Saturday, 29 June 2024
TheStatesTimes

ธรรมะประจำวันอาทิตย์ ที่ 10 กรกฎาคม 2565 : หลวงปู่ชา สุภทฺโท

เขานินทาต้องหยุดนิ่ง 
พิจารณาดูว่าเขาว่าอะไรกัน
ถ้าไม่เป็นจริงก็แล้วไป
ถ้าเป็นจริงอย่างเขาว่า 
ก็แก้ไขตัวเราเสีย
ก็หมดเรื่อง เท่านั้นเอง

หลวงปู่ชา สุภทฺโท
 

ค่ายสมันตรัฐบุรินทร์ กองพันทหารราบที่ 2 กรมทหารราบที่ 5 จัดกิจกรรม 'OPEN HOUSE เปิดบ้านทหารใหม่'

8 ก.ค.65 ที่ ค่ายสมันตรัฐบุรินทร์ กองพันทหารราบที่ 2 กรมทหารราบที่ 5 ต.คลองขุด อ.เมือง จ.สตูล พ.อ.เรวัตร เซ่งเข็ม ผบ.ร.5 พัน.2 เป็นประธานในการจัดกิจกรรม 'OPEN HOUSE เปิดบ้านทหารใหม่' และมีนายทหารฝ่ายยุทธการและการฝึก/ผบ.ร้อย/ฝ่ายอำนวยการ,ผู้ฝึกทหารใหม่, ครูนายสิบ, ครูทหารใหม่, กำลังพล, สมาชิกแม่บ้าน ทบ.สาขา ร.5 พัน.2 และที่สำคัญ มีพ่อแม่ พี่น้อง ผู้ปกครอง และญาติน้องๆ ทหารเข้าร่วมในกิจกรรมจำนวนมาก

ตามนโยบายของผู้บัญชาการทหารบก และผู้บังคับบัญชาให้หน่วยขึ้นตรงกองทัพบกทุกระดับที่จัดตั้งหน่วยฝึกทหารใหม่ ผลัดที่ 1/65 ดำเนินการจัดกิจกรรม 'เปิดบ้านทหารใหม่' การจัดกิจกรรมเปิดบ้านทหารใหม่ในวันนี้ ถือว่ามีความสำคัญสำหรับทหารใหม่ทุกนาย โดยเฉพาะญาติๆ และผู้ปกครองน้องๆทหารใหม่ทุกท่าน ซึ่งได้เฝ้ารอคอยทหารใหม่ ตลอดระยะเวลาการฝึกทหารใหม่ตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม 2565 ถึงวันที่ 8 กรกฎาคม 2565 ตลอดระยะเวลาสองเดือนที่ผ่านมา น้องๆ ทหารใหม่ มีพัฒนาการที่ดีขึ้นทั้งทางด้านร่างกาย มีความเข้มแข็งพร้อมปฏิบัติภารกิจต่างๆ ได้ และทางด้านจิตใจ ที่มีความอดทนอดกลั้นไม่ย่อท้อต่ออุปสรรคและความยากลำบาก 

ทั้งนี้ ก็เพื่ออุทิศความสุขสบายส่วนตัวเพื่อปฏิบัติภารกิจในการป้องกันประเทศให้สมกับชายชาติทหาร โดยมีการแสดงรำมวยไทยและไหว้ครูมวยไทยและการต่อสู้โดยประยุกต์ใช้แม่ไม้มวยไทยต่างๆ ในการต่อสู้ป้องกันตัว, การต่อสู้ป้องกันตัวแบบไทยประกอบเพลง เป็นการสาธิตการปฏิบัติของแม่ไม้มวยไทยต่างๆ และ การแสดงยิงปืนฉับพลัน เป็นการปฏิบัติทางทหารที่แสดงให้เห็นถึงความแข็งแรง และมีความประสานสอดคล้องในการปฏิบัติภารกิจที่ทหารได้รับมอบหมายและมุทิตาจิต ทั้งนี้เพื่อให้ผู้ปกครองของน้องๆ ทหารใหม่ทุกท่าน ได้เห็นถึงพัฒนาการของทหารใหม่ ที่มีความเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจนตั้งแต่วันแรกที่เข้ามาเป็นทหารกองประจำการ 

กองทัพบก กองพันทหารสื่อสารที่ 1 จัดกิจกรรม 'Open House เปิดหน่วยฝึก ชมบ้านทหารใหม่'

(8 ก.ค.65) พันโท ชนินทร์ เอี่ยมวิบูลย์ ผู้บังคับกองพัน กองพันทหารสื่อสารที่ 1 จัดกิจกรรม 'Open House เปิดหน่วยฝึก ชมบ้านทหารใหม่' เพื่อให้ผู้ปกครองและญาติของทหารใหม่มีโอกาสเดินทางเข้ามาในพื้นที่ของหน่วยฝึกทหารใหม่ หลังจากที่น้องๆ ทหารใหม่ รุ่นปี 2565 ผลัดที่ 1 ได้เริ่มเข้ามาฝึกหลักสูตรทหารใหม่ตั้งแต่ 1 พฤษภาคม 2565 ที่ผ่านมา 

