Monday, 9 June 2025
TheStatesTimes

‘ดนุพร’ ฟาด ‘พิธา’ มุมมองไม่ลึก-ข้อมูลไม่ครบ  ทำให้ปชช.เข้าใจผิด ยืนยันไทยพร้อม เป็นศูนย์กลาง การบินของภูมิภาค

(3 มี.ค.67) นายดนุพร ปุณณกันต์ สส.บัญชีรายชื่อ และโฆษกพรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวว่ากรณีที่นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ สส.บัญชีรายชื่อและประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคก้าวไกล (ก.ก.) ระบุว่านายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ประกาศศักยภาพของประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการบินของภูมิภาคว่าเป็นเรื่องดี แต่ต้องคิดว่าทำเพื่อใคร ถ้าทำให้แค่นายทุน ชาวต่างชาติ มีคนมาลงทุนมากมาย แต่ไม่เคยไหลลงมาสู่แรงงานไทยว่า ถือเป็นคำวิจารณ์แบบผิวเผิน ด้วยมุมมองที่ไม่ลึกพอที่จะเข้าใจถึงแก่นแท้ของวิสัยทัศน์ และไม่ได้มองในมิติภาพใหญ่ที่เชื่อมโยงกัน 

นายดนุพร กล่าวว่า รัฐบาลที่นำโดยนายเศรษฐา รวมถึงพรรคเพื่อไทยไม่มีนโยบายกีดกันการลงทุน ยิ่งไปกว่านั้นสิ่งที่รัฐบาลกำลังดำเนินการ คือการอำนวยความสะดวกในการทำธุรกิจ ขจัดอุปสรรคในการดำเนินธุรกิจให้กับภาคเอกชนทั้งในและต่างประเทศ การทำงานอย่างมีเป้าหมาย ตั้งเป้าที่จะทำให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการบินของภูมิภาค การเดินทางที่จะขนทั้งคน ทั้งของและการบริการ คือการสร้างรายได้ให้กับธุรกิจต่อเนื่อง เช่น ท่าอากาศยานนานาชาติอันดามัน หรือสนามบินอันดามันที่ จ.พังงา จะรองรับผู้โดยสารสูงสุดที่ 40 ล้านคนต่อปี จำนวนผู้โดยสารที่มี หมายถึงเม็ดเงินที่ไหลเข้าสู่พื้นที่ ประชาชนขายของได้ โรงงานต้องผลิตเพิ่ม แรงงานมีงานทำ ภาพรวมทั้งระบบเติบโตสอดคล้องกัน

นายดนุพร กล่าวอีกว่า ส่วนที่นายพิธา กล่าวถึงการให้สิทธิประชาชนเช่าที่ราชพัสดุ 3 ปีแล้วจะเรียกคืน โดยกล่าวว่า รัฐบาลให้สิทธิในการเช่าแค่ 3 ปี อย่างนี้ไม่ถือว่าเป็นกรรมสิทธิ์ ผมจะทำร้านก๋วยเตี๋ยว ทาสียังไม่แห้ง เขาจะเอาคืนก็ได้ ความมั่นคงในชีวิตมันไม่มีนั้น เป็นการฉวยโอกาสทางการเมืองให้ข้อมูลที่ไม่ครบถ้วน จนอาจนำไปสู่ความเข้าใจผิดได้ ที่ผ่านมาการจัดสรรที่ดินทำกินในกลุ่มพื้นที่ราชพัสดุ เช่น หนองวัวซอโมเดล เป็นการมอบสัญญาเช่าที่ดินราชพัสดุ ไม่ใช่กรรมสิทธิ์ตามที่นายพิธากล่าวอ้าง สำหรับที่ราชพัสดุหนองวัวซอ เป็นระบบสิทธิการเช่า 3 ปี ประชาชนที่เช่าอยู่เดิม ต่อสัญญาได้ตลอดและต่อเนื่อง หากจะเช่าเกิน 3 ปีก็ทำได้ แต่ต้องเสียค่าธรรมเนียมการจดทะเบียนสิทธิการเช่าจำนวนมาก การต่อสัญญา 3 ปีครั้งเป็นทางเลือกที่เหมาะสมกับประชาชน 

“รัฐบาลนายเศรษฐาเพิ่งลงพื้นที่มอบสัญญาเช่าที่ดินในโครงการหนองวัวซอโมเดลไปเมื่อวันที่ 19 ก.พ.ที่ผ่านมา และรัฐบาลจะเดินหน้าเพิ่มที่ดินทำกินให้ประชาชนต่อเนื่องในหลายวิธีการ ซึ่งหนองวัวซอโมเดลรัฐบาลทำมาระยะหนึ่งแล้ว และนายกฯ ก็มีความตั้งใจในเรื่องนี้มาก ขอตำหนินายพิธาหากต้องการทำการเมืองใหม่อย่างสร้างสรรค์อย่างที่ก้าวไกลอยากเป็น ควรเริ่มที่การให้ข้อมูลที่ถูกต้องครบถ้วนกับประชาชน”  นายดนุพร กล่าว

'อ.พงษ์ภาณุ' ชี้!! 3 ตัวแปร ที่ทำให้ 'แบงก์ชาติ' ยังไม่ยอมลดดอกเบี้ย 'เข้าใจบทบาทตนเองผิด-เกรงใจสถาบันการเงิน-กฎหมายล้าหลัง'

(3 มี.ค.67) อ.พงษ์ภาณุ เศวตรุนทร์ อดีตปลัดกระทรวงท่องเที่ยวและกีฬา อดีตรองปลัดกระทรวงการคลัง และผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐศาสตร์ระดับประเทศ ได้กล่าวถึงประเด็นที่แบงก์ชาติยังไม่ลดดอกเบี้ย ไว้ว่า...

