Tuesday, 20 May 2025
TheStatesTimes

ชลบุรี - สำนักงาน ป.ป.ช.ชลบุรี แถลงข่าวชี้มูล คดีการทุจริตของข้าราชการ และผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง

วันที่ 17 ม.ค.65 นายกิจติพงค์ ขลิบแย้ม ผู้อำนวยการสำนักงาน ป.ป.ช. ประจำจังหวัดชลบุรี เป็นประธานจัดแถลงข่าว คดีที่สำนักงาน ป.ป.ช. ประจำจังหวัดชลบุรี ดำเนินการ และคณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติชี้มูลความผิดรวมทั้งการเปิดเผยทรัพย์สินและหนี้สิน ของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองในจังหวัดชลบุรี ณ ห้องประชุมแสนสำราญ ชั้น 2 อาคารศูนย์การประชุม โรงแรมบางแสนเฮอริเทจ ตำบลแสนสุข อำเภอเมืองชลบุรี จังหวัดชลบุรี

นายกิจติพงค์ ขลิบแย้ม ผู้อำนวยการสำนักงาน ป.ป.ช. ประจำจังหวัดชลบุรี เปิดเผยว่า ตามที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ได้มอบหมายให้สำนักงาน ป.ป.ช. ระดับจังหวัด ดำเนินการแถลงข่าวคดีที่สำนักงาน ป.ป.ช. ประจำจังหวัดชลบุรี ดำเนินการ และคณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติชี้มูลความผิด รวมทั้งการเปิดเผยทรัพย์สินและหนี้สิน ของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองในจังหวัดชลบุรี เป็นประจำทุกเดือน เพื่อสร้างพลังทางสังคมในการต่อต้านการทุจริต และปลูกจิตสำนึกด้านคุณธรรม จริยธรรม ให้เกิดขึ้นในสังคมไทยต่อไป

สำหรับจังหวัดชลบุรี ได้มีประเด็นการแถลงข่าว 3 เรื่อง ได้แก่ กรณี ผู้อำนวยการกองสาธารณสุขและสิ่งแวดล้อม สังกัดเทศบาลตำบลพานทอง ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ทำการเบิกจ่ายเงินกองทุนหลักประกันสุขภาพของเทศบาลตำบลพานทอง ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2556 – 2557 โดยไม่มีเอกสารหลักฐานประกอบการเบิกจ่าย กรณีที่ 2 อดีตนายกองค์การบริหารส่วนตำบลแสมสาร กับพวกรวม 1 คน ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ออกใบอนุญาตปลูกสร้างอาคาร ดัดแปลงอาคาร หรือรื้อถอนอาคาร ในที่ราชพัสดุ โดยไม่ได้รับอนุญาตจากกองทัพเรือ และกรณีที่ 3 อดีตรองนายกเทศบาลตำบลบางเสร่ จงใจปกปิดบัญชีทรัพย์สินที่ควรแจ้งให้ทราบ ซึ่งในคดีนี้ ในที่ประชุมได้มีมติให้เสนอเรื่องให้ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองวินิจฉัย ซึ่งคดีนี้ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง มีคำสั่งให้ประทับรับฟ้องไว้พิจารณา เมื่อวันที่ 2 ธันวาคม 2564 อันมีผลให้ผู้ถูกกล่าวหาต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่งนายกเทศมนตรีตำบลบางเสร่ (ปัจจุบันดำรงตำแหน่งนายกเทศมนตรีตำบลบางเสร่ อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี นับแต่วันที่ศาลมีคำสั่ง จนกว่าจะมีคำพิพากษา)

 

