Thursday, 15 May 2025
TheStatesTimes

นราธิวาส - ‘จิตอาสาพระราชทาน’ กว่า 200 คน พร้อมใจกันบำเพ็ญสาธารณประโยชน์ พัฒนาภูมิทัศน์ โดยรอบบริเวณน้ำตกฉัตรวาริน อุทยานแห่งชาติบูโด-สุไหงปาดี สถานที่ท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติที่สำคัญของจังหวัดนราธิวาส!!

นายอนิรุทร บัวอ่อน นายอำเภอสุไหงปาดี  เป็นประธานเปิดกิจกรรมบำเพ็ญสาธารณประโยชน์จิตอาสาพระราชทานตามแนวพระราชดำริ "เราทำความดี เพื่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์" กิจกรรมพัฒนาภูมิทัศน์ ทำความสะอาดโดยรอบบริเวณน้ำตกฉัตรวาริน อุทยานแห่งชาติบูโด-สุไหงปาดี หมู่ 5 บ.โผลง ตำบลโตะเด็ง อำเภอสุไหงปาดี  จังหวัดนราธิวาส โดยมีหัวหน้าส่วนราชการ ตลอดจนคณะเจ้าหน้าที่ และคณะจิตอาสาพระราชทาน ในพื้นที่อำเภอสุไหงปาดี  ร่วมกิจกรรมกว่า 200 คน

นายอนิรุทร บัวอ่อนนายอำเภอสุไหงปาดีกล่าวว่า พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดตั้งโครงการจิตอาสาพระราชทาน ขึ้นเพื่อเป็นการรวมความสมัครสมานสามัคคีของคนไทยทุกคน ในการทำกิจกรรมสาธารณประโยชน์เพื่อพัฒนาพื้นที่ในชุมชนต่าง ๆ ให้มีความเจริญ เกิดประโยชน์ต่อชุมชนอย่างถาวร และเพื่อเป็นการพัฒนาท้องถิ่นของแต่ละชุมชนให้มีคุณภาพชีวิต และความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น

เนื่องในวันสำคัญของชาติ ในวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2565 เป็นวันคล้ายวันพระราชสมภพ พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยอำเภอสุไหงปาดีได้กำหนดจัดกิจกรรมบำเพ็ญสาธารณประโยชน์จิตอาสาพระราชทานตามแนวพระราชดำริ "เราทำความดี เพื่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์" ในวันนี้ขึ้น เพื่อเป็นการรวมพลังความสามัคคีของคนอำเภอสุไหงปาดี

'ไมโครซอฟท์' พร้อมร่วมพัฒนารัฐบาลดิจิทัล

นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เปิดเผยว่า ได้นำคณะผู้บริหารของบริษัท ไมโครซอฟท์ โดยมีนาย Ahmed Mazhari ประธานบริษัท ไมโครซอฟท์ เอเชีย และคณะผู้บริหารบริษัท ไมโครซอฟท์ (ประเทศไทย) จำกัด เข้าพบพล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม โดยทางผู้บริหารของ ไมโครซอฟท์ พร้อมเข้ามาร่วมมือกับรัฐบาลในการพัฒนารัฐบาลดิจิทัล โดยจากการหารือ ทั้งสองฝ่ายจะมีความร่วมมือกันในหลาย ๆ เรื่อง โดยเฉพาะการทำงาน การพัฒนาทักษะและใช้ประโยชน์ในด้านเทคโนโลยี ตามนโยบายไทยแลนด์ 4.0

ทอ. ยืนยันความพร้อมอพยพคนไทยในยูเครนทันทีหากได้รับสั่งการจากรัฐบาล

พล.อ.ต.ประภาส สอนใจดี โฆษกกองทัพอากาศ เปิดเผยว่า จากสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างรัสเซีย-ยูเครน ซึ่งนายกรัฐมนตรีมีความห่วงใยคนไทยในยูเครน และให้หน่วยเกี่ยวข้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด ล่าสุดรัฐบาลและกระทรวงการต่างประเทศได้เตรียมแผนอพยพคนไทยในยูเครนเรียบร้อยแล้ว หากมีสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความจำเป็นต้องอพยพ จะใช้เครื่องบินเช่าเหมาลำ รับคนไทยกลับประเทศ

สำหรับในส่วนของกองทัพอากาศ ได้เตรียมความพร้อมแล้วเช่นกัน แม้ว่าหนทางปฏิบัติในขั้นต้นจะกำหนดให้ใช้เครื่องบินเช่าเหมาลำก่อนตามนโยบายของรัฐบาล เนื่องจากการอพยพในครั้งนี้ไม่ใช่การอพยพประชาชนจากพื้นที่ภัยพิบัติเหมือนที่เคยปฏิบัติ แต่เป็นการอพยพประชาชนจากพื้นที่ขัดแย้งทางทหาร ซึ่งมีความละเอียดอ่อน จึงต้องระมัดระวังไม่ให้เกิดความเข้าใจผิดในการใช้อากาศยานทหารเข้าไปในพื้นที่

‘รัสเซีย’ เดินหน้าปฏิบัติการทางทหาร ส่วน ‘ยูเครน’ ประกาศ กฎอัยการศึก!