หลายท่านคงสงสัยว่าทำไมแบงก์ชาติจึงดื้อรั้นไม่ยอมลดดอกเบี้ย ทั้ง ๆ ที่ประเทศไทยมีเงินฝืด (Deflation) ติดต่อกันมา 5 เดือน และเศรษฐกิจไทยอาจจะเข้าสู่ภาวะถดถอย (Recession) ในไม่ช้า 

ประเด็นนี้ได้ลุกลามใหญ่โตเป็นวิวาทะทางการเมืองระดับชาติระหว่างรัฐบาล ซึ่งรับผิดชอบนโยบายการคลัง กับธนาคารแห่งประเทศไทยและลิ่วล้อที่ทำหน้าที่เป็นองครักษ์พิทักษ์แบงก์ชาติ 

วิวาทะหรือความขัดแย้งเช่นนี้ไม่เป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติเลย และน่าจะมีข้อยุติได้หากเราเข้าใจธรรมชาติของธนาคารกลางและบทบาทที่ควรจะเป็น

ในโลกปัจจุบัน เป็นที่ยอมรับว่าธนาคารกลางมีหน้าที่หลักในการรักษาเสถียรภาพของระดับราคา (Price Stability) แต่บางทีรัฐบาลบางประเทศก็มอบหน้าที่รองให้ ซึ่งรวมถึง การรักษาเสถียรภาพและความมั่นคงของสถาบันการเงิน การสนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจ การรักษาระดับการจ้างงาน เป็นต้น

ประเทศที่พัฒนาแล้วยึดถือเป็นหลักการว่าธนาคารกลางต้องมีความเป็นอิสระในการดำเนินนโยบายการเงินเพื่อรักษาเสถียรภาพของระดับราคา ซึ่งส่วนใหญ่ก็ยึดหลัก Inflation Targeting ซึ่งมีความเป็นอิสระในเชิงเครื่องมือ (Instrumental Independence) แต่ต้องอยู่ในกรอบอัตราเงินเฟ้อที่ตกลงกับรัฐบาล หากเงินเฟ้อจริงเบี่ยงเบนไปจากกรอบนี้ ต้องถือว่าความเป็นอิสระนั้นจบลง

ส่วนบทบาทอื่น โดยเฉพาะการกำกับดูแลและพัฒนาสถาบันการเงินนั้น หลายประเทศ ทั้งสหรัฐอเมริกา, ยุโรป และญี่ปุ่น มีหน่วยงานเฉพาะรับผิดชอบ และอยู่นอกบทบาทหลักตามกฎหมายของธนาคารกลาง 

ดังนั้นความเป็นอิสระของธนาคารกลาง จึงจำกัดอยู่ที่การดำเนินนโยบายการเงินเพื่อรักษาเสถียรภาพของราคา การแบ่งแยกอำนาจหน้าที่ดังกล่าวได้ช่วยหลีกเลี่ยงความขัดแย้งเชิงผลประโยชน์ (Conflict of Interest) และป้องกันความขัดแย้งกับนโยบายการคลังได้เป็นอย่างดี

ฉะนั้น จึงสามารถตอบคำถามว่าทำไมแบงก์ชาติไม่ลดดอกเบี้ยได้ด้วยเหตุผล 3 ประการ...

ประการแรก แบงก์ชาติกลัวหนี้ครัวเรือนสูงขึ้นจนเป็นฟองสบู่ ในหลายประเทศการแก้ไขปัญหาหนี้ไม่ใช่เป็นหน้าที่ธนาคารกลาง แต่เป็นหน้าที่ของรัฐบาลและหน่วยงานกำกับดูแลสถาบันการเงิน

ประการที่สอง การที่แบงก์ชาติทำหน้าที่กำกับดูแลสถาบันการเงิน ทำให้เกิดความสนิทสนมในฐานะผู้กำกับและผู้ถูกกำกับ ความสนิทสนมดังกล่าวนานเข้าจะนำไปสู่ความเกรงใจเจ้าของและผู้บริหารของสถาบันการเงินนั้น ๆ แน่นอนการลดดอกเบี้ยนโยบายย่อมนำไปสู่การลดดอกเบี้ยแบงก์ ซึ่งจะทำให้แบงก์มีกำไรลดลง

ประการสุดท้าย กฏหมายธนาคารแห่งประเทศไทย แก้ไขครั้งสุดท้ายกว่า 20 ปีมาแล้วภายหลังวิกฤตต้มยำกุ้ง จึงได้มีการนำเป้าหมายทางการเงินหลายอย่างมากระจุกรวมไว้ในบทบาทหน้าที่ของแบงก์ชาติ ดังนั้น การใช้เครื่องมือนโยบายการเงินที่มีอยู่จำกัดไปรับใช้เป้าหมายหลาย ๆ เป้าหมาย ย่อมทำให้งานหลักของธนาคารกลางขาดประสิทธิภาพ และนำมาซึ่งความขัดแย้งเชิงผลประโยชน์ดังกล่าว

ขอเรียกร้องให้รัฐบาลแก้กฎหมายธนาคารแห่งประเทศไทยอย่างรีบด่วน โดยลดบทบาทของแบงก์ชาติ และให้มุ่งเน้นในเรื่องนโยบายการเงินเพื่อรักษาเสถียรภาพของราคาเพียงเรื่องเดียว จนกว่าจะแก้กฎหมายเสร็จในระหว่างนี้ก็ขอให้แบงก์ชาติและลิ่วล้อยุติการเรียกร้องความเป็นอิสระ และหยุดการโยนความผิดของตนไปให้ผู้อื่น รวมทั้งหยุดวิวาทะที่บั่นทอนความเชื่อมั่นในเศรษฐกิจไทย

‘เจอโรนิโม’ วีรบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ของชาวอินเดียแดง  ผู้ยอมมอบตัว เพื่อปกป้องรักษา ชีวิตของคนทั้งเผ่า 

(3 มี.ค. 67) รองศาสตราจารย์ ดร. สุวินัย ภรณวลัย อดีตอาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้โพสต์ข้อความเกี่ยวกับ ชีวประวัติ ของ เจอโรนิโม วีรบุรุษผู้ยอมอดกลั้นทุกอย่าง เพื่อรักษาชีวิตของคนทั้งเผ่า โดยระบุว่า ...