'บิ๊กโจ๊ก' เดินทางเยี่ยมผู้ได้รับบาดเจ็บกรณีถูกทำร้ายในเรือประมงที่ จ.ปัตตานี

พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล ผู้ช่วย ผบ.ตร. ได้เดินทางไปเยี่ยม นายวี เมือน อายุ 38 ปี สัญชาติกัมพูชา ลูกเรือที่ได้รับบาดเจ็บ ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจ ภ.จว.ปัตตานี ร่วมกับ กก.๗ บก.รน. ได้ร่วมกันจับกุม นายโบเฮียม เฮียง อายุ 23 ปี สัญชาติกัมพูชา เป็นลูกเรือประมงชื่อ เรือวรพงศ์นาวี ๒ ซึ่งได้ลงมือทำร้ายร่างกายโดยการใช้อาวุธมีดสปาต้าฟันนายวี เมือน อายุ 38 ปี เพื่อนลูกเรือภายในลำเดียวกันจนได้รับบาดเจ็บสาหัส เบื้องต้นเจ้าหน้าที่ได้ทราบเหตุจากการแจ้งเหตุผ่านทางวิทยุเพื่อขอความช่วยเหลือจากไต๋เรือ ก่อนจะนำเรือเข้าเทียบท่าที่ท่าเทียบเรือประมงปัตตานี อ.เมือง จ.ปัตตานี และเจ้าหน้าที่ตำรวจร่วมกับเจ้าหน้าที่ PIPO ได้ดำเนินการจับกุมดังกล่าว สอบถามนายโบเฮียมฯ ผู้ก่อเหตุให้การรับว่า ตนก่อเหตุดังกล่าวเนื่องจากไม่พอใจผู้ถูกทำร้ายเนื่องจากชอบด่าพ่อแม่ของตน และชอบขโมยของของตน เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้ดำเนินการจับกุมส่งพนักงานสอบสวน สภ.เมืองปัตตานี ดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

‘สุพล - สันติ’ ยอมสิ้นสภาพ ส.ส. ควงคู่ ยื่นลาออกจากสมาชิก พปชร. 

พปชร. ส่อแววแตก หลัง 2 ส.ส.บัญชีรายชื่อ สุพล ฟองงาม และสันติ กีระนันทน์ ยื่นลาออกจากสมาชิกพรรค ยอมสิ้นสภาพส.ส. 

เมื่อวันที่ 17 มกราคม ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายสุพล ฟองงาม และนายสันติ กีระนันทน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังประชารัฐ ยื่นหนังสือลาออกจากสมาชิกพรรคพลังประชารัฐ เป็นผลให้สิ้นสภาพส.ส. ทันที

ทั้งนี้ ยังมีรายงานข่าวเพิ่มเติมว่า ทั้งสองจะเข้าไปสังกัดพรรคสร้างอนาคตไทย ของ “กลุ่มสี่กุมาร” ภายใต้การนำของนายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ และนายอุตตม สาวนายน ที่เตรียมเปิดตัวในวันที่ 19 ม.ค. นี้


ที่มา : https://www.matichon.co.th/politics/news_3136115

โฆษก ตร.ห่วงใย! ใช้รถ - ใช้ถนน - ไม่บรรทุกสิ่งของ ความสูงเกินกฎหมายกำหนด "สุดอันตราย" วอนคำนึง "ความปลอดภัย" เพื่อนร่วมทาง

17 ม.ค.65 พล.ต.ต.ยิ่งยศ เทพจำนงค์ โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เผยว่า จากกรณีที่มีการแชร์ในสื่อสังคมออนไลน์ ปรากฏภาพรถยนต์เปิดฝากระโปรงท้าย แล้วบรรทุกถังน้ำขนาดใหญ่ไว้ท้ายรถโดยมีเชือกพันไว้กับตัวรถ นั้น

พล.ต.ต.ยิ่งยศฯ โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติ มีความห่วงใยและคำนึงถึงความปลอดภัยของพี่น้องประชาชน พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ จึงได้สั่งการกำชับไปยังเจ้าหน้าที่ตำรวจทั่วประเทศหากพบการกระทำผิดกฎหมาย ให้ดำเนินคดีอย่างเข้มงวดรวดเร็ว เพื่อให้ประชาชนผู้ใช้รถใช้ถนนมีความปลอดภัยอย่างสูงสุด

โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวต่อว่า ที่ผ่านมาเจ้าหน้าที่ตำรวจได้มีการกวดขันจับกุมผู้กระทำผิดกฎหมายจราจรอย่างต่อเนื่อง เพื่อความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของผู้ใช้รถใช้ถนน และด้วยความห่วงใยอยากจะฝากถึงผู้ที่ใช้รถยนต์บรรทุกสิ่งของ หากมีสิ่งของขนาดใหญ่เกินกว่าตัวรถแล้ว ขอให้ปรับเปลี่ยนหรือใช้รถให้ถูกประเภท เพื่อความปลอดภัยของตัวท่านเองและผู้ใช้รถใช้ถนนร่วมกัน ซึ่งหากใช้รถยนต์บรรทุกสิ่งของเกินตัวรถมากกว่าที่กฎหมายกำหนด อาจเป็นความผิดตามกฎหมาย 

พระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ.2522

มาตรา 18 รถที่ใช้บรรทุกคน สัตว์ หรือสิ่งของ จะใช้บรรทุกในลักษณะใดโดยรถชนิดหรือประเภทใด ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนดในกฎกระทรวง

กฎกระทรวง ฉบับที่ 4 (พ.ศ.2522) ออกตามความในพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ.2522

ข้อ 1 รถโรงเรียน รถบรรทุก หรือรถบรรทุกคนโดยสาร บรรทุกของได้ตามหลักเกณฑ์ ดังต่อไปนี้

(3) สำหรับส่วนสูง

(ก) ในกรณีที่เป็นรถบรรทุก รถม้าสี่ล้อบรรทุกของ หรือเกวียน ให้บรรทุกสูงไม่เกิน 3.00 เมตร จากพื้นทาง

(ข) ในกรณีที่เป็นรถอื่นนอกจากที่ระบุไว้ใน (ก) ให้บรรทุกสูงไม่เกิน 1.50 เมตร

(ค) ในกรณีที่เป็นรถชนิดที่ผู้ขับขี่อยู่หลังตัวรถ ให้บรรทุกสูงไม่เกินระดับที่ผู้ขับขี่มองเห็นพื้นทางข้างหน้าได้ในระยะตั้งแต่ 3.00 เมตร จากรถ หรือน้อยกว่า

มาตรา 150 ผู้ใด (3) ไม่ปฏิบัติตามกฎกระทรวงที่ออกตามมาตรา 18 ต้องระวางโทษปรับไม่เกิน 500 บาท

 

บังกลาเทศ – จับตา!! อสังหาริมทรัพย์ในบังคลาเทศเติบโตอย่างต่อเนื่องจากแรงหนุนรอบด้าน

ธากา/บังกลาเทศ – ตลาดอสังหาริมทรัพย์ในบังคลาเทศเติบโตอย่างโดดเด่นในช่วงสองปีที่ผ่านมาอันเนื่องมาจากการพัฒนาอย่างรวดเร็วของประเทศ ส่งผลให้รายได้ต่อหัวที่เพิ่มขึ้นครั้งล่าสุดและการขยายตัวของชนชั้นกลาง ความต้องการที่อยู่อาศัยก็เพิ่มขึ้น 

ทั้งนี้จากรายงานของสมาคมอสังหาริมทรัพย์และเคหะแห่งบังคลาเทศ (REHAB Real Estate & Housing Association of Bangladesh) เผยตัวเลขจากบริษัทที่เข้าร่วมสมาคมฯ ราว 879 แห่ง โดยพบกว่ามีอัตราเติบโตเฉลี่ยต่อปีราว 10% ในช่วงปี 2019-2020 

ขณะที่แนวคิดในการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์โดยภาพรวม ก็ไม่ได้จำกัดอยู่แค่อพาร์ตเมนต์ แต่ยังรวมถึงเมืองจำลอง ห้างสรรพสินค้า และโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญในรูปแบบต่างๆ โดยผลการสำรวจสำมะโนประชากรครั้งล่าสุดระบุว่าความต้องการที่อยู่อาศัยทั้งหมดของประชากรอยู่ที่ 0.8 ล้านหน่วยในปี 2020 และจะเพิ่มเป็น 1.14 ล้านหน่วยในปี 2030และหากคิดเป็นสัดส่วนของภาคที่อยู่อาศัยต่อ GDP ในบังกลาเทศแล้วนั้น ปัจจุบันมีตัวเลขอยู่ที่ 7.96% ขณะที่อุตสาหกรรมวัสดุก่อสร้าง เช่น เหล็ก, ปูน, อิฐ, ทราย, กระเบื้องเซรามิก, สี, และอุปกรณ์ตกแต่งและอุปกรณ์อื่นๆ อยู่ที่ราว 12%