ปูตินประกาศสงครามกับยูเครน พร้องสั่งลุยยกกองทัพรัสเซียบุกยูเครนเมื่อช่วงเช้าวันนี้ (24 กุมภาพันธ์ 2022) โดยทันทีที่รัสเซียเริ่มต้นปฏิบัติการทางทหาร ก็มีรายงานเสียงระเบิด และปืนดังขึ้นหลายเมืองทางชายแดนยูเครน รวมถึงชานเมืองเคียฟ เมืองหลวงของยูเครนด้วยเช่นกัน

ทั้งนี้ปูติน ได้กล่าวผ่านโทรทัศน์รวมการของรัสเซียว่า เขาได้จัดกองกำลังเพื่อป้องกันดินแดนของสาธารณรัฐประชาชน ‘โดเนสตก์’ และ ‘ลูฮันสก์’ ที่รัสเซียเพิ่งประกาศรับรองเอกราชจากยูเครนอย่างเป็นทางการเมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยปูตินเคยเน้นย้ำว่า นี่เป็นกองกำลังเพื่อสันติ เพื่อปกป้องประชาชนทั้ง 2 แคว้นนี้จากการรุกรานและฆ่าล้างเผ่าพันธุ์โดยรัฐบาลยูเครน

อย่างไรก็ตาม ปูติน ยังคงปฏิเสธว่า เขาไม่ได้ต้องการที่จะบุกยึดยูเครน หากแต่ต้องการให้ทุกฝ่ายวางอาวุธ เพื่อให้ไม่เกิดการสูญเสียเลือดเนื้อ 

เหตุปฏิบัติการทางทหารอย่างดุดันของรัสเซียในครั้งนี้ เชื่อกันว่ามีเป้าหมายที่สำคัญนอกเหนือจากการตัดกำลังของกองทัพยูเครนทางภาคตะวันออก นั่นก็คือ การเปลี่ยนถ่ายอำนาจในรัฐบาลยูเครนที่มีแนวคิดนิยมเสรีตะวันตก และบีบให้ โวโลดิมีร์ เซเลนสกี้ ผู้นำยูเครนคนปัจจุบันลาออก 

‘อนุทิน’ ดันต่อรักษาโควิดตามสิทธิ หวังสร้างระบบการรักษาที่ชัดเจน

‘อนุทิน’ ดันต่อประกาศรักษาโควิดตามสิทธิ หวังสร้างความชัดเจนระบบรักษา เพิ่มเตียงผู้ป่วยอาการหนัก ยัน ไม่ขัด ครม. พร้อมทำความเข้าใจปชช.

เมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เปิดเผยว่า ตามที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) ขอ สธ. ทำความเข้าใจประชาชน กรณีออกประกาศให้ผู้ป่วยโควิด-19 รักษาตามสิทธินั้น ประกาศดังกล่าว เป็นอำนาจของ สธ. ที่ต้องนำเข้า ครม. เพราะของบประมาณไว้ดูแลผู้ป่วยเกณฑ์สีเหลือง และเกณฑ์สีแดง แต่ในเมื่อมีการทักขึ้นมาว่าหากประกาศไปแล้ว จะทำให้สังคมวิตกกังวล และขอให้ไปทำความเข้าใจกับประชาชน ถึงเหตุและผลของการออกประกาศ เราก็พร้อมปฏิบัติตาม 

ทั้งนี้ ประกาศดังกล่าวนั้น คือ การทำให้เรื่องของการรักษาผู้ป่วยเกณฑ์สีเขียว เหลือง แดง มีความชัดเจนขึ้น สำหรับผู้ป่วยเกณฑ์สีเขียว ต้องรักษาในระบบกักตัวที่บ้าน หรือในชุมชน ขึ้นอยู่กับความสะดวก ผู้ป่วยเกณฑ์สีเหลือง เกณฑ์สีแดง ถึงจะได้เข้ารักษาในสถานพยาบาล ต้องทำความเข้าใจธรรมชาติของโรคก่อนว่า ปัจจุบัน ผู้ป่วย 80% ไม่แสดงอาการ หรือมีอาการน้อยมาก หากเราให้ผู้ป่วยกลุ่มนี้ เข้าถึงเตียงได้หมด แล้วต่อมามีผู้ป่วยอาการหนักเข้ามา จะทำอย่างไร

ทลายเครือข่ายแรงงานข้ามชาติ จับมาเฟียอินเดีย!! หนีข้อหาฉกรรจ์ ปล้นฆ่า ลักพาตัว ทรมานเหยื่อเรียกค่าไถ่ ฟอกเงิน และหนีกบดานไทย

ตามนโยบายของ  พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เรื่องการควบคุมกำกับดูแลชาวต่างชาติที่เข้ามาพำนักอาศัยหรือเข้ามาเพื่อท่องเที่ยวในประเทศไทย โดย พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. และ พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รอง ผบ.ตร. มอบหมายให้ สตม. ดำเนินการตรวจสอบชาวต่างชาติที่มีพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมในขณะที่พำนักในประเทศไทย กระทำผิดกฎหมาย ก่อเหตุอันตรายต่อความสงบสุขและความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน หรือเป็นลักษณะการกระทำผิดเข้าข่ายอาชญากรรมข้ามชาติ หรือทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศ                    

สํานักงานตรวจคนเข้าเมือง โดย พล.ต.ท.ภาคภูมิภิภัทฒ์ สัจจพันธ์ ผบช.สตม., พล.ต.ต.อาชยน ไกรทอง รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.มานัด ศรีวงษา ผบก.ตม.3, พ.ต.อ.ทรงโปรด สิริสุขะ รอง ผบก.ตม.3, พ.ต.อ.ไกลเขต บุรีรักษ์ รอง ผบก.ตม.3, พ.ต.อ.รัชธพงศ์ เตี้ยสุด รอง ผบก.ตม.3, พ.ต.อ.หฤษฎ์ เอกอุรุ รอง ผบก.ตม.3 และ พ.ต.อ.จิรพงศ์ รุจิรดำรงค์ชัย ผกก.สส.บก.ตม.3  ร่วมแถลงข่าวการจับกุมคดีที่น่าสนใจดังนี้