การตัดสินใจ "ไม่ทำสงคราม" มีความสำคัญพอๆหรือสำคัญยิ่งกว่าการตัดสินใจ "ทำสงคราม" ด้วยซ้ำ สิ่งนี้สะท้อนวุฒิภาวะของผู้นำ ที่การตัดสินใจของเขามีอนาคตของเผ่าพันธุ์หรือประเทศของตนเป็นเดิมพัน ในมุมมองของผู้นำทัพสูงสุด สงครามมีแค่สองประเภทเท่านั้น คือ "สงครามที่ไม่ทำสงคราม" กับ "สงครามที่ทำสงคราม"

เครซี่ ฮอร์ส (1840-1877) รู้จักแต่สงครามประเภทหลังเท่านั้น ชีวิตของเขาจึงต้องจบสิ้นตั้งแต่วัยฉกรรจ์

กษัตริย์พม่าพระองค์สุดท้ายก็ทรงรู้จักแต่สงครามประเภทหลังเท่านั้น จึงต้องเสียท่าแก่จักรวรรดินิยมอังกฤษ และทำให้สถาบันกษัตริย์ถึงแก่การล่มสลายในพม่าไปตลอดกาล

ขณะที่กษัตริย์ไทยในราชวงศ์จักรีทรงมีพระปรีชาญาณและวิสัยทัศน์ที่มองการณ์ไกล จึงทรงรู้จักสงครามทั้งสองประเภท คือ "สงครามที่ไม่ทำสงคราม" กับ "สงครามที่ทำสงคราม" ทำให้สามารถนำพาบ้านเมืองรอดจากปากเหยี่ยวปากกามาได้ไม่ต้องตกเป็นเมืองขึ้น ... เกาะกูดยังเป็นของไทยก็เพราะเหตุนี้ด้วย

เกริ่นมาเสียยืดยาว ก็เพื่อที่จะแนะนำให้ผู้อ่านได้รู้จักเรื่องราวของ "เจอโรนิโม" หนึ่งในสี่ของนักรบชาวพื้นเมืองอเมริกาผู้ยิ่งใหญ่ และสงครามทั้งสองประเภทของเขา 
ในปี ค.ศ. 1858 เจอโรนิโม (1829-1909) ผู้เป็นนักรบอาปาเช่เพิ่งเดินทางกลับจากการไปแลกเปลี่ยนสินค้าที่เม็กซิโก เขาพบว่าแม่ เมีย และลูกทั้งสามคนของเขาถูกพวกทหารสเปนชาวผิวขาวจากเม็กซิโกฆ่าตายอย่างโหดเหี้ยม ป่าเถื่อน 

คนขาวเหล่านั้นกระทำกับผู้หญิง คนแก่และเด็กราวกับสัตว์ป่ากระหายเลือด หลังจากนั้นมา เจอโรนิโมได้สาบานกับตัวเองว่าเขาจะฆ่าคนขาวให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ และมันก็เป็นจริงตามนั้น

หลังจากนั้นเจอโรนิโมจะใช้ทุกโอกาสที่มีเข้าโจมตีและฆ่าทหารของกองทัพของเม็กซิโก เจอโรนิโมโดนทหารเม็กซิกันจับได้หลายครั้ง แต่เขาก็ใช้ความสามารถเฉพาะตัวหลบหนีออกมาได้ทุกครั้ง และกลับไปล้างแค้นต่อ จนคนขาวเข็ดขยาดในความเก่งกาจและโหดเหี้ยมของนักรบอาปาเช่

อาปาเช่เป็นภาษาของเผ่าชิริคาฮัว ... "อาปาเช่" มีความหมายว่า "คนปากกว้าง" 
เจอโรนิโมเป็นวีรุบุรุษผู้กล้าหาญและหัวหน้าเผ่าชิริคาฮัว อาปาเช่ ในศตวรรษที่ 19 ที่กล้าเปิดสงครามต่อสู้กับทหารอเมริกันและทหารเม็กซิโกที่พยายามขยายดินแดนล่วงล้ำเข้าไปยังดินแดนของอาปาเช่ จนรู้จักกันในชื่อของ "สงครามอาปาเช่" 

เจอโรนิโม (Geronimo) หรือโกยาทเล เกิดเมื่อวันที่ 16 มิถุนายน 1829 ในเผ่าอาปาเช่ (Apache) สาขาเบดอนโคเฮ (Bedonkohe) ในดินแดนที่เป็นรัฐนิวเม็กซิโกในปัจจุบันนี้ 
ในเวลานั้น สหรัฐอเมริกากำลังทำสงครามกับเม็กซิโกเพื่อขยายดินแดนไปทางตะวันตก และพยายามขับไล่กวาดล้างชาวพื้นเมืองอเมริกา (อินเดียนแดง) ออกไปจากพื้นที่ดังกล่าว ทำให้ชาวพื้นเมืองบางส่วนต้องลุกขึ้นต่อสู้เพื่อปกป้องดินแดนของตนจากผู้รุกราน โดยการดักปล้นเสบียงและอาวุธจากฝ่ายอเมริกา

จุดเริ่มต้นที่ทำให้เจอโรนิโม (โกยาทเล) กลายมาเป็นนักรบนั้นเกิดขึ้นในปี 1858 ตอนเขาอายุ 29 ปี ขณะที่เขาและผู้ชายชาวอาปาเช่บางส่วนได้เดินทางไปทำการค้าขายในเมืองอยู่นั้น ปรากฏว่ามีกองทหารเม็กซิโกเข้าโจมตีค่ายของอาปาเช่และสังหารคนในค่ายจนหมด ถึงรวมถึงแม่ ภรรยาและลูก ๆ ของเจอโรนิโมด้วย จึงทำให้ชาวเผ่าอาปาเช่สาขาต่าง ๆ ได้แก่ เบดอนโคเฮ โชโกเนน (Chokonen) และเน็ดนี (Nedni) ประกาศร่วมมือกันเพื่อทำสงครามตอบโต้เม็กซิโกตั้งแต่ปี 1859 เป็นต้นมา 