โดยระหว่างการฝึกที่ผ่านมาผู้ปกครองและญาติของน้องทหารใหม่ยังไม่มีโอกาสได้เข้ามาเยี่ยมและพบน้องๆ ทหารใหม่เลย เนื่องจากต้องปฏิบัติตามมาตรการป้องกันโรคของหน่วยฝึกทหารใหม่ ที่ห้ามบุคคลที่ไม่เกี่ยวข้องเข้ามายังหน่วยฝึกทหารใหม่

วันนี้จึงเป็นโอกาสอันดีที่ผู้ปกครองจะได้พบหน้าน้องๆ ทหารใหม่ โดยหน่วยได้จัดกิจกรรมเพื่อแสดงให้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงของน้องๆ รวมทั้งทักษะทางทหารที่ได้รับการฝึกสอนเมื่อเข้ามาเป็นทหาร ประกอบด้วย การแสดงแฟนซีดริว, การแสดงยิงปืนฉับพลัน, การแสดงการปฏิบัติทางทหาร, การแสดงไหว้ครูมวยไทย การศิลปะป้องกันตัวแม่ไม้มวยไทย

รู้จักกฎหมายควบคุมอาวุธปืนในญี่ปุ่น ความเข้มงวดที่คนส่วนใหญ่ยังคงยึดมั่น

แม้ ชินโซ อาเบะ’ (Shinzo Abe) อดีตนายกรัฐมนตรีของญี่ปุ่น จะเสียชีวิตจากการถูกยิงโดยอดีตTetsuya Yamagami สมาชิกของกองกำลังป้องกันตนเองทางทะเลวัย ๔๑ ปี ทั้งๆ ที่ญี่ปุ่นมีกฎหมายควบคุมอาวุธปืนที่เข้มงวดที่สุดประเทศหนึ่งในโลกนั้น อาจจะทำให้หลายคนเริ่มตั้งคำถามถึงความปลอดภัย ความน่าอยู่ และน่าไปเยี่ยมเยือนดินแดนแห่งนี้อยู่อีกหรือไม่

เกี่ยวกับเรื่องนี้ ดร.โญธิน มานะบุญ นักวิชาการอิสระ ด้านความมั่นคง และประวัติศาสตร์สงครามสมัยใหม่ ได้ไขข้อข้องใจให้เห็นถึงกฎระเบียบและทัศนคติของคนในประเทศที่เชื่อว่ายังคงแอนตี้ทั้งอาวุธและความรุนแรงอยู่ไม่เปลี่ยน โดยมีเนื้อหาระบุดังนี้…

ข่าวที่น่าจะเป็นที่สนใจมากที่สุดของเมื่อวาน คงหนีไม่พ้นเรื่องของ Shinzo Abe (ชินโซ อาเบะ) อดีตนายกรัฐมนตรีของญี่ปุ่นถูกยิงขณะกล่าวปราศรัยในเมืองนาราทางตะวันตกของประเทศ ซึ่งผมขอไม่กล่าวถึงสาเหตุหรือการเมืองของญี่ปุ่น เพราะเดี๋ยวจะมีทั้ง Guru และ ‘กูรู้’ มากมายออกมาให้ความเห็น จะขอเล่าเฉพาะเรื่องที่เกี่ยวกับกฎหมายควบคุมอาวุธปืนที่เข้มงวดมากๆ ของญี่ปุ่น

กฎหมายอาวุธของญี่ปุ่น (The Swords and Firearms Possession Control Law) เริ่มต้นด้วยการระบุว่า...

ประชาชนไม่สามารถครอบครองอาวุธปืนหรือดาบ โดยไม่ได้รับอนุญาต” และการขออนุญาตทำได้ยากมากมากๆ พลเมืองญี่ปุ่นได้รับอนุญาตให้ครอบครองอาวุธปืนสำหรับล่าสัตว์และกีฬายิงปืน แต่สามารถครอบครองได้ภายหลังจากผ่านการยื่นขออนุญาตตามขั้นตอนในการออกใบอนุญาตที่นานและยืดเยื้อแล้วเท่านั้น ส่วนหนึ่งของขั้นตอนการทดสอบ จะต้องผ่านการทดสอบในสนามยิงปืนด้วย “คะแนนอย่างน้อย 95%” มีการประเมินสุขภาพจิตจากโรงพยาบาล และผ่านการตรวจสอบประวัติอย่างละเอียด ซึ่งมีการสัมภาษณ์ครอบครัวและเพื่อนฝูง อันเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการในการขออนุญาตเช่นกัน

ใบอนุญาตครอบครองและใช้อาวุธปืน มีอายุสามปี หลังจากนั้นจะต้องผ่านการทดสอบเพื่อขอใบอนุญาตซ้ำอีกครั้ง หลังจากเป็นเจ้าของปืนลูกซองครบ ๑๐ ปีแล้ว ผู้ที่มีใบอนุญาตครอบครองอาวุธปืนจึงจะสามารถขอครอบรองปืนไรเฟิลได้ ไม่อนุญาตให้ครอบครองอาวุธปืนพกสั้นเด็ดขาด