1.“จับมาเฟียอินเดีย หนีข้อหาฉกรรจ์ ทั้งปล้นฆ่า ลักพาตัว ทรมานเหยื่อเรียกค่าไถ่ และฟอกเงิน หนีกบดานไทย”

ก่อนการจับกุมครั้งนี้ สตม.ได้รับการประสานงานจากหน่วยงานความมั่นคง ว่ามีบุคคลสัญชาติอินเดีย มีพฤติกรรม เป็นอาชญากรก่อคดีเกี่ยวกับการปล้นฆ่า สังหารบุคคลอื่น ซ้อมทรมาน ยาเสพติด ลักพาตัวเรียกค่าไถ่ ค้ามนุษย์ ตลอดจนความผิดเกี่ยวกับการฟอกเงิน โดยทางการอินเดียได้มีการออกหมายจับและยื่นความจำนงต่อตำรวจสากลให้บุคคลดังกล่าวซึ่งก็คือ นายฮาร์มาน (ขอสงวนสกุล) อายุ 29 ปี  สัญชาติอินเดีย เป็นบุคคลที่ตำรวจสากลต้องการตัว หรือมีหมายแดง (Red Notice)

เมื่อทราบข้อมูลชุดสืบสวนได้ทำการตรวจสอบข้อมูลในเบื้องต้นก็ทราบว่านายฮาร์มานฯ ได้เดินทางเข้าประเทศไทยเมื่อเดือนมิถุนายน 2562 อยู่ในราชอาณาจักรด้วยเหตุผลทางธุรกิจ โดยข้อมูลในระบบระบุวันหมดอายุเมื่อวันที่ 30 ต.ค. 62 และมีข้อมูลว่าพักอาศัยอยู่ในเขตเมืองพัทยา จ.ชลบุรี ซึ่งได้สืบสวนต่อจนทราบว่านายฮาร์มานฯ ได้พักอาศัยอยู่ละละแวกพัทยาเหนือจึงได้เฝ้าติดตาม จนกระทั่งได้พบนายฮาร์มานฯ บริเวณหน้าเซเว่นริมถนนพัทยาเหนือ เจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.สส.บก.ตม.3 ได้แสดงตัวและข้อตรวจสอบก็พบว่า อยู่เกินในราชอาณาจักรจริง จึงได้แจ้งข้อกล่าวหาให้ทราบว่า “ เป็นคนต่างด้าวอยู่ในราชอาณาจักรโดยการอนุญาตสิ้นสุด (จำนวน 448 วัน) ” นำส่ง พงส.กก.สส.บก.ตม.3 ดำเนินคดีต่อไป

2.“ทลายเครือข่ายแรงงานข้ามชาติ จับคนขน ขยายผลตัวสั่งการ และเข้าจับให้ที่พักพิง”

เจ้าหน้าที่ ตม.จว.ประจวบคีรีขันธ์ ได้บูรณาการกำลังออกตรวจพื้นที่รับผิดชอบ เมื่อมาถึงบริเวณแยกสิบศพ ต.เกาหลัก อ.เมือง จ.ประจวบคีรีขันธ์ ปรากฏว่าพบรถกระบะคันหนึ่ง หยุดอยู่ที่แยกแต่เมื่อพบเห็นเจ้าหน้าที่ก็ได้ขับรถพุ่งออกจากแยกด้วยความเร็วน่าสงสัย ชุดจับกุมจึงได้ติดตามรถคันดังกล่าวไปและแจ้งให้จุดสกัดสามร้อยยอดดำเนินการสกัดจับเอาไว้ ซึ่งได้ตรวจพบว่ารถยนต์กระบะคันดังกล่าว มีนายยียี (สงวนสกุล) สัญชาติเมียนมา อายุ 35 ปี เป็นผู้ขับ มีนายอ่าว (สงวนสกุล) นั่งโดยสารข้าง ๆ และมีผู้โดยสารเป็นคนต่างด้าว สัญชาติเมียนมา อีก 14 คน ซักถามได้ข้อมูลว่าบุคคลต่างด้าว 14 คน หลบหนีเข้าเมืองผ่านช่องทางธรรมชาติมีนายยียี และนายอ่าว ได้ขับรถมารับ ส่วนนายยียีและนายอ่าวรับตรงกันว่าได้รับการติดต่อจากนายเม ให้มารับบุคคลต่างด้าวจำนวน 14 คนดังกล่าว จึงจับกุมตัวนายยียี นายอ่าว และบุคคลต่างด้าวอีก 14 ราย พร้อมกับยึดรถยนต์กระบะและโทรศัพท์ของกลางนำส่งเพื่อดำเนินคดี

ในการนี้ได้แจ้งข้อกล่าวหา นายยียีและนายอ่าวแจ้งว่า “ร่วมกันช่วยเหลือซ่อนเร้นหรือช่วยเหลือด้วยประการใด ๆ แก่บุคคลต่างด้าวที่หลบหนีเข้าเมืองโดยผิดกฎหมายให้พ้นจากการจับกุม”  บุคคลดต่างด้าวอีก 14 คน แจ้งว่า “เป็นคนต่างด้าวเข้ามาและอยู่ในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต” เหตุเกิดที่ ริมถนนเพชรเกษม หมู่ 5 ต.ไร่เก่า อ.สามร้อยยอด จ.ประจวบคีรีขันธ์ เมื่อวันที่ 29 ม.ค.65 เวลาประมาณ 04.30 น.

