สุดในทวีปเอเชียประจำปี 2023 พบว่า สนามบินนานาชาติทึ่ดีที่สุด ได้แก่ สนามบินโหน่ยบ่าย กรุงฮานอย ประเทศเวียดนาม ขณะที่สนามบินที่แย่ที่สุด ได้แก่ สนามบินนานาชาติดอนเมือง กรุงเทพ ประเทศไทย ส่วนสนามบินนานาชาติสุวรรณภูมิ อยู่อันดับที่ 7 จากทั้งหมด 10 อันดับสนามบินนานาชาติที่แย่ที่สุด 

สำหรับสนามบินนานาชาติที่ดีที่สุด 10 อันดับในทวีปเอเชีย ปี 2023 มีดังนี้... 

อันดับ 1 สนามบินโหน่ยบ่าย (ฮานอย) เวียดนาม 6.80 คะแนน 
อันดับ 2 สนามบินชางฮี สิงคโปร์ 6.63 คะแนน 
อันดับ 3 สนามบินเช็คแลปก๊อก ฮ่องกง 6.48 คะแนน 
อันดับ 4 สนามบินฮาหมัด กาตาร์ 6.44 คะแนน 
อันดับ 5 สนามบินนาริตะ (โตเกียว) ญี่ปุ่น 6.23 คะแนน 
อันดับ 6 สนามบินฮาเนดะ (โตเกียว) ญี่ปุ่น 5.82 คะแนน 
อันดับ 7 สนามบินเกมเปโควทา (เบงกาลูรู) อินเดีย 5.56 คะแนน 
อันดับ 8 สนามบินไท่หยวน ไต้หวัน 5.29 คะแนน 
อันดับ 9 สนามบินฉัตรปตี ศิวาจี มหาราช (มุมไบ) อินเดีย 5.22 คะแนน 
และอันดับ 10 สนามบินอินทิรา คานธี (นิวเดลี) อินเดีย 4.60 คะแนน 

ทั้งนี้ สนามบินโหน่ยบ่าย (ฮานอย) เวียดนาม ที่ได้ 6.80 จาก 10 คะแนนในครั้งนี้นั้น ถูกยกย่องหลายด้านโดยเฉพาะระบบการจัดคิวผู้โดยสารที่ใช้บริการที่สนามบินได้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด

สำหรับสนามบินนานาชาติที่เลวร้ายที่สุด 10 อันดับในทวีปเอเชีย ปี 2023 (คะแนนน้อยที่สุด คือยอดแย่ที่สุด จากคะแนนเต็ม 10) มีดังนี้...

อันดับ 1 สนามบินคูเวต คูเวต 1.69 คะแนน 
อันดับ 2 สนามบินอัลมาตี คาซัคสถาน 2.62 คะแนน 
อันดับ 3 สนามบินคิง อับดุลาซิ ซาอุดีอาระเบีย 2.72 คะแนน 
อันดับ 4 สนามบินนินอย อาคีโน ฟิลิปปินส์ 2.78 คะแนน 
อันดับ 5 สนามบินอาบูดาบี สหรัฐอาหรับเอมิเรต 2.88 คะแนน 
อันดับ 6 สนามบินเชนไน อินเดีย 3.00 คะแนน 
อันดับ 7 สนามบินสุวรรณภูมิ ไทย 3.25 คะแนน 
อันดับ 8 สนามบินดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรต 3.36 คะแนน 
อันดับ 9 สนามบินกัวลาลัมเปอร์ มาเลเซีย 3.36 คะแนน 
และอันดับ 10 สนามบินดอนเมือง ไทย 3.45 คะแนน

เมื่อพิจารณาเฉพาะในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หรืออาเซียน พบว่า สนามบินนานาชาติที่ดีที่สุดในอาเซียนยังคงเป็นของสนามบินหน่อยไบ๋ (ฮานอย) เวียดนาม ตามด้วยสนามบินชางฮี สิงคโปร์ ขณะที่สนามบินนินอย อาคีโน ฟิลิปปินส์ เป็นสนามบินที่แย่ที่สุดในอาเซียน โดยมีสนามบินดอนเมือง กรุงเทพ ประเทศไทยรั้งรองสุดท้ายของอันดับสนามบินแย่ที่สุดในอาเซียน 

สนามบินคูเวต คูเวต ที่ได้คะแนนต่ำที่สุดที่ 1.69 จาก 10 คะแนน ส่งผลเป็นสนามบินนานาชาติที่ยอดแย่ที่สุดของโลก ที่สำคัญ เป็นเพียงสนามบินเดียวในทวีปเอเชียที่ทำคะแนนได้ต่ำกว่า 2 คะแนน พบว่า ผู้โดยสารแสดงความไม่พอใจอย่างมากกับกลิ่นเหม็น หรือกลิ่นที่ไม่พึงปรารถนาภายในสนามบิน นอกจากนี้ มีปัญหาด้านขั้นตอนการบริการผู้โดยสารขึ้นเครื่องที่ช้ามาก 

ทั้งนี้ บิสสิเนส แทรเวลเลอร์ (Business Traveller) ทำการจัดอันดับรายงานดังกล่าวจากการเก็บข้อมูลโดยตรงจากการแสดงความคิดเห็นของผู้โดยสารที่ใช้บริการสายการบินจากทุกสนามบินทั่วโลกผ่านแอร์ไลน์ควอลิตึ้ดอทคอม นอกจากนี้ ยังเป็นสื่อชั้นนําสําหรับนักเดินทางเพื่อธุรกิจที่มีการผลิตเนื้อหาถึง 14 ประเทศสำคัญ ได้แก่ สหราชอาณาจักร, สหรัฐอเมริกา, เอเชีย-แปซิฟิก, ตะวันออกกลาง, จีน, ฝรั่งเศส, เยอรมนี, เดนมาร์ก, ฮังการี, แอฟริกา, รัสเซีย, โปแลนด์, อิสราเอล และอินเดีย รวมถึงเว็บไซต์ต่างๆ


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top