ทั้งนี้ญี่ปุ่นถือว่าเป็นประเทศที่มี “โครงการซื้อคืนปืนเป็นครั้งแรก” ในปี ค.. 1685 และเป็นประเทศแรกในโลกที่ออกกฎหมายเกี่ยวกับอาวุธปืน ดังนั้น อัตราการครอบครองอาวุธปืนจึงต่ำมากๆ เฉลี่ยการครอบครองอาวุธปืนอยู่ที่ ๐.๖ กระบอกต่อประชากร ๑๐๐ คนเท่านั้น (สถิติในปี พ.. ๒๕๕๐) ส่งผลให้การสังหารหมู่ในญี่ปุ่นนั้น บรรดาคนร้ายจึงนิยมใช้มีดหรือวิธีการอื่นๆ ที่ไม่ใช่ปืน อย่างในปี พ.. ๒๕๕๗ ญี่ปุ่นมีผู้เสียชีวิตจากอาวุธปืนเพียงหกราย เป็นต้น

ตำรวจญี่ปุ่นที่พกอาวุธปืน

 

นอกจากนี้ ในแต่ละจังหวัด ยังสามารถเปิดร้านขายปืนได้เพียงสามร้าน แถมกระสุนปืนสามารถซื้อได้หลังจากนำปลอกกระสุนปืนที่ยิงแล้วมาแสดงด้วยเท่านั้น และหากเจ้าของอาวุธปืนเสียชีวิต ครอบครัวของพวกเขาต้องส่งมอบอาวุธปืนให้ทางการ

ในส่วนของตำรวจที่ไม่ได้ปฏิบัติหน้าที่ ก็จะไม่ได้รับอนุญาตให้พกอาวุธปืน ซึ่งโดยปกติตำรวจก็ไม่ค่อยได้ปฏิบัติหน้าที่ที่จำเป็นต้องใช้อาวุธปืนบ่อยครั้งนัก ยกเว้นหน่วยปฏิบัติการพิเศษ และโดยทั่วไปแล้วตำรวจญี่ปุ่นจะทำการจับกุมโดยไม่ใช้อาวุธปืน ซึ่งคาดว่า ตำรวจญี่ปุ่นน่าจะถูกฝึกให้มีความเชี่ยวชาญในด้านศิลปะการต่อสู้เช่น คาราเต้ หรือ ยูโด

หากย้อนกลับไปในอดีต หลังจากสมเด็จพระจักรพรรดิทรงได้พระราชอำนาจคืนจากโชกุน ได้ทำให้มีกฎหมายที่เรียกว่า พระราชกฤษฎีกายกเลิกดาบ’ (Haitorei) เป็นพระราชกฤษฎีกาที่ออกโดยรัฐบาลเมจิของญี่ปุ่นเมื่อวันที่ ๒๘ มีนาคม พ.. ๒๔๑๙ ซึ่งห้ามประชาชน ยกเว้นอดีตขุนนาง (Daimyōs) ทหาร และเจ้าหน้าที่บังคับใช้กฎหมาย พกพาอาวุธดาบไปในที่สาธารณะ ผู้ฝ่าฝืนจะถูกยึดดาบเอาไว้

Haitorei เป็นหนึ่งในขั้นตอนที่รัฐบาลดำเนินการเพื่อยกเลิกสิทธิพิเศษดั้งเดิมของชนชั้นซามูไร โดยกฎหมาย Haitorei ฉบับแรกออกในปี พ.. ๒๔๑๓ ห้ามชาวนาหรือพ่อค้าพกดาบและแต่งกายคล้ายซามูไร ซึ่งมาตรการนี้เป็นส่วนหนึ่งของความพยายามที่จะฟื้นฟูความปลอดภัยและความสงบเรียบร้อยของบ้านเมืองสำหรับประชาชนในช่วงระยะเวลาอันวุ่นวายทันทีหลังการฟื้นฟูเมจิและระหว่างสงคราม Boshin

ในปี พ.. ๒๔๑๔ รัฐบาลได้ออกพระราชกฤษฎีกา Danpatsurei อนุญาตให้ซามูไรตัดผมและไว้ผมแบบตะวันตก อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้ก็ไม่ใช่เรื่องจำเป็น เพราะเป็นการอนุญาตและสนับสนุน จากนั้นเริ่มมีการเกณฑ์ทหารเพื่อสร้างกองทัพตามแบบสากลขึ้นในปี พ.. ๒๔๑๖ โดยการสร้างกองทัพจักรวรรดิญี่ปุ่นในช่วงนั้น บรรดาซามูไรไม่สามารถผูกขาดการรับราชการทหาร ไม่ได้รับทั้งค่าจ้างค่าตอบแทนที่ขุนนางศักดินาที่เป็นเจ้านายเคยจ่ายให้กับซามูไรในสังกัด ซึ่งถกยกเลิกเช่นเดียวกันในปี พ.. ๒๔๑๖ และนำมาสู่ข้อห้ามในการพกพาดาบเป็นที่ถกเถียงกันเป็นที่ถกเถียงกันต่อมา จนสุดท้ายการพกพาดาบก็ถูกห้ามตามกฎหมายในที่สุด