ของกลาง

1.รถยนต์กระบะ ยี่ห้อ อีซูสุ สีขาว ทะเบียนจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ จำนวน 1 คัน

2. โทรศัพท์มือถือ จำนวน 3 เครื่อง

จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ขยายผลสืบสวนทราบภายหลังว่านายเมฯ คือ นาย AUNG (สงวนสกุล) หรือโกเม  อายุ 45 ปี พักอาศัยละแวกอำเภอปราณบุรี จึงได้รวบรวมพยานหลักฐานและประสานกับร้อยเวรสอบสวน สภ.สามร้อยยอด จนศาลจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ออกหมายจับที่ 50/65 ลงวันที่ 3 ก.พ.65 และ สภ.สามร้อยยอดได้ดำเนินการจับกุมตัวนาย AUNGฯ ได้ในวันเดียวกัน โดยกล่าวหาว่า “ร่วมกันช่วยเหลือซ่อนเร้นหรือช่วยเหลือด้วยประการใด ๆ แก่บุคคลต่างด้าวที่หลบหนีเข้าเมืองโดยผิดกฎหมายให้พ้นจากการจับกุม”

จากรวบรวมข้อมูลเครือข่ายพบว่าการจับกุมหลายครั้งมีความเกี่ยวพันกับขบวนการดังกล่าว ในกรณีนี้นายเม จะเป็นผู้ประสานงานให้คนในเครือข่ายจากกรุงเทพฯ, สมุทรสาคร หรือปทุมธานีเดินทางมารับช่วงต่อซึ่งได้ขยายผลจนทราบว่าหลังจากรับคนที่จังหวัดประจวบคีรีขันธ์แล้วจะส่งต่อไปยังจุดพักคอยซึ่งเป็นบ้านหลังหนึ่งย่านตำบลคลองสาม อำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี

เมื่อทราบแล้วจึงได้เข้าไปเฝ้าสังเกตการณ์ก็พบว่าบ้านดังกล่าวมีลักษณะเป็นทาวน์เฮ้า 2 ชั้น มีรถหลายคันขับเข้ามาสถานที่ดังกล่าวและส่งคนลง 2-5 คนต่อครั้ง ซึ่งเฝ้าสังเกตการณ์พบว่าในเวลาต่อมามีรถตู้สีทองเดินทางเข้ามาสถานที่ดังกล่าวและนำคนขึ้นโดยสารรถหลายคน ซึ่งเชื่อว่าจะมีการขนย้ายเพื่อไปยังสถานที่อื่นจึงได้เข้าไปแสดงตัวเป็นเจ้าหน้าที่เพื่อขอตรวจสอบ ผลการตรวจสอบพบ บุคคลต่างด้าว สัญชาติเมียนมา จำนวน 17 คน และคนไทย 1 คน เป็นผู้ขับรถตู้ ทราบชื่อภายหลังว่าคือนาย สมบัติ (ขอสงวนสกุล) อายุ 44 ปี ซักถามบุคคลต่างด้าวพบว่า นางสาวMI (สงวนสกุล) หนึ่งในคนต่างด้าวเป็นเจ้าของสถานที่พักดังกล่าวและเป็นผู้ติดต่อประสานงานพาบุคคลต่างด้าวทั้งหมดเข้ามาพักยังบ้านหลังดังกล่าวและเป็นผู้ติดต่อประสานงานให้นายสมบัติฯ นำรถมารับ จึงได้จับกุมตัวบุคคลที่เกี่ยวข้องพร้อมกับยึดของกลางนำส่งร้อยเวรสอบสวน สภ.คลองหลวง เพื่อดำเนินคดีต่อไป แจ้งข้อกล่าวหาว่า

1.คนต่างด้าว 16 ราย “เป็นคนต่างด้าวเข้ามาและอยู่ในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต”

2.นายสมบัติฯและนางสาว MI “ร่วมกันช่วยเหลือซ่อนเร้นหรือช่วยเหลือด้วยประการใด ๆ แก่บุคคลต่างด้าวที่หลบหนีเข้าเมืองโดยผิดกฎหมายให้พ้นจากการจับกุม”

ของกลาง 

1.รถตู้โดยสารส่วนบุคคล สีทอง ทะเบียนจังหวัดกรุงเทพฯ จำนวน 1 คัน

2. โทรศัพท์มือถือ จำนวน 5 เครื่อง

สถานที่ วันเวลา จับกุม บ้านทาวน์เฮ้า 2 ชั้น ต.คลองสาม อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี เมื่อวันที่ 16 ก.พ. 2565 เวลาประมาณ 12.28 น.

