Saturday, 28 June 2025
TheStatesTimes

Operation Ranch Hand ปฏิบัติการ ‘ฝนเหลือง’ อาวุธเคมีของกองทัพสหรัฐฯ สู่สมรภูมิในเวียดนามใต้ ที่มากที่สุดในโลก    

สงครามเวียดนาม แม้จะจบลงไปแล้ว 46 ปีก็ตาม แต่เรื่องราวต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องไม่ได้จบตามไปด้วย ยกตัวอย่างเช่นเรื่องที่จะเล่าในครั้งนี้ คือ เรื่องของ “ฝนเหลือง (Agent Orange)” ซึ่งเป็นสารเคมีที่กองทัพสหรัฐฯ นำมาใช้ในสงครามเวียดนามด้วย และยังคงส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศน์ของเวียดนามจนทุกวันนี้ ด้วยมีผู้เขียนเรื่องราวเกี่ยวกับฝนเหลืองมากมาย จึงขอเขียนเรื่องราวโดยรวมและประเด็นที่เกี่ยวข้องกับบ้านเราครับ

ฝนเหลือง (Agent Orange) เป็นสารกำจัดวัชพืชที่มีความเข้มข้นสูงที่กองกำลังสหรัฐฯ ใช้ในช่วงสงครามเวียดนามเพื่อกำจัด ต้นไม้ และวัชพืช ซึ่งปกคลุมป่า อันเป็นที่ซ่อนและซ่องสุมกำลังของกองกำลังเวียดนามเหนือและเวียดกง โดยมีชื่อรหัสปฏิบัติการว่า Operation Ranch Hand กองกำลังสหรัฐฯ ได้โปรยพ่นสารเคมีกำจัดวัชพืชหลายชนิดมากกว่า 20 ล้านแกลลอนทางอากาศใน เวียดนามใต้ กัมพูชา และลาว ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2504 ถึง พ.ศ. 2514

Agent Orange ซึ่งมีสารเคมีประเภท Dioxin ซึ่งมีความร้ายแรง และเป็นสารกำจัดวัชพืชที่ใช้กันมากที่สุด ในเวลาต่อมาได้รับการพิสูจน์แล้วว่าก่อให้เกิดปัญหาสุขภาพที่ร้ายแรง ซึ่งรวมถึง โรคมะเร็ง ความพิการ และปัญหาทางด้านจิตใจและระบบประสาทที่รุนแรงในหมู่ชาวเวียดนาม รวมถึงในกลุ่มทหารที่กลับมาสหรัฐฯ รวมถึงครอบครัวของทหารเหล่านั้นด้วย

ถังบรรจุ Agent Orange

สารกำจัดวัชพืชที่ใช้โปรยพ่น มีความเข้มข้นสูงกว่าที่ใช้ในการเกษตรทั่วไปถึงราว 50 เท่า สารกำจัดวัชพืชที่ใช้บ่อยที่สุดคือ Herbicide Orange หรือที่เรียกกันทั่วไปว่า Agent Orange เป็นส่วนผสม 50 : 50 ของสารเคมีกำจัดวัชพืช 2 ชนิด 2,4 -D (2,4-Dichlorophenoxyacetic acid) และ 2,4,5-T (2,4,5-Trichlorophenoxyacetic acid) ผลิตตามคำสั่งของกระทรวงกลาโหมสหรัฐอเมริกา โดย Monsanto Corporation และ Dow Chemical เป็นหลัก สารกำจัดวัชพืชใน Operation Ranch Hand ใช้การกำหนดด้วยรหัสสี และที่พบมากที่สุดคือ Agent Blue (กรด Cacodylic) ซึ่งส่วนใหญ่ใช้กับพืชอาหาร และ Agent White ซึ่งมักใช้เมื่อ Agent Orange ไม่พร้อมใช้งาน

แผนที่แสดงเส้นทางการบินโปรยพ่น Agent Orange

Operation Ranch Hand เป็นปฏิบัติการทางทหารของสหรัฐฯโดยการโปรยสารกำจัดวัชพืชทางอากาศในช่วงสงครามเวียดนาม ซึ่งยาวนานตั้งแต่ปี พ.ศ. 2504 (ค.ศ. 1961) ถึง พ.ศ. 2514 (ค.ศ. 1971) โดยได้รับแนวคิดจากการที่กองทัพอังกฤษใช้สาร 2,4,5-T และ 2,4-D (Agent Orange) ในช่วงภาวะฉุกเฉินในมาลายาในปี พ.ศ. 2493 (ค.ศ. 1950) เป็นส่วนหนึ่งของโครงการสงครามกำจัดวัชพืชโดยรวมในช่วงสงครามที่เรียกว่า "Operation Trail Dust" เป็นการฉีดพ่นสารเคมีกำจัดวัชพืชประมาณ 20 ล้านแกลลอน (76,000 ลบ.ม.) ในพื้นที่ชนบทของเวียดนามใต้ เพื่อพยายามกำจัดแหล่งอาหารและพืชผลของเวียดกง รวมทั้งพื้นที่ในลาว และกัมพูชา ก็ถูกพ่นด้วยในปริมาณที่น้อยกว่า มีการบินโปรยสารเกือบ 20,000 เที่ยว ในช่วงสิบปีของการบินโปรยพ่นในพื้นที่ป่ากว่า 5 ล้านเอเคอร์ (20,000 ตร.กม.) และไร่นาอีก 500,000 เอเคอร์ (2,000 ตร.กม. ) ซึ่งได้รับความเสียหาย หรือถูกทำลายอย่างหนัก ป่าไม้ของเวียดนามใต้ราว 20% ถูกโปรยพ่นอย่างน้อยหนึ่งครั้ง

หมู่บินของเครื่องบินลำเลียงแบบ C-123 นามเรียกขานว่า "Hades" ขณะทำการบินโปรยพ่น Agent Orange

สารเคมีกำจัดวัชพืชถูกโปรยพ่นโดยกองทัพอากาศสหรัฐฯ ที่ด้วยเครื่องบินลำเลียงแบบ C-123 โดยใช้นามเรียกขานว่า "Hades" เครื่องบินจะติดตั้งถังสเปรย์ที่พัฒนาขึ้นเป็นพิเศษ ซึ่งมีความจุสารเคมีกำจัดวัชพืช 1,000 แกลลอน (4 ลบ.ม.) เครื่องบินลำหนึ่งพ่นพื้นที่กว้าง 80 เมตร และยาว 16 กิโลเมตร (10 ไมล์) ในเวลาประมาณ 4½ นาทีในอัตรา 3 แกลลอนสหรัฐฯ (3.785 ลิตร) ต่อเอเคอร์ (3 ลบ.ม. / ตร.กม. ) การบินเรียงลำดับประกอบด้วยเครื่องบินสามถึงห้าลำที่บินเคียงกัน 95% ของสารเคมีกำจัดวัชพืชที่ใช้ในสงครามถูกฉีดพ่นโดยกองทัพอากาศสหรัฐฯซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ Operation Ranch Hand ส่วนที่เหลืออีก 5% ได้รับการฉีดพ่นโดย US Chemical Corps และกองทัพสาธารณรัฐเวียดนาม โดยใช้เครื่องพ่นสารเคมี รถสเปรย์ เฮลิคอปเตอร์ และเรือ โดยส่วนใหญ่เป็นพื้นที่ปฏิบัติงานทางทหารของสหรัฐฯ

หมู่บินของเครื่องบินลำเลียงแบบ C-123 นามเรียกขานว่า "Hades" ขณะทำการบินโปรยพ่น Agent Orange

Operation Ranch Hand หน่วยปฏิบัติตั้งอยู่ที่ฐานทัพอากาศ Bien Hoa (พ.ศ. 2509-2513) สำหรับปฏิบัติการในภูมิภาคสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขงบริเวณที่เรือลาดตระเวนของกองทัพเรือสหรัฐฯ เสี่ยงต่อการถูกโจมตีจากพื้นที่พงป่าริมฝั่งน้ำ พื้นที่จัดเก็บ การผสม การบรรทุก และการล้างทำความสะอาด และทางลาดจอดรถตั้งอยู่ไม่ไกลจากฐานด้านในของทางเดินระหว่างทางระบายสินค้าและหอบังคับการบิน 