โดยวันที่ ๒๘ มีนาคม พ.. ๒๔๑๙ พระราชกฤษฎีกา Haitō ก็ผ่าน Daijō-kan (รัฐสภาแห่งรัฐของจักรวรรดิญี่ปุ่น) ห้ามอดีตซามูไร (Shizoku) พกพาดาบไปในที่สาธารณะอย่างเด็ดขาด แน่นอนว่าการเปลี่ยนแปลงในสังคมญี่ปุ่นและสถานะทางสังคมและเศรษฐกิจของซามูไรเหล่านี้ เป็นสาเหตุหลักของความไม่พอใจในสมัยเมจิตอนต้นของญี่ปุ่น และนำไปสู่การจลาจลที่นำโดยซามูไรจำนวนมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในญี่ปุ่นแถบตะวันตก และคิวชู นอกจากนี้ ผลของ Haitorei ทำให้ดาบหมดบทบาทที่สำคัญไปกับเหล่าบรรดาซามูไรทั้งหลาย จนทำให้ช่างตีดาบจำนวนมากต้องเปลี่ยนไปผลิตอุปกรณ์ทำการเกษตรและมีดต่างๆ ในครัวเพื่อความอยู่รอดแทน

อาวุธปืนที่จับกุมได้จากแก๊งยากูซาต่าง

 

หลังสงครามโลกครั้งที่สอง กองทัพญี่ปุ่นถูกปลดอาวุธ จนนำไปสู่การประกาศใช้กฎหมายควบคุมการครอบครองดาบและอาวุธปืนในปี พ.. ๒๕๐๑ เพื่อป้องกันการต่อสู้ด้วยอาวุธปืนและดาบของแก๊งยากูซาต่างๆ โดยกฎหมายฉบับแรกมีผลบังคับใช้ในปี พ.. ๒๕๐๑ มีวัตถุประสงค์ “...กฎระเบียบด้านความปลอดภัยที่จำเป็นสำหรับการป้องกันอันตรายที่เกี่ยวข้องกับการครอบครองและการใช้อาวุธปืนและดาบ” กฎระเบียบและข้อห้ามส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับการครอบครอง การใช้งาน การนำเข้า การอนุญาต การขนส่ง การรับ และการขายอาวุธปืนและชิ้นส่วนของอาวุธปืน รวมทั้งระเบียบที่ต้องปฏิบัติในการขออนุญาตมีและใช้อาวุธปืน ทั้งยังคงข้อจำกัดในอดีตเกี่ยวกับดาบและอาวุธมีดอื่นๆ และทำให้อาวุธปืนพก/อาวุธปืนสั้นถูกห้ามครอบครองโดยสมบูรณ์

กฎหมายถูกแก้ไขหลายครั้งเพื่อสนองตอบต่อเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการใช้อาวุธปืน การแก้ไขครั้งสำคัญรวมถึงการเพิ่มการห้ามนำเข้าและเพิ่มอายุในการเป็นเจ้าของปืนไรเฟิลล่าสัตว์ในปี พ.. ๒๕๐๘ และข้อจำกัดที่เข้มงวดยิ่งขึ้นสำหรับการครอบครองอาวุธปืนลูกซอง เพื่อสนองตอบต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในปี พ.. ๒๕๕๑ เนื่องจากการควบคุมอาวุธปืนอย่างเข้มงวด จึงมีเพียงชาวญี่ปุ่นไม่กี่คนที่สามารถเป็นเจ้าของอาวุธปืน

ดังนั้นอาชญากรรมที่เกี่ยวข้องกับการใช้อาวุธปืนจึงต่ำมาก ในช่วงระยะเวลา ๓๐ ปีที่ผ่านมา โดยปี พ.. ๒๕๔๔ มีผู้เสียชีวิตจากปืนมากที่สุดคือ ๓๙ คน และเพียง ๔ คนในปี พ.. ๒๕๕๒ และนี่ก็ยิ่งทำให้ชาวญี่ปุ่นส่วนใหญ่ไม่สนใจอาวุธปืน และการรับรู้ของสาธารณชนเกี่ยวกับอาวุธปืน คือ ความอันตรายอย่างแท้จริงและจำเป็นที่จะต้องควบคุมอย่างเข้มงวด

๑๓ ขั้นตอนในการขออนุญาตครอบครองอาวุธปืนของญี่ปุ่น

. เข้าชั้นเรียนอาวุธปืนและสอบผ่านข้อเขียน ซึ่งจัดขึ้นปีละ ๓ ครั้ง

. รับบันทึกรับรองจากแพทย์ว่า มีความพร้อมทางจิตใจ และไม่มีประวัติการใช้ยาในทางที่ผิด

. ขอใบอนุญาตให้เข้ารับการฝึกยิง ซึ่งอาจใช้เวลาถึงหนึ่งเดือน

. อธิบายในการสัมภาษณ์กับเจ้าหน้าที่ตำรวจว่า ทำไมถึงต้องการครอบครองอาวุธปืน

. ตรวจสอบประวัติอาชญากรรมของผู้ขอ ประวัติการครอบครองอาวุธปืน หน้าที่การเงิน เคยมีประวัติเกี่ยวข้องกับกลุ่มอาชญากรหรือไม่ หนี้สินส่วนบุคคล และความสัมพันธ์กับเพื่อน ครอบครัว และเพื่อนบ้าน