จากการซักถามผู้ต้องหาให้การสอดคล้องกันว่า หลบหนีเข้ามาในประเทศไทย ผ่านชายแดนช่องทางธรรมชาติ ปลายทางเพื่อหางานที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล ก่อนถูกจับกุมได้มาพักคอยที่บริเวณที่เกิดเหตุเพื่อรอติดต่อว่าจะได้ไปทำงานที่ใด ส่วนนางสาว MI ให้การรับสารภาพว่าเป็นผู้ติดต่อประสานงานกับนายหน้าคนอื่น ๆ เพื่อนำคนต่างด้าวส่งไปลักลอบทำงานยังสถานที่ต่าง ๆ ซึ่งจะมีการขยายผลดำเนินคดีกับผู้ที่เกี่ยวข้องต่อไป

 

ผลการจับกุมเครือข่าย ‘ขนแรงงานต่างด้าว’ กองบังคับการสืบสวนสอบสวน สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง

ตามนโยบายของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ  รองนายกรัฐมนตรี เรื่องการควบคุมกำกับดูแลชาวต่างชาติที่เข้ามาพำนักอาศัยหรือท่องเที่ยวในประเทศไทย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ  โดย พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. และ พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์  รอง ผบ.ตร. มอบหมายให้ สตม. ดำเนินการตรวจสอบชาวไทยและชาวต่างชาติที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสมในขณะที่พำนักในประเทศไทย กระทำความผิดกฎหมายและก่อเหตุอันตรายต่อความสงบสุขและความปลอดภัยในชีวิตทรัพย์สินของประชาชน ทำให้เกิดความเสียหาย ต่อภาพลักษณ์ของประเทศหรือกลุ่มคนร้ายข้ามชาติที่เข้ามาแฝงตัวกับคนไทยหรือต่างชาติ โดยใช้ประเทศไทยเป็นฐานในการกระทำความผิด

ภายใต้การอำนวนการ ของ พล.ต.ท.ภาคภูมิภิภัทฒ์  สัจจพันธุ์  ผบช.สตม., พล.ต.ต.อาชยน  ไกรทอง รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.พันธนะ นุชนารถ ผบก.สส.สตม., พล.ต.ต.เดชา กัลยาวุฒิพงศ์ ผบก.ตม.4, พล.ต.ต.ประสงค์ เรืองเดช ผบก.ภ.จว.อำนาจเจริญ, พ.ต.อ.สถิตย์ พรมอุทัย รอง ผบก.สส.สตม., พ.ต.อ.ยศวัจน์ งามสง่า รอง ผบก.ภ.จว.อำนาจเจริญ, พ.ต.อ.นิยม สีหาวัฒน์ ผกก.สภ.ชานุมาน, พ.ต.อ.พิษณุ สิทธิทูรย์ ผกก.สส.บก.ตม.4, พ.ต.ต.สมพร บัวหอม สว.ตม.จว.อำนาจเจริญ

โดยมีพฤติการณ์ คือ กก.4 บก.สส.สตม.ได้สืบทราบว่ากลุ่มคนไทยมีการลักลอบ นำรถตู้ขนคนลาวที่ลักลอบเช้าไทย โดยนั่งเรือหายางผ่านแม่น้ำโขงขึ้นฝั่งช่องทางธรรมชาติข้ามมาฝั่งไทยเขต จ.อำนาจเจริญ และรับคนลาวเข้ามาในพื้นที่ชั้นใน เขต กทม. และปริมณฑล

กก.4 บก.สส.สตม.จึงได้ร่วมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจในพื้นที่ทำการสืบสวนจนทราบว่า จะมีนายหน้าฝั่งลาวได้นำชาวลาวข้ามมาขึ้นช่องธรรมชาติฝั่ง จ.อำนาจเจริญ จึงได้วางแผนเข้าสกัดจับตามเส้นทางถนนสายรอง และสามารถจับกุมตัวผู้ต้องหาได้ที่ หน้าวัดจินดามณี ถนนภายในหมู่บ้านเมืองเก่า ตำบล คำเขื่อนแก้ว อำเภอชานุมาน จว.อำนาจเจริญ ผลการจับกุมปรากฏดังนี้

1.ผู้ต้องหาคนลาวหลบหนีเข้าเมือง จำนวน 17 คน หญิง 7 คน ชาย 10 คน ข้อหา "เป็นบุคคลต่างด้าวเข้ามาในราชอาณาจักรโดยผิดกฎหมาย"

2.จับกุม นาย วันชนะ สัญชาติไทย กับพวก รวม  3 คน ข้อหาร่วมกันนำพาบุคคลต่างด้าวเข้ามาในราชอาณาจักรโดยผิดกฎหมาย

3.รถตู้ยี่ห้อ โตโยต้า จำนวน 2 คัน นำส่งพนักงานสอบสวน สภ.ชานุมาน จ.อำนาจเจริญ เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมาย   

จากการสืบสวนขยายผลพบว่า กลุ่มเครือข่ายขนแรงงานต่างด้าวมีการติดต่อกับนายหน้าฝั่งลาว โดยนั่งข้ามแม่น้ำโขง ขึ้นท่า อ.ชานุมาน จ.อำนาจเจริญ ซึ่งทางนายหน้าฝั่งลาวจะนัดแนะกลุ่มผู้ต้องหา จุดนัดหมายริมฝั่งโขงและขึ้นรถตู้โดยคิดค่าหัว หัวละ 12,000 บาท โดยกลุ่มเครือข่ายผู้ต้องหาจะใช้เส้นทางรองเพื่อเลี่ยงการจับกุมของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ไปตามหมู่บ้าน แล้วใช้เส้นทางหลักในการเดินทาง

คดีดังกล่าวอยู่ในระหว่างการสืบสวนขยายผล เส้นทางการเงิน สมาชิกผู้ร่วมขบวนการที่เหลืออยู่ นายหน้า รับขนส่งคนทั้งฝั่งไทยและฝั่ง สปป.ลาว

ตม.จว.ตาก ตรวจเข้มตลอด 24 ชม.!! รวบหนุ่มจีนและหนุ่มไทย ขนคนจีนหลบหนีเข้าเมือง 4 ราย

ตามนโยบายของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เรื่องการควบคุมกำกับดูแลชาวต่างชาติที่เข้ามาพำนักอาศัยหรือเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร.และ พล.ต.อ.ดํารงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รอง ผบ.ตร. มอบหมายให้ สตม. ดำเนินการตรวจสอบชาวไทยและชาวต่างชาติที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสมในขณะที่พำนักอาศัยอยู่ในประเทศไทย กระทำผิดกฎหมาย ก่อเหตุอันตรายต่อความสงบสุขและความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศ หรือกลุ่มคนร้ายข้ามชาติที่เข้ามาแฝงตัวอยู่ก่อเหตุกับคนไทยหรือชาวต่างชาติ โดยใช้ประเทศไทยเป็นฐานในการกระทำความผิด

สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง โดย พล.ต.ท.ภาคภูมิภิภัทฒ์ สัจจพันธุ์ ผบช.สตม., พล.ต.ต.อาชยน  ไกรทอง รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.ศุภณัฎฐ์ เจริญเรืองสกุล ผบก.ตม.5 , พ.ต.อ.เอกกร บุษบาบดินทร์ รอง ผบก.ตม.5 , พ.ต.อ.แมน รัตนประทีป รอง ผบก.ตม.5 , พ.ต.อ.สัมพันธ์ เหลืองสัจจกุล ผกก.ตม.จว.ตาก และ พ.ต.ท.สุชาติ เพ็ญภู่ รอง ผกก.ตม.จว.ตาก ร่วมแถลงข่าว ดังนี้

 1. เจ้าหน้าที่ ตม.จว.ตาก ได้ร่วมกันปฏิบัติหน้าที่อยู่บริเวณจุดตรวจบ้านห้วยหินฝน ต.แม่ปะ อ.แม่สอด จว.ตาก เมื่อถึงเวลาเกิดเหตุพบรถยนต์คล้ายคนต่างด้าวสัญชาติจีนเป็นผู้ขับขี่ เดินทางจาก อ.แม่สอด มุ่งหน้าไปยัง จว.ตาก จากการตรวจสอบผู้ขับขี่ คือ MR.LIฯ อายุ 51 ปี สัญชาติจีน

ผู้ถูกจับที่ 1 และทำการตรวจสอบภายในรถยนต์พบบุคคลต่างด้าวสัญชาติจีน 2 คน คือ MR.JENGฯ อายุ 19 ปี สัญชาติจีน

ผู้ถูกจับที่ 2 และ MR.WANGฯ อายุ 43 ปี สัญชาติจีน ผู้ถูกจับที่ 3 จึงขอตรวจสอบเอกสารการเดินทาง จากการตรวจสอบบุคคลต่างด้าวสัญชาติจีน ทั้ง 3 ราย ปรากฏว่าผู้ถูกจับที่ 1 MR.LIฯ มีเอกสารการเดินทางและวีซ่าถูกต้อง ส่วนต่างด้าวสัญชาติจีนอีก 2 ราย ไม่มีเอกสารหนังสือเดินทางหรือเอกสารที่ใช้แทนหนังสือเดินทางมาแสดง รับว่าตนทำงานอยู่ฝั่งเมียวดี ประเทศเมียนมา ลักลอบเดินทางเข้าประเทศไทยทางช่องทางธรรมชาติ จากการสอบถามคนขับรถให้การว่า ตนได้รับการว่าจ้างจากหญิงนายหน้าไม่ทราบชื่อให้มารับผู้ต้องหาหน้าเทศบาลนครแม่สอด เพื่อนำไปส่งในพื้นที่ กทม. โดยได้รับการว่าจ้างเป็นจำนวนเงิน 7,000 บาท แต่มาถูกเจ้าหน้าที่เรียกตรวจสอบและถูกจับกุมเสียก่อน เจ้าหน้าที่ชุดจับกุมจึงได้แจ้งข้อกล่าวหาและนำตัวผู้ต้องหาพร้อมของกลาง นำส่ง สภ.แม่สอด เพื่อดำเนินคดีต่อไป

>> ผู้ถูกจับที่ 1 ในความผิดฐาน “ซ่อนเร้น หรือช่วยด้วยประการใด ๆ ให้คนต่างด้าวหลบหนีเข้าเมืองโดยผิดกฎหมายพ้นจากการจับกุม”

>> ผู้ถูกจับที่ 2 – 3 (ช.2) ในความผิดฐาน “เป็นบุคคลต่างด้าวเดินทางเข้ามาและอยู่ในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต” และ “ฝ่าฝืนคำสั่งจังหวัดตาก ที่ 38/2563 ลง 20 ธ.ค.63”   รถยนต์คันของกลาง คือ รถยนต์ตู้ ยี่ห้อ TOYOTA สีขาว รุ่นอัลพาร์ต หมายเลขทะเบียนกรุงเทพฯ  เหตุเกิด จุดตรวจบ้านห้วยหินฝน ต.แม่ปะ อ.แม่สอด จว.ตาก