สำหรับอีกจุดเปลี่ยนสำคัญของการเติบโตในครั้งนี้ ด้าน Kamal Mahmud รองประธาน REHEB ได้กล่าวว่า ภายใต้ลดภาษีในภาคอสังหาฯ แก่ผู้ประกอบกร โดยกระทรวงพาณิชย์ฯ นั้น ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้การขายอสังหาฯ ในรูปแบบต่างๆ เพิ่มมากขึ้น 

รัฐบาลรับทราบแผนขยายสนามบินสุวรรณภูมิ

นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รมว.คมนาคม เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะกรรมการพิจารณาแนวทางการเพิ่มขีดความสามารถของอาคารผู้โดยสารท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ว่า ที่ประชุมได้รับทราบการก่อสร้างส่วนต่อขยายอาคารผู้โดยสารหลักด้านทิศตะวันออก ซึ่งมีความพร้อม และเร่งทบทวนแผนแม่บทท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ โดยให้สมาคมการขนส่งทางอากาศระหว่างประเทศ (IATA) และองค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (ICAO) ดำเนินการศึกษาความเหมาะสมแนวทางการพัฒนา 

ทั้งนี้ที่ประชุมฯ ได้พิจารณาความก้าวหน้าการดำเนินงานของ บมจ.ทอท. 3 เรื่อง ประกอบด้วย 1. ความก้าวหน้าการดำเนินงานจ้าง ICAO เพื่อศึกษาแนวทางการเพิ่มขีดความสามารถของอาคารผู้โดยสารท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ล่าสุด ทอท. อยู่ระหว่างการประสานกับสำนักงานอัยการสูงสุดเพื่อพิจารณาร่างข้อตกลง เพื่อให้ ICAO ศึกษาแนวทางการเพิ่มขีดความสามารถของอาคารผู้โดยสารท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ โดยจะเริ่มดำเนินการได้ในเดือนม.ค. 2565 และแล้วเสร็จในเดือนต.ค.2565  

2. ผลการศึกษาแนวทางการเพิ่มขีดความสามารถของอาคารผู้โดยสารท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ โดย IATA ซึ่งที่ประชุมรับทราบผลการศึกษาที่แล้วเสร็จเมื่อวันที่ 18 ส.ค.2564 สรุปว่า การคาดการณ์ปริมาณผู้โดยสารของท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ จะฟื้นกลับมาในระดับเดียวกันกับช่วงก่อนเกิดการระบาดของโรคโควิด 19 ซึ่งมีผู้โดยสารปีละประมาณ 65 ล้านคน ในช่วงปี 2567 – 2568 โดยเสนอให้พัฒนาส่วนต่อขยายด้านทิศเหนือ เพื่อให้บริการผู้โดยสารภายในประเทศและผู้โดยสารระหว่างประเทศ 

‘สำนักงานตำรวจแห่งชาติ’ เตือนภัย!! แนะนำผู้ปกครองควรดูแลบุตรหลาน เรื่องการใช้สื่อสังคมออนไลน์อย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งแอปพลิเคชันหาคู่ อาจเสี่ยงต่อการตกเป็นเหยื่อ ถูกมิจฉาชีพหลอกลวง

พ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เตือนภัยจากแอฟพลิเคชันหาคู่ แนะนำผู้ปกครองควรดูแลการใช้สื่อสังคมออนไลน์อย่างใกล้ชิด เนื่องจากเสี่ยงถูกมิจฉาชีพล่อลวงสร้างความเสียหายในหลายรูปแบบ

ในปัจจุบันเทคโนโลยีมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง มีบทบาทช่วยให้ประชาชนได้ใช้ชีวิตประจำวันได้สะดวกสบายมากยิ่งขึ้น รวมไปถึงเรื่องการหาคู่ก็เช่นกัน  จึงมีผู้คิดค้นแอปพลิเคชันหาคู่ผ่านสื่อสังคมออนไลน์ และมีผู้ใช้งานเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะกลุ่มคนรุ่นใหม่   ซึ่งแอปพลิเคชันหาคู่ที่คนไทยส่วนใหญ่นิยมใช้กัน ได้แก่  Tinder ,Omi ,Bumble เป็นต้น แอปพลิเคชันเหล่านี้จะช่วยจับคู่หนุ่มสาวที่มีความชอบคล้ายๆกัน ให้ได้พูดคุยกันได้ง่ายมากยิ่งขึ้น แต่เหรียญก็มักจะมีทั้ง 2 ด้านเสมอ กลุ่มมิจฉาชีพมักใช้โอกาสจากช่องทางนี้ในการหลอกล่อเหยื่อเช่นกัน ซึ่งช่วงที่ผ่านมาได้เกิดเหตุในลักษณะดังกล่าวขึ้นหลายครั้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งกรณีที่เหยื่อเป็นเด็กและเยาวชน   ตามที่ปรากฎบนสื่อสังคมออนไลน์และสื่ออื่นๆ หากรูปแบบการกระทำความผิดในลักษณะนี้เกิดขึ้นเรื่อยๆ อาจจะพัฒนาจนเป็นการค้ามนุษย์และสร้างความเสียหายเป็นวงกว้างมากขึ้นได้

ดังเช่นกรณีที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 3 ม.ค. 65 ในพื้นที่ จว.เชียงใหม่ ได้มีเด็กหญิงอายุ 14 ปี หายตัวไป จนผู้ปกครองได้เข้าแจ้งความกับพนักงานสอบสวน และได้ทำการติดตามค้นหาจนเมื่อวันที่ 15 ม.ค. 65 เจ้าหน้าที่ตำรวจได้พบเด็กหญิงคนดังกล่าวอยู่กับชายอายุ 18 ปี ซึ่งทั้งสองได้พูดคุยกันผ่านแอพพลิเคชัน Litmatch และได้มีการนัดเจอกัน ซึ่งเป็นเหตุให้เด็กหญิงคนดังกล่าวหายตัวไป ต่อมาทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้จับกุมชายคนดังกล่าวพร้อมกับแจ้งข้อกล่าวหา กระทำชำเราเด็กอายุไม่เกิน 15 ปีฯ และ พรากเด็กอายุไม่เกิน 15 ปีไปจากบิดามารดาฯ ก่อนจะนำตัวส่งให้พนักงานสอบสวนดำเนินคดีตามขั้นตอนกฎหมายต่อไป

และในกรณีเมื่อวันที่ 14 ธ.ค. 64 เจ้าหน้าที่ตำรวจ ได้ร่วมกันจับกุมตัวชายอายุ 28 ปี ในข้อหา รีดเอาทรัพย์,กรรโชกทรัพย์,    ทำให้เสื่อมเสียเสรีภาพ,ทำให้ผู้อื่นเกิดความหวาดกลัวหรือตกใจโดยการขู่เข็ญ สืบเนื่องจากได้รับแจ้งจากหญิงสาวหลายรายว่าได้รู้จักกับผู้ต้องหาผ่านแอปพลิเคชันหาคู่ชื่อดังก่อนจะนัดหมายเจอกัน จากนั้นก็ออกอุบายตีสนิท เมื่อคบหากันก็ได้ถ่ายคลิปตอนมีเพศสัมพันธ์ พอผ่านไปสักระยะก็จะขอยืมเงิน หากไม่ยินยอมให้ ก็จะขู่เผยแพร่คลิปดังกล่าว เมื่อฝ่ายหญิงขอเลิกผู้ต้องหาก็จะขอค่าเลิกเป็นเงินจำนวน 100,000 บาท จะเห็นได้ว่าอันตรายไม่ได้เกิดขึ้นแค่เพียงกับเด็กและเยาวชนเท่านั้น แต่สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกๆคน

ดังนั้นจึงขอให้ประชาชนใช้วิจารณญาณในการใช้บริการแอปพลิเคชันหาคู่ให้มากยิ่งขึ้น นอกจากมีความสุ่มเสี่ยงที่จะถูกล่อลวงไปกระทำชำเราแล้ว การเปิดเผยข้อมูลส่วนตัวผ่านสื่อสังคมออนไลน์ก็เสี่ยงต่อการถูกนำข้อมูลส่วนตัวไปใช้ในทางที่ผิด หรืออาจถูกนำไปขายต่อบน Dark Web และนำไปใช้ในการกระทำความผิด ทำให้ท่านอาจตกเป็นผู้ต้องหา โดยท่านไม่รู้ตัวก็เป็นได้

พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ จึงได้กำชับและสั่งการไปยังหน่วยงานในสังกัดที่เกี่ยวข้องทุกหน่วย ในการป้องกันภัยอาชญากรรมทางเทคโนโลยี โดยเฉพาะกองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี(บช.สอท.) และ ศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศปอส.ตร.) ให้เร่งสร้างการรับรู้ให้กับพี่น้องประชาชน ทราบถึงพิษภัยและรูปแบบการกระทำความผิดต่างๆ พร้อมเร่งทำการสืบสวนปราบปรามจับกุม  ผู้กระทำความผิดมาดำเนินคดี เพื่อเป็นการจำกัดความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นและตัดโอกาสในการกระทำความผิดอย่างจริงจังต่อเนื่องโดยให้มีผลการปฏิบัติเป็นรูปธรรม

รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ จึงขอฝากเตือนภัยและประชาสัมพันธ์แนะนำผู้ปกครองในการดูแลบุตรหลาน            ถึงแนวทางการป้องกันหลีกเลี่ยงการถูกล่อลวงผ่านแอปพลิเคชั่นหาคู่ ดังนี้

1.ควรระมัดระวังในการเปิดเผยข้อมูลส่วนตัว ไม่บอกข้อมูลทั้งหมดกับคนที่เพิ่งรู้จัก เมื่อใช้บริการแอปพลิเคชั่นหาคู่ออนไลน์ต่าง ๆ

2.ไม่ควรหลงเชื่อ หรือไว้ใจบุคคลใดง่าย ๆ หากมีความจำเป็นต้องนัดเจอควรมีเพื่อนหรือผู้ปกครองไปด้วยเพื่อความปลอดภัย

3.ผู้ปกครองควรดูแลบุตรหลานอย่างใกล้ชิด ไม่ปล่อยให้ใช้สื่อสังคมออนไลน์หรือโทรศัพท์มือถือเพียงลำพัง, ควรพูดคุยทำความเข้าใจถึงขอบเขตการใช้งานว่าแอปพลิเคชั่นไหนใช้ได้บ้างหรือแอปพลิเคชั่นใดควรหลีกเลี่ยง, หมั่นเช็คประวัติการใช้งานอินเทอร์เน็ตหรือแอปพลิเคชั่นของบุตรหลานว่ามีการใช้งานที่ไม่เหมาะสมหรือมีการพูดคุยกับคนแปลกหน้าหรือไม่

4.พึงระลึกไว้เสมอว่า อะไรที่ดีเกินไป เร็วเกินไป มักจะลงเอยไม่ดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นโดยง่ายผ่านสื่อสังคมออนไลน์และขอให้เรื่องที่เกิดขึ้นเป็นอุทาหรณ์ให้ระมัดระวังในเรื่องการมีความสัมพันธ์ผ่านทางสื่อสังคมออนไลน์หรือ Chat Application ในรูปแบบต่าง ๆ

 

'จุรินทร์' ลั่นทุกเสียง ปชป. ไม่มีโกง เตือนแล้วพรรคร่วมแข่งกันเอง ได้ไม่คุ้มเสีย

17 ม.ค. 65 ที่กระทรวงพาณิชย์ นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ในฐานะหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) กล่าวภายหลังพรรคประชาธิปัตย์ได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งซ่อมส.ส. ทั้งที่เขต 1 จ.ชุมพร และเขต 6 จ.สงขลา ว่า ขอขอบคุณประชาชนทั้งสองจังหวัด รวมถึงผู้สนับสนุนจากหลายพื้นที่ทั่วประเทศที่เป็นกำลังใจให้พรรคประชาธิปัตย์ ส่วนปัจจัยที่ทำให้พรรคประสบความสำเร็จในครั้งนี้ ก็เพราะเสียงสวรรค์ของประชาชน เห็นชัดเจนเป็นรูปธรรมที่สุด ตนและพรรคขอบคุณด้วยความซาบซึ้งใจ จากนี้จะต้องทำงานหนักขึ้นต่อไป

เมื่อถามว่า ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า เลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ ระบุอาจมีการเลือกตั้งซ่อมอีกรอบ นายจุรินทร์ กล่าวว่า ไม่ขอวิจารณ์ แต่ขอเรียนเลยว่าพรรคประชาธิปัตย์ไม่โกง มั่นใจทุกคะแนนได้มาอย่างบริสุทธิ์ และมาจากเสียงสวรรค์ที่แท้จริง

‘แก้หนี้ครัวเรือน’ ได้! หากปลูกฝังวินัยการเงินจริงหรือ?! | Click on Clear THE TOPIC EP.128

📌 คุยเรื่อง ‘หนี้ครัวเรือน’ ภาระใหญ่ ที่คนไทยต้องแบก !! ไปกับ 'ดร.พีรภัทร  ฝอยทอง' ที่ปรึกษากฎหมายและที่ปรึกษาทางการเงิน!