. ขอใบอนุญาตซื้อกระสุนปืน

. เข้ารับการฝึกหนึ่งวัน และต้องผ่านการทดสอบการยิง

. ขอรับใบรับรองจากร้านค้าปืนที่ให้รายละเอียดของอาวุธปืนที่ผู้ซื้อต้องการ

. หากต้องการซื้อปืนล่าสัตว์ ต้องขอใบอนุญาตล่าสัตว์ด้วย

๑๐. ซื้อตู้เซฟเก็บปืนและตู้เก็บกระสุนตรงตามข้อกำหนดด้านความปลอดภัย

๑๑. ยินยอมให้เจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าตรวจสอบที่เก็บอาวุธปืนของผู้ขอ

๑๒. ผ่านการตรวจสอบประวัติเพิ่มเติม

๑๓. ซื้ออาวุธปืน

3 แกนกลยุทธ์ฝ่าวิกฤติ 'รัฐบาลประยุทธ์'

ไม่มีคำว่าดีที่สุด!! หรือสมบูรณ์แบบที่สุด!!

ขนาดรสชาติของอาหารยังไม่สามารถนิยามคำว่าอร่อยที่สุดให้คนทุกคนยอมรับได้ จะมีก็แต่ถูกปากหรือไม่ถูกปากที่สุดสำหรับใครเท่านั้น

นั่นจึงไม่แปลกที่ภาพรวมผลงานของทุกๆ รัฐบาลไทยที่ผ่านมาหลายทศวรรษ จะโดนบ้าง ไม่โดนบ้าง ทันใจบ้าง ไม่ทันใจบ้าง รับรู้ได้บ้าง ไม่รับรู้ได้บ้าง

แต่เชื่อว่าทุกๆ รัฐบาลไทย ล้วนมีธงแห่งความท้าทายในการสร้างสรรค์สิ่งดีงามทิ้งไว้ เพื่อเป็นเกียรติประวัติแก่ตน รวมถึงนำประโยชน์มาสู่คนในสังคม และประเทศชาติไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง (ส่วนคอรัปชันก็ละไว้ในฐานที่เข้าใจ)

คำถาม คือ คนไทยในวันนี้ใจกว้างแค่ไหนที่จะมองไปรอบๆ ตัว ว่าประเทศไทยเปลี่ยนไปในทางที่ดีบ้างแล้ว? หรือสนใจแค่ความสะใจจากกระแสสื่อที่เอามันส์ จนกลบความเปลี่ยนแปลงแบบมโหฬารมันช่างดูไร้ค่า!!

>> พัฒนาการที่เด่นชัดของโครงการสาธารณูปโภคพื้นฐานทั่วไปและเมืองท่าสำคัญ รถไฟ, รถไฟฟ้า, ถนน, สนามบิน, ท่าเรือและโครงสร้างที่เอื้อต่อระบบเศรษฐกิจในยุคโลกไร้รอยต่อมากเป็นประวัติการณ์

>> การวางแผนต่อยอดให้คนไทยดำเนินชีวิตต่อได้ในวันที่ Climate Change เข้ามาแทรกซึมสังคมโลก แต่เรายังไม่เคยชะโงกหน้าออกนอกจอมือถือ แล้วไปส่องดูว่าระบบนิเวศแห่งพลังงานสะอาดและยานยนต์ไฟฟ้าที่กำลังค่อยๆ เปลี่ยนผ่านเข้ามาใกล้ชีวิตขึ้นเรื่อยๆ จากการผลักดันของรัฐบาลที่รวดเร็วขึ้นทุกวันๆ จนรู้ตัวอีกทีปั๊มน้ำมันอาจจะค่อยๆ เปลี่ยนไปเป็นปั๊มชาร์จไฟ

>> คนรุ่นใหม่ทึ่อยากทำธุรกิจ และคนค้าขายทึ่เริ่มติดขัดทางธุรกิจ ขาดทุนหมุนเวียน เพราะแหล่งทุนใหญ่จมอยู่แต่คนมีเครดิต ก็กำลังจะถูกปรับโดยรัฐบาลที่ค่อยๆ เข้าไปเจรจากับนายแบงก์อย่างละมุนละม่อม และรอวันที่สุกงอม เปิดโอกาสให้ทุนหมุนเวียนเข้าถึงประชาชนทุกคนที่พร้อมนำไปบริหารชีวิตตนเองได้ง่ายดายขึ้น

'กรณ์' ชี้!! ราคาน้ำมันลด เพราะกลไกตลาดโลก ยัน!! โรงกลั่นยังฟันกำไร ไม่ช่วยประชาชน

'กรณ์' ส่งจดหมาย และสติกเกอร์รณรงค์ ลดค่าการกลั่น = ลดราคาน้ำมัน ถึง นายก – รมว.พาณิชย์ - รมว.พลังงาน ชี้ลดราคาน้ำมันได้อีกมาก พร้อมระบุ  2-3 วันนี้ น้ำมันลดมาจากกลไกตลาดโลก ไม่เกี่ยวบริหารจัดการ ชี้โรงกลั่นยังฟันกำไร ไม่ช่วยประชาชน 