2. เจ้าหน้าที่ ตม.จว.ตาก ได้ร่วมกันปฏิบัติหน้าที่อยู่บริเวณจุดตรวจบ้านห้วยหินฝน ต.แม่ปะ อ.แม่สอด  จว.ตาก เมื่อถึงเวลาเกิดเหตุพบรถยนต์ต้องสงสัย เดินทางมาจาก อ.เมืองตาก มุ่งหน้าเข้า อ.แม่สอด จากการตรวจสอบพบ ผู้ถูกจับที่ 1 คือ นายฉัตรมงคลฯ และทำการตรวจสอบภายในรถยนต์พบบุคคลต่างด้าวสัญชาติจีน 2 คน คือ MR.WANGฯ อายุ 30 ปี สัญชาติจีน ผู้ถูกจับที่ 1 และ MISS.HUANGฯ อายุ 32 ปี สัญชาติจีน ผู้ถูกจับที่ 2 จากการตรวจสอบบุคคลต่างด้าวสัญชาติจีน ทั้ง 2 ราย ปรากฏว่าไม่มีเอกสารหนังสือเดินทางหรือเอกสารที่ใช้แทนหนังสือเดินทางมาแสดงมีเพียงภาพถ่ายหนังสือเดินทางที่มีอยู่ในโทรศัพท์มือถือและจากการตรวจสอบระบบสารสนเทศตรวจคนเข้าเมืองไม่ปรากฏการเดินทางเข้าราชอาณาจักรไทยแต่อย่างใด รับว่าตนลักลอบเดินทางเข้าประเทศไทยทางช่องทางธรรมชาติจากประเทศกัมพูชา เพื่อที่จะเดินทางมายัง อ.แม่สอด จากการสอบถามผู้ขับขี่ ผู้ขับขี่ให้การว่า ตนได้รับการว่าจ้างจากชาย ชื่อนายณัฎฐกัณฐ์ฯ  ให้ไปรับคนสัญชาติจีนที่หมู่บ้านแห่งหนึ่งใน ถ.ศรีนครินทร์ แขวงหนองบอน เขตประเวศ กรุงเทพฯ เพื่อนำมาส่งในพื้นที่ อ.แม่สอด จว.ตาก โดยได้รับการว่าจ้างเป็นจำนวนเงิน 5,000 บาท แต่มาถูกเจ้าหน้าที่เรียกตรวจสอบและถูกจับกุมเสียก่อน เจ้าหน้าที่ชุดจับกุมจึงได้แจ้งข้อกล่าวหาและนำตัวผู้ต้องหาพร้อมของกลาง นำส่ง สภ.แม่สอด เพื่อดำเนินคดีต่อไป    

>> ผู้ถูกจับที่ 1 ในความผิดฐาน “ซ่อนเร้น หรือช่วยด้วยประการใด ๆ ให้คนต่างด้าวหลบหนีเข้าเมืองโดยผิดกฎหมายพ้นจากการจับกุม”

>> ผู้ถูกจับที่ 2 – 3 (ช.1 ญ.1) ในความผิดฐาน “เป็นบุคคลต่างด้าวเดินทางเข้ามาและอยู่ในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต” และ “ฝ่าฝืนคำสั่งจังหวัดตาก ที่ 38/2563 ลง 20 ธ.ค.63” 

รถยนต์คันของกลาง คือ

1.รถยนต์นั่งส่วนบุคคลไม่เกิน 7 คน ยี่ห้อ TOYOTA รุ่น VELLFIRE สีดำ หมายเลขทะเบียน กรุงเทพฯ 

2.โทรศัพท์ยี่ห้อ ONEPLUS A6013 สีดำ

เหตุเกิด จุดตรวจบ้านห้วยหินฝน ต.แม่ปะ อ.แม่สอด จว.ตาก

 

ตม.1 รวบฝรั่งหัวใส!! หลบ BLACKLIST เข้าไทย สุดท้ายไม่พ้นมือ ตม.

ตามนโยบายของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีเรื่องการควบคุมกำกับดูแลชาวต่างชาติที่เข้ามาพำนักอาศัยหรือเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พล.ต.อ.สุวัฒน์  แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. และ พล.ต.อ.ดํารงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รอง ผบ.ตร. มอบหมายให้ สตม.ดำเนินการตรวจสอบชาวต่างชาติที่มีหมายจับตำรวจสากล หรือมีพฤติกรรมไม่เหมาะสมในขณะที่พำนักอาศัยอยู่ในประเทศไทย กระทำผิดกฎหมาย ก่อเหตุอันตรายต่อความสงบสุขและความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน หรือเป็นลักษณะการกระทำผิดเข้าข่ายอาชญากรรมข้ามชาติ ทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศ

สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง โดย พล.ต.ท.ภาคภูมิภิภัทฒ์ สัจจพันธุ์ ผบช.สตม., พล.ต.ต.อาชยน  ไกรทอง รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.ปิติ นิธินนทเศรษฐ์ ผบก.ตม.1,พ.ต.อ.ณรงค์เวทย์ โอนสูงเนิน รอง ผบก.ตม.1, พ.ต.อ.ระพีพัฒน์ อุตสาหะ ผกก.สส.บก.ตม.1 ร่วมแถลงข่าวการจับกุมคดีที่น่าสนใจ ดังนี้

เจ้าหน้าที่ กก.สส.บก.ตม.1  ได้รับข้อมูลจากการสืบทราบว่า มีคนต่างด้าวสัญชาติอังกฤษ ชื่อ Mr.James   ซึ่งเคยถูกจับกุมดำเนินคดีและถูกบันทึกรายชื่อเป็นบุคคลต้องห้ามเดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรไว้ แต่ต่อมาได้สัญชาติอิสราเอลและใช้หนังสือเดินทางของประเทศอิสราเอล เดินทางเข้ามาและพักอาศัยอยู่ในประเทศไทย 