ซึ่งเจอโรนิโมก็ได้เป็นหนึ่งในผู้นำของชาวอาปาเช่ในการเข้าโจมตีและปล้นสะดมชาวเม็กซิโกอย่างต่อเนื่องโดยที่รัฐบาลเม็กซิโกไม่สามารถจับกุมตัวได้ และในช่วงเวลาดังกล่าวนั้นเอง พวกชาวเม็กซิโกก็ตั้งฉายาของโกยาทเลว่า “เจอโรนีโม” ซึ่งกล่าวกันว่าเกิดจากคำอุทานของทหารเม็กซิกันที่มักจะขอความกรุณาจากเซนต์เจโรม (Jerome) นั่นเอง

เจอโรนิโม คือชายผู้ไม่ยอมแพ้แก่อเมริกันชนผู้มาปล้นชิงแผ่นดินเกิด โดยอินเดียแดงบางเผ่าถึงกับถูกคนขาวฆ่าล้างเผ่าพันธุ์จนไม่เหลือใครสักคนเดียว

ในช่วงปลายสงคราม เหลือชาวอินเดียนแดงอยู่แค่ไม่กี่เผ่าเท่านั้น พวกเขายังคงใช้ชีวิตต่อสู้กับชาวยุโรปตลอดมา และหนึ่งจำนวนนั้นคือ เจอโรนิโม หัวหน้าเผ่าอาปาเช่ ชายที่ใช้เวลาเกือบทั้งชีวิตในการปกป้องผืนแผ่นดินบ้านเกิด 

เจอโรนิโมเป็นชาวอินเดียนแดงที่สหรัฐและเม็กซิโกต้องการจับตัวมากที่สุด ต้องการขนาดยอมร่วมมือกันเพื่อออกตามล่าตัวเจอโรนิโมอย่างเร่งด่วน เพราะเจอโรนิโมเป็น 1 ในแกนนำของ 3 ชนเผ่าอย่างที่ได้รวมตัวกัน เพื่อต่อสู้ทำสงครามอาปาเช่กับสหรัฐและเม็กซิโกอย่างถึงที่สุด 

สงครามอาปาเช่นี้เริ่มต้นในปี 1859 จนถึงปี 1862 มีแกนนำหลายคนเสียชีวิตและถูกจับกุมตัว แต่มีเพียง เจอโรนิโมเท่านั้นที่ยังคงหยัดยืนเป็นแกนนำหลักของทั้ง 3 เผ่าทำสงครามอาปาเช่อย่างไม่หยุดหย่อน จนกลางปี 1862 สหรัฐและเม็กซิโกได้เสนอการทำสนธิสัญญาสันติภาพเพื่อขอสงบศึกกับทั้ง 3 เผ่าอินเดียนแดง 

หัวหน้าเผ่าทุกคนยอมรับข้อเสนอดังกล่าว แต่ทั้งนี้มีข้อแม้ว่าหัวหัวหน้าเผ่าโชโกเนนจะไม่เดินทางไปทำสนธิสัญญาด้วย จะมีเพียงหัวหน้าเผ่าของเบคอนโคเฮกับหัวหน้าเผ่าเน็ดนีเดินทางไปเท่านั้น

ตัวแทนจากทั้ง 2 เผ่าออกเดินทางไปทำสนธิสัญญา และก็เป็นไปตามคาดคณะของหัวหน้าเผ่าทั้งสองที่ยกไปทำสนธิสัญญาสงบศึกได้ถูกลอบสังหารจนหมดสิ้น
จากนั้นยังกองทหารสหรัฐ-เม็กซิโกยังยกทัพไปกวาดล้างชนเผ่าอาปาเช่ต่อ
ครั้นพอทราบข่าวหัวหน้าเผ่าโชโกเนน เขาจึงฝากฝังเจอโรนิโมให้พาเด็กและสตรีหลบหนีไปก่อน ส่วนเขาได้ยกพวกเข้าต่อสู้กับทหารอเมริกันจนเสียชีวิตในสนามรบ
ทำให้เจอโรนิโมกลายเป็นหัวหน้าเผ่าของอาปาเช่เพียงคนเดียวที่เหลือรอดอยู่ในปี 1862 ตอนนั้นเจอโรนิโมอายุ 33 ปี

ภารกิจหนึ่งเดียวที่เหลือหลังจากนั้นของเจอโรนิโมในฐานะผู้นำสูงสุดของเผ่าอาปาเช่ คือต้องดิ้นรนทุกวิถีทางเพื่อปกป้องชนเผ่าที่เหลือให้อยู่รอดให้จงได้ 
เจอโรนีโมต้องพาคนในเผ่าของเขาการอพยพย้ายที่อยู่บ่อยครั้ง เพื่อหนีการตามไล่ล่าของพวกทหารผิวขาว

เจอโรนีโมได้พยายามปกป้องชาวอาปาเช่ที่ยังหลงเหลืออยู่เพียงน้อยนิดอย่างกล้าหาญ แม้จะต้องอพยพหลบหนีภัยสงครามอยู่หลายครั้ง ทำให้ฝ่ายเม็กซิโกและอเมริกาที่ต้องการจับตัวของเจอโรนีโมต้องใช้เวลาตามล่าและพบกับความสูญเสียไปไม่น้อย กว่าที่นายพลเนลสัน ไมลส์ จะนำกำลังเข้าล้อมจับชาวอาปาเช่ได้ที่สเกเลตัน แคนยอน รัฐอริโซนา เมื่อปีกันยายน ปี 1886 ขณะนั้นเจอโรนิโมอายุ 57 ปี

ถึงจะรบไม่เคยแพ้ แต่เจอโรนิโม กลับยอมมอบตัว แต่โดยดี
เจอโรนีโมจำต้องยอมให้ทหารอเมริกันจับกุมตัวเพื่อรักษาชีวิตของชาวอาปาเช่ที่เหลือทั้งหมด ... นี่คือ "สงครามที่ที่ไม่สู้สงคราม" ของเจอโรนิโม

เมื่อนายพลเนลสัน ไมลส์ ให้สัญญาลมๆ แล้งๆ ว่า จะได้กลับไปอยู่ร่วมกับครอบครัวใหม่และสมาชิกในเผ่า ซึ่งถูกบังคับให้ต้องเดินทางไกลย้ายถิ่นฐานจากเขตสงวนในรัฐอริโซนาไปที่รัฐฟลอริดา อันเป็นส่วนหนึ่งของเส้นทางของน้ำตาและความตาย 