สำหรับการปฏิบัติการตามชายฝั่งตอนกลาง และพื้นที่เส้นทางโฮจิมินห์ (Ho Chin Minh Trail) Operation Ranch Hand ได้ปฏิบัติการจากฐานทัพอากาศ Da Nang (พ.ศ. 2507–2514) ส่วนฐานปฏิบัติการอื่น ๆ ได้แก่ ฐานทัพอากาศ PhùCát (พ.ศ. 2511-2513) ฐานทัพอากาศ Tan Son Nhut (พ.ศ. 2505–2509) ฐานทัพอากาศ Nha Trang (พ.ศ. 2511–2512) ฐานทัพอากาศ Phan Rang (พ.ศ. 2513–2515) และฐานทัพอากาศ Tuy Hoa (พ.ศ. 2514–2515) ฐานทัพอากาศอื่น ๆ ยังใช้เป็นพื้นที่ปฏิบัติการชั่วคราว สำหรับ Operation Ranch Hand ฐานทัพอากาศ Da Nang, Bien Hoa และ Phu Cat ยังคงมีการปนเปื้อนสารเคมีประเภท Dioxin จากสารเคมีกำจัดวัชพืชอย่างมาก และได้รับการจัดให้อยู่ในลำดับความสำคัญในการกันเขต และการทำความสะอาดโดยรัฐบาลเวียดนามจนปัจจุบัน

การโปรยพ่นสารเคมีกำจัดวัชพืชทางอากาศครั้งแรก เป็นการทดลองในวันที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2504 ในหมู่บ้านทางเหนือของอำเภอ Đắk Tô (เขตชนบทของจังหวัด Kon Tum ในภาคกลางของเวียดนาม) ด้วยสารเคมีกำจัดใบไม้ การทดสอบยังคงดำเนินต่อไปในปีต่อมา และแม้ว่าจะมีข้อสงสัยของกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงกลาโหม และทำเนียบขาวเกี่ยวกับประสิทธิภาพของสารเคมีกำจัดวัชพืช แต่ Operation Ranch Hand ก็เริ่มขึ้นในต้นปี พ.ศ. 2505 การบินโปรยพ่นจะต้องได้รับการอนุมัติจากประธานาธิบดี John F. Kennedy จนถึงเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2505 เมื่อประธานาธิบดี Kennedy ให้อำนาจในการอนุมัติการโปรยพ่นส่วนใหญ่ไปยังหน่วยความช่วยเหลือทางทหาร กองบัญชาการทหารสหรัฐฯในเวียดนาม และเอกอัครราชทูตสหรัฐประจำเวียดนามใต้ Operation Ranch Hand ได้รับการอนุมัติขั้นสุดท้ายให้ทำการบินโปรยพ่นเป้าหมายในลาวทางตะวันออกในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2508 

Dean Rusk รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ กับประธานาธิบดี John F. Kennedy

ประเด็นที่จะอนุญาตให้ทำลายพืชผลได้หรือไม่นั้น มีการถกเถียงกันอย่างหนักเนื่องจากอาจละเมิดพิธีสารเจนีวา (Geneva Protocol) อย่างไรก็ตามเจ้าหน้าที่อเมริกันชี้ให้เห็นว่า ก่อนหน้านี้อังกฤษเคยใช้ 2,4,5-T และ 2,4-D (แทบจะเหมือนกับที่กองทัพอเมริกันใช้ในเวียดนาม) ในปริมาณมากตลอดช่วงสถานการณ์ฉุกเฉินมาลายาในทศวรรษ 1950 เพื่อทำลายพุ่มไม้, พืชผล, และต้นไม้ เพื่อพยายามที่จะปราบปรามผู้ก่อความไม่สงบคอมมิวนิสต์ด้วยการทำลายที่กำบังที่ใช้ซุ่มโจมตีขบวนรถที่ผ่านมา 

รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ Dean Rusk กล่าวกับประธานาธิบดี Kennedy เมื่อ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2504 ว่า “การใช้ยาละลายน้ำแข็งไม่ได้ละเมิดหลักกฎหมายระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้องกับการทำสงครามเคมี และเป็นยุทธวิธีในการทำสงครามที่ได้รับการยอมรับ โดยอังกฤษในช่วงภาวะฉุกเฉินในแหลมมลายูโดยการใช้เครื่องบินด้วยการโปรยพ่นสารเคมีทำลายพืชผล

Ngo Dinh Diem ประธานาธิบดีเวียดนามใต้ เริ่มผลักดันให้เหล่าที่ปรึกษาทางทหารสหรัฐฯประจำเวียดนามใต้และทำเนียบขาว เริ่มทำการทำลายล้างการเพาะปลูกในเดือนกันยายน พ.ศ. 2504 แต่ยังไม่ถึงเดือนตุลาคม พ.ศ. 2505 ทำเนียบขาวให้การอนุมัติสำหรับการทดสอบ Agent Blue กับพืชผลในพื้นที่ซึ่งเชื่อว่าถูกควบคุมโดยเวียดกง หลังจากนั้นไม่นานการโปรยพ่นสารเคมีทำลายพืชผลก็กลายเป็นส่วนสำคัญของ Operation Ranch Hand

เฮลิคอปเตอร์ติดอาวุธขณะโปรยพ่น Agent Orange

เป้าหมายสำหรับการฉีดพ่น ได้รับการคัดเลือกมาอย่างดีเพื่อตอบสนองเป้าหมายเชิงกลยุทธ์ และปฏิบัติการทางจิตวิทยาของกองทัพสหรัฐฯ และเวียดนามใต้ มีการสำรวจเพื่อระบุพื้นที่เป้าหมาย จากนั้นจัดวางรายการลำดับความสำคัญ เนื่องจากระดับความสูงที่ต่ำ (150 ฟุต (46 ม.) จำเป็นสำหรับการบินโปรยพ่นของเครื่องบินลำเลียงแบบ C-123 จึงถูกนำมาโปรยพ่นโดยเครื่องบิน หรือเฮลิคอปเตอร์ติดอาวุธ เพื่อที่จะกราดยิงหรือทิ้งระเบิดในพื้นที่เป้าหมายเพื่อให้เกิดการทำลายเป้าหมายบนภาคพื้นดิน หากพื้นที่นั้น ๆ ซึ่งเชื่อกันว่า เป็น 'เป้าหมายที่มีความเร่งด่วน' มีการวางแผนการบินโปรยพ่นเพื่อให้สามารถบินเป็นเส้นตรงได้มากที่สุด เพื่อจำกัดระยะเวลาที่เครื่องบินซึ่งต้องบินในระดับความต่ำ ข้อมูลเกี่ยวกับการบินโปรยพ่น เป้าหมาย สารกำจัดวัชพืชที่ใช้ และปริมาณที่ใช้ สภาพอากาศ และรายละเอียดอื่น ๆ ได้รับการบันทึก และนำไปเก็บไว้ในฐานข้อมูลที่เรียกว่า แถบบันทึก Herbicide Reporting System (HERBS)

สภาพป่าโกงกางที่ถูกโปรยพ่นด้วย Agent Orange

ประสิทธิผลของการบินโปรยพ่นมาจากองค์ประกอบหลายปัจจัยรวมทั้ง สภาพอากาศ และภูมิประเทศ การบินโปรยพ่นเกิดขึ้นในช่วงเช้าตรู่ก่อนที่อุณหภูมิจะสูงกว่า 85 องศา และลมพัดแรง ป่าโกงกางในพื้นที่สามเหลี่ยมปากแม่น้ำต้องการการบินโปรยพ่นเพียงครั้งเดียว และไม่สามารถอยู่รอดได้เมื่อมีการผลัดใบ ในขณะที่ป่าทึบในพื้นที่สูงต้องใช้การบินโปรยพ่นอย่างน้อยสองครั้ง ภายในสองถึงสามสัปดาห์ของการบินโปรยพ่น ใบจะร่วงหล่นจากต้นไม้ ซึ่งจะยังคงไร้ใบจนถึงฤดูฝนถัดไป เพื่อที่จะทำให้ป่าไม้ลดลง จำเป็นต้องมีการบินโปรยพ่น และติดตามผลอย่างน้อยหนึ่งครั้ง ต้นไม้ที่ถูกโปรยพ่นประมาณร้อยละ 10 ตายจากการบินโปรยพ่นเพียงครั้งเดียว การบินโปรยพ่นหลาย ๆ ครั้ง ส่งผลให้ต้นไม้ตายเพิ่มขึ้น ดังที่การติดตามภารกิจกำจัดวัชพืชด้วยการทิ้งระเบิดนาปาล์ม (ระเบิดเพลิง) หรือการวางระเบิดทำลาย