📌ใน Topic​ :  ‘แก้หนี้ครัวเรือน’ ได้! หากปลูกฝังวินัยการเงินจริงหรือ?!

จับประเด็น เน้นความรู้ในรายการ Click on Clear THE TOPIC

🕗เวลา 2 ทุ่มตรง รับชมไปพร้อมกัน !!

ดำเนินรายการโดย ปริม กุญชนิตา กุญชร ณ อยุธยา PROGRAM DIRECTOR THE STATES TIMES

.

.

“รองโฆษกรัฐบาล” ชวนแรงงานอิสระ สมัครเป็นผู้ประกันตนตามมาตรา 40 -ออมเงินกับกองทุนการออมแห่งชาติ ชี้ ได้บำนาญ คุ้มครองอุบัติเหตุ

น.ส.รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาลเชิญชวนผู้ประกอบอาชีพอิสระ และผู้ประกันตนตามมาตรา 40(1)สมัครออมเงินควบคู่ไปกับกองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.)เพื่อเติมเต็มเงินออมและสร้างความมั่นคงทางการเงิน สอดคล้องกับเป้าหมายของรัฐบาล โดยพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ที่มุ่งมั่นลดความเหลื่อมล้ำในสังคม สร้างหลักประกันที่มั่นคงในชีวิตของประชากร ตามแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี (พ.ศ. 2561 - 2580)

โดยกอช. ร่วมกับสำนักงานประกันสังคม กระทรวงแรงงาน จัดคู่หูสวัสดิการเพื่อประชาชน เชิญชวนผู้ที่มีสิทธิสมัคร อายุ 15 – 60 ปี และเป็นผู้ประกันตนตามมาตรา 40(1) วางแผนเงินออมหลังอายุ 60 ปี ควบคู่กับ กอช. เพียงออมเงินขั้นต่ำ 50 บาท สูงสุด 13,200 บาทต่อปี ทั้งนี้ สมาชิกจะได้สวัสดิการจาก 2 หน่วยงานรวมกัน โดยจะได้รับเงินสมทบจากรัฐบาลเพิ่มตามช่วงอายุสมาชิก สูงสุด 100 เปอร์เซ็นต์ ไม่เกิน 1,200 บาทต่อปี นอกจากนี้ยังมีผลตอบแทนเพิ่มเติมจากการลงทุน ซึ่งได้รับความค้ำประกันผลตอบแทน รวมถึงสามารถลดหย่อนภาษีเงินได้ประจำปีได้เต็มจำนวนเงินออมสะสม และในระหว่างการทำงาน สมาชิกจะได้เงินทดแทนรายได้กรณีประสบอุบัติเหตุหรือเจ็บป่วย เงินทดแทนการขาดรายได้กรณีทุพพลภาพ ค่าทำศพจากสำนักงานประกันสังคม และเมื่ออายุเกิน60 ปี จะได้บำนาญรายเดือนจาก กอช. และได้เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุตามเกณฑ์อีกด้วย โดยผู้ที่สนใจสามารถสมัครสมาชิก กอช. มีอายุตั้งแต่ 15 – 60 ปี ได้แก่ นักเรียน นิสิตและนักศึกษา พ่อค้าแม่ค้า เกษตรกร ผู้ที่ขับรถรับจ้างทั่วไป ผู้ประกอบอาชีพอิสระ เป็นต้น ซึ่งสามารถตรวจสอบสิทธิได้ที่แอปพลิเคชัน “กอช.” หรือ เว็บไซต์ กอช. www.nsf.or.th หรือสอบถาม สายด่วนเงินออม โทร.02-049-9000


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top