แต่แล้วกองทัพสหรัฐก็กลืนน้ำลายตัวเอง ไม่ได้รักษาคำสัญญานั้น กลับจับวีรบุรุษผู้กล้าของอาปาเช่อย่างเจอโรนิโมไปขังคุกในฐานะเชลยสงคราม แถมยังขยันย้ายคุกไปเรื่อยๆ จนกระทั่งเห็นว่าเจอโรนิโมแก่ตัวไร้พิษสงและเขี้ยวเล็บแล้วจึงถูกย้ายไปอยู่ที่ฟอร์ท ฮิลล์ รัฐโอคลาโฮมาเป็นแห่งสุดท้าย 

เจอโรนีโมได้ถูกนำตัวออกแสดงต่อสาธารณชนที่ต้องการชมหัวหน้าชาวอาปาเช่ผู้มีชื่อเสียงอยู่หลายครั้ง รวมถึงในปี 1905 เจอโรนีโม ยังได้เขียนบันทึกอัตชีวประวัติของตัวเขาเองเอาไว้เกี่ยวกับประวัติชีวิตและยุทธวิธีในการรบของเขา

เจโรนิโม ปล่อยให้ชีวิตผ่านไปวันๆ อย่างดีก็แค่ไปร่วมงานฉลองเล็กๆ น้อยๆ ของอินเดียนแดง ระหว่างนั้นเขาเคยปรารภหลายครั้งว่าสิ่งเดียวที่เสียใจที่สุดในชีวิตก็คือการหลงเชื่อน้ำคำของนายพลอเมริกันจนสมัครใจยอมแพ้แล้วถูกหักหลัง ทำให้ตัวเขาไม่ได้ตายในสนามรบอย่างกล้าหาญ 

สิ่งเดียวที่ปลอบประโลมใจเขาไว้ได้ คือการที่เขาสามารถรักษาชีวิตของคนในเผ่าอาปาเช่ที่เหลืออยู่น้อยนิดไม่ให้ถูกกวาดล้างจนสิ้นเผ่าพันธุ์ได้ เพราะเขาเลือกที่จะไม่ต่อสู้จนตัวตายในสนามรบเอง

และแล้ววันหนึ่งในปี 1909 ขณะขี่ม้ากลับบ้าน เจอโรนิโม ผู้ชราในวัย 80 ปีก็ถูกม้าสลัดตกต้องนอนกลางดินท่ามกลางความหนาวเย็นถึงหนึ่งคืนกว่าจะได้รับการช่วยเหลือ แต่เจอโรนิโม ก็เสียชีวิตหลังจากนั้นด้วยโรคปอดบวม หลังจากที่ต้องอยู่ในฐานะนักโทษของอเมริกาเป็นเวลากว่า 23 ปี เป็นการปิดตำนานของนักรบผู้ปกป้องพื้นแผ่นดินชาวอินเดียนแดงคนสุดท้ายแต่เพียงเท่านี้

เครซี่ ฮอร์ส เป็นนักรบอินเดียนแดงที่ยิ่งใหญ่ เพราะไร้พ่ายก็จริง
แต่เจอโรนิโม เป็นนักรบที่ยิ่งใหญ่กว่าเครซี่ ฮอร์ส อีก 
เพราะ เขา ‘ปกป้องชีวิต’ และ ‘รักษาชีวิต’ ของเผ่าพันธุ์เอาไว้ได้ ด้วยการทำ ‘สงครามที่ไม่สู้สงคราม’

แถมยังสามารถเขียนบันทึกอัตชีวประวัติของตนเองให้คนรุ่นหลังได้รับรู้ถึงความโหดร้ายและความยากลำบากชนิดเลือดตาแทบกระเด็นของการปกป้องแผ่นดินเกิดและการรักษาเผ่าพันธุ์

นิยามของวีรบุรุษ มี 2 แบบ วีรบุรุษระห่ำที่ไม่กลัวตาย ไม่เสียดายชีวิต กับวีรบุรุษผู้ยอมอดกลั้นทุกอย่างเพื่อความผาสุกของคนทั้งหมด

ผู้มีปัญญาย่อมรู้เองว่า วีรษรุษแบบไหนคือวีรบุรุษที่แท้จริง

ด้วยจิตคารวะ

สุวินัย ภรณวลัย

'รมว.ปุ้ย' เดินหน้า 'Green Win' วินสองล้อพลังงานสะอาดพิฆาตฝุ่นพิษ นำร่อง กทม. ก่อนขยายผลต่อทั่วประเทศ ด้าน ก.อุตฯ หนุนเต็มที่

(3 มี.ค.67) นางสาวพิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานและสักขีพยานในพิธีลงนามความร่วมมือในโครงการ Green Win เพื่อลดปัญหามลพิษ PM 2.5 ระหว่างสมาคมผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์รับจ้างแห่งประเทศไทย โดยนายเฉลิม ชั่งทองมะดัน นายกสมาคมฯ กับ บริษัท สตรอมไทยแลนด์ จำกัด และ บริษัท ออสก้า โฮลดิ้ง จำกัด ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฯ โดยมีนายดนัยณัฏฐ์ โชคอำนวย ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม, นายเอกภัทร วังสุวรรณ, นายบรรจง สุกรีฑา, นายใบน้อย สุวรรณชาตรี, นางสาวณัฏฐิญา เนตยสุภา รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม และคณะผู้บริหารกระทรวงอุตสาหกรรม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมงานในครั้งนี้ด้วย ณ ห้อง อก.1 ชั้น 2 และ ห้องโถง ชั้น 1 และอาคารสำนักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม

รมว.พิมพ์ภัทรา กล่าวว่า นับเป็นความก้าวหน้าที่ทุกคนได้ร่วมมองไปข้างหน้าเพื่อหาทางออกและร่วมกันแก้ไขปัญหา PM 2.5 ที่กำลังเป็นปัญหาอยู่ในขณะนี้ และนี่คือโอกาสที่ผู้พัฒนาเทคโนโลยีต้องร่วมกันพัฒนาในทิศทางพลังงานสะอาด เนื่องจากการใช้รถจักรยานยนต์พลังงานไฟฟ้าเป็นทางเลือกที่สำคัญ โดยเฉพาะผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์รับจ้างในกรุงเทพมหานคร ซึ่งมีส่วนเชื่อมโยงการขนส่งและการเดินทางโดยระบบขนส่งสาธารณะ และเป็นกลุ่มที่มีบทบาทสำคัญในการผลักดันส่งเสริมการใช้พลังงานสะอาดสู่การใช้จักรยานยนต์ไฟฟ้า ลดภาระค่าใช้จ่ายด้านพลังงาน และค่าซ่อมบำรุง ซึ่งเป็นจุดแข็งสำหรับทางเลือกของผู้ประกอบอาชีพจักรยานยนต์รับจ้างไม่เฉพาะใน กทม.เท่านั้น แต่ยังสามารถขยายผลไปได้ทั่วประเทศ ซึ่งกระทรวงอุตสาหกรรมพร้อมสนับสนุนในทุกด้าน 

“การทำให้อากาศบริสุทธิ์ ไม่ใช่ภาระของใครคนใดคนหนึ่ง แต่เป็นความร่วมมือของประชาชน ผู้ประกอบการ และรัฐบาล ในส่วนของกระทรวงอุตสาหกรรมได้ส่งเสริมเรื่องนี้มาอย่างต่อเนื่อง โดยคณะกรรมการนโยบายยานยนต์ไฟฟ้าแห่งชาติ ได้มีการขับเคลื่อนมาตั้งแต่ปี 2564 ตั้งเป้าผลิตและการใช้ยานยนต์ที่ปล่อยมลพิษเป็นศูนย์ การส่งเสริมการลงทุนสำหรับยานยนต์ไฟฟ้าและชิ้นส่วน ส่งเสริมการใช้ยานยนต์ไฟฟ้า (มาตรฐาน EV3 และ EV3.5) การกำหนดมาตรฐานการใช้งานและความปลอดภัย โดยกระทรวงอุตสาหกรรม มุ่งมั่นอย่างเต็มที่เพื่อเป็นหนึ่งในผู้นำของการพัฒนาสู่การเปลี่ยนผ่านในภูมิภาคนี้ ด้วยการเดินหน้าสู่ยุคพลังงานสะอาดเพื่อส่งต่ออากาศบริสุทธิ์ให้กับลูกหลานต่อไป” นางสาวพิมพ์ภัทรา กล่าว  

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ได้กล่าวขอบคุณทุกหน่วยงานที่เล็งเห็นความสำคัญและร่วมกันสนับสนุน 'โครงการ Green Win' (วินเขียว กทม.) เพื่อลดปัญหามลพิษ PM 2.5 ซึ่งนับเป็นก้าวสำคัญของภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน เพื่อร่วมกันหาทางแก้ไขปัญหา PM 2.5 และสร้างโอกาสในการพัฒนาเทคโนโลยี เพื่อให้โครงการสำเร็จและเป็นประโยชน์แก่ประเทศต่อไป

นักท่องเที่ยว - ปชช. ที่โคราช วิ่งหนีตาย แตกตื่น อลหม่าน เพราะเข้าใจว่า เกิดเหตุ กราดยิง ซ้ำรอยในอดีต ขึ้นอีกครั้ง

ช่วงค่ำวานนี้ (2 มี.ค.67) เกิดเหตุยิงกันบริเวณหน้าศูนย์การค้าเทอร์มินอล 21 จ.นครราชสีมา ทำให้ประชาชนซึ่งอยู่ภายใน ต่างวิ่งหลบหนีตามจุดต่างๆ หลังเกิดเหตุ ตำรวจ และหน่วยกู้ภัยเมตตา ได้เข้าตรวจสอบ

พบผู้บาดเจ็บ 1 คน คือ นายณัฐดนัย เหล็กกล้า อายุ 30 ปี ถูกยิงด้วยอาวุธปืนลูกซองสั้นไทยประดิษฐ์ บริเวณคาง และไหล่ขวา ก่อนถูกนำตัวส่งโรงพยาบาล นายณัฐดนัย บอกว่า ตัวเองเป็นฝ่ายรักษาความปลอดภัยของโรงแรมแห่งหนึ่ง

ก่อนหน้านี้ เห็น นายศุภพรพงษ์ ซึ่งเป็นเชฟของโรงแรมเดียวกัน นำสุราเข้าไปดื่มภายในที่ทำงาน 2-3 ครั้ง จึงได้ตักเตือน และรายงานให้หัวหน้างานทราบ ทำให้นายศุภพรพงษ์ ถูกไล่ออกจากงาน และมีปากเสียงกับตัวเอง จากนั้นผู้ก่อเหตุได้กลับไปที่ห้องพักซึ่งอยู่ด้านหลังศูนย์การค้าฯ ก่อนนำปืนลูกซองสั้น มายิงตัวเองได้รับบาดเจ็บ แล้วขี่รถจักรยานยนต์หลบหนีไปทาง บขส.นครราชสีมา แห่งที่ 2 ซึ่งขณะนี้ตำรวจ อยู่ระหว่างติดตามตัว

สำหรับศูนย์การค้าแห่งนี้ เป็นที่เดียวกับเหตุการณ์ที่มีทหารนายหนึ่ง ได้มาซ่อนตัวหลังก่อเหตุยิงผู้บังคับบัญชาเสียชีวิตจากปมขัดแย้งเรื่องบ้านพักทหาร เมื่อวันที่ 8 ก.พ.2563 เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิต รวม 30 คน และบาดเจ็บอีก 58 คน

สถานทูตเมียนมา ส่งหนังสือลับถึง ก.ต่างประเทศไทย ห้ามจัดกิจกรรม  หวั่นกระทบความสัมพันธ์ ‘ปานปรีย์’ ไม่ไปร่วมงาน ด้าน ‘โรม’ ย้ำทำเพื่อสันติ

เมื่อวันที่1 มี.ค. 67 หนังสือราชการลับที่สถานเอกอัครราชทูตเมียนมาประจำประเทศไทยส่งถึงกระทรวงการต่างประเทศของไทย ลงวันที่ 1 มีนาคม 2024 นั้น มีเนื้อความระบุว่า กระทรวงการต่างประเทศของเมียนมา ขอคัดค้านอย่างรุนแรงต่อรัฐสภาของไทย ที่จะจัดสัมมนาดังกล่าว โดยระบุว่า จะสร้างผลกระทบต่อความสัมพันธ์ทวิภาคี ระหว่างเมียนมากับไทย และขอให้รัฐบาลไทยแจ้งให้รัฐสภาทราบถึงความกังวลของรัฐบาลเมียนมา และไม่ให้จัดกิจกรรมใดๆ ที่อาจขัดขวางความสัมพันธ์อันดีในอนาคต

สำหรับงานสัมมนาเมื่อวานนี้ นายปานปรีย์ พหิทธานุกร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ซึ่งเดิมมีกำหนดขึ้นกล่าวปาฐกถาพิเศษ แต่ได้ยกเลิกหมายดังกล่าวไปโดยไม่ได้ระบุเหตุผล 

ขณะที่กระทรวงการต่างประเทศไทยปฏิเสธที่จะแสดงความคิดเห็น เช่นเดียวกับ โฆษกกองทัพเมียนมาที่ยังไม่ออกมา แสดงความเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่อย่างใด

ทั้งนี้ เมียนมาตกอยู่ในสถานการณ์วุ่นวายนับตั้งแต่กองทัพก่อรัฐประหารยึดอำนาจจากรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งเมื่อปี 2021 

ด้าน รศ.ดร.ดุลยภาค ปรีชารัชช อาจารย์ประจำโครงการเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่า การสัมมนาที่รัฐสภาจัดขึ้นนั้นขัดแย้งกับความต้องการของรัฐบาลไทยที่ต้องการจะมีส่วนร่วมกับรัฐบาลทหารเมียนมา โดยการทำงานร่วมกับกองทัพเมียนมาและกลุ่มอื่นๆ เพื่อปูทางไปสู่การเจรจาร่วมกัน 
.
“การสัมมนาที่จัดโดยคณะกรรมาธิการความมั่นคงแห่งรัฐสภาเป็นการเปิดพื้นที่ให้กับกลุ่มสนับสนุนประชาธิปไตยมากขึ้น” รศ.ดร.ดุลยภาค กล่าว

สำหรับงานดังกล่าว รัฐสภาไทยได้เชิญตัวแทนของกลุ่มต่อต้านรัฐบาลทหารเมียนมามาร่วมพูดคุยด้วย 

“สิ่งที่เราทำในวันนี้เป็นก้าวแรกในการนำผู้มีส่วนได้ส่วนเสียต่างๆ มาพูดคุยกัน” รังสิมันต์ โรม ประธานคณะกรรมาธิการความมั่นคงแห่งรัฐ กิจการชายแดนไทย ยุทธศาสตร์ชาติ และการปฏิรูปประเทศ สภาผู้แทนราษฎร ซึ่งเป็นผู้จัดการสัมมนา กล่าว “มันจะปูทางไปสู่การแก้ปัญหาทางการเมืองสำหรับเมียนมาอย่างสันติและยั่งยืน” 

การสัมมนา ‘3 ปีหลังรัฐประหาร สู่ประชาธิปไตยเมียนมา และผลกระทบต่อความมั่นคงตามแนวชายแดนไทย’ จัดขึ้นเป็นเวลา 2 วัน ในวันที่ 2-3 มีนาคม 2024 วิทยากรประกอบด้วยเจ้าหน้าที่ระดับสูงในรัฐบาลเอกภาพแห่งชาติ (National Unity Government: NUG) หรือรัฐบาลเงาเมียนมา และกองกำลังติดอาวุธของกลุ่มชาติพันธุ์ แต่ไม่มีตัวแทนจากรัฐบาลเมียนมา

ชาวภูเก็ต หลายร้อยคน รวมตัวแสดงพลัง หน้าวิลล่าหรู ที่เกิดเหตุ เพื่อให้กำลังใจ หมอที่ถูกฝรั่งทำร้าย พร้อมประกาศจุดยืน คนไทยคือเจ้าของประเทศ 

(3 มี.ค.67) เมื่อช่วงเช้าของวันนี้ เวลาประมาณ 09.00 น. บริเวณแหลมยามู ชาวภูเก็ตนัดรวมตัวเพื่อแสดงจุดยืนอย่างสันติและสงบ ว่า ที่นี่คือแผ่นดินไทย คนไทยคือเจ้าของประเทศนี้ มาดีเราต้อนรับ มาไม่ดีเชิญไปที่อื่น อย่ามาสร้างปัญหาในบ้านเมืองของเรา

กิจกรรมในครั้งนี้ มีประชาชนรวมตัวกันกว่า 200 คน เพื่อแสดงจุดยืน มีการร่วมร้องเพลงชาติไทย ชูธงชาติไทย บริเวณบันได ริมชายหาดด้านหน้าวิลล่าหรู ที่เกิดเหตุชาวต่างชาติทำร้ายหมอชาวไทย ทั้งนี้ชาวภูเก็ตที่เดินทางมารวมตัว ยังได้ชูป้ายมีข้อความทวงคืนหาดยามู และข้อความขับไล่ชาวต่างชาติ สัญชาติสวิส ขณะที่เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองและตำรวจได้เดินทางมาดูแลความสงบเรียบร้อย ในกิจกรรมการรวมตัวแสดงพลัง ดังกล่าว

พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ สส.บัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ  กล่าวขณะ ลงพื้นที่ช่วยเหลือชาวบ้าน ที่ จ.หนองคาย 

(3 มี.ค.67) เมื่อเวลาประมาณ12.52 น. ที่จังหวัดหนองคาย พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ สส.บัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.)ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่ส.ส.ฝ่ายค้าน ระบุว่าไม่เจอ พล.อ.ประวิตร ในสภาฯ ว่า “แล้วเกี่ยวอะไรกับพวกคุณ ผมจะไปหรือไม่ไป มันผิดหรือเปล่า”

เมื่อถามย้ำว่า สส.พรรคก้าวไกล ประกาศถามหา พล.อ.ประวิตร กลางสภา พล.อ.ประวิตร ย้อนถามว่า “ถามหาทำไม ถ้าอยากมาหา ก็มาหาที่บ้านสิ”

 

‘อนุทิน’ ลั่น รับไม่ได้ มาเฟียต่างชาติ ที่ภูเก็ต จากเหตุกร่างทำร้ายหมอ สั่ง ผู้ว่า-อธิบดีปกครอง เร่งจัดการ ย้ำ คนเดียวเอาอยู่ ไม่ต้องถึงมือ ‘ชาดา’

(3 มี.ค.67) นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวถึงกรณีการวิพากษ์วิจารณ์ของคนภูเก็ตที่ออกมาเรียกร้องสิทธิให้ตรวจสอบประเด็นที่ดิน หลังเกิดกรณีเหตุการณ์ชาวต่างชาติทำร้ายแพทย์หญิงจนลุกลาม ว่า ตนเองได้สั่งกำชับไปแล้ว และเมื่อวานได้มีการหารือกับอธิบดีกรมการปกครองว่าในส่วนของกระทรวงมหาดไทยต้องไปจัดการตรงไหนบ้าง และนายธนกร วังบุญคงชนะ สส.บัญชีรายชื่อพรรครวมไทยสร้างชาติ ลงพื้นที่ไปก็แจ้งให้ตนเองไปตรวจสอบ เพราะพบว่าในพื้นที่มีเครือข่ายลักษณะคล้ายมาเฟีย ตนเองกำชับอธิบดีกรมการปกครองและผู้ว่าราชการจังหวัดให้ทำงานร่วมกับหลายฝ่าย พร้อมยืนยันว่า จะไม่ให้มีนักเลง ผู้มีอิทธิพลต่างชาติมามีอำนาจ อิทธิพลความประพฤติที่ไม่ดีในประเทศไทยเป็นอันขาด

นายอนุทิน ระบุด้วยว่า  โดยส่วนตัวตนเองรับไม่ได้อยู่แล้วเพราะแค่ผู้มีอิทธิพลคนไทยเรายังไม่ยอมแต่เราจะยอมให้ชาวต่างชาติมีอิทธิพลและมาทำตัวเป็นมาเฟียได้อย่างไร

ส่วนจะให้นายชาดา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ลงพื้นที่ไปดูปัญหาที่จังหวัดภูเก็ตหรือไม่นั้น นายอนุทิน ระบุว่า ไม่ต้องนายชาดาหรอกนาย อนุทินคนเดียวก็เอาอยู่แล้วเดี๋ยวจัดการ ให้ท่านชาดาดูแลผู้มีอิทธิพลคนไทยไป

“กรณีที่มีการรุกล้ำที่ดินสาธารณะต้องใช้กฎหมายเพราะปัญหาทั้งหมดคือเราไม่ได้ใช้กฎหมายอย่างเต็มที่ แต่ถ้าเราใช้กฎหมายอย่างเต็มที่ก็ไม่มีใครเอาประโยชน์จากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งได้ ฉะนั้นต้องใช้กฎหมายอย่างเต็มที่  เราเข้าใจว่าอยากได้นักท่องเที่ยวเข้ามา แต่การที่เขาจะเข้ามาก็ต้องเข้าเมืองตาหลิ่วก็ต้องหลิ่วตาตาม ซึ่งเขาต้องเคารพเมื่อเข้ามาอยู่ในประเทศไทย เพราะมีกฎหมายและวัฒนธรรมที่จะต้องทำตาม ต้องลองดูว่ามีต่างชาติมาซ่าหรือ มาแอคอาท เดี๋ยวจัดการหมด เพียงแค่ดึงวีซ่าหรือพาสปอร์ตออกก็จบแล้ว” นายอนุทิน ระบุ

‘พายัพ’ ซัด ‘ชัยธวัช’ อย่าคิดฝันหวาน จะล้มรัฐบาล เย้ย ‘ก้าวไกล’ เหมาะสมแล้วที่เป็นฝ่ายค้าน ขอให้ทำต่อไปนานๆ 

(3 มี.ค.67) นายพายัพ ปั้นเกตุ ที่ปรึกษารองนายกรัฐมนตรี กล่าวกรณีนายชัยธวัช ตุลาธน หัวหน้าพรรคก้าวไกล และ สส.ของพรรคหลายคนที่ออกมาวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของรัฐบาลนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โดยอ้างว่าจะมีนายกฯ 2 คน ว่า เป็นเจตนาหวังผลทางการเมือง ต้องการทำให้เกิดความสับสนหวาดระแวงขึ้นในรัฐบาลและพี่น้องประชาชน จึงขอให้หัวหน้าพรรคและ สส.พรรคก้าวไกลหยุดการกระทำ เลิกยุแยงตะแคงรั่ว ลงทุนตอกลิ่มหวังผลให้รัฐบาลสั่นคลอน

“ขอให้ตื่นกันได้แล้ว อย่าฝันหวานเรื่องการสั่นคลอนรัฐบาลเลย เพราะนายเศรษฐาเป็นคนตั้งใจทำงาน การคิดเช่นนั้นเหมือนฝันกลางแดด พรรคก้าวไกลเหมาะสมที่จะทำหน้าที่ฝ่ายค้าน ก็ขอให้ทำต่อไปนานๆ จนครบวาระ 4 ปี”

นายพายัพ ยังกล่าวต่ออีกว่า หากมีเวลาว่างก็ควรเอาเวลาเตรียมข้อมูลข้อกฎหมายไว้ต่อสู้คดีล้มล้างการปกครอง อย่าไปห่วงรัฐบาลหรือนายกฯ เลย เพราะพรรคเพื่อไทยต่อสู้ทางการเมืองเพื่อประเทศชาติและประชาชนมายาวนาน จึงมุ่งมั่นที่จะเป็นรัฐบาลเพื่อแก้ไขปัญหาให้ประชาชน พัฒนาประเทศไทย นำพาพี่น้องประชาชนให้หลุดพ้นจากความยากจน และก้าวไปข้างหน้าเทียบเท่านานาอารยประเทศ


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top