ปฏิกิริยาของชุมชนทางวิทยาศาสตร์ การใช้สารเคมีกำจัดวัชพืชในสงครามเวียดนามเป็นที่ถกเถียงกันมาตั้งแต่ต้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการโปรยพ่นสารเคมีทำลายพืช ชุมชนวิทยาศาสตร์เริ่มประท้วงการใช้สารเคมีกำจัดวัชพืชในเวียดนามตั้งแต่ปี พ.ศ. 2507 เมื่อสหพันธ์นักวิทยาศาสตร์อเมริกันคัดค้านการใช้สารกำจัดวัชพืช หรือ American Association for the Advancement of Science (AAAS) ได้ออกมติในปี พ.ศ. 2509 เรียกร้องให้มีการตรวจสอบโครงการกำจัดวัชพืชในเวียดนามใต้ในภาคสนาม ในปี พ.ศ. 2510 ผู้ได้รับรางวัลโนเบล 17 คน และนักวิทยาศาสตร์อีก 5,000 คนลงนามในคำร้องเพื่อขอให้ยุติการใช้สารเคมีกำจัดวัชพืชในเวียดนามใต้โดยทันที มีการรายงานข่าวเกี่ยวกับการใช้สารเคมีกำจัดวัชพืชในเวียดนามเพิ่มขึ้นในช่วงปลายทศวรรษ 1960

สหพันธ์นักวิทยาศาสตร์อเมริกัน

ในปี 1970 AAAS ได้ส่งทีมนักวิทยาศาสตร์ - คณะกรรมการประเมินสารกำจัดวัชพืช (HAC) ซึ่งประกอบด้วย Matthew Meselson, Arthur Westing, John Constable และ Robert Cook ไปทำการทดสอบภาคสนามเกี่ยวกับผลกระทบทางนิเวศวิทยาของโครงการกำจัดวัชพืชในเวียดนาม รายงานในปี พ.ศ. 2512 (ค.ศ. 1969) ที่เขียนโดย K. Diane Courtney และคณะพบว่า 2,4,5-T อาจทำให้เกิดความผิดปกติและข้อบกพร่องของการคลอดในหนูได้ การศึกษาและการติดตามผลนี้ทำให้รัฐบาลสหรัฐฯ จำกัด การใช้ 2,4,5-T ในสหรัฐอเมริกาในเดือนเมษายน พ.ศ. 2513 (ค.ศ. 1970) ตามด้วยกระทรวงกลาโหมฯระงับการใช้ Agent Orange ในเวียดนามใต้เป็นการชั่วคราว แม้ว่าพวกเขาจะยังคงพึ่งพา Agent White จนกระทั่งอุปกรณ์หมด และการฉีดพ่นสำหรับการกำจัดใบครั้งสุดท้ายเกิดขึ้นในวันที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2513 การทำลายพืชผลแบบประปรายโดยใช้ Agent Blue และ Agent White ดำเนินต่อไปตลอดปี พ.ศ. 2513 (ค.ศ. 1970) จนกระทั่งครั้งสุดท้ายของ Operation Ranch Hand เมื่อวันที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2514 

ชาวเวียดนามราว 150,000 คน ที่พิการแต่กำเนิด ต้องเผชิญและทนทุกข์ทรมาน จากผลกระทบของสารเคมีต่าง ๆ ที่ถูกนำมาใช้

ผลกระทบต่อมนุษย์ การใช้สารเคมีกำจัดวัชพืชมีผลในการทำลายล้างในระยะยาวต่อผู้คนในเวียดนามรวมถึงดินแดนและระบบนิเวศ รวมถึงผู้ที่อพยพจากพื้นที่ที่มีการโปรยพ่น Agent Orange จำนวนมาก ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2521 ตามรายงานของรัฐบาลเวียดนามเปิดเผยว่า ชาวเวียดนามราว 4.8 ล้านคนได้รับผลจาก Agent Orange ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 400,000 คน เนื่องจากโรคมะเร็ง และโรคอื่น ๆ 

การศึกษาเพื่อแก้ไขปัญหาในภายหลังระบุว่า การประมาณการก่อนหน้านี้ของการได้รับสาร Agent Orange มีความเอนเอียงจากการแทรกแซงของรัฐบาล และการคาดเดาที่ต่ำเกินไป ซึ่งทำให้การประมาณการในปัจจุบันสำหรับการล่อยสาร Dioxin นั้นสูงกว่าที่คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้เกือบสองเท่า ข้อมูลการจากสำรวจสำมะโนประชากรระบุว่า กองทัพสหรัฐฯ ได้โปรยพ่นใส่ชาวเวียดนามหลายล้านคนโดยตรงระหว่างการใช้งาน Agent Orange ประชาชนเวียดนามได้รับความทุกข์ทรมานจากโรคต่าง ๆ 

ผลกระทบต่อมนุษย์ การใช้สารเคมีกำจัดวัชพืชมีผลต่อการทำลายล้างในระยะยาว และต่อผู้คนในเวียดนามรวมถึงพื้นดินและระบบนิเวศน์ รวมถึงผู้ที่อพยพจากพื้นที่ที่มีการโปรยพ่น Agent Orange จำนวนมาก ตามรายงานของรัฐบาลเวียดนามเปิดเผยว่า ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2521 ชาวเวียดนามราว 4.8 ล้านคนได้รับผลจาก Agent Orange ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 400,000 คน อันเนื่องมาจากโรคมะเร็ง และโรคอื่น ๆ การศึกษาเพื่อแก้ไขปัญหาในภายหลังระบุว่า การประมาณการก่อนหน้านี้ของการได้รับสาร Agent Orange มีความเอนเอียงจากการแทรกแซงของรัฐบาลฯ และการคาดเดาที่ต่ำเกินไป ซึ่งทำให้การประมาณการในปัจจุบันสำหรับการล่อยสาร Dioxin นั้นสูงกว่าที่คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้เกือบสองเท่า ข้อมูลการจากสำรวจสำมะโนประชากรระบุว่า กองทัพสหรัฐฯได้โปรยพ่นใส่ชาวเวียดนามโดยตรงระหว่างการใช้งาน Agent Orange เป็นจำนวนหลายล้านคน ประชาชนเวียดนามได้รับความทุกข์ทรมานจากโรคต่าง ๆ โดยมีชาวเวียดนามราว 3  ล้านคนที่ประสบปัญหาสุขภาพ เจ็บป่วย และพิการ ฯลฯ อันเกิดจากการสัมผัสกับ Agent Orange โดยตรง และ 24% ของพื้นที่ของประเทศเวียดนามถูกทำลาย นอกจากนี้ค่าใช้จ่ายของรัฐบาลสหรัฐฯในการจัดการสารเคมีดังกล่าวข้างต้น รวมถึงผู้ที่เกิดในและรอบ ๆ พื้นที่โปรยพ่น Agent Orange เป้าหมายจำนวนมากตลอดช่วงสงครามเวียดนาม ซึ่งทำให้มีผลต่อประชาชนเวียดนามอย่างน้อย 2.8 ล้านคน  และเด็ก ๆ ลูกหลานของพวกเขาอีกราว 150,000 คนต้องพิการแต่กำเนิด ต้องเผชิญ และทนทุกข์ทรมานจากผลกระทบของสารเคมีต่าง ๆ ซึ่งถูกนำมาใช้ใน Operation Ranch Hand


ชาวเวียดนามราว 150,000 คนที่พิการแต่กำเนิด ต้องเผชิญ และทนทุกข์ทรมานจากผลกระทบของสารเคมีต่าง ๆ ที่ถูกนำมาใช้

โครงการกำจัด Agent Orange ปนเปื้อนที่สนามบิน Da Nang

United States Agency for International Development หรือ USAID แถลงว่า โครงการกำจัด Agent Orange ปนเปื้อนที่สนามบิน Da Nang เสร็จสิ้นเมื่อเดือน พ.ย. พ.ศ. 2561 ต่อเนื่องตามด้วยโครงการกำจัด  Agent Orange ที่สนามบิน Bien Hoa เวียดนาม ซึ่งเป็นพื้นที่ปนเปื้อน Agent Orange มากที่สุดในประเทศเวียดนาม โดยเป็นโครงการระยะ 10 ปี งบประมาณ 183 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 5,700 ล้านบาท สนามบิน Bien Hoa อยู่นอกนครโฮจิมินห์ เป็นพื้นที่ที่มีสาร Agent Orange ปนเปื้อนมากที่สุดในประเทศเวียดนาม ปนเปื้อนดิน และไหลซึมลงแม่น้ำใกล้เคียงหลายแห่งตรวจพบ Agent Orange ปนเปื้อนมากกว่า 4 เท่าของปริมาณที่พบที่สนามบิน Da Nang 

ส่วนในสหรัฐฯ นั้น ทบวงกิจการทหารผ่านศึกของสหรัฐฯ ประมาณการว่า ทหารอเมริกัน จำนวน 2.8 ล้านคน ที่เคยไปปฏิบัติการ หรือ เหยียบแผ่นดินเวียดนาม ระหว่างปี พ.ศ. 2505-2518 ล้วนมีโอกาสได้สัมผัสกับสารเคมีที่ใช้ในการกำจัดใบไม้ กระทรวงฯ ได้ระบุอาการที่อาจจะเกิดขึ้นได้จากการได้รับผลกระทบเอาไว้ส่วนหนึ่ง และถ้าหากทหารผ่านศึกคนใดมีอาการต่าง ๆ เหล่านั้น ก็จะสามารถขอรับการรักษาพยาบาลเป็นสวัสดิการจากรัฐได้ ซึ่งจำนวนผู้ที่เข้าขอรับการช่วยเหลือมีเพิ่มขึ้นทุกปี ที่ผ่านมารัฐบาลสหรัฐฯ ได้จ่ายชดเชยให้ทหารผ่านศึกชาวอเมริกันที่ได้รับผลกระทบจากสารเคมี แต่ไม่ได้จ่ายชดเชยให้กับฝ่ายเวียดนามแต่อย่างใด

ป้ายแสดงที่ระลึกโครงการกำจัด Agent Orange ปนเปื้อนที่สนามบิน Da Nang

Agent Orange ได้รับการทดสอบโดยหน่วยงานของสหรัฐอเมริกาในประเทศไทยในช่วงสงครามเวียตนาม ในปี พ.ศ. 2542 คลองที่ถูกกลบได้ถูกขุดออก และพบถังบรรจุสารเคมี ซึ่งได้รับการยืนยันว่าเป็น Agent Orange คนงานที่ขุดเปิดคลองนั้นล้มป่วยขณะปรับปรุงพื้นที่สนามบินบ่อฝ้ายใกล้อำเภอหัวหินทางใต้ของกรุงเทพฯราว 100 กม. ทหารผ่านศึกชาวไทยที่เข้าร่วมสงครามเวียตนามระหว่างวันที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2504 ถึง 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2518 อาจได้รับสารเคมีกำจัดวัชพืช และอาจมีสิทธิ์ได้รับสิทธิประโยชน์จากทบวงกิจการทหารผ่านศึกของสหรัฐฯ รายงานของกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯที่ไม่ได้รับการจัดประเภทชั้นความลับ ซึ่งเขียนขึ้นในปี พ.ศ. 2516 ชี้ให้เห็นว่ามีการใช้สารเคมีกำจัดวัชพืชอย่างมีนัยสำคัญรอบ ๆ ฐานทัพที่มีรั้วรอบขอบชิดในประเทศไทยเพื่อกำจัดใบไม้ที่อาจปิดบังการตรวจหากองกำลังฝ่ายศัตรู ในปี พ.ศ. 2556 ทบวงกิจการทหารผ่านศึกของสหรัฐฯ ระบุว่า สารเคมีกำจัดวัชพืชที่ใช้ในพื้นที่ฐานทัพในประเทศไทยอาจเป็นสารเคมีกำจัดวัชพืชชนิดเชิงพาณิชย์ที่มีฤทธิ์คล้ายสารเคมีกำจัดวัชพืชทางยุทธวิธีที่ใช้ในสงครามเวียดนาม ทุกวันนี้ยังมีหลาย ๆ ประเทศสะสมอาวุธเคมีชีวะเพื่อใช้ทำสงครามอยู่ หวังเป็นอย่างยิ่งว่า บทเรียนจากเรื่องราวที่ผ่านมาจะทำให้โลกใบนี้ไม่ต้องประสบพบเจอกับเรื่องราวที่สุดจะเลวร้ายเช่นนี้อีก


แหล่งรวม "บทความและคอนเทนต์แปลกใหม่!!!" แบบไร้ Toxic ติดตามได้ที่ THE STATES TIMES Blockdit
LINK : https://www.blockdit.com/pages/60583e7ff90e240c3e7f1c32

เช็คก่อนเชื่อ ชัวร์ก่อนแชร์ 

ข่าว​ Fake ว่อน​ Feed 

หากเป็นสมัยยุคอนาล็อค ถ้าถามว่าข่าวอะไรแพร่ไว ก็น่าจะเป็น “ข่าวลือ” แต่สมัยยุคดิจิทัลนี้ข่าวลือต้องแพ้ “ข่าวลวง” (Fake news) ข่าวลวงยุคนี้มีหลากหลายรูปแบบและแยบยลขึ้นทุกวัน

BBC ระบุถึงความหมายของ Fake news ในยุคโลกออนไลน์ไว้สั้น ๆ เข้าใจง่ายไม่ซับซ้อนว่า Fake news คือ ข่าว หรือเรื่องราวที่ไม่จริงในอินเตอร์เน็ต “ Fake news is news or stories on the internet that are not true.” จากนิยามสั้น ๆ นี้ ยากตรงเราจะรู้ได้อย่างไรว่า ข่าวหรือเรื่องราวนั้น ๆ จริงหรือไม่ เพราะข่าวหรือเรื่องราวที่บอกความจริงไม่หมด หรืออาศัยข้อมูลจริงบ้างบางส่วนผสมไม่จริงหรือนำเสนอเพื่อให้เข้าใจผิดในสาระสำคัญนี้แยกแยะลำบากเหมือนกัน   

วันนี้จะมาชวนช่วยกันลองเช็คข้อมูลหาความจริงกัน ขอยกกเรื่องราวจากรณีล่าสุดในโลกโซเชียลฯ ที่มีการเผยแพร่จดหมายจาก บริษัท แอคแคป แอสเซ็ทส์ จำกัด ที่ส่งถึง ศ.นพ.นิธิ มหานนท์ เลขาธิการราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ โดยในเนื้อความระบุว่าบริษัทสามารถจัดสรรวัคซีนซิโนฟาร์ม จำนวน 20 ล้านโดส ให้แก่รัฐบาลไทยได้ โดยไม่ผ่านตัวแทนหรือบริษัทผู้จัดจำหน่ายอื่นใด แต่ตลอดระยะเวลา 1 เดือนที่ผ่านมาบริษัทไม่สามารถเข้าถึงหรือเข้าพบ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.สาธารณสุขเพื่อนำเอกสารดังกล่าวไปนำเสนอวัคซีนได้เลย 

ครั้งแรกที่เห็นจดหมายนี้ ก็สงสัยว่าจะเป็นไปได้ไหม? เพราะเท่าที่จำได้จากข่าว วัคซีนซิโนฟาร์ม มีบริษัท ไบโอจีนีเทค จำกัด ได้ขอขึ้นทะเบียนกับ อย. ไว้แล้ว ทำไมจะมีอีกบริษัทแถมบอกว่าไม่ผ่านตัวแทนหรือบริษัทผู้จัดจำหน่ายอื่นด้วย มีความแปลก ๆ น่าสงสัย ๆ เลยลองหาข่าวจากสื่อพบว่า ด้านรัฐบาล โดยนายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ชี้แจงว่า จากการตรวจสอบข้อมูลในระบบของสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) แล้ว ปรากฏว่าบริษัท แอคแคป แอสเซ็ทส์ จำกัดไม่สามารถนำเข้ายาเข้ามาในประเทศไทยได้ เนื่องจากไม่ได้รับอนุญาตอย่างเป็นทางการจากหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้อง และวัคซีน Sinopharm ได้มีบริษัท ไบโอจีนีเทค จำกัด ได้ขอขึ้นทะเบียนกับ อย. ไว้ก่อนแล้ว และขณะนี้อยู่ระหว่างการประเมินคำขอขึ้นทะเบียนอยู่ และอยู่ระหว่างการดำเนินการในขั้นตอนการพิจารณา และยังระบุด้วยว่าการเจรจาติดต่อเรื่องการนำเข้าวัคซีนสามารถติดต่อผ่านทางองค์การเภสัชกรรม หรือสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาได้โดยตรงในเบื้องต้น โดยไม่มีความจำเป็นต้องพบนายกรัฐมนตรีหรือรองนายกรัฐมนตรีตามที่อ้างแต่อย่างใด

ข้อมูลของบริษัท แอคแคป แอสเซ็ทส์ จำกัด กับของด้านรัฐบาลนั้นขัดแย้งกันพอสมควร…ยังไม่ต้องรีบเชื่อใครก็ได้ ก่อนจะเชื่อใคร ชวนลองมาตรวจสอบข้อมูลแบบง่าย ๆ กันกับความเป็นบริษัทแอคแคป แอสเซ็ทส์ ที่บอกว่าจะเอาวัคซีน Sinopharm เข้ามา 20 ล้านโดส (ภายใน 2 สัปดาห์ด้วยนะ) บริษัทนี้คือบริษัทอะไร ทำไมถึงกล่าวอ้างว่าจะนำเข้าวัคซีนได้   

วิธีการตรวจสอบ คือ ลองไปเช็คข้อมูล บริษัท แอคแคป แอสเซ็ทส์ จำกัดใน website ของกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ พบว่าบริษัท แอคแคป แอสเซ็ทส์ จำกัด จดทะเบียนเมื่อวันที่ 13 เม.ย. 2563 (ถึงวันนี้ก็ปีกว่า ๆ เอง) ทุนจดทะเบียน 5 ล้านบาท คณะกรรมการบริษัท คือ นายกรกฤษณ์ กิติสิน และ นายศวิษฐ์ อุทัยเฉลิม จดทะเบียนในประเภทธุรกิจ “การซื้อและการขายอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นของตนเองที่ไม่ใช่เพื่อเป็นที่พักอาศัย” วัตถุประสงค์ตอนจดทะเบียน คือ “ประกอบกิจการซื้อเเละการขายอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นของตนเองที่ไม่ใช่เพื่อเป็นที่พักอาศัย” นอกจากนี้ยังไม่พบข้อมูลการส่งงบการเงินปรากฎอยู่เลย หากพิจารณาจากข้อมูลที่ปรากฎนี้ต้องบอกตรง ๆ ว่าบริษัท แอคแคป แอสเซ็ทส์ จำกัด ที่ทำธุรกิจด้านอสังหาฯนั้นไม่ใกล้เคียงกับการจะเป็นบริษัทตัวแทนผู้นำเข้าวัคซีนได้เลย การนำเข้าวัคซีนในยามปกติก็ไม่ง่ายแล้ว ยิ่งในยามภาวะฉุกเฉินมีวิกฤตโรคระบาดนี้ยิ่งไม่น่าจะเป็นได้ว่าบริษัทผู้ผลิตจะวางใจให้บริษัทที่ไม่ได้เป็นบริษัทที่มีประสบการณ์ตรงมาเป็นตัวแทนนำเข้า 

ที่มา : กรมพัฒนาธุรกิจการค้า https://datawarehouse.dbd.go.th/company/profile/5/0105563061387

พอหาข้อมูลได้ชักอยากรู้ต่อว่าแล้วบริษัท ไบโอจีนีเทค จำกัด ได้ขอขึ้นทะเบียนกับ อย. ไว้เพื่อวัคซีน Sinopharm ละเป็นอย่างไรบ้าง จึงลองไปหาข้อมูลบริษัทฯจาก website ของกรมพัฒนาธุรกิจการค้าบ้าง  ก็พบว่า บริษัทไบโอจีนีเทค จำกัด จดทะเบียนจัดตั้งเมื่อปี 2536 โดยจดทะเบียนในประเภทการขายส่งเคมีภัณฑ์ทางอุตสาหกรรม และมีวัตถุประสงค์การจดทะเบียนเพื่อ นำเข้าและส่งออกขายสินค้าเคมีภัณฑ์วัสดุทางการแพทย์ ทุนจดทะเบียน 24 ล้านและมีการแสดงงบแสดงสถานะการเงินปรากฎอยู่ชัดเจน 

ดังนั้นหากพิจารณาเปรียบเทียบข้อมูลบริษัทของทั้งคู่แล้ว แล้วสมมุติว่าเราคือชิโนฟาร์ม เราจะเลือกบริษัทไหนเป็นตัวแทนนำเข้าวัคซีน ระหว่างบริษัทที่เปิดมาเพื่อนำเข้า-เคมีภัณฑ์ทางการแพทย์ กับบริษัทซื้อขายอสังหาริมทรัพย์? 

นอกจากนี้บริษัท แอคแคป แอสเซ็ทส์ จำกัด อ้างว่าตนเองมีฐานะเป็นพันธมิตรผู้เดียวในประเทศไทยของบริษัท TELLUS AGROTECH PTE. LTD. ผู้จัดจำหน่ายวัคซีน “ซิโนฟาร์ม” ในภูมิภาคเอเชีย…ทำให้อยากรู้จักบริษัทTELLUS AGROTECH PTE. LTD.  ด้วย เลยลองไป search หาข้อมูลบริษัทนี้ ก็เจอบริษัทที่มีชื่อเดียวกันกับ TELLUS AGROTECH PTE. LTD.  ระบุว่าบริษัทมีสถานะการดําเนินงานในปัจจุบันและเปิดให้บริการมา 2 ปี 118 วัน โดยจดทะเบียนเมื่อวันที่ 28 Jan 2019 ธุรกิจหลักของบริษัทคือบริการให้คําปรึกษาด้านการเกษตร ธุรกิจรองคือการพัฒนาซอฟต์แวร์สําหรับสื่อดิจิทัล…ถ้าบริษัทนี้คือบริษัทเดียวกันตามที่บริษัท แอคแคป แอสเซ็ทส์ จำกัด อ้างถึงนี้ก็ต้องบอกว่า บริษัทฯนี้ ดูไม่ใกล้เคียงกับการเป็นผู้จัดจำหน่ายวัคซีน “ซิโนฟาร์ม” ในภูมิภาคเอเชียเลย 

ที่มา : https://www.sgpbusiness.com/company/Tellus-Agrotech-Pte-Ltd

และที่สำคัญ ศ.นพ.นิธิ มหานนท์ เลขาธิการราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ ผู้ที่จดหมายจาก บริษัท แอคแคป แอสเซ็ทส์ จำกัด ระบุว่าส่งจดหมายไปถึงนั้น โพสต์ชี้แจงใน Facebook ส่วนตัวลงวันที่ 27 พ.ค. 64 ว่า “หนังสือนี้ร่อนไปทั่วบนระบบออนไลน์โดยที่ คนที่หนังสือนี้ส่งถึงยังไม่ได้เห็นหนังสือตัวเป็น ๆ เลย...” (เป็นเรื่องที่น่าประหลาดใจ ชวนสงสัยมากว่า หากตั้งใจให้คุณหมอ ทำไมคุณหมอถึงไม่ได้รับ แต่ชาวเน็ตเห็นก่อนอีกด้วย ชวนสงสัยยิ่งนักว่าจดหมายนี้มีวัตุประสงค์เพื่ออะไร) นอกจากนี้คุณหมอยังได้ระบุถึงกฎระเบียบต่าง ๆ ในการเป็นตัวแทนนำเข้าวัคซีนด้วย

สำหรับความคิดเห็นส่วนตัวนั้น เมื่ออ่านที่คุณหมอเขียนแล้วก็รู้สึกสงสารคนทำงาน ลำพังจะต้องสู้กับโรคระบาด ต้องช่วยกันเพื่อให้คนไทยปลอดภัยที่สุดเท่าที่ทำได้นั้นก็ยากลำบากมากในยามนี้ แล้วยังต้องมาเจอเรื่องราวเช่นนี้อีก ดูจะบั่นทอนกำลังใจคนทำงานไม่น้อย ซึ่งสุดท้ายย่อมจะเป็นผลดีกับประชาชนและสังคมส่วนรวม 

ส่วนกรณีของบริษัท แอคแคป แอสเซ็ทส์ จำกัด ก็คงต้องพิสูจน์ข้อเท็จเพิ่มเติมกันต่อไปว่าจะ fake หรือไม่ fake อย่างไร ยังไม่ขอฟันธง แต่เท่าที่มีข้อมูลตอนนี้พอให้สังคมได้ช่วยกันพิจารณา ตั้งคำถามกับข้อเท็จจริงในกรณีจากเรื่องราวข้อมูลกรณีนี้ได้พอสมควร 

แต่แน่นอนว่า Fake news นั้นเกิดที่ไหน ก็เดือดร้อนที่นั้น เพราะทำให้เกิดความเข้าใจผิด ความเข้าใจผิดนี้นำไปสู่ปัญหาต่าง ๆ ได้มาก ยิ่งในยามที่เราต้องเผชิญกับภาวะการต่อสู้กับโรคระบาดอาจทำให้เกิความผลลบอย่างที่เราอาจจะคาดถึง  การรู้เท่าทันและไม่ตกเป็นเหยือของข่าวปลอมจึงเป็นภูมิคุ้มกันที่ดีที่เราจะสร้างให้ตัวเองได้  สุดท้ายนี้มีวิธีสร้างภูมิคุ้มกันโดยการสังเกต fake news จาก BBC มาฝากค่ะ ทำได้ไม่ยาก ทั้งหมดเริ่มต้นจากการสังเกต ตั้งข้อสงสัย แล้วตั้งคำถามถามตัวเองก่อนจะเชื่อ หรือจะแชร์อะไร ว่า

- มีการรายงานเรื่องราวไปที่อื่นหรือไม่? (คือดูว่ามีสื่อลงหลาย ๆ สำนักไหม หรือมีการนำเสนออย่างกว้างขวางชัดเจนไหมนั้นเอง)

- ข่าวหรือเรื่องราวนั้น ๆ อยู่ในวิทยุทีวีหรือในหนังสือพิมพ์? (ข้อนี้อาจต้องระวัง เพราะบางทีสิ่งที่อยู่ในสื่อหลักอย่างวิทยุและโทรทัศน์ก็อาจจะไม่จริงทั้งหมดเสมอไป)

- คุณเคยได้ยินชื่อ หรือรู้จักองค์กรที่เผยแพร่ข่าว หรือเรื่องราวหรือไม่? (ถ้าชื่อสำนักข่าว หรือชื่อ url ไม่คุ้นเคยต้องตั้งคำถามต่อว่า คนส่งข่าวหรือเรื่องราวนี้คือใคร น่าเชื่อถือมากน้อยแค่ไหน)

- เว็บไซต์ที่คุณพบว่าเรื่องราวดูเป็นของแท้หรือไม่? (เพื่อพึงระวังเว็บไซต์เลียนแบบ (copycat) ที่ออกแบบมาเพื่อมีลักษณะเหมือนเว็บไซต์จริงของคนอื่น)

- ที่อยู่ (URL) เว็บไซต์ที่ด้านบนของหน้าดูจริงหรือไม่? โดยให้สังเกตตอนท้ายของชื่อเว็บไซต์ ว่าดูปกติไหม เช่น '.co.uk' หรือ '.com'  ถ้าเป็น 'com.co' แบบนี้แสดงว่าไม่ปกติแล้ว ไม่น่าเชื่อถือ

- รูปภาพหรือวิดีโอดูปกติหรือไม่? (ในภาพหรือวิดีโอดูมีความผิดปกติอย่างไรบ้างหรือไม่)

- เรื่องราวฟังดูน่าเชื่อถือหรือไม่? (บางเรื่องหากลองพิจารณาดูดี จะพบว่ามีความไม่สมเหตุ สมผลบ้างอย่าง ซึ่งควรนำไปสู่การหาข้อมูลเพิ่มเติม เช่น กรณีจดหมายของบริษัท แอคแคป แอสเซ็ทส์ จำกัดนี้)

ถ้าหากคําตอบสําหรับคําถามเหล่านี้คือ 'ไม่' เช่น ไม่น่าเชื่อถือ ไม่เคยได้ยินที่ไหน ไม่รู้จักแหล่งที่มา เป็นต้น เราอาจต้องการตรวจสอบเพิ่มเติมก่อนที่เชื่อ จะแชร์ เพราะเราอาจกลายเป็นผู้ส่งต่อและขยาย fake news เสียเอง และการที่เราช่วยกันเช็คข้อมูลก็จะได้ช่วยกันเผยแพร่ข้อมูลที่ถูกต้องให้กับทั้งคนใกล้ตัวและสังคมได้รับรู้ด้วย สิ่งที่จะทำให้ fake news พ่ายแพ้ไป คือความจริงที่ถูกต้อง หากยังเช็คข้อเท็จจริงไม่ได้ ก็อย่างเพิ่งแชร์ อย่าเพิ่งเชื่อ เพราะอย่างน้อยก็เท่ากับว่าเราได้ช่วยกันยับยั้งการระบาดของ fake news ได้ค่ะ 

ข้อมูลอ้างอิง 
https://datawarehouse.dbd.go.th/company/profile/5/0105563061387
https://www.thereporters.co/covid-19/270520212209/
https://www.bbc.co.uk/newsround/38906931


แหล่งรวม "บทความและคอนเทนต์แปลกใหม่!!!" แบบไร้ Toxic ติดตามได้ที่ THE STATES TIMES Blockdit
LINK : https://www.blockdit.com/pages/60583e7ff90e240c3e7f1c32

ผู้ว่าการ กนอ. เผย 4 โปรเจกต์ด่วน ดูดลงทุนจากต่างชาติ เดินหน้า Smart Park เร่งบริหารจัดการน้ำ พร้อมลุยตั้งบริษัทลูกต่อยอดธุรกิจ

นายวีริศ อัมระปาล ผู้ว่าการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) เปิดเผยในการแถลงข่าว “เปิดใจ ผู้ว่าการ กนอ.คนใหม่ กับภารกิจสุดท้าทายในยุค Digital Transformation” ผ่านการประชุมแบบออนไลน์ด้วยระบบ Zoom โดยระบุถึงภารกิจเร่งด่วนที่ต้องดำเนินการ ว่า หลังเข้ารับตำแหน่งได้เปิดแผนการดำเนินงานไว้ 6 ด้าน และได้มีการคาดการณ์เอาไว้แล้วว่าในระยะ 3-4 เดือนต่อจากนี้ สถานการณ์การระบาดของเชื้อไวรัส โคโรนา (COVID 2019) สถานการณ์จะคลี่คลาย และสภาพเศรษฐกิจจะค่อยๆ ฟื้นตัว เนื่องจากในหลายๆ ประเทศทั่วโลก และประเทศมหาอำนาจ เช่น สหภาพยุโรป อังกฤษ และจีน ต่างก็เร่งรัดการฉีดวัคซีนให้กับประชาชนในประเทศ และเริ่มผ่อนคลายมาตรการต่างๆ แล้ว ทำให้มีกิจกรรมทางเศรษฐกิจเพิ่มขึ้น เห็นได้จากการที่ประเทศที่มีระบบเศรษฐกิจขนาดใหญ่เริ่มหาแนวทางลงทุนในต่างประเทศแล้ว เช่น สหรัฐฯ จีน รวมทั้งญี่ปุ่น ซึ่ง กนอ.ก็จะใช้โอกาสในการแสวงหาการลงทุนเหล่านี้ด้วยเช่นกัน โดยการทำการตลาดออนไลน์และประสานงานกับสถานทูตของประเทศกลุ่มเป้าหมายนำหน้าไปก่อน

อย่างไรก็ตาม ยังถือเป็นโอกาสที่ดีของ กนอ.ที่นักลงทุนที่ได้จองเช่าและซื้อที่ดินไว้ก่อนหน้าได้เริ่มเข้ามาดำเนินกิจการในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรม ส่งผลให้มูลค่าการลงทุนในรอบ 7 เดือนที่ผ่านมา (ต.ค.63-เม.ย.64) เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 153.36 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน (ต.ค.62-เม.ย.63) ที่มีมูลค่าสูงถึง 113,393.90 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 68,637.75 ล้านบาท) โดยแบ่งเป็นการลงทุนในพื้นที่อีอีซี 102,176.52 ล้านบาท และนอกพื้นที่อีอีซี 11,217.52 ล้านบาท เกิดการจ้างงาน รวม 8,783 คน ขณะที่ยอดขาย/เช่าพื้นที่ในรอบ 7 เดือนที่ผ่านมา มีจำนวน 773.20 ไร่ ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้าที่ขายได้ 1620 ไร่ ประมาณ 847.24 ไร่ ซึ่งคาดว่าเป็นผลมาจากการที่นักลงทุนไม่สามารถเดินทางเข้ามาดูพื้นที่ได้ ดังนั้นในปี 2564 กนอ.จึงได้ปรับเป้าประมาณการณ์ขาย/เช่าที่ดินของปีนี้ลงจากเดิมที่ตั้งไปไว้ที่ 1,500 ไร่ เหลือ 1,200 ไร่ 

“ปี 64 กนอ.จะมีการปรับลดเป้าการซื้อ/ขาย ที่ดินในนิคมอุตสาหกรรมลง เหลือประมาณ 1,200 ไร่ เนื่องจากนักลงทุนต่างชาติ ไม่สามารถเดินทางเข้ามาในประเทศได้ แต่อย่างไรก็ตาม ผมยังเชื่อว่าภาพรวมเศรษฐกิจของประเทศกำลังเดินหน้าไปในทิศทางที่ดีขึ้น เห็นจากการที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) และสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.) มีการเปิดเผยตัวเลขดัชนีอุตสาหกรรมและ GDP ที่เพิ่มขึ้น และการที่นิคมอุตสาหกรรมร่วมดำเนินการ อย่างเช่น บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เห็นพ้องต้องกันว่า เศรษฐกิจในช่วงครึ่งปีหลังน่าจะเริ่มฟื้นตัวแน่นอน” นายวีริศ กล่าว

ทั้งนี้ กนอ.มีโปรเจกต์ที่ต้องเร่งดำเนินการ โดยเฉพาะโครงการการก่อสร้างและพัฒนานิคมอุตสาหกรรมสมาร์ท ปาร์ค ที่ล่าสุดนักลงทุนให้ความสนใจที่จะมาลงทุน โดยเฉพาะในเรื่องของพลังงานทางเลือก ซึ่งปัจจุบันโครงการฯ มีความคืบหน้าในเรื่องของการจัดหาบริษัทที่จะมาดำเนินการก่อสร้างที่คาดว่าไม่เกิน 6 เดือน-1 ปี น่าจะเริ่มการก่อสร้างได้ โดย กนอ.จะพิจารณาแผนการตลาดเพื่อดึงดูดการลงทุนเข้ามาในพื้นที่ให้มากขึ้น เนื่องจากประเทศเพื่อนบ้านทีมีศักยภาพ เป็นคู่แข่งสำคัญ และมีค่าจ้างแรงงานที่ต่ำกว่า ดังนั้นอาจต้องมีการหารือกับทางคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เพื่อปรับเพิ่มสิทธิประโยชน์จูงใจนักลงทุน เนื่องจากค่าจ้างแรงงานของไทยเป็นแรงงานฝีมือ ดังนั้นอาจจะปรับเพิ่มในเรื่องการยกระดับเทคโนโลยี เพื่อดึงดูดให้นักลงทุนสนใจมากขึ้น

ขณะเดียวกันในส่วนของการบริหารจัดการความเสี่ยงเรื่องสาธารณูปโภคโดยเฉพาะเรื่องน้ำในพื้นที่อีอีซี ได้มีการหารือกันในเบื้องต้นเกี่ยวกับการจัดการหาแหล่งน้ำสำรอง โดยที่ กนอ.อาจไปร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการทำธุรกิจ แต่อย่างไรก็ตามต้องศึกษาถึงแนวทางความเป็นไปได้ในเบื้องต้นก่อน

เช่นเดียวกับการจัดตั้งบริษัทลูกของ กนอ.เพื่อต่อยอดการทำธุรกิจ อยู่ระหว่างการเร่งศึกษาจะเป็นลักษณะของการร่วมลงทุน โดยที่ต้องศึกษาในแนวทาง และจัดตั้งทีมดำเนินงาน และอาจตั้งทีมผู้เชี่ยวชาญพิเศษเข้ามาดำเนินการได้ โดยจะดูเป็นรายโปรเจกต์ คาดว่าจะใช้ระยะเวลาในการจัดตั้งทีม ประมาณ 6 เดือน-1 ปี น่าจะได้เห็นเป็นรูปธรรมได้ รวมถึงแนวทางธุรกิจใหม่ๆ ของ กนอ.ในอนาคตด้วย โดยที่ทุกการดำเนินการต้องอยู่ในกรอบที่รับได้ และไม่เกิดข้อผิดพลาดเช่นเดียวกับหน่วยงานอื่นๆ ที่เคยได้ดำเนินการมาในอดีต

“จากที่ได้เข้ามาเริ่มงาน จนถึงวันนี้ 1 เดือน กับอีก 8 วัน มีเรื่องที่ตั้งเป้าดำเนินการใหญ่ๆ 4 เรื่อง และเรื่องเร่งด่วนคือ เรื่องวัคซีนโควิด-19 ที่เบื้องต้น ได้ทำการขอไปแล้วว่านิคมฯ จะใช้ประมาณ 1 ล้านโดส โดยจะเป็นการฉีดให้กับทุกนิคมฯที่ขอเข้ามา โดยแต่ละนิคมฯ ต้องประสานกับทางสาธารณสุขจังหวัด ผู้ว่าราชการจังหวัด โดย กนอ.อาสาเป็นจุดให้บริการฉีดวัคซีนให้นิคมอุตสาหกรรมที่ได้ประสานไว้เบื้องต้น ซึ่งขณะนี้มี 3 นิคมฯ ที่ได้ขึ้นทะเบียนไปแล้ว อย่างไรก็ตามคงต้องรอให้ได้รับวัคซีนจากทางกรมควบคุมโรคก่อน” นายวีริศ กล่าว

กรุงเทพฯ - ด้วยความห่วงใย ศาลเยาวชนฯ มอบเครื่องอุปโภคบริโภคและอุปกรณ์ป้องกันโรค ให้แก่กรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน

วันที่ 27 พฤษภาคม 2564 นางอโนชา ชีวิตโสภณ อธิบดีผู้พิพากษาศาลเยาวชน และครอบครัวกลาง นางอุไรรัตน์ น้อยสุวรรณ นางวิรา ยากะจิ ณ พิกุล รองอธิบดีผู้พิพากษาศาลเยาวชน และครอบครัวกลาง และคณะผู้พิพากษาสมทบ (โครงการติดตามด้วยความห่วงใย โดย ดร.นิลุบล ลิ่มพงศ์พันธุ์ ประธานโครงการฯ และโครงการติดตามด้วยใจ

โดยนางณัฐา อินทวงศ์ คณะทำงานและผู้ประสานงาน) เป็นตัวแทนมอบเครื่องอุปโภคบริโภคและอุปกรณ์ป้องกันโรค ให้แก่กรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน โดยมี พ.ต.ท.วรรณพงษ์ คชรักษ์ อธิบดีกรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน เป็นผู้รับมอบ เพื่อส่งต่อให้สถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชนกรุงเทพมหานคร สถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชนจังหวัดนราธิวาส บ้านกรุณา บ้านมุทิตา บ้านอุเบกขา บ้านปรานี บ้านสิรินธร และบ้านกาญจนา เพื่อเป็นขวัญและกำลังใจในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อโควิด19 ณ โถงกลาง ชั้น 2 ศาลเยาวชนและครอบครัวกลาง จตุจักร กรุงเทพฯ

จากกระแสข่าวในโลกโซเชียลที่มีการแชร์การเปิดเมืองในยุโรปกันมากขึ้น และมองว่ายุโรปกลับเข้าสู่สภาวะปกติแล้วนั้น ล่าสุดจากเฟซบุ๊ก Pongprom Yamarat ของนายพงศ์พรหม ยามะรัต รองหัวหน้าพรรคกล้า ได้ให้มุมมองพร้อมข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า…

จากกระแสข่าวในโลกโซเชียลที่มีการแชร์การเปิดเมืองในยุโรปกันมากขึ้น และมองว่ายุโรปกลับเข้าสู่สภาวะปกติแล้วนั้น ล่าสุดจากเฟซบุ๊ก Pongprom Yamarat ของนายพงศ์พรหม ยามะรัต รองหัวหน้าพรรคกล้า ได้ให้มุมมองพร้อมข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า…

เห็นโซเชียลเริ่มเอาข่าวผิดๆ เรื่องการเปิดเมืองในยุโรปมาแชร์ รวมถึงบอกว่าสถานการณ์ในยุโรปกลับเข้าสู่สภาวะปกติแล้ว อยากหนีไปอยู่ยุโรป ส่วนประเทศไทยกลายเป็นไม่ดีอย่างโน้นอย่างนี้

เช้านี้ผมเลยจะเอา fact มาแชร์เป็นข้อๆ โดยใช้ตัวอย่าง 3 ประเทศที่มีขนาดใกล้เคียงกับไทย

อังกฤษมีประชากร 60 ล้านคน ติดเชื้อต่อวันล่าสุด 2,539 คน ยอดผู้ติดเชื้อสูงสุดต่อวันเคยขึ้นไปถึง 60,000 คน เสียชีวิตไปแล้ว 128,000 คน

เยอรมันมีประชากร 83 ล้านคน ติดเชื้อต่อวันล่าสุด 5,607 คน ยอดติดเชื้อสูงสุดต่อวันเคยขึ้นไปถึง 25,000 คน เสียชีวิตไปแล้ว 88,000 คน

อิตาลีมีประชากร 60 ล้านคน ติดเชื้อต่อวันล่าสุด 4,186 คน ยอดติดเชื้อสูงสุดต่อวันเคยขึ้นไปถึง 35,000 คน เสียชีวิตไปแล้ว 126,000 คน

ไทยมีประชากร 65 ล้านคน ติดเชื้อต่อวันล่าสุด 2,992 คน เสียชีวิตไปแล้ว 837 คน

สถานการณ์ในยุโรปยังไม่ได้เข้าสู่สภาวะปกตินะครับ!!

เพียงแต่จากการที่เคยมีการระบาดที่รุนแรง เจ็บ-ตายต่อวันสูงมาก สภาพบ้านเมืองจึงถูก Lockdown รุนแรงเป็นระลอก ทำให้คนเกิดความเครียด

พอเริ่มปล่อย ก็จึงออกมานอกบ้านกันเหมือนว่าเหตุการณ์ยุติแล้ว รวมถึงการถอดหน้ากากในที่สาธารณะเพราะอึดอัดมานาน ซึ่งจริงๆ แล้วไม่ได้ถือว่าเป็นทัศนคติที่มีความรับผิดชอบต่อสังคมเลย

ส่วนตัวผม 1 ปีกว่าๆ ที่ผ่านมา ถ้าให้เลือกอยู่ซักประเทศ ก็จะเลือกอยู่ไทยนี่แหละครับ

เวลาประเทศเจอปัญหา สังคมไทยต้องไม่ “งอแง” ไปซะทุกเรื่อง เหมือนเด็กไม่ได้กินอมยิ้มแล้วด่าพ่อล่อแม่ ตอนนี้เกิดการจัดการวัคซีนไม่ดี ก็ด่าว่าประเทศตัวเอง ซึ่งผมมองว่าไม่ใช่

ระบบสาธารณสุขที่เราทำมาดีมากในตลอด 100 ปี เป็นกำลังต่อสู้กับวิกฤตินี้ได้ดีมาเป็นปี ผมขอบคุณเจ้าฟ้ามหิดล สมเด็จย่า และบุคลากรทางสาธารณสุขเสมอ

อันนี้ต้องชื่นชมกัน

ส่วนที่ทำรั่วเข้ามาด้วยธุรกิจสีเทาข้าราชการ-นักการเมือง รวมถึงการจัดการวัคซีนที่ดูไม่มีฝีมือ อันนี้ก็ต้องช่วยกันหาทางออก และกดดันให้เกิดการลงโทษข้าราชการชั้นนักการเมือง

ใช้ปัญญาในการอยู่ด้วยกัน แล้วประเทศจะเจริญครับ

 

ที่มา: https://www.facebook.com/story.php?story_fbid=4327887633888008&id=100000004424101


แหล่งรวม "บทความและคอนเทนต์แปลกใหม่!!!" แบบไร้ Toxic ติดตามได้ที่ THE STATES TIMES Blockdit

LINK : https://www.blockdit.com/pages/60583e7ff90e240c3e7f1c32

เชียงใหม่ - สวพส. เผยแนวทางที่เหมาะสม ในการปลูกพืชผักคุณภาพบนพื้นที่สูงและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

นายวิรัตน์ ปราบทุกข์ ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยและพัฒนาพื้นที่สูง เปิดเผยว่า นางสาวเพชรดา อยู่สุข รองผู้อำนวยการสถาบัน ด้านการพัฒนา และ นายอิทธิพล โพธิ์ศรี นักวิชาการ สถาบันวิจัยและพัฒนาพื้นที่สูง (องค์การมหาชน) หรือ สวพส. ได้ทำการรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับการปลูกพืชของเกษตรกรบนพื้นที่สูง พบว่าพื้นที่สูงของประเทศไทยซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในเขตภาคเหนือนั้นมีสภาพพื้นที่และภูมิอากาศต่างจากพื้นที่ราบเป็นอย่างมาก โดยเป็นเทือกเขาที่มีความสูงจากระดับน้ำทะเล ตั้งแต่ 500 ถึงมากกว่า 1,000 เมตร ทำให้มีสภาพภูมิอากาศที่หนาวเย็นและมีฝนตกชุก นอกจากนี้ยังเป็นพื้นที่ที่อยู่ห่างไกลและอยู่ในถิ่นทุรกันดาร ประชาชนที่อยู่อาศัยบนพื้นที่สูงส่วนใหญ่เป็นชาวไทยภูเขาเผ่าต่าง ๆ จึงมีความเป็นอยู่ที่ยากลำบาก โดยในอดีตดำรงชีวิตอยู่ด้วยการทำไร่เลื่อนลอย และปลูกพืชเพียงไม่กี่ชนิด คือ ข้าว ข้าวโพด และพืชผักท้องถิ่น เพื่อเป็นพืชอาหารเป็นหลัก ส่วนพืชรายได้มีน้อยมาก จึงเกิดปัญหาการปลูกฝิ่น ซึ่งเป็นพืชเสพติดที่สร้างปัญหาให้กับคนทั้งโลก

ในการนี้พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร จึงทรงก่อตั้ง“โครงการหลวง” เพื่อส่งเสริมให้คนบนพื้นที่สูงปลูกพืชทดแทนฝิ่น โดยพืชส่วนใหญ่ที่ปลูกทดแทนฝิ่นเป็นพืชเมืองหนาว หากปลูกพืชผักเขตร้อนจะไม่สามารถแข่งขันทางการตลาดกับพื้นที่ราบได้ แต่ในอดีตพืชผักเขตหนาวเป็นของใหม่สำหรับประเทศไทย เราขาดองค์ความรู้ว่าจะปลูกพืชผักอะไร วิธีการเพาะปลูกอย่างไร และยังไม่มีตลาด โครงการหลวงเป็นหน่วยงานหลักที่ได้วิจัย ส่งเสริม และสร้างตลาด จนทุกวันนี้เป็นที่รู้จัก มีการปลูกและบริโภคกันอย่างแพร่หลาย ต่อมารัฐบาลได้ตั้ง สวพส. ขึ้นเพื่อสนับสนุนงานโครงการหลวง และขยายผลสำเร็จไปพัฒนาพื้นที่สูงต่าง ๆ ปัจจุบันพืชพันธุ์ใหม่ ๆ และวิธีการเพาะปลูกที่ประณีตและปลอดภัย ได้รับการวิจัยและพัฒนาขึ้นอย่างต่อเนื่อง และส่งเสริมแก่เกษตรกรอย่างกว้างขวาง 

พืชผักกับการฟื้นฟูสิ่งแวดล้อมบนพื้นที่สูง

พื้นที่สูงเป็นป่าต้นน้ำลำธารที่สำคัญของประเทศ แม้ว่ามีความจำเป็นต้องส่งเสริมอาชีพ เพื่อพัฒนาชีวิตและความเป็นอยู่ของประชาชน ซึ่งอาศัยอยู่มากกว่า 4,000 ชุมชน มีประชากรประมาณ 1 ล้านคน ยังต้องคำนึงถึงการไม่สร้างผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม โดยใช้ทรัพยากรธรรมชาติให้น้อยและคุ้มค่าที่สุด และได้ผลตอบแทนเพียงพอต่อการดำรงชีวิต แต่ที่ผ่านมาพืชเศรษฐกิจส่วนใหญ่เป็นพืชไร่ เช่น ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ใช้พื้นที่และแรงงานจำนวนมาก ถึงจะมีรายได้เพียงพอต่อการดำรงชีวิต จึงเป็นสาเหตุของการบุกรุกป่า เกิดการเผาและปัญหาหมอกควัน พืชผักจึงสามารถตอบโจทย์ได้ดี เพราะมีความต้องการของตลาดสูง จึงสามารถสร้างอาชีพให้กับประชาชนได้กว้างขวาง การเพาะปลูกไม่มีปัญหาการเผา สามารถให้ผลตอบแทนสูงในพื้นที่จำกัดและได้ตลอดปี โดยเฉพาะเมื่อปลูกในระบบที่ประณีต จะยิ่งใช้พื้นที่และน้ำน้อยมาก ดังจะเห็นได้ชัดเจนในพื้นที่ดำเนินงานของ สวพส