(8 ก.ค.65) นายกรณ์ จาติกวณิช หัวหน้าพรรคกล้า เดินทางไปยังศูนย์พัสดุสินค้า Flash Express พร้อมด้วยว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.ของพรรคกล้า ภูเก็ต นายเทมส์ ไกรทัศน์ เพื่อส่งสติกเกอร์รณรงค์ “ลดค่าการกลั่นน้ำมัน = ลดราคาน้ำมัน” ให้กับ 3 ผู้มีอำนาจในการแก้ปัญหาราคาน้ำมันแพง ได้แก่ นายกรัฐมนตรี, รมว.พาณิชย์, รมว.พลังงาน 

หัวหน้าพรรคกล้า ไลฟ์สดโดยระบุว่า วันนี้ราคาน้ำมันกลุ่มเบนซินและแก๊ซโซฮอลล์ลดลงสูงสุด 3 บาท แต่ความจริงสามารถลดได้มากกว่านี้ ซึ่งถ้าเทียบกับเมื่อเดือนมิถุนายนที่พรรคกล้าออกมาเรียกร้องให้ลดค่าการกลั่นจนถึงวันนี้ ค่าการกลั่นลดลงไปถึง 5 บาทต่อลิตรแล้ว แต่ราคาหน้าปั๊มยังไม่ลดลง 

“เมื่อเป็นเช่นนี้ ผมจึงอยากจะช่วยนำเสนอวิธีการที่จะให้พวกเรามีส่วนร่วมที่จะส่งสัญญาณต่อผู้อำนาจในเรื่องนี้ คือ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงพลังงาน และในส่วนของรัฐบาลเองว่า ราคาน้ำมันลดลงมา 3 บาทนั้น ประชาชนยังเดือดร้อน ข้าวของยังแพงอยู่มาก และราคาที่ลดก็เพราะราคาน้ำมันดิบตลาดโลกลด ยังไม่ได้ลดในส่วนของกำไรจากค่าการกลั่น และค่าการตลาดที่สูงเกินไปจากผู้ประกอบการแต่อย่างใด  

ประชาชนสอบถามมายังเพจส่วนตัวของผม และเพจของพรรคกล้าเป็นจำนวนมาก ว่าจะทำอย่างไร ที่จะส่งเสียงไปยังรัฐบาลและผู้ที่เกี่ยวข้องเพื่อให้รู้ว่าเขาเดือดร้อนกันมากจากปัญหาราคาน้ำมัน เราก็เลยเสนอง่ายๆ โดยการผลิตสติกเกอร์ ลดค่าการกลั่น=ลดค่าน้ำมัน ขึ้นมา ซี่งถ้าแฟนเพจท่านใดต้องการให้เราส่งให้ก็ขอให้ส่งชื่อที่อยู่เบอร์โทร.เข้ามาเราจะจัดส่งให้” หัวหน้าพรรคกล้า กล่าว 

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายกรณ์ ได้ส่งสติกเกอร์และข้อความรณรงค์ ใส่ซอง และจ่าหน้าซองถึง 3 ผู้มีอำนาจโดยตรง ได้แก่ นายนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ โดยส่งไปที่กระทรวงพาณิชย์ เพื่อให้นำไปติดรถและกระตุ้นให้ใช้อำนาจที่กระทรวงพาณิชย์มี ด้วยกฎหมายที่มีในมือคือ พรบ.ราคาสินค้าและบริการบวกกับตำแหน่งของที่มีอยู่ในคณะกรรมการกำกับนโยบายพลังงานเพื่อช่วยขับเคลื่อนการปรับลดค่าการกลั่นในเรื่องของค่าการตลาดเพื่อนำไปลดราคาน้ำมันแบ่งเบาภาระภาระของประชาชน คนที่สองคือ นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน โดยส่งไปที่กระทรวงพลังงาน เนื่องจากมีบทบาทหน้าที่โดยตรงในการบริหารจัดการค่าการกลั่นและค่าการตลาด โดยนายกรณ์ระบุว่า ความจริงกระทรวงพลังงานก็อยู่ในบริเวณเดียวกันกับ ปตท. ซึ่งเป็นผู้ค้าน้ำมันที่เป็นรัฐวิสาหกิจขนาดใหญ่ที่สุดของประเทศ เพียงแค่ข้ามถนนผ่านร้านกาแฟอะเมซอนก็ถึงแล้ว ก็ขอฝากท่านรมว.พลังงาน ช่วยส่งถึง ปตท.ด้วย 

