Tuesday, 14 May 2024
TheStatesTimes

"กมธ.ดีอีเอส" เผย ปชช.ถูกดูดเงิน เหตุผูกบัญชีกับร้านค้าไม่แสดงตัวตน ด้าน ธปท. ยัน เยียวยาผู้ผูกบัตรเดบิตครบถ้วนแล้ว ส่วนบัตรเครดิตไม่ต้องชำระเงินที่ถูกหัก แนะ หน่วยงานบูรณาการแก้ปัญหา ให้ความรู้ ป้องกันปชช.ตกเป็นเหยื่อทางเทคโนโลยี

น.ส.กัลยา รุ่งวิจิตรชัย ส.ส.สระบุรี พรรคพลังประชารัฐ ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการการสื่อสาร โทรคมนาคมและดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (กมธ.ดีอีเอส) สภาผู้แทนราษฎร เปิดเผยว่า การประชุมกมธ.สัปดาห์นี้ มีวาระพิจารณาเรื่องกรณีที่ประชาชนร้องเรียนว่าถูกหักเงินจากบัญชีธนาคาร บัญชีบัตรเครดิตหรือบัตรเดบิต อย่างผิดปกติเป็นจำนวนมาก โดยมีตัวแทนจาก 3 หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) สมาคมธนาคารไทย กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) รวมถึงตัวแทนของธนาคารพาณิชย์ เข้าให้รายละเอียดผ่านระบบซูม ทั้งนี้ปัญหาที่เกิดขึ้นตัวแทนธนาคารและสมาคมธนาคารไทยยืนยันว่า ไม่ใช่เกิดจากความล้าหลังของระบบธนาคาร แต่เป็นกรณีที่ประชาชนผูกบัตรเครดิตหรือบัตรเดบิตกับร้านค้า หรือสินค้าที่ไม่แสดงตัวตน ไม่มีระบบยืนยันเพื่อตรวจสอบ หรือระบบ OTP (One Time Password) ซึ่งเป็นรหัสผ่านเพื่อความปลอดภัยในการทำธุรกรรมทางอินเทอร์เน็ต

น.ส.กัลยา กล่าวต่อว่า สำหรับปัญหาที่เกิดขึ้น ธปท.ยืนยันว่าได้ให้การเยียวยาประชาชนที่ถูกดูดเงินจากบัตรเดบิตครบถ้วนแล้ว ส่วนประชาชนที่ถูกหักเงินจากบัตรเครดิตนั้น เมื่อตรวจสอบพบว่าไม่ต้องชำระเงินที่ถูกหัก และจะไม่เสียเครดิตด้วย ทั้งนี้ กมธ.ฝากไปยังหน่วยงานที่ชี้แจงให้หามาตรการลดผลกระทบกับประชาชน โดยกมธ.ไม่ต้องการให้ประชาชนตกเป็นเหยื่อของอาชญากรรมทางเทคโนโลยีเพิ่มเติม เบื้องต้นทางธปท.ได้ประสานไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค (ปคบ.) กระทรวงดีอีเอส กสทช. เพื่อบูรณาการการทำงาน ยกระดับความปลอดภัยให้กับประชาชนและพัฒนาระบบแจ้งเตือนเมื่อมีเหตุผิดปกติเกิดขึ้นกับบัญชีของประชาชน

“สิ่งสำคัญที่กมธ.ต้องดำเนินการต่อ คือ การสร้างความรู้ ความเข้าใจให้กับประชาชน ต่อการรู้เท่าทันการใช้เทคโนโลยี เพราะการใช้ชีวิตวิถีใหม่จำเป็นต้องใช้เทคโนโลยี แต่ประชาชนส่วนหนึ่งยังรู้ไม่เท่าทันกับคนที่ไม่หวังดี ดังนั้น สิ่งที่จะลดผลกระทบได้ดี คือ การให้องค์ความรู้ เพื่อสร้างเกราะให้ประชาชน เบื้องต้นกมธ.คิดว่าจะจัดเวทีเพื่อให้องค์ความรู้กับประชาชน และหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องก็จะดำเนินการเช่นเดียวกัน” น.ส.กัลยา กล่าว

“บิ๊กตู่” นำถก ศบค. จ่อผ่อนคลายพื้นที่แดงเข้มเหลือ 7 จังหวัด พร้อมเตรียมแผนรองรับเปิดประเทศ1พ.ย.นี้

ที่ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม เป็นประธานการประชุมศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.ชุดใหญ่) โดยมีนายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี นายดอน ปรมัตถ์วินัย รองนายกรัฐมนตรีและรมว.ต่างประเทศ นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรมว.สาธารณสุข พร้อมด้วยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุมอย่างพร้อมเพรียง โดยระหว่างทางเดินเชื่อมตึกไทยคู่ฟ้ามายังตึกสันติไมตรี นายกฯ ได้ทักทายสื่อมวลชนที่มารอต้อนรับและกล่าวสั้นๆเพียงว่า "สวัสดีจ้ะ"

รองโฆษกรัฐ เผย 'อนุทิน' ไม่รู้รายละเอียด ดีล 'ลิซ่า' โยนเป็นหน้าที่ 'ททท.' จัดการ

ที่ทำเนียบรัฐบาล น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ระบุเกี่ยวกับค่ายวายจีเอ็นเตอร์เทนเม้นท์ บริษัทต้นสังกัดของ ลิซ่า น.ส.ลลิษา มโนบาล สมาชิกวงแบล็กพิงก์ ชาวไทย ออกแถลงการณ์ลงวันที่ 28 ตุลาคม ระบุว่า ลิซ่า ไม่สามารถเดินทางมาโปรโมทการท่องเที่ยวไทยได้นั้น โดยนายอนุทิน แจ้งว่า เรื่องดังกล่าวได้รับการรายงานจากการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ที่จะมีการจัดกิจกรรม โดยมีลิซ่ามาร่วมงานด้วย ถือว่าเป็นเรื่องที่มีความคุ้มค่าทางเศรษฐกิจ แต่นายอนุทิน ไม่ได้รับรายงานในส่วนรายละเอียดเรื่องการติดต่อประสานงานให้ ลิซ่า แบล็กพิงก์ มาร่วมกิจกรรมเคาท์ดาวน์ปีใหม่ที่ จ.ภูเก็ต โดยกระบวนการดังกล่าวทาง ททท.เป็นผู้ดำเนินการ ทั้งนี้ เมื่อต้นสังกัดของศิลปินแจ้งว่าไม่สามารถเดินทางมาร่วมกิจกรรมได้ จึงเป็นหน้าที่ของ ททท.ที่จะดำเนินการต่อไป

"พิพัฒน์" ยืดอกรับผิด ปมชวดดึง "ลิซ่า" มาเคาท์ดาวน์ในไทย ยอมรับสื่อสารผิดพลาด รีบพูดก่อน พร้อมนำมาเป็นบทเรียน เดินหน้าชวนคนดังระดับโลกมาร่วมงาน

ที่ทำเนียบรัฐบาล  นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รมว.งการท่องเที่ยวและกีฬา ให้สัมภาษณ์ถึงกระแสข่าวกรณีที่"ลิซ่า แบล็คพิงก์" หรือ ลลิษา มโนบาล ไม่สามารถมาร่วมกิจกรรมเคาท์ดาวน์ปีใหม่ที่ประเทศไทยได้ มีสาเหตุเป็นเพราะฝ่ายไทยต้องการจ้างเพียงคนเดียว แต่ทางต้นสังกัดต้องการให้มาทั้งวง  ว่า  เรื่องนี้ไม่เป็นความจริง และไม่ใช่ข้อเท็จจริง  รวมถึงกระแสข่าวต่างๆที่เกิดขึ้นอาจไม่ใช่ข้อเท็จจริงทุกเรื่อง อย่างกรณี เชอรี่ โคลว์ และลิซ่า เรื่องแยกแพคเกจหรือไม่แยกนั้นไม่มีความจริง ถ้าแยกแล้วไม่มา แต่ถ้าไม่แยกแล้วไม่มา  สิ่งเหล่านี้เป็นการสื่อสารที่ผิดพลาดของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ที่มีการสื่อสารออกไปในเบื้องต้น  ขณะที่เรายังไม่เห็นรายละเอียดในสัญญาทั้งหมด อย่างที่ตนเคยพูดไปแล้วว่าในวันที่ 30 ต.ค.นี้ เราจะได้เห็นสัญญา และสุดท้ายก็เกิดความสับสน

"ผมคิดว่าบริษัทเขาคำนึงถึงชื่อเสียง และประกอบกับสำคัญที่ว่าเขาติดคิว ไม่สามารถยกเลิกคิวเพื่อเอามาให้ประเทศไทยได้  สิ่งเหล่านี้ผมขอเรียนอย่างตรงไปตรงมา ส่วนอีกคนนึง คือแอนเดรีย บล็อกเชลลี่ นักร้องชาวอิตาเลียน ผมก็ยังไม่ขอพูดว่าความชัดเจนคืออะไรในช่วงนี้ เพราะจากความผิดพลาดที่ผ่านมา เราได้รับบทเรียนว่าสิ่งไหนที่ยังไม่จบ  อย่าเพิ่งพูดก่อน ซึ่งตัวผมยอมรับว่าได้ให้สัมภาษณ์ในเบื้องต้นไป  หลังจากนี้เราคงต้องทำอะไรให้รอบคอบมากกว่าเดิม แต่ก็คงยังมีศิลปินชื่อดังระดับโลกเข้ามาแน่ๆ แต่จะเป็นใคร อย่างไรนั้น ต้องขอให้มีการลงตัวเรียบร้อยเสียก่อน จึงจะนำเสนอต่อไป"นายพิพัฒน์ กล่าว

ผู้สื่อข่าวถามว่าจำเป็นต้องตั้งคณะกรรมการสอบสวนเรื่องนี้เพื่อหาผู้รับผิดชอบในเรื่องนี้หรือไม่  หลังจากเกิดข้อผิดพลาดนี้เกิดขึ้น  นายพิพัฒน์ กล่าวว่า  ต้องหารือกันภายในกระทรวงฯก่อน และตนต้องหารือกับผู้ใหญ่ในพรรคภูมิใจไทยและนายกรัฐมนตรี ว่าเมื่อเหตุการณ์เกิดมาถึงตรงนี้แล้ว เราควรต้องทำอย่างไร ซึ่งตนมีผู้บังคับบัญชา 2 คน คือนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรมว.สาธารณสุข ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย และพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม คงต้องหารือก่อน  ส่วนจะตั้งคณะกรรมการขึ้นมาสอบใครหรือไม่สอบใครนั้น คงต้องคำนึงหลายอย่าง เนื่องจากมีภาคเอกชนเข้ามามีส่วนร่วมด้วย ซึ่งเราคงไม่สามารถเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับภาคเอกชนได้ จึงจำเป็นต้องดูกันภายในก่อนว่าพวกเราจะจัดการกันอย่างไร ทั้งนี้ถือเป็นบทเรียนอีกบทหนึ่งสำหรับทุกอย่าง หากยังไม่จบ ก็ไม่ควรก็ไม่ควรนำออกมาพูดก่อน

"ซึ่งตัวผมเองก็เป็นส่วนหนึ่งในนั้น ไม่ใช่ว่าผมไม่ได้ไม่ใช่ผมไม่ได้พูด แต่ตัวผมเองก็พูดออกไปเยอะ เพราะฉะนั้นความผิดพลาดตรงนี้ ตัวผมเองก็ต้องยอมรับตัวผมเองก็ต้องยอมรับ"นายพิพัฒน์ กล่าว

เผย 3 สัญญาณลับ !! สงครามโลกรอวันปะทุ!! | Knowledge Times EP.31

???? รอบรู้แบบรู้ลึก ในรายการ ‘Knowledge Times’
????เผย 3 สัญญาณลับ !! สงครามโลกรอวันปะทุ!!

เชื่อหรือไม่ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า สงครามโลกอาจปะทุขึ้นอีกครั้ง !! 

แน่นอนว่าการเกิดสงครามไม่สามารถเกิดขึ้นได้ภายในไม่กี่วัน แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าโอกาสที่จะเกิดสงครามโลกในเวลานี้มีสูงมาก 

หากประเมินระยะเวลาแบบช้าที่สุด สงครามโลกนั้นมีโอกาสปะทุขึ้นภายใน 4 - 10 ปีนี้ และแน่นอนว่าก่อนทำการใหญ่ต้องมีการเตรียมการอย่างรัดกุมและแน่นหนา ซึ่งต้องใช้เวลาอย่างน้อย 4 - 5 ปี เพื่อให้เกิดความพร้อมที่สุด

แล้วอะไรคือสัญญาณการเกิดสงครามโลกขึ้นอีกครั้ง?

ประการที่ 1 จุดยุทธศาสตร์ที่จะเกิดสงครามได้ คือ บริเวณทะเลจีนใต้ อย่างที่รู้กัน กลุ่มชาติตะวันตกไม่ต้องการให้จีนขึ้นมามีอำนาจ เพราะจะทำให้ระบบการเงิน การค้า ทรัพยากร เสียระบบ อันจะเห็นได้จากสัญญาณที่เริ่มปรากฏจาก บริษัท ไต้หวัน เซมิคอนดักเตอร์ หรือ (TSMC) ซึ่งเป็นบริษัทผลิต ชิป นาโนชิป ที่ครองส่วนแบ่งตลาดชิปทั่วโลก กว่า 55.6% 

ที่ปัจจุบันเริ่มมีการย้ายฐานการผลิตมาที่ญี่ปุ่น เนื่องจากไต้หวันนั้นเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญ ที่เป็นชนวนขัดแย้ง จึงมีการถอนบริษัทยักษ์ใหญ่ที่สำคัญจำนวนมากในไต้หวัน ย้ายฐานการผลิตออกมาทีละนิด เนื่องจากต่างรู้กันดีว่า หากยังคงอยู่ที่ไต้หวันต่อไป อาจเกิดความเสียหายต่อบริษัทได้

ประการที่ 2 สหรัฐอเมริกา เริ่มถอนกำลังทหารสำคัญออกมา เช่น ในอัฟกานิสถาน เป็นต้น แม้ว่าการถอนกำลังในครั้งนี้ ดูเหมือนสหรัฐฯ นั้นได้รับความพ่ายแพ้ แต่แท้จริงแล้วนี่คือกลยุทธ์ ที่สหรัฐฯ ถอนกองกำลังทหารออกมาจากภูมิภาคที่ไม่จำเป็น หรือ จุดที่ไม่ใช่ยุทธศาสตร์ เพื่อกลับมารวบอำนาจไว้กับตนเองก่อน

ประการที่ 3 เริ่มมีการกักตุนเชื้อเพลิง ในจุดต่าง ๆ ทั่วโลกเพิ่มมากขึ้น เพราะสิ่งที่สำคัญที่สุดในการทำสงคราม นั่นก็คือ ‘น้ำมัน’ ซึ่งมีความสำคัญขนาดที่สามารถชี้ชะตาสงครามโลกครั้งที่ 2 มาแล้ว และเมื่อย้อนกลับไป ในสมัยนาซีเยอรมันเอง ก็เคยทำลายจุดยุทธศาสตร์ของรัสเซียมาแล้ว นั่นก็คือ สตาลินกราด ที่มีความสำคัญเพราะเป็นทางผ่านไปสู่ เมืองบากู ของประเทศอาเซอร์ไบจานปัจจุบัน 

ซึ่งเป็นแหล่งน้ำมันในทะเลสาบแคสเปียน อีกทั้งการสูญเสียยุทธศาสตร์ในตะวันออกกลางและแถบแอฟริกาเหนือก็นำมาสู่การแพ้สงครามของนาซีเยอรมัน ดังนั้น น้ำมัน จึงเป็นเสมือนปัจจัยชี้ขาด ทั้งกำลัง อาวุธ พาหนะ อุปกรณ์ในสงคราม รวมไปถึงเครื่องบิน ล้วนแต่ต้องพึ่งพาน้ำมันทั้งสิ้น

อย่างไรก็ดี แม้สหรัฐฯ ได้ถอนกองกำลังออกจากจุดยุทธศาสตร์ที่ไม่จำเป็น แต่ล่าสุดกลับมีการเพิ่มกองกำลังบริเวณฟิลิปปินส์ ซึ่งเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญ บริเวณเกาะลูซอน และเกาะกวม โดยเกาะกวมนั้นมีความสำคัญ เพราะเป็นดินแดนสุดท้าย ที่สหรัฐฯ มีอิทธิพล และจุดยุทธศาสตร์นี้เองจะเป็นจุดที่สหรัฐฯ ใช้ในการส่งกำลังบำรุง 

อีกทั้งเกาะกวมยังเป็นทางผ่านไปจนถึงเกาะลูซอน ในประเทศฟิลิปปินส์ และโอกินาวา ในประเทศญี่ปุ่น ดังนั้น หากคิดว่าการถอนกองกำลังของสหรัฐฯ คือ ความพ่ายแพ้ แต่แท้จริงแล้วนี่เป็นเพียงการย้ายฐานกองกำลังมาที่ เกาะลูซอน เกาะกวม และเสริมทัพที่โอกินาวา  

และอย่างที่ทราบกันดีว่า ญี่ปุ่นนั้นเป็นเสมือนไม้เบื่อไม้เมากับจีน ซึ่งสหรัฐฯ เชื่อว่า ญี่ปุ่นจะเป็นพันธมิตรที่สำคัญในการร่วมรบ เนื่องจากสหรัฐฯ มีบทบาทสำคัญในการดูแลด้านความมั่นคงให้กับญี่ปุ่น นับตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่สอง

นอกจากนี้หากสงครามโลกปะทุขึ้น อุปกรณ์เซมิคอนดักเตอร์ จะเข้ามามีบทบาทเป็นอย่างมาก และแน่นอนว่าตามจุดยุทธศาสตร์ต่าง ๆ ก็จะขาดแคลนอุปกรณ์เหล่านี้มากขึ้นไปอีก

ดังนั้นอาณัติสัญญาณที่เกิดขึ้น อันเปรียบเสมือนคลื่นใต้น้ำที่กำลังก่อเคลื่อนตัวไปอย่างเงียบ ๆ ตั้งแต่การเคลื่อนย้ายของบรรดาบริษัทเอกชนต่าง ๆ หรือการถอนกองกำลังของสหรัฐฯ สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ ล้วนเป็นสัญญาณ ที่แสดงให้เห็นถึงสงครามที่กำลังก่อตัวและรอวันปะทุในอีกไม่ช้า...

“ประวิตร” เรียกประชุม สถานการณ์น้ำ สั่งเตรียมรับมือฤดูฝนภาคใต้ พร้อมเร่งวางแผนแก้ปัญหาน้ำเค็ม น้ำท่วมและน้ำแล้งซ้ำซาก

พล.อ.คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษกประจำรองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ได้เรียกประชุม คณะอนุกรรมการอำนวยการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ ครั้งที่ 2/64 ณ ห้องประชุม สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ เพื่อเตรียมรับมือฤดูฝนภาคใต้ รวมทั้งติดตามบริหารจัดการสถานการณ์ท่วมและน้ำแล้งในภาพรวม

โดยที่ประชุมรับทราบสถานการณ์สภาพอากาศ รวมทั้งการบริหารจัดการน้ำปัจจุบัน ในพื้นที่ลุ่มต่ำ แหล่งน้ำขนาดใหญ่ - กลาง และเขื่อนระบายน้ำ ซึ่งในภาพรวมยังสามารถควบคุม โดยมีแหล่งน้ำขนาดใหญ่ 38 แห่งที่ต้องเฝ้าระวัง สำหรับการคาดการณ์พื้นที่เสี่ยงอุทกภัยในพื้นที่สำคัญทั่วประเทศ ระหว่าง ต.ค.- ธ.ค.64 มีแนวโน้มลดลง เว้นภาคใต้ มีพื้นที่เสี่ยงเพิ่มขึ้นจากฤดูฝนที่กำลังมาถึง โดยมีโอกาสสูงในการเกิดพายุเคลื่อนผ่านภาคใต้ มีพื้นที่เสี่ยง 725 ตำบล 43,495 หมู่บ้านใน 16 จว. ทุกหน่วยงานได้เตรียมความพร้อมรับมือกับอุทกภัย โดยได้ขุดลอกคูคลอง กำจัดสิ่งกีดขวางทางน้ำ ติดตั้งเครื่องสูบน้ำ ทำพนังกั้นน้ำและก่อสร้างทางระบายน้ำไปยังพื้นที่รับน้ำ เพื่อลดความเสี่ยงและความเสียหายที่จะเกิดขึ้น 

สำหรับการบริหารจัดการนำ้ฤดูแล้ง ได้พิจารณาวางแผนจากการคาดการณ์นำ้ต้นทุน ปริมาณการใช้น้ำและพื้นที่เสี่ยงน้ำแล้ง พบความเสี่ยงขาดแคลนน้ำอุปโภค บริโภคใน 5 จว. 9 อำเภอ 25 ตำบล มีพื้นที่เฝ้าระวังเสี่ยงน้ำแล้งด้านการเกษตร นอกเขตชลประทาน  11 จว. ซึ่งอยู่ระหว่างเร่งกำหนดมาตรการรองรับ ทั้งการเก็บกักน้ำ จัดหาแหล่งน้ำสำรองในพื้นที่เสี่ยง การเติมน้ำ การจัดสรรน้ำฤดูแล้ง การวางแผนเพาะปลูกพืช การเตรียมน้ำสำรองในพื้นที่ลุ่มต่ำ การเฝ้าระวังคุณภาพน้ำ รวมทั้งการติดตามประเมินผล

ทั้งนี้พล.อ.ประวิตร  ได้กล่าวแสดงความห่วงใยถึงประชาชนที่ยังได้รับผลกระทบจากอุทกภัยในพื้นที่ทั่วประเทศ โดยกำชับ สทนช.บูรณาการทำงานร่วมกับทุกหน่วยงาน ยังคงต้องติดตามสถานการณ์สภาพอากาศที่อาจพัฒนาก่อตัวเป็นพายุซ้ำเติมพื้นที่น้ำท่วมเดิม พร้อมทั้งให้เร่งระบายน้ำในพื้นที่น้ำท่วมขังเข้าแหล่งน้ำขนาดใหญ่และลำน้ำสายหลักตามแผนและสถานการณ์  ทั้งนี้ให้นำจุลินทรีย์มาใช้ปรับปรุงคุณภาพน้ำในพื้นที่ท่วมขังนานและเกิดการเน่าเสียหวั่นกระทบสร้างปัญหาโรคระบาด  โดยเฉพาะพื้นที่ภาคใต้ ขอให้ทบทวนปรับปรุงและซักซ้อมแผนเผชิญเหตุร่วมกัน และให้ตรวจสอบระบบเตือนภัยให้สามารถแจ้งเตือนภัยล่วงหน้าในพื้นที่ โดยเฉพาะพื้นที่เสี่ยงนำ้ท่วมที่เคยเกิดปัญหา เพื่อลดผลกระทบและความเสียหายที่เกิดขึ้น 

อังกฤษ ปลดทุกประเทศพ้น 'บัญชีสีแดง' เดินทางเข้าไม่ต้องกักตัวในโรงแรม

รัฐบาลสหราชอาณาจักรเตรียมถอดทุกประเทศที่เหลืออยู่ออกจากบัญชี "สีแดง" ด้านการเดินทาง ยกเลิกห้ามชาวต่างชาติเดินทางเข้าสู่อังกฤษ จากการเปิดเผยของ แกรนท์ แชปส์ รัฐมนตรีคมนาคมในวันพฤหัสบดี (28 ต.ค.)

รัฐมนตรีรายนี้แถลงว่า 7 ประเทศที่เหลืออยู่ในบัญชีสีแดง ประกอบด้วยโคลอมเบีย สาธารณรัฐโดมินิกัน เอกวาดอร์ เฮติ ปานามา เปรู และเวเนซุเอลา จะถูกปลดพ้นจากบัญชีในวันที่ 1 พฤศจิกายนนี้

ชาวสหราชอาณาจักรที่เดินทางกลับจากประเทศเหล่านี้จะไม่จำเป็นต้องกักโรคในโรงแรมเป็นเวลา 11 คืนอีกต่อไป ส่วนพลเมืองของบรรดาประเทศดังกล่าว เวลานี้ได้รับอนุญาตให้เดินทางเข้าอังกฤษได้แล้ว

อย่างไรก็ตามระบบบัญชีแดงจะยังคงมีอยู่ และประเทศใด ๆ ประเทศหนึ่งอาจถูกใส่กลับเข้ามาในบัญชีดังกล่าว ในกรณีที่พบเคสผู้ติดเชื้อเพิ่มสูงขึ้นในประเทศนั้น ๆ

"เราจะคงหมวดหมู่บัญชีสีแดงเอาไว้ ในมาตรการป้องกันไว้ก่อน เพื่อปกป้องสุขภาพประชาชน และพร้อมใส่ประเทศหรือดินแดนหนึ่ง ๆ กลับเข้าไป ถ้าจำเป็น ในฐานะที่มันเป็นแนวแรกแห่งการป้องกันของสหราชอาณาจักร" แชปส์เผยผ่านทวิตเตอร์

ราชกิจจาฯ เผยแพร่ประกาศ 'ห้ามชุมนุม-มั่วสุม' หลังเปิดประเทศ

(29 ต.ค. 64) เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่ ประกาศหัวหน้าผู้รับผิดชอบ ในการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินในส่วนที่เกี่ยวกับความมั่นคง เรื่อง ห้ามการชุมนุม การทำกิจกรรม การมั่วสุม ที่ก่อให้เกิดการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) (ฉบับที่ ๑๓) 

ตามที่รัฐบาลได้ออกข้อกำหนดออกตามความในมาตรา ๙ แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการ ในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. ๒๕๔๘ (ฉบับที่ ๓๖) ลงวันที่ ๒๑ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๖๔ และคำสั่ง ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19 ) ที่ ๑๘/๒๕๖๔ ลงวันที่ ๒๑ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๖๔ เรื่อง พื้นที่นำร่องด้านการท่องเที่ยว ตามข้อกำหนดออกตาม ความในมาตรา ๙ แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. ๒๕๔๘

เนื่องจากมีความจำเป็นที่จะต้องมีการฟื้นฟูประเทศเพื่อประโยชน์ด้านการใช้ชีวิตความเป็นอยู่ และด้านเศรษฐกิจแก่ประชาชน เห็นควรให้มีการเปิดพื้นที่นำร่องด้านการท่องเที่ยวให้นักท่องเที่ยวสามารถเดินทางเข้ามาจากต่างประเทศได้มากขึ้น อันจะเป็นประโยชน์ต่อระบบเศรษฐกิจและการจ้างงาน ในภาพรวมของประเทศ

แม้ว่าที่ผ่านมาภาพรวมของสถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อโควิด-19 ในประเทศไทยมีแนวโน้มที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ฝ่ายสาธารณสุขสามารถควบคุมและจำกัดขอบเขตพื้นที่ การแพร่ระบาดของโรคได้ รวมทั้งรัฐบาลได้เตรียมความพร้อมโดยประสานความร่วมมือกับประเทศต้นทาง และบูรณาการการทำงานของพนักงานเจ้าหน้าที่และผู้ปฏิบัติงานทุกภาคส่วนในการกำหนดมาตรการ รองรับเพื่อให้การปฏิบัติตามมาตรการต่าง ๆ ภายใต้ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินเป็นไปอย่างต่อเนื่อง และเป็นระบบควบคู่กับการกำหนดมาตรการทางด้านสาธารณสุขเพื่อป้องกันการแพร่ระบาด ให้ประชาชนมีความปลอดภัย

รวมทั้งสร้างความมั่นใจให้แก่นักท่องเที่ยวต่างชาติและประชาชนในการป้องกัน การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อโควิด-19 ภายในประเทศอันจะส่งผลให้การขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจ และสังคมสามารถดำเนินการควบคู่กับมาตรการด้านสาธารณสุขได้อย่างมีประสิทธิภาพ

6 ท่า ‘บริหารสมอง’ ห่างไกลอัลไซเมอร์

“สมอง” เป็นอวัยวะสำคัญของมนุษย์ ประกอบด้วยเซลล์จำนวนนับแสนล้านเซลล์ที่มีการเชื่อมโยงต่อกันด้วยความสลับซับซ้อน สมองเป็นอวัยวะที่มีความยืดหยุ่น ทำให้มนุษย์สามารถเรียนรู้และปรับตัวได้ตลอดเวลา ยิ่งเซลล์สมองได้รับการฝึกฝนก็ยิ่งทำให้มนุษย์มีความฉลาดในการแก้ปัญหามากขึ้น แต่หากสมองได้รับความเสียหายจากพฤติกรรมการใช้ชีวิต เช่น การพักผ่อนไม่เพียงพอ ความเครียด ได้รับสารพิษหรือมลภาวะ อาจส่งผลให้การเรียนรู้ช้าลง มีปัญหาเรื่องความจำหรือการแก้ปัญหา โดยเมื่อเกิดโรคทางสมองมักส่งผลรุนแรงต่อร่างกาย

สมองแบ่งเป็น 3 ส่วนดังนี้
สมองส่วนหน้า (Forebrain) เป็นส่วนที่มีขนาดใหญ่ที่สุด มีหน้าที่เกี่ยวกับการรับข้อมูล รวมทั้งการประมวลผลทางประสาทสัมผัส เช่น การมองเห็น, ภาษา, การสื่อสาร, ความคิด, ความจำ, การตัดสินใจ, การวางแผน, ความมีเหตุผล

สมองส่วนกลาง (Midbrain) มีหน้าที่รับส่งกระแสประสาทระหว่างสมองส่วนหน้าและสมองส่วนท้าย ทั้งยังทำหน้าที่เกี่ยวกับการรับรู้การมองเห็น, การเคลื่อนไหวของลูกตา และการได้ยิน

สมองส่วนท้าย (Hindbrain) มีหน้าที่ควบคุมกล้ามเนื้อขณะเคลื่อนไหว, ควบคุมการหายใจ, ช่วยประมวลการรับรู้และควบคุมการสั่งงานของสมอง

จะเห็นได้ว่าสมองมีความสำคัญกับระบบต่าง ๆ ในร่างกาย ดังนั้นการบริหารสมองจึงมีส่วนช่วยให้การเคลื่อนไหว ความคิด ความจำ อารมณ์และการแสดงออกต่าง ๆ เป็นปกติ

เทคนิคการบริหารสมอง 6 ท่า

ท่าที่ 1 ฝึกหายใจ
ในท่านั่งผ่อนคลาย นำมือวางไว้ที่บริเวณใต้ลิ้นปี่ หายใจเข้าทางจมูกช้า ๆ กลั้นลมหายใจสุดท้ายค้างไว้ 3 วินาที แล้วหายใจออกทางปากช้า ๆ ทำซ้ำ 3-5 ครั้ง สมองจะได้รับออกซิเจนอย่างเต็มที่ ช่วยให้การทำงานของสมองดีขึ้น

ท่าที่ 2 นวดขมับ
ใช้ปลายนิ้วนวดคลึงบริเวณขมับเบา ๆ 30 วินาที ท่านี้ช่วยให้รู้สึกผ่อนคลายความเครียดและกระตุ้นการทำงานของสมองซีกซ้ายและขวา

ท่าที่ 3 นวดไหปลาร้า
ใช้ปลายนิ้วนวดคลึงบริเวณไหปลาร้าเบา ๆ 30 วินาที ท่านี้ช่วยทำให้เลือดไหลเวียนไปสู่สมองดีขึ้น

"ปลัดสธ."ยัน ความพร้อมด้านสาธารณสุข รับเปิดประเทศ 1 พ.ย.นี้ เผย 4 จชต.สถานการณ์โควิดดีขึ้น

ที่ทำเนียบรัฐบาล  นพ.เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่า การประชุมศูนย์บริหารสถานการณ์ โควิด-19 หรือ ศบค.พิจารณาปรับโซนสีจังหวัดแดงเข้ม แต่ยังคงพื้นที่สีแดงเข้ม ใน  4 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ส่วน สถานการณ์ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ เริ่มดีขึ้นและถือว่าผ่านระยะที่แพร่ระบาดสูงสุดมาแล้ว โดยการควบคุมในพื้นที่ภาคใต้ก็ดีขึ้น และมีการกระจายวัคซีนลงไปแล้ว ในภาพรวมการแพร่ระบาดทั่วประเทศดีขึ้น ทำให้สามารถที่จะควบคุมการแพร่ระบาดเป็นกลุ่มจังหวัดได้  


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top