Friday, 20 June 2025
TheStatesTimes

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ‘สุชาติ ชมกลิ่น’ สั่งหน่วยงานสังกัดในพื้นที่จังหวัดทางภาคใต้ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์น้ำท่วม เร่งระดมให้การช่วยเหลือดูแลผู้ใช้แรงงาน สถานประกอบการ และประชาชน

นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยถึงกรณีสถานการณ์น้ำท่วมในพื้นที่หลายจังหวัดทางภาคใต้ จนทำให้มีผู้ได้รับความเดือดร้อนเป็นจำนวนมากว่า รัฐบาลภายใต้การนำของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และกระทรวงแรงงาน ภายใต้การกำกับดูแลโดย พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ได้มีความห่วงใย พี่น้องผู้ใช้แรงงานและประชาชนทั่วไปทุกคนที่ประสบปัญหาอุทกภัยได้รับความเดือดร้อน โดยได้สั่งการให้แต่ละหน่วยงานในพื้นที่ที่เกี่ยวข้อง บูรณาการให้ความช่วยเหลือประชาชนเป็นการเร่งด่วน

ทั้งการขนย้าย อพยพ เร่งระบายน้ำ การมอบสิ่งของเพื่อบรรเทาความเดือดร้อน รวมถึงจัดให้มีการประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนได้รับทราบสถานการณ์อุทกภัยอย่างต่อเนื่อง ในส่วนของกระทรวงแรงงาน ตนในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ได้ติดตามสถานการณ์มาอย่างต่อเนื่อง จึงได้กำชับให้หน่วยงานในสังกัดในแต่ละจังหวัดที่ได้รับผลกระทบ เร่งให้การช่วยเหลือดูแลพี่น้องผู้ใช้แรงงาน ลูกจ้าง และประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนเพื่อให้มีสิ่งของอุปโภคบริโภคที่จำเป็นในการดำรงชีพในเบื้องต้น

นายสุชาติ ยังกล่าวต่อว่า กระทรวงแรงงาน ยังได้ให้หน่วยงานในสังกัดเข้าไปตรวจสอบติดตาม กรณีมีผู้เสียชีวิตจากอุทกภัย จะได้ให้การช่วยเหลือสิทธิประโยชน์ทดแทนตามกฎหมายประกันสังคม การเข้าไปฟื้นฟูเยียวยาด้านการประกอบอาชีพและการมีงานทำ รวมถึงบริการซ่อมแซมบ้านเรือน อุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้าน และเครื่องยนต์เล็กทางการเกษตร การฝึกอาชีพ การดูแลสิทธิประโยชน์ให้แก่ผู้ประสบภัย ทั้งในเรื่องสิทธิประกันสังคม สิทธิตามกฎหมายคุ้มครองแรงงานภายหลังน้ำลด เป็นต้น

ทั้งนี้ ในเบื้องต้นข้าราชการและเจ้าหน้าที่สำนักงานแรงงานจังหวัดยะลา ได้ร่วมสมทบทุน ร่วมด้วยช่วยกันในการจัดทำข้าวเหนียวไก่ทอด เพื่อนำไปแจกจ่ายแก่ผู้ประสบภัยร่วมกับส่วนราชการ สื่อมวลชนและผู้มีจิตศรัทธาภายในจังหวัดยะลาในครั้งนี้ด้วย รวมทั้งได้มอบหมายให้อาสาสมัครแรงงานประจำตำบลเฝ้าระวังและรายงานสถานการณ์ให้ทราบเป็นระยะ ทั้งนี้ หากพี่น้องผู้ใช้แรงงาน นายจ้าง ลูกจ้าง และประชาชนทั่วไปที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ดังกล่าว สามารถติดต่อขอรับความช่วยเหลือได้ที่หน่วยงานในสังกัดกระทรวงแรงงานในพื้นที่ หรือติดต่อได้ที่สายด่วนกระทรวงแรงงาน 1506

สภาคองเกรสสหรัฐ ลงดาบยื่นถอดถอนโดนัลด์ ทรัมป์ ออกจากตำแหน่งประธานาธิบดี แม้ว่าจะมีระยะเวลาในการดำรงตำแหน่งเหลือเพียงแค่สัปดาห์เดียว

หลังจากเกิดเหตุการณ์จราจลครั้งประวัติศาสตร์ของสหรัฐ ที่มีผู้ประท้วงฝ่ายสนับสนุนโดนัลด์ ทรัมป์ บุกยึดสภาคองเกรสเพื่อขัดขวางการลงมติรับรอง โจ ไบเดน เป็นประธานาธิบดีสหรัฐเมื่อวันที่ 6 มกราคม ที่ผ่านมา สร้างความตกตะลึงไปทั่วโลก สภาผู้แทนสหรัฐส่วนใหญ่จึงเห็นว่ามีเหตุสมควรที่จะยื่นถอดถอนประธานาธิบดีทรัมป์ ให้พ้นจากตำแหน่ง ซึ่งจะทำให้ทรัมป์กลายเป็นประธานาธิบดีคนแรกในประวัติศาสตร์ของสหรัฐที่โดนยื่นเรื่องถอดถอนถึง 2 ครั้งขณะที่ดำรงตำแหน่งเพียงแค่สมัยเดียว

และการยื่นมติถอดถอนครั้งนี้มีขั้นตอนรวบรัดตัดความกว่าครั้งที่แล้วมาก เมื่อย้อนมาดูขั้นตอนการยื่นถอดถอนทรัมป์ในครั้งแรก ต้องรวบรวมเอกสาร หลักฐาน และพยานนานถึง 5 เดือนกว่าประธานสภาล่าง แนนซี เปอโรซี จะเห็นสมควรว่ามีมูลแน่นหนาพอที่จะชงเรื่องเข้าสู่สภา

แต่มาครั้งนี้ แนนซี เปอโรซี ประธานสภาคนเดียวกันใช้เวลาพิจารณาเพียงแค่ 1 วันเท่านั้น แถมยังจี้ให้เตรียมเปิดสภาพิจารณาอย่างเร่งด่วนอีกด้วย เพราะอะไรนะหรือ  ? ก็เพราะว่าเห็นความผิดเป็นประจักษ์ แถมมีพยานเพียบ ที่เป็นผู้แทนสหรัฐทั้งสภาบน และ สภาล่าง อยู่เต็มอาคาร The Capital ที่กำลังเริ่มพิจารณารับรองผลเลือกตั้งให้กับโจ ไบเดน ในวันเกิดเหตุนั่นเอง

ก่อนหน้านี้ มี สส. และ วุฒิสมาชิกสหรัฐจำนวนมากทั้ง 2 พรรค ออกมากดดันให้ ไมค์ เพนซ์ รองประธานาธิบดีใช้มาตรา 25 ยึดอำนาจจากทรัมป์เลยทันที ซึ่งมาตรา 25 ตามรัฐธรรมนูญของสหรัฐจะให้สิทธิ์รองประธานาธิบดีรักษาการตำแหน่งประธานาธิบดีได้ ด้วยเหตุผลว่าประธานาธิบดีไม่อยู่ในสภาพที่จะดำรงตำแหน่งได้ ไม่ว่าจะด้วยสาเหตุการอสัญกรรม ถูกลอบสังหาร มีปัญหาเรื่องสุขภาพทางร่างกาย หรือ จิตใจ โดนถอดถอน ลาออก หรือ ด้วยความเห็นของรองประธานาธิบดี และเสียงส่วนใหญ่ในสภาเห็นว่า ประธานาธิบดีไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้

ซึ่งถ้ามีการใช้มาตรา 25 ขึ้นมาจริง ๆ ก็ไม่จำเป็นต้องยื่นมติถอดถอนให้เสียเวลา แต่ว่า เสือไม่กินเนื้อเสือฉันใด ไมค์ เพนท์ ก็คงไม่ทำกับทรัมป์ฉันนั้น แต่มาคราวนี้ สภาข้างมากของสหรัฐเป็นของเดโมแครต ที่ส่วนใหญ่มองว่า มาตรา 25 ไม่ต้องแล้วก็ได้ ยื่นถอดถอนไปเลยดีกว่า แม้ว่าเวลาในตำแหน่งของทรัมป์จะเหลือน้อยแค่ไหนก็ตาม ในเมื่อโดนัลด์ ทรัมป์ อยากสร้างตำนาน ก็จะจัดให้

เพราะนอกจากจะทำให้ทรัมป์ กลายเป็นประธานาธิบดีคนแรกที่โดน Double Impeachment โดนคดีถอดถอน 2 เด้งภายในสมัยเดียว และมีโอกาสสูงมากที่จะสำเร็จด้วย และจะทำให้ชื่อของทรัมป์ ถูกจารึกในหน้าประวัติศาสตร์สหรัฐด้วยว่า เป็นประธานาธิบดีคนแรกที่ถูกถอดถอนสำเร็จด้วย

แต่นอกเหนือจากการถูกถอดถอน ที่ดูเหมือนทำเรื่องให้ยุ่งยากโดยไม่จำเป็น เพราะถึงยังไงทรัมป์ก็อยู่ในตำแหน่งได้อีกไม่กี่วัน แต่คดีถอดถอนประธานาธิบดีมีความหมายมากกว่านั้น เพราะหากถอดถอนทรัมป์ได้จริง จะมีผลทำให้ทรัมป์ไม่สามารถลงชิงตำแหน่งการเลือกตั้งครั้งต่อไปในปี 2024 ได้อีก

ก็ต้องมาติดตามกันดูว่า โดนัลด์ ทรัมป์ ผู้มาเพื่อสร้างปรากฏการณ์หลายอย่างในหน้าประวัติศาสตร์การเมืองสหรัฐ แม้จะดำรงตำแหน่งเพียงแค่ 4 ปี แต่เป็น 4 ปีที่เต็มไปด้วยความระทึกขวัญทั้งกับคนสหรัฐ และคนทั่วโลก และจะเป็นตำนานให้ชาวโลกได้เม้าท์มอยกันไปอีกนานแสนนาน


แหล่งข่าว
https://edition.cnn.com/2021/01/11/politics/donald-trump-democrats-impeachment-capitol-riot/index.html

https://www.bbc.com/news/world-us-canada-55611630

https://www.bbc.com/news/world-us-canada-55611630

https://www.usnews.com/news/national-news/articles/2017-02-10/10-things-you-didnt-know-about-the-25th-amendment

สแกนเสื้อผ้าหน้าผม ‘นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน’ อยากเป๊ะแบบคุณหมอ ต้องทำอย่างไร?

ใครเอ่ย เจอกันบ่อยยิ่งกว่าแฟน? หมอทวีศิลป์ไง จะใครล่ะ แฮ่!! ขออนุญาตหยอกคุณหมอทวีศิลป์เพื่อเป็นการผ่อนคลายสักเล็กน้อย เพราะเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา มีประเด็นร้อนเกิดกับคุณหมอมากมาย ทางเราก็ขอเป็นกำลังใจให้คุณหมอทวีศิลป์ รวมไปถึงผู้ปฏิบัติหน้าที่ในสถานการณ์โควิด-19 ระบาดทุกท่าน สู้ ๆ นะค้า

กลับมาที่การเจอหน้าคุณหมอทวีศิลป์อยู่บ่อยๆ อีกครั้ง เพราะเวลานี้ ประชาชนคนไทยต้องรอดู LIVE สด การแถลงสถานการณ์การติดเชื้อโควิด-19 ของคุณหมอทุกวัน งานนี้ถ้าสังเกตกันดูดี ๆ ลุคคุณหมอเริ่มเป๊ะปังขึ้นทุกวันๆ The States Times เลยขออนุญาต ‘ส่องคุณหมอ’ เอิ่ม หมายถึง ส่องลุคค่ะ เราไปสแกนเสื้อผ้าหน้าผมของคุณหมอออกมาเป็นที่เรียบร้อย อยากจะแต่งแบบลุคคุณหมอทวีศิลป์ต้องแต่งอย่างไรนั้น ตามไปดูในภาพนี้กันเลย

ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ สั่งสอบ ‘เคนมผง’ ยาเสพติดสายพันธุ์ใหม่ ที่ระบาดอย่างหนัก ชี้เป็นสารสุดอันตราย หลังพบผู้เสพตายนับสิบ เบื้องต้นคาดส่วนผสมเพียบ

พล.ต.ต.ยิ่งยศ เทพจำนงค์ โฆษกสำนักงานตำรวจ เปิดเผยถึงกรณีมีผู้เสียชีวิตจากการเสพยาเสพติดถึง 9 คน เป็นที่รู้จักกันในกลุ่มนักเสพคือ “เคนมผง”ว่า เบื้องต้นเจ้าหน้าที่ตำรวจ ได้นำศพผู้เสียชีวิตเพื่อชั้นสูตรหาสาเหตุการเสียชีวิตที่ รพ.จุฬาลงกรณ์

ซึ่งกองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด (บช.ปส.) ให้ข้อมูลมาว่ายาตัวนี้น่าจะมาจากการผสมระหว่าง เฮโรอีน เคตามีน ไอซ์และยานอนหลับชนิดหนึ่ง ซึ่งมีฤทธิ์กดประสาท และกระตุ้นประสาททำให้เกิดผลต่อร่างกายประมาณหนึ่ง เป็นเรื่องการทดลองของกลุ่มผู้เสพยา อยากลองของใหม่ ซึ่งเป็นเรื่องที่อันตรายพอสมควร ส่วนผู้เสียชีวิต เบื้องต้นคาดว่าน่าจะมาจากสาเหตุระบบหายใจและหมุนเวียนโลหิต แต่จะเสียชีวิตจากยาเสพติดหรือไม่นั้น ต้องรอผลการตรวจวิเคราะห์อย่างละเอียดจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ

ส่วนยาเสพติดตัวนี้จะมีส่วนผสมอะไรบ้าง สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) อยู่ระหว่างนำไปตรวจวิเคราะห์ น่าจะทราบผลในเร็วๆ นี้ ภายหลังทราบเรื่อง พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. ได้สั่งการให้ บช.ปส. แม่งานเรื่องยาเสพติดไปสุ่มตรวจสอบตามสถานที่คาดว่ายาเสพติดตัวนี้จะแพร่ระบาด พร้อมกันนี้ได้สั่งการให้ทุกพื้นที่ตรวจสอบสถานบริการที่คาดว่ายาเสพติดตัวนี้ จะแพร่ระบาดและให้เร่งดำเนินการกวาดล้างทันที

พล.ต.ต.ยิ่งยศ กล่าวว่า ยาเสพติดตัวนี้จะน่าเป็นการทดลองผสมผสาน เนื่องจากวัฒนธรรมของผู้เสพยา จะนำไอ้โน้นไอ้นี่มาผสมกัน เพื่อเสพทดลองรสชาติที่แปลกใหม่ ส่วนกลุ่มผู้เสพที่เสียชีวิตหลายคน จะรู้จักคุ้นเคยกันหรือไม่ ยังตอบไม่ได้ อยู่ระหว่างการสอบสวนของ บช.ปส. ที่ต้องสอบพยานแวดล้อม คือผู้เสพที่ยังไม่เสียชีวิต ฝากไปยังกลุ่มวัยรุ่นยาเสพติดจะผสมอะไรหรือไม่ก็เป็นเรื่องที่ไม่ดีอยู่แล้ว ทำลายสุขภาพตัวเองและผิดกฎหมาย

ด้าน พล.ต.ท.มนตรี ยิ้มแย้ม ผู้บัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด (ผบช.ปส.) เผยว่า เคนมผงตัวดังกล่าวเป็นยาที่ผสมขึ้นเอง ในหมู่ของผู้เสพเฉพาะกลุ่ม เพื่อให้ยามีฤทธิ์แรงขึ้นสนุกมากขึ้น และเพิ่มมูลค่าของตัวยาให้มีราคาสูงมากขึ้น ทั้งนี้พบว่ายาตัวดังกล่าวน่าจะมีที่มาจากแหล่งในจังหวัดปทุมธานี เนื่องจากจุดดังกล่าวเป็นแหล่งพักยาและสามารถหาส่วนผสมทั้งหมดได้ง่าย

ทั้งนี้ ส่วนผสมของยาดังกล่าวมี 4 ตัว คือ เฮโรอีน เคตามีน ไอซ์ และยานอนหลับ จากการวิเคราะห์ในเบื้องต้นพบว่าตัวยาที่อันตรายที่สุดคือเฮโรอีน เนื่องจากยาเสพติดชนิดดังกล่าวมีโอกาสเสี่ยงที่จะเกิดอาการโอเวอร์โดสจนถึงขั้นเสียชีวิตได้มากที่สุด โดยมียานอนหลับเป็นตัวประสานตัวยาและตัวเร่งฤทธิ์ของยาทั้งหมด โดยผู้เสพจะมีอาการมึนเมาเหมือนคนเมาเหล้าแต่จะไม่มีกลิ่นสุรา และจะมีอาการสะลึมสะลือ โดยอาการที่อันตรายที่สุดคืออาการปากเขียวคล้ำ และมีเลือดออกทางจมูก เนื่องจากอาการดังกล่าวแปลว่าผู้เสพมีอาการเสพยาเกินขนาด จนร่างกายไม่สามารถรับได้ หรือน็อคยา หากพบอาการดังกล่าวให้รีบนำตัวส่งโรงพยาบาลโดยเร็วที่สุด ทั้งนี้ยาเสพติดประเภทดังกล่าว หากเสพเพียงครั้งเดียวก็อาจถึงแก่ชีวิตได้ เพราะเป็นยาที่มีขนาดค่อนข้างรุนแรง

ส่วนสาเหตุที่มีผู้เสียชีวิตจำนวนมากในพื้นที่ สน. วัดพระยาไกร จากการวิเคราะห์ของชุดสืบสวนเชื่อว่าในจุดดังกล่าวเป็นจุดที่มีอพาร์ทเม้นท์แหล่งท่องเที่ยวเป็นจำนวนมาก จึงเป็นจุดที่ผู้ใช้ยาแต่ละคนนำยากลับมาเสพในที่พักของตนเอง ทั้งนี้คาดว่าผู้เสียชีวิตทั้งหมดน่าจะมีความเชื่อมโยงกันไม่ทางตรงก็ทางอ้อมจึงสามารถนำยาชนิดดังกล่าวมาเสพในกลุ่มและกระจายกลับไปในพื้นที่ของตนเอง

เบื้องต้นตำรวจปราบปรามยาเสพติด ได้ขอตัวอย่างยาที่พบในที่เกิดเหตุส่งให้สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาหรือ อย. นำไปตรวจสอบแยกสารประกอบและตรวจสอบองค์ประกอบว่ามีตัวยาส่วนผสมชนิดใดมากที่สุดและยาเสพติดตัวใดที่ทำให้ถึงแก่ชีวิต

ส.ส.พรรคก้าวไกล ‘อภิชาติ ศิริสุนทร’ กังขาผลเจรจาคดี "เหมืองทองอัครา" ส่อเค้าอาจไม่ต้องเสียค่าโง่ จี้รัฐบาลชี้แจงข้อเท็จจริง พร้อมตั้งคำถามเอา ‘เรื่องอะไร’ ไปเจรจา แลกเปลี่ยนด้วยอะไร ทำให้ไม่ต้องจ่าย 3 หมื่นล้าน

จากกรณีมีการนำเสนอรายงานข่าวจากทำเนียบรัฐบาล เปิดเผยความคืบหน้ากรณีข้อพิพาทเหมืองทองคำอัครา ระหว่างบริษัท คิงส์เกต คอนโซลิเดตเต็ด ลิมิเต็ด บริษัทสัญชาติออสเตรเลียกับรัฐบาลไทย ที่อยู่ในกระบวนการอนุญาโตตุลาการระหว่างประเทศ ว่า ล่าสุดกระทรวงอุตสาหกรรม ได้รายงานความคืบหน้าให้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ช่วงเดือนธันวาคมที่ผ่านมา โดยผลการเจรจากับ บริษัท คิงส์เกตฯ ค่อนข้างมีความชัดเจนว่า จะจบลงด้วยดี มีแนวโน้มการถอนฟ้องรัฐบาลไทย และกลับมาลงทุนในไทยอีกครั้ง ภายใต้นโยบายและแผนยุทธศาสตร์ในการบริหารจัดการทรัพยากรแร่ทองคำ พ.ศ. 2560 และ พ.ร.บ.แร่ฉบับใหม่ พ.ศ. 2560 โดยบริษัท คิงส์เกตฯ อาจจับมือกับนักลงทุนไทยเพื่อลงทุนครั้งใหม่นี้ด้วย นั้น

.

นายอภิชาติ ศิริสุนทร ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคก้าวไกล และ ประธานกรรมาธิการการที่ดิน ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กล่าวว่า ตามที่ทราบข่าวจากรายงาน ที่บอกว่าแนวโน้มการเจรจาเป็นไปด้วยดี และจะไม่มีการจ่ายค่าเสียหายใด ๆ ทั้งสิ้นทุกกรณี ให้รู้สึกแปลกใจ ว่าจบกันง่ายๆ แบบนี้เลยเหรอ ซึ่งเรื่องนี้ตนคิดว่ารัฐบาลต้องรีบออกมาชี้แจงกับประชาชนให้ชัดเจน เพราะตามวิสัยของนักลงทุน ของนายทุนแล้ว การที่เขาไม่ได้ดำเนินกิจการมาตั้งแต่ปลายปี 2559 ด้วยคำสั่งตาม ม.44 ของหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือ คสช. คือ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ซึ่งเป็นนายกรัฐมนตรีในขณะนี้ด้วย

.

ระยะเวลาจากวันนั้นจนถึงวันนี้กว่า 3 ปี ที่เขาไม่มีรายได้ และสูญเสียอะไรหลายๆ อย่าง รวมทั้งการสู้คดีกับรัฐบาลไทยจนเป็นเรื่องเป็นราวใหญ่โต ข้อพิพาทลุกลามไปจนต้องต่อสู้คดีในคณะอนุญาโตตุลาการระหว่างประเทศและศาลในต่างประเทศ การที่เรื่องจะจบง่ายๆ โดยที่ไม่เสียค่าใช้จ่ายจึงเป็นสิ่งที่เข้าใจได้ยากเหลือเกิน จนนำมาซึ่งคำถามว่า รัฐบาลไทยเอาเรื่องอะไรไปเจรจาต่อรอง มีเรื่องใดแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ด้วยหรือไม่ คิดว่าประชาชนคงอยากได้รับความชัดเจน เพราะท้ายที่สุด สิ่งที่ถกเถียงกันต่อไปถ้าเกิดต้องเสียงค่าโง่ในครั้งนี้คือ ใครจะเป็นคนรับผิดชอบ รัฐบาลไทย หรือ พล.อ.ประยุทธ์

.

"ผมคิดว่าประชาชนคงเกิดคำถามว่า ทำไมเรื่องนี้มันจบง่ายจัง เพราะเท่าที่ติดตามข่าวมา บริษัท คิงส์เกตฯ เรียกค่าเสียหายไว้ประมาณ 3 หมื่นล้าน และในการสู้คดีนั้นรัฐบาลไทยก็ใช้เงินไปมากมายมหาศาล ซึ่งพรรคก้าวไกลเคยตรวจสอบตัวเลขนี้แล้วคือ เมื่อปี 2562 จำนวน 60 ล้านบาท, ปี 2563 จำนวน 218 ล้านบาท และในงบประมาณปี 2564 ตั้งไว้จำนวน 111 ล้านบาท รวมแล้ว ใช้งบในการดำเนินการเกี่ยวกับเหมืองทองคำอัคราสูงถึง 389 ล้านบาท ซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายที่สูงมากเพื่อใช้แก้ปัญหาให้บุคคลเดียวคือ พล.อ.ประยุทธ์ ที่ใช้อำนาจตาม ม. 44 อย่างไม่รับผิดชอบ และนี่ยังไม่พูดถึงการที่จะมีการกลับมาทำเหมืองรอบใหม่ซึ่งทำเหมือนที่ผ่านมาไม่มีอะไรเกิดขึ้น คำถามคือข้อร้องเรียนจากชาวบ้านเรื่องปัญหาสิ่งแวดล้อมจะมีแนวทางแก้ไขอย่างไร และผลการเจรจาที่บอกว่า บริษัท คิงส์เกตฯ อาจจับมือกับนักลงทุนไทยเพื่อลงทุนครั้งใหม่ เป็นนักลงทุนกลุ่มทุนไหน เชื่อว่าคนไทยทั้งประเทศคงรอฟังคำตอบเหล่านี้" นายอภิชาติ กล่าว

รมว.การท่องเที่ยวและกีฬา ‘พิพัฒน์ รัชกิจประการ’ รับฟังปัญหาข้อเสนอจากภาคเอกชน ฟื้นการท่องเที่ยว หามาตรการบรรเทาผลกระทบ เตรียมเสนอนายกรัฐมนตรีในการประชุมครม. 12 ม.ค. นี้

นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รมว.การท่องเที่ยวและกีฬา กล่าวว่า ได้เชิญเอกชนภาคการท่องเที่ยว 5 สมาคม คือ สมาคมโรงแรมไทย สมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว สมาคมธุรกิจท่องเที่ยวภายในประเทศ สมาคมการแสดงสินค้า (ไทย) และ สมาคมส่งเสริมการประชุมนานาชาติไทย มารับฟังปัญหาข้อเสนอและหามาตรการ เพื่อบรรเทาผลกระทบ โดยกระทรวงการท่องเที่ยวฯ จะรวบรวมข้อเสนอทั้งหมดเสนอให้นายกรัฐมนตรี รับทราบในการประชุมครม.วันที่ 12 ม.ค.นี้

สำหรับข้อเสนอสำคัญที่ภาคเอกชนนำเสนอ มีทั้งการขอให้สนับสนุนสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ หรือซอฟท์โลน ง่ายมากขึ้นกว่าเดิม การเสนอให้ลดค่าไฟฟ้าสำหรับโรงแรมลง 15% การเสนอขอหยุดพักชำระหนี้ ทั้งเงินต้นและดอกเบี้ยไปก่อนเป็นเวลา 1 ปี การยืดระยะเวลาการยื่นภาษีในปีภาษี 63 ออกไป และการขอให้รัฐร่วมจ่ายค่าจ้างให้แรงงานในภาคการท่องเที่ยว 50% เพื่อพยุงการจ้างงานพนักงานไว้

นายพิพัฒน์ กล่าวว่า กระทรวงการท่องเที่ยวฯ ยังเตรียมคุยกับกระทรวงสาธารณสุข เพื่อเสนอให้ใช้โรงแรม รวมถึงรีสอร์ท เป็นสถานที่กักตัวสำหรับนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ ซึ่งเรียกว่า โฮเทล ควอรันทีน ในลักษณะเดียวกับที่ทำกับสนามกอล์ฟ หรือกอล์ฟ ควอรันทีน คือสามารถอยู่ในพื้นที่บริเวณของโรงแรมได้ หากทำได้ในช่วงที่รอวัคซีนมาถึง คงทำให้นักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางมาไทยได้มากกว่ากรณีที่รัฐบาลเปิดให้ใช้วีซ่าประเภทพิเศษ หรือเอสทีวี ปีก่อน ซึ่งมีต่างชาติมาเพียงแค่ 1,300 คนเท่านั้น แต่ต้องเป็นไปตามมาตรฐานของกระทรวงสาธารณสุข มหาดไทย และผ่านการเห็นชอบจากที่ประชุม ศบค.ก่อน

รมว.สาธารณสุข "อนุทิน ชาญวีรกูล" เตรียมผ่อนคลาย ให้พื้นที่ที่ไม่พบผู้ติดเชื่อโควิด-19 ในช่วงเวลากักกันโรค 7-14 วัน ทำกิจกรรมได้ พร้อมโยนบอร์ดโรคติดต่อพิจารณา ปมเลิกรักษาฟรีให้กับผู้ติดเชื้อที่มาจากเล่นการพนันและลักลอบข้ามแดน

เฟซบุ๊ก "อนุทิน ชาญวีรกูล" ของนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ปรากฏเนื้อหาเพื่อชี้แจงกรณีที่นายอนุทิน จะหารือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อนำพระราชบัญญัติควบคุมโรคติดต่อมาตรา 41, 42 มาบังคับใช้กับผู้นำเข้ามาซึ่งโรคระบาด ซึ่งได้มอบหมายให้คณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติ ไปหามาตรการบังคับใช้ พร้อมกันนั้น นายอนุทิน ยังเปิดเผยถึงภาพรวมของสถานการณ์ การระบาดของโรคโควิด-19 ว่ามีแนวโน้มดีขึ้น ระบุว่า

"วันนี้ พ้นกำหนดการกักตัว

เข้าประชุมคณะกรรมการศูนย์ปฏิบัติการสถานการณ์ฉุกเฉินด้านการแพทย์และสาธารณสุข ที่กระทรวงสาธารณสุข ตั้งแต่ 7.30 น.

กระทรวงสาธารณสุข ประชุม 7.30 น. ทุกวัน ไม่มีวันหยุด ไม่มีเทศกาล มีแต่งาน การวางแผน และการทำงานมาต่อเนื่องเกือบ 1เดือน นับตั้งแต่มีการระบาดระลอกใหม่ กลางธันวาคม ปีที่แล้ว มีเป้าหมายเพื่อควบคุมโรคให้เร็วที่สุด และ ป้องกันการสูญเสียให้เกิดขึ้นน้อยที่สุด

ที่ประชุมได้นำเสนอข้อมูลการควบคุมโรค ที่มีแนวโน้มได้ผลดีในหลายพื้นที่ และเริ่มมีการพูดคุยกันถึงการผ่อนปรนการทำกิจกรรมต่างๆ ในจังหวัด หรือ พื้นที่ที่ไม่มีผู้ติดเชื้อ และ พื้นที่ที่ไม่มีผู้ติดเชื้อ มาอย่างน้อย 7 - 14 วัน ติดต่อกัน

น่าจะเป็นกำลังใจ และเป็นความหวังให้กับพี่น้องประชาชนในพื้นที่ต่างๆ การทำกิจกรรม การประกอบอาชีพ การค้าขาย ก็น่าจะกลับมาได้ อาจจะไม่เหมือนเดิม แต่ ก็น่าจะดีกว่าถูกจำกัดหลายๆ เรื่องเช่นในขณะนี้

สำหรับประเด็นภาระค่าใช้จ่ายการรักษาผู้ป่วย ที่เข้ามาโดยผิดกฎหมาย ซึ่งกฎหมายโรคติดต่อ มาตรา 41 และ 42 กำหนดไว้ และ ผมได้นำเสนอให้ช่วยกันคิด ปรากฎว่าได้รับการวิพากษ์วิจารณ์อย่างมากนั้น

ในการประชุมคณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติ วันนี้ ผมได้มอบให้คณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติ ตั้งคณะอนุกรรมการฯ ซึ่งมีปลัดกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธาน พิจารณาแล้ว เพราะเป็นอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติ ตามที่กฎหมายกำหนดไว้

ขอย้ำอีกครั้งว่า ประเด็นที่ผมชวนให้คิด ไม่ไช่ การปฏิเสธการรักษา

ผู้ป่วยทุกคนในประเทศไทย ต้องได้รับการรักษาตามมาตรฐานสาธารณสุข

ไม่ใช่การทำงาน แบบ“วัวหายแล้วล้อมคอก” หรือ แก้ปัญหาที่ปลายเหตุ

แต่เป็นการเสนอให้ภาคประชาชนช่วยกันคิด เพื่อป้องกัน การระบาดระลอกสาม โดยมีสาเหตุ “ซ้ำรอยเดิม” เจ็บแล้วไม่รู้จักจำ คือ ปล่อยให้มีการลักลอบนำเชื้อเข้ามาจากต่างประเทศ อีก

คณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติ ซึ่งมีผู้ทรงคุณวุฒิทางการแพทย์ การสาธารณสุข และผู้แทนทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จะพิจารณากัน ผลเป็นอย่างไร รัฐมนตรีมีหน้าที่ประกาศตามที่คณะกรรมการฯ กำหนด

ขอบคุณทุกท่านที่ช่วยกันนำเสนอความเห็น ทั้งเห็นด้วย และ ไม่เห็นด้วย ทุกความเห็นน่าจะเป็นประโยชน์ต่อการพิจารณาของคณะกรรมการโรคติดต่อแแห่งชาติ ต่อไป ครับ"


ที่มา https://www.facebook.com/2091153520919518/posts/4032127600155424/


ขณะที่นายแพทย์รุ่งเรือง กิจผาติ ที่ปรึกษากระทรวงสาธารณสุข นายแพทย์ทรงคุณวุฒิ ระดับ 11 หัวหน้าสำนักวิชาการสาธารณสุข และโฆษกกระทรวงสาธารณสุข โพสต์เฟซบุ็กส่วนตัว ชี้แจงประเด็นเรื่องการนำกฎหมายจัดการขบวนการลอบเข้าเมือง ระบุว่า

“หมอขอกำลังใจและความเชื่อมั่นจากพี่น้องประชาชน ในกรณีการดูแลผู้ป่วย เราเป็นหมอ ไม่ว่าคนทำผิด หรือประชาชน เราดูแลทุกคนครับ แต่เรื่อง “ค่ารักษา” เป็นอีกเรื่อง นะครับ

เราดูแลรักษาอย่างดีที่สุด ได้มาตรฐานอยู่แล้วครับ ไม่เคยนำ “เงิน” มาเป็นตัวตั้ง

สำหรับผู้กระทำผิด เรื่องการคิดค่าใช้จ่ายภายหลัง เป็นไปตามหลักกฏหมายและความถูกต้อง ครับ

พรบ.โรคติดต่อ 2558 มาตรา 41 และ 42

- ปัญหาที่พูดถึงคือ แรงงานต่างด้าวลักลอบเข้าเมืองและผู้นำเข้ามา ครับ

- คนต่างด้าว มาแบบแรงงานเถื่อน 1 ล้านกว่าคน รัฐบาลดูแลไหวหรือครับ เป็นเงินภาษีราษฎร ขณะนี้ ไม่ใช่สถานการณ์ปกติ มีการประกาศเป็นโรคติดต่ออันตราย

- เรื่องนี้ไม่ได้ทำตอนนี้ครับ กระทรวงสาธารณสุขเสนอให้พิจารณา เพิ่อป้องกัน ระลอกสาม ที่ซ้ำรอยเดิม คือ นำเชื้อเข้ามาจากต่างประเทศ โดยคนทำผิดกฎหมาย ครับ

- หมอยกตัวอย่าง กลุ่มคนพวกค้าแรงงานเถื่อน เอาโรฮิงยาเข้ามาถึงดอนเมือง ใครต้องรับผิดชอบครับ ค่าตรวจ ค่ารักษา ถ้าป่วย คนที่ทำผิดกฎหมาย ต้องรับผิดชอบ เราต้องบังคับใช้กฎหมายเพื่อป้องกัน

- ตามที่ พรบ.โรคติดต่อ 2558 ระบุ นายจ้าง นายหน้า คนขับรถ(เจ้าของพาหนะ) คนให้ที่พัก ต้องรับผิดชอบครับ

- คนไทยที่ลักลอบเข้าเมืองผิดกฎหมาย ก็ต้องรับผิดชอบ และมีการบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง

- กรณีที่กระทรวงสาธารณสุข ต้องนำกฎหมายมาใช้ในการเฝ้าระวัง ป้องกัน ควบคุมโรค ผมให้ข้อมูล งบประมาณค่าตรวจโควิด ~ 3 ครั้ง (คนละ 3500 บาท) ค่ารักษา เฉลี่ยคนละ 200,000 บาท

ใครทำผิดกฎหมาย ต้องผิดชอบครับ

เช่น กรณีแรงงานเถื่อน คนนำเข้ามา คนเป็นนายจ้าง ต้องรับผิดชอบตามกฎหมาย และคนไทยที่ลักลอบเข้าออกประเทศผิดกฎหมาย

กฎหมาย บัญญัติไว้ หากผู้บริหารและบุคลากรกระทรวงสาธารณสุขไม่ทำ มีความผิดครับ ละเว้นปฏิบัติหน้าที่ ครับ

กระทรวงสาธารณสุขทราบปัญหา และดูแลคนในมุมมืด ค้นหาเชิงรุก ทำงานด้วยเมตตา จรรยาบรรณแพทย์ตามหลักมนุษยธรรม ครับ"


ที่มา: https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=3942287385805182&id=100000718790571

กระทรวงการคลัง ได้ข้อสรุปเปิดลงทะเบียน “คนละครึ่ง” รอบเก็บตกแล้ว คาดดำเนินการได้ปลายเดือนมกราคม พร้อมเสนอที่ประชุมคณะรัฐมนตรีพิจารณาวันนี้

นายกฤษฎา จีนะวิจารณะ ปลัดกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า กระทรวงการคลังได้สรุปการเปิดลงทะเบียนโครงการคนละครึ่ง รอบเก็บตกแล้ว ซึ่งคาดว่าจะเป็นช่วงปลายเดือนม.ค.นี้ โดยจะเสนอให้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาเห็นชอบในหลักการก่อน ซึ่งในวันนี้ ( 12 ม.ค.) โดยนายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง จะเป็นผู้ชี้แจงรายละเอียดทั้งหมดอีกครั้ง ว่ากระบวนการและขั้นตอนทั้งหมดเป็นอย่างไรบ้าง

โดยเบื้องต้น พบว่า ยังมีสิทธิคงเหลือให้เปิดลงทะเบียนอีกกว่า 1 ล้านสิทธิ ซึ่งมาจากโครงการคนละครึ่งเฟสแรก ที่มีสิทธิคงเหลือ 5 แสนสิทธิ และจากเฟส 2 ที่มีผู้ไม่ผ่านเกณฑ์อีก 5 แสนสิทธิ อย่างไรก็ดี ยังต้องรอพิจารณาข้อมูลผู้ที่เข้าร่วมโครงการเฟส 2 แต่ไม่มีการใช้จ่ายภายใน 14 วันด้วย หลังจากนั้นจะนำตัวเลขทั้งหมดมาสรุปอีกครั้ง

ส่วนกระแสข่าวเดินหน้าโครงการคนละครึ่ง เฟส 3 ที่จะขยายการเพิ่มวงเงินให้กับผู้ใช้สิทธิเดิม (เฟส 1- เฟส 2) จำนวน 15 ล้านคน อีกคนละ 1,500 บาท และขยายระยะเวลาโครงการที่จะสิ้นสุดในเดือน มี.ค.64 ไปจนถึงเดือน มิ.ย.64 นั้น ปลัดกระทรวงการคลัง กล่าวว่า ยังไม่มีการพิจารณาในเรื่องดังกล่าว

ส่วนข้อเสนอภาคเอกชนที่ให้กระทรวงการคลังแจกเงิน 4 พันบาทนั้น ไม่ทราบว่าเอกชนเสนอมาบนพื้นฐานอะไร แต่ไม่ใช่ข้อมูลจากกระทรวงการคลัง แต่ในส่วนของรัฐบาลได้เตรียมการไว้แล้ว แต่จะยังไม่เสนอให้ ครม. พิจารณาในวันนี้ (12 ม.ค.) โดยขอไปศึกษาให้ดีก่อน

ด้านน.ส.กุลยา ตันติเตมิท รักษาราชการแทนผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง กล่าวว่า สศค. ขอให้ผู้ได้รับสิทธิโครงการคนละครึ่งทั้งเฟสแรก และเฟส 2 รีบเปิดใช้สิทธิภายในวันที่ 14 ม.ค.64 โดยเบื้องต้น มีข้อมูลการใช้จ่ายล่าสุด 13.4 ล้านคน ยังเหลืออีก 1.6 ล้านคนที่ยังไม่มีการเคลื่อนไหว ซึ่งหากกลุ่มนี้ไม่มีการใช้จ่ายภายใน 14 วันนับจากวันที่ได้รับ SMS ก็จะนำสิทธิมาเปิดลงทะเบียนในรอบเก็บตกอีกครั้ง

สำหรับตัวเลข 1.6 ล้านคน แบ่งเป็น ผู้รับสิทธิโครงการคนละครึ่ง เฟสแรก ที่คงเหลือสิทธิอยู่ 4.5 แสนคน ก็จะนำไปเสนอ ครม.ให้เห็นชอบ เพื่อมาเปิดลงทะเบียนอีกครั้ง และผู้ลงทะเบียนเฟส 2 อีกจำนวน 5 ล้านคน ซึ่งมีผู้ใช้สิทธิไปแล้ว 3.8 ล้านคน ยังเหลืออีก 1.2 ล้านคน ดังนั้น สศค.ขอความร่วมมือให้เร่งใช้จ่ายให้ทันภายใต้เงื่อนไขโครงการ

กรมทรัพย์สินทางปัญญา ลงนามบันทึกข้อตกลง (เอ็มโอยู) ว่าด้วยความร่วมมือในการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญา บนอินเทอร์เน็ต กับผู้ประกอบการ 3 แพลตฟอร์มชั้นนำ ได้แก่ ลาซาด้า, ช้อปปี้ และเจดี เซ็นทรัล

นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรมว.พาณิชย์ เปิดเผยว่า กรมทรัพย์สินทางปัญญา ได้ลงนามบันทึกข้อตกลง (เอ็มโอยู) ว่าด้วยความร่วมมือในการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาบนอินเทอร์เน็ต กับผู้ประกอบการ 3 แพลตฟอร์มชั้นนำ ได้แก่ ลาซาด้า, ช้อปปี้ และเจดี เซ็นทรัล และเจ้าของสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญา 20 หน่วยงาน เพื่อป้องกันและปราบปรามการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาบนอินเทอร์เน็ตเป็นครั้งแรก และยังช่วยปกป้องทรัพย์สินทางปัญญาของทุกคนรวมทั้งของคนไทย รวมทั้งสร้างแรงจูงใจให้ต่างประเทศมาลงทุน และเพื่อเพิ่มอันดับขีดความสามารถแข่งขันของประเทศในอนาคต

สำหรับสาระสำคัญของเอ็มโอยู ฉบับนี้คือ การระงับการจำหน่ายสินค้าละเมิดบนแพลตฟอร์มออนไลน์ และการเสริมสร้างองค์ความรู้ในเรื่องทรัพย์สินทางปัญญาให้แก่ผู้ค้าออนไลน์ เพื่อป้องปรามการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาบนอินเทอร์เน็ต ที่ส่งผลกระทบ ต่อระบบเศรษฐกิจ การค้าการลงทุน และความไว้วางใจของผู้บริโภคต่อการซื้อขายสินค้าออนไลน์ ซึ่งจะมีส่วนช่วยสร้างความสามารถในการแข่งขันของประเทศ โดยใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยี ในการเพิ่มมูลค่าสินค้า และบริการของไทยได้

ทั้งนี้ในปี 2563 กรมทรัพย์สินทางปัญญา ได้มีการดำเนินคดีกับผู้ละเมิดผ่านออนไลน์ มากถึง 231 คดี ยึดของกลางที่เป็นสินค้าละเมิด ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการละเมิดเครื่องหมายการค้าแบรนด์ดังจากต่างประเทศ 44,953 ชิ้น ส่วนยอดรวมตั้งแต่ปี 2561-63 ศาลสั่งให้ปิดกั้นเว็บไซต์ละเมิด ตาม พ.ร.บ. ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ฯ ซึ่งศาลได้มีคำสั่งปิดไปแล้วกว่า 1,500 รายการ

ทีมเศรษฐกิจทันสมัย พรรคประชาธิปัตย์ แนะรัฐ 6 ทางเยียวยาเศรษฐกิจ คลำเป้าชัด โฟกัส 'เพิ่มรายได้' พร้อม 'ลดรายจ่าย' แบบเร่งด่วน

ทีมเศรษฐกิจทันสมัย พรรคประชาธิปัตย์ นำโดยนายปริญญ์ พานิชภักดิ์ รองหัวหน้าพรรคและหัวหน้าทีมเศรษฐกิจทันสมัย และนางดรุณวรรณ ชาญพิพัฒนชัย รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ได้ร่วมกันแถลงข้อเสนอแนะมาตรการเยียวยาทางเศรษฐกิจ จากผลกระทบการระบาดโควิด-19 ระลอกใหม่ โดยนายปริญญ์ กล่าวว่า ทีมเศรษฐกิจทันสมัย ปชป. ขอชื่นชมและเป็นกำลังใจให้กับบุคลากรทางการแพทย์ และผู้ขับเคลื่อนนโยบายทุกท่านที่ทำงานหนักอย่างเต็มที่ แต่เมื่อมีวิกฤตทางสาธารณสุขที่ทำให้เกิดวิกฤตเศรษฐกิจร่วมด้วย จึงมีข้อเสนอต่อภาครัฐอย่างสร้างสรรค์ในการช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการช่วยเหลือประชาชน ทั้งการเพิ่มรายได้และลดรายจ่ายให้ประชาชน ภายใต้ 6 แนวทาง ดังนี้

• ออกมาตรการเยียวยาทันท่วงที การระบาดของโควิด-19 ระลอกใหม่ผ่านพ้นไปเกือบ 2 สัปดาห์แล้ว แต่ยังไม่มีมาตรการเยียวยาทางเศรษฐกิจที่ชัดเจนออกมา ผลกระทบคือทำให้มีคนตกงานทันที โดยเฉพาะกับกลุ่มอาชีพอิสระที่ประกอบธุรกิจกลางคืน เช่น ศิลปิน นักดนตรี ผู้ประกอบการ ธุรกิจกลางคืนซึ่งให้ความร่วมมือกับภาครัฐในการปิดสถานบริการและปฏิบัติตามมาตรการด้านสาธารณสุขเป็นอย่างดี แต่กลับได้รับผลกระทบมากที่สุด และยังไม่เคยได้รับการเยียวยาจึงขอให้ภาครัฐเร่งออกมาตรการเยียวยาทางเศรษฐกิจทันที โดยมุ่งเน้นไปที่กลุ่มอาชีพที่ได้รับผลกระทบสูงสุด ในเขตพื้นที่กรุงเทพมหานครและ 5 จังหวัดพื้นที่ควบคุมสูงสุด (สมุทรสาคร ระยอง ชลบุรี จันทบุรี ตราด) โดยให้เงินเยียวยาขั้นต่ำคนละ 5,000 – 6,000 บาท/เดือน เป็นเวลาอย่างน้อย 3 เดือน

• เร่งการเบิกจ่ายงบประมาณให้มีประสิทธิภาพ ลดคอขวด ทำให้ล่าช้า ทั้งโครงการที่ได้รับการอนุมัติจากรัฐบาลแล้วแต่ยังไม่มีการเบิกจ่าย ซึ่งเป็นหน้าที่ของกระทรวงการคลังและสภาพัฒน์ ที่ต้องไปเร่งติดตามว่าทำไมถึงยังไม่มีการนำเงินออกไปขับเคลื่อนโครงการเหล่านี้ให้เป็นรูปธรรม รวมถึงกลุ่มโครงการของหลายกระทรวงที่กำลังรออนุมัติด้วย เช่น โครงการของกระทรวงพาณิชย์ที่ช่วยฟื้นฟูเศรษฐกิจและช่วยเยียวยาหลังเกิดวิกฤตโควิด-19 ซึ่งถือเป็นโครงการที่ไม่ซ้ำซ้อนกับงบประมาณปกติ

• สนับสนุนการสร้างงานในเชิงรุก สถานการณ์ของโควิด-19 ทำให้คนตกงานมากขึ้นเรื่อย ๆ ภาครัฐต้องทำงานในเชิงรุกและโฟกัสการเยียวยาให้ถูกกลุ่ม เลือกจ่ายในกลุ่มที่ได้รับผลกระทบจริง ๆ หรืออาจเข้ามาช่วยจ่ายเงินเดือนบางส่วนเหมือนกับในหลายประเทศ เพื่อช่วยเยียวยา โดยเฉพาะบริษัทขนาดเล็ก ผู้ประกอบการ SMEs นอกจากมาตรการช่วยเหลือระยะสั้นแล้วยังต้องช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้กับคนไทยในระยะกลางถึงยาวด้วย โดยให้ประชาชนมีโอกาสเรียนรู้ออนไลน์ เสริมทักษะ เพิ่มสมรรถนะองค์ความรู้ดิจิทัล ในวิกฤตมีโอกาสเสมอ เพราะจะเป็นโอกาสให้ภาครัฐสร้างแรงงานฝีมือให้กับประเทศได้มากขึ้น เพราะทุกวันนี้คนตกงานไม่ใช่เพราะว่าไม่มีตำแหน่งงานให้ทำ แต่เป็นเพราะไม่สามารถหาบุคลากรที่มีทักษะ หรือสมรรถนะที่ตรงกับความต้องการได้รวมถึงการออกนโยบายเพื่อจูงใจคนที่อยู่บ้าน หรือกำลัง Work from home อยู่ให้สามารถเรียนรู้จากบ้านได้ โดยมีเครดิตพิเศษ เช่นให้เงินแถมโบนัส เพื่อจูงใจให้ประชาชนสามารถเรียนจบคอร์สยาก ๆ ได้ เช่น โคดดิ้ง (Coding) การขายของออนไลน์ (E-commerce) การตลาดยุคดิจิทัล (Digital marketing) หรือทักษะอื่น ๆ ด้านดิจิทัล เป็นต้น

• ลดภาระค่าใช้จ่ายให้กับประชาชน ในส่วนของรัฐวิสาหกิจต้องมาช่วยกันมากกว่านี้ อาจต้องไม่ทำกำไรในตอนนี้ ควรพิจารณาดูว่าทำอย่างไรให้ค่าน้ำ-ไฟถูกลงกว่านี้ได้เพื่อช่วยบรรเทาความเดือดร้อน

• การเข้าถึงแหล่งเงินทุน SMEs มีปัญหามากในเรื่องของสภาพคล่อง จากปัญหาหนี้สินที่พอกพูนมากขึ้น ควรช่วยกันคิดว่าทำอย่างไรให้บริษัทขนาดกลางและขนาดย่อมเข้าถึงเงินกู้ที่ถูกและเป็นธรรม ยกตัวอย่างเช่นโครงการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (Soft Loan) กว่า 4 แสนล้านบาทยังไม่ได้ถูกนำไปใช้อย่างเต็มที่ และมีเพียงบริษัทใหญ่ ๆ เท่านั้นที่เข้าถึงได้ อยากให้กระทรวงการคลังและธนาคารแห่งประเทศไทยเป็นเจ้าภาพในการต่อรองกับสมาคมธนาคารไทยและธนาคารพาณิชย์ในการพักเงินต้นและดอกเบี้ยอย่างเป็นรูปธรรม เพื่อให้อย่างน้อย 6-12 เดือนข้างหน้า ผู้ประกอบการรายเล็ก ๆ สามารถกลับมาทำธุรกิจได้ และกลับไปใช้จ่ายหนี้คืนได้เช่นเดิม

• ยืดระยะเวลาจ่ายภาษีอากร เช่นเดียวกับในปี 2563 ที่มีการยืดเวลาในการจัดเก็บภาษีนิติบุคคลและบุคคลธรรมดาจากเดิมช่วงเมษายนไปเป็นช่วงกลางปี รอบนี้ก็เช่นเดียวกัน เพื่อช่วยพยุงความลำบากประชาชน ให้สามารถเดินต่อไปได้ในระยะสั้น 3 - 6 เดือนข้างหน้านี้ นอกจากนั้นควรมีการเก็บภาษี VAT 7% จากแพลตฟอร์มการค้าออนไลน์ยักษ์ใหญ่ต่างชาติ ที่จะมีผลบังคับใช้ก่อนสิ้นปี 2564 นี้ และการเก็บภาษีจากยอดขายของแพลตฟอร์มเหล่านี้ในอนาคตจะทำให้ประเทศมีรายได้จากการเก็บภาษีมากขึ้น

ด้านนางดรุณวรรณ ชาญพิพัฒนชัย กล่าวเพิ่มเติมว่า นอกจากวิกฤตทางด้านสาธารณสุขและเศรษฐกิจแล้ว การสื่อสารในภาวะวิกฤตก็มีความสำคัญเช่นเดียวกัน ต้องถูกต้อง แม่นยำ รวดเร็ว และชัดเจน ซึ่งที่ผ่านมาทาง ศบค. ทำหน้าที่ได้ดี แต่ยังมีประเด็นที่เป็นปัญหา คือ การให้ข้อมูลข่าวสารในบางครั้งที่ไม่ได้เป็นไปในทิศทางเดียวกันระหว่างหน่วยงาน ทำให้ประชาชนเกิดความสับสน เนื่องจากการระบาดระลอกนี้มีการแพร่กระจายเกือบค่อนประเทศ มีชุดข้อมูลที่มาก เข้าใจถึงความยากลำบากในการรวบรวมข้อมูลของผู้ที่มีหน้าที่รับผิดชอบ จึงอยากวิงวอนภาครัฐและผู้มีส่วนเกี่ยวข้องจากทุกภาคส่วนให้มีการพูดคุยกันมากขึ้น เพื่อบูรณาการข้อมูลข่าวสารก่อนที่จะเผยแพร่ออกไป ช่วยลดความสับสนและสื่อสารให้กับสังคมไปในทิศทางเดียวกัน อย่างไรก็ตามขอเป็นกำลังใจให้ทุกคนที่กำลังทำหน้าที่ อยากให้ทุกคนร่วมมือร่วมใจกันเหมือนครั้งก่อน เพื่อให้เราก้าวผ่านวิกฤตนี้ไปได้ด้วยกัน

ทั้งนี้ ในตอนท้ายนางดรุณวรรณ ยังได้พูดถึงโครงการ “เรียนจบพบงาน” ของทีมเศรษฐกิจทันสมัย ซึ่งเป็นโครงการนำร่องที่ไม่ได้งบประมาณจากรัฐบาล ที่ช่วยพัฒนาคนรุ่นใหม่ให้มีความเชี่ยวชาญในเทคโนโลยีทันสมัยหรือดิจิทัลเหมาะสมกับงานยุค 4.0 สำหรับโครงการเรียนจบพบงานในช่วงสถานการณ์โควิด จะปรับรูปแบบมาทำกิจกรรมผ่านช่องทางออนไลน์มากขึ้นทั้งทางด้านการสัมมนา การให้ความรู้ ผ่านแฟนเพจที่เป็นข่องทางในการหางาน รวมถึงการฝึกงานผ่านออนไลน์เพื่อช่วยอัพสกิลและรีสกิล ช่วยประชาชนสามารถสร้างรายได้ สร้างอาชีพ และอยู่รอดได้ในช่วงโควิด-19 และในระยะยาว


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top