และสุดท้ายคือ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี โดยส่งไปที่ทำเนียบรัฐบาล ซึ่งนายกรณ์ได้แสดงความเห็นใจต่อภารกิจอันมากมายที่ท่านมี แต่ปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนในเรื่องข้าวของที่แพงขึ้นมาก ก็เป็นเรื่องที่ตนและนายกรัฐมนตรีคิดตรงกัน  และโดยส่วนตัวตนก็ถือเป็นหน้าที่ของนักการเมืองคนหนึ่งที่จะเสนอข้อมูลข้อเท็จจริง เพื่อให้ท่านประกอบใช้ในการตัดสินใจ วันนี้ท่านอาจจะรู้สึกคลายความกดดันเพราะราคาน้ำมันลดลงมา แต่มันสามารถลดได้มากกว่านี้ เพราะราคาที่ลดลงมันเป็นเพราะราคาน้ำมันในตลาดโลก ไม่ใช่เกิดจากการบริหารจัดการ

สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้าฯ เสด็จพระราชดำเนิน ทอดพระเนตรสายการผลิตรถโดยสารไฟฟ้า-แบตฯ EA

สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนิน ทอดพระเนตรสายการผลิตรถโดยสารไฟฟ้าและโรงงานผลิตแบตเตอรี่ลิเทียม ณ บริษัท แอ๊บโซลูท แอสแซมบลี จำกัด และ บริษัท อมิตา เทคโนโลยี (ประเทศไทย) จำกัด

(9 ก.ค.65) สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินไปทอดพระเนตรสายการผลิตรถโดยสารไฟฟ้า ณ บริษัท แอ๊บโซลูท แอสแซมบลี จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อยในกลุ่มบริษัทพลังงานบริสุทธิ์ (EA) เป็นบริษัทพลังงานของคนไทย ที่เริ่มต้นจากธุรกิจไบโอดีเซล และขยายสุ่ธุรกิจพลังงานทดแทน ทั้งไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์และพลังงานลม โดยเล็งเห็นถึงประโยชน์ของพลังงานสะอาดที่มีประโยชน์ทั้งด้านเศรษฐกิจ ลดการนําเข้า เชื้อเพลิง และด้านสิ่งแวดล้อมที่ลดปัญหามลพิษ และลดภาวะโลกร้อน ให้ความสําคัญต่อการแก้ไขปัญหาสภาพภูมิอากาศ ประกอบกับการเปลี่ยนผ่านในเทคโนโลยียานยนต์แบบเดิมที่ใช้น้ำมันในการขับเคลื่อนมาเป็นยานยนต์ไฟฟ้า เพิ่มเสถียรภาพของโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน เพิ่มประสิทธิภาพในระบบผลิตและจําหน่ายไฟฟ้าของประเทศ ผลักดันให้เกิดผลสําเร็จของอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าที่เป็น New S-Curve ตามยุทธศาสตร์ ของประเทศ 

ในการนี้ ทรงทอดพระเนตรวีดิทัศน์กระบวนการเชื่อมรถการชุบสีรถโดยสารไฟฟ้า และสายการประกอบรถโดยสารไฟฟ้า ซึ่ง บริษัท แอ๊บโซลูท แอสแซมบลี จำกัด ได้สร้างโรงงานผลิตรถโดยสารไฟฟ้าภายในประเทศ ได้แก่ รถโดยสารพลังงานไฟฟ้า 'MINE Bus' เรือโดยสารพลังงานไฟฟ้า 'MINE Smart Ferry' ที่เปิดให้บริการแล้วในแม่น้ำเจ้าพระยา และรถบรรทุกพลังงานไฟฟ้า ตลอดจนสถานีชาร์จ อัดประจุไฟฟ้าที่มีชื่อว่า 'EA Anywhere' เพื่อยกระดับการเดินทางด้วยระบบขนส่งสาธารณะ ให้มีความทันสมัย สะดวกสบาย ช่วยลดมลภาวะอย่างยั่งยืน

จากนั้น เสด็จพระราชดำเนินโดยรถยนต์พระที่นั่งไปยัง บริษัท อมิตา เทคโนโลยี (ประเทศไทย) จำกัด หนึ่งบริษัทในกลุ่มย่อยของบริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) โดยมีนายสมโภชน์ อาหุนัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) เข้าเฝ้าทูลรายงาน ซึ่งบริษัท อมิตา เทคโนโลยี (ประเทศไทย) จำกัด เป็นผู้ผลิตและจำหน่ายโรงงานผลิตแบตเตอรี่ลิเทียมไอออนและระบบกักเก็บพลังงานแบบครบวงจรที่ทันสมัยและมีกำลังการผลิตขนาดใหญ่ที่สุดในภูมิภาคอาเซียน 

ในการนี้ ทอดพระเนตรอาคารผลิตแบตเตอรี่ลิเทียมไอออน และระบบกักเก็บพลังงานไฟฟ้า / นิทรรศการ Blue Mind City / ตัวอย่างวัตถุดิบในการผลิตแบตเตอรี่ลิเทียมไอออน / ตัวอย่างชิ้นงานที่ถูกตัดด้วยกระบวนการ High Speed Die Cutting / กระบวนการอบสุญญากาศชิ้นงานให้แห้งสนิทเพื่อใช้ประกอบเป็นเซลล์แบตเตอรี่ จากนั้นฉลองพระองค์ชุดกาวน์ ทอดพระเนตรเครื่องจักรและกระบวนการกำจัดแก๊สออกจากเซลล์แบตเตอรี่ / ตัวอย่าง Cell Module ซึ่งเป็นการนำเซลล์แบตเตอรี่ที่ได้พ่วงต่อกันเพื่อให้ได้พลังงานที่สูงขึ้น เหมาะสมต่อการใช้งานของยานยนต์ไฟฟ้า

'จุติ' ยัน!! เบี้ยยังชีพพิเศษผู้สูงอายุ งวดแรกวันที่ 19 ก.ค.นี้ แน่นอน

(9 ก.ค.65) นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กล่าวในรายการ 'คุยเรื่องบ้าน คุยเรื่องเมือง คุยทุกเรื่องกับรัฐมนตรี' ว่า..

ผู้สูงอายุที่จะได้รับเงินช่วยเหลือเพิ่มเติมเป็นเบี้ยยังชีพพิเศษ หลังได้รับผลกระทบช่วงโควิด-19 ตามมติคณะรัฐมนตรี ได้แก่ ผู้สูงอายุจำนวน 10.95 ล้านคน ระยะเวลา 6 เดือน ระหว่าง เม.ย. – ก.ย. 2565 จะแบ่งตามช่วงอายุ ระหว่าง 100 – 250 บาทต่อคนต่อเดือน เพื่อบรรเทาผลกระทบเศรษฐกิจ โดยจะเริ่มจ่ายครั้งแรกวันที่ 19 ก.ค. เป็นการจ่ายย้อนหลังตั้งแต่เดือน เม.ย. – ก.ค.  

ส่วนครั้งที่ 2 วันที่ 19 ส.ค. และครั้งที่ 3 วันที่ 19 ก.ย. จึงขอให้ผู้สูงอายุได้นำเงินที่รัฐบาลให้ไปใช้ประโยชน์ให้เต็มที่

หัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย เป็นปลื้ม!! กรี๊ดสนั่น!! หลังได้แนบชิด 'แจ็คสัน หวัง'

(9 ก.ค.65) นางสาวแพทองธาร ชินวัตร หรือ 'อุ๊งอิ๊ง' หัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย โพสต์รูปภาพพร้อมข้อความในเฟซบุ๊กระบุว่า...

Thank you for choosing @rosewoodbangkok 💙 we hope you and your team have the best time here. ไม่แปลกใจเลยทำไม #พี่แจ๊ค ถึงมีแฟนคลับทั่วโลก นอกจากความสามารถล้นเหลือแล้ว ยังเป็นคนที่น่ารักมากๆ อีกด้วย ประทับใจจจจ 🥰 #jacksonwang

'รศ.หริรักษ์' ชี้!! 'ธรรมศาสตร์' เคลียร์ปมเพลงคลุมเครือ ใครอยากใช้เพลงใดก็ได้ แต่ไม่เกี่ยวกับพวกเรา

(9 ก.ค.65) รศ.หริรักษ์ สูตะบุตร อดีตรองอธิการบดีฝ่ายบริหารบุคคล มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์(มธ.) โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว Harirak Sutabutr ระบุว่า...

ในที่สุดมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ก็มีคำชี้แจงเรื่องการใช้เพลงมหาวิทยาลัย เป็นเอกสารประชาสัมพันธ์ ยืนยันว่า เพลงพระราชนิพนธ์ยูงทองยังคงเป็นเพลงที่ใช้ในงานพิธี พิธีการ และงานที่เป็นทางการของมหาวิทยาลัยโดยมิได้มีการเปลี่ยนแปลง 

ก็เป็นเรื่องดีที่มหาวิทยาลัยมีความชัดเจนเกี่ยวกับเพลงพระราชนิพนธ์ยูงทองเสียที ศิษย์เก่าจำนวนมากที่เข้าใจผิดบ้างถูกบ้างจะได้เข้าใจตรงกัน

อย่างไรก็ดี การชี้แจงของมหาวิทยาลัยต่อประกาศขององค์การนักศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (อมธ.) เกี่ยวกับเพลงพระราชนิพนธ์ยูงทอง ดูจะคลุมเครือยังไงไม่ทราบ เหมือนกับคำโบราณที่ว่า...

"ไปไหนมาสามวาสองศอก" มหาวิทยาลัยชี้แจงว่า...

"มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์มีเพลงที่เกี่ยวข้องกับมหาวิทยาลัยทั้งสิ้น 20 เพลง (ซึ่งความจริงน่าจะมากกว่านั้น) 
.......... ทั้งนี้องค์การนักศึกษาแห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (อมธ) สภานักศึกษาและกลุ่มชุมนุมกิจกรรมนักศึกษาทั้งหมด 59 ชุมนุม สามารถเลือกใช้เพลงต่างๆ ข้างต้นในการดำเนินกิจกรรมของนักศึกษาได้ตามโอกาสและความเหมาะสม"

ในขณะที่ อมธ. ประกาศว่า...

"อมธ ประกาศให้ใช้เพลงประจำมหาวิทยาลัย ทำนองมอญดูดาวแทนเพลงพระราชนิพนธ์ยูงทองในทุกกิจกรรมที่จัดขึ้นโดยอมธ"

คำชี้แจงของมหาวิทยาลัยแปลว่าอะไรกันแน่?


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top