เมื่อเจ้าหน้าที่ได้รับทราบ จึงได้ทำการตรวจสอบข้อมูลจากระบบสารสนเทศ ตรวจคนเข้าเมือง โดยละเอียดจนพบว่า Mr.James  สัญชาติอังกฤษ ดังกล่าวถือหนังสือเดินทางเลขที่ 51XXXXXXX เกิดวันที่ 25 ก.ค.2520 สถานที่เกิด LONDON มีข้อมูลในบัญชีบุคคลต้องห้ามและเฝ้าดู เนื่องจากเคยถูกจับดำเนินคดีในข้อหา “มีอาวุธไม่มีเครื่องหมายทะเบียนและเครื่องกระสุนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตพกพาอาวุธไปในเมืองฯ” มีคำพิพากษาศาลถึงที่สุด จำคุก 9 เดือน และถูกผลักดันออกนอกประเทศ เมื่อ 3 เม.ย.2558 จริง ซึ่งจากการนำข้อมูลของ Mr.James  สัญชาติอังกฤษ มาตรวจสอบในระบบสารสนเทศ สตม. แล้วพบว่าตรงกับข้อมูลของชายชาวต่างชาติ สัญชาติอิสราเอล อีกรายหนึ่ง มีข้อมูลชื่อ นามสกุล วันเดือนปีเกิด สถานที่เกิด และใบหน้า คล้ายและเหมือนกับ Mr.James  สัญชาติอังกฤษ แตกต่างกันเพียงสัญชาติและเลขที่หนังสือเดินทางเท่านั้น

ซึ่งจากการตรวจสอบพบว่า Mr.James  สัญชาติอิสราเอล ถือหนังสือเดินทางเลขที่ 21XXXXXX เกิด 25 ก.ค.2520 สถานที่เกิด LONDON  เดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรครั้งแรก เมื่อ 23 ต.ค.2558 ครั้งสุดท้าย เมื่อ 5 ม.ค.2563 และยื่นขออยู่ต่อครั้งสุดท้ายได้รับอนุญาตให้อยู่ต่อในราชอาณาจักรถึง 21 ก.ย.2565 ซึ่งจากการตรวจสอบข้อมูลพบว่า ข้อมูล ชื่อ ชื่อกลาง นามสกุล วันเดือนปีเกิด และสถานที่เกิดตรงกัน ต่างกันเพียงสัญชาติของคนต่างด้าวเท่านั้น ตรงตามกับข้อมูลที่สืบทราบมาจริง เจ้าหน้าที่ กก.สส.บก.ตม.1 จึงได้ประสาน กก.3 บก.สส.สตม.เพื่อขอข้อมูลลายพิมพ์นิ้วมือของ Mr.James  สัญชาติอังกฤษ จากฐานข้อมูลในระบบฯ เมื่อครั้งถูกส่งกลับผลักดันออกนอกราชอาณาจักรไป เมื่อวันที่ 3 เม.ย.2558 เพื่อส่งให้ ศท.ตม. ดำเนินการตรวจเปรียบเทียบเพื่อยืนยันกับลายพิมพ์นิ้วมือและใบหน้าของ Mr.James สัญชาติอิสราเอล จากระบบ Biometrics ในวันที่เดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรครั้งล่าสุด ว่าบุคคลทั้งสองเป็นบุคคลคนเดียวกันหรือไม่ ซึ่งผลการตรวจสอบลายพิมพ์นิ้วมือและใบหน้ายืนยันว่าบุคคลทั้งสองเป็นบุคคลคนเดียวกัน จากนั้นเจ้าหน้าที่ฯจึงได้เสนอเพิกถอนการอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรของ Mr.Jame  สัญชาติอิสราเอล และเมื่อผู้บังคับบัญชาอนุมัติ เจ้าหน้าที่ฯจึงได้ทำการควบคุมตัวคนต่างด้าวส่ง กก.3 บก.สส.เพื่อดำเนินการส่งกลับผลักดันต่อไป

 

พลังงานตามติดสถานการณ์วิกฤตในยูเครน หวั่นกระทบไทย

นายกุลิศ สมบัติศิริ ปลัดกระทรวงพลังงาน เปิดเผยถึงสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครน ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อราคาพลังงานทั่วโลกอย่างต่อเนื่อง ว่า แม้ว่าประเทศไทยจะยังไม่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากการนำเข้าพลังงานทั้งน้ำมัน และ LNG เนื่องจากประเทศไทยนำเข้าน้ำมันดิบจากประเทศกลุ่มตะวันออกกลางประมาณ 55% และนำเข้าจากรัสเซีย เพื่อกลั่นเพียง 5.22 ล้านลิตร/วัน หรือคิดเป็น 3% ของปริมาณนำเข้าน้ำมันดิบทั้งหมด และในส่วนของ LNG ประเทศไทยนำเข้าจากต่างประเทศประมาณ 18% โดยมาจากหลากหลายแหล่ง 

อย่างไรก็ตามกระทรวงพลังงานก็ได้ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด เพื่อประเมินและเตรียมความพร้อมหากเกิดสถานการณ์ที่รุนแรงขึ้น โดยกระทรวงพลังงานและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้เตรียมความพร้อมด้านปริมาณสำรองพลังงาน โดย ณ วันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2565 ไทยมีปริมาณสำรองน้ำมันดิบประมาณ 3,200 ล้านลิตร ปริมาณสำรองน้ำมันดิบที่อยู่ระหว่างขนส่งอีก 1,460 ล้านลิตร น้ำมันสำเร็จรูป 1,670 ล้านลิตร ทำให้มีน้ำมันเชื้อเพลิงสำรองใช้ได้กว่า 2 เดือน แบ่งเป็น น้ำมันดิบ 27 วัน อยู่ระหว่างขนส่งอีก 13 วัน และน้ำมันสำเร็จรูป 12 วัน ส่วน LPG สำหรับในภาคครัวเรือนใช้ได้ 16 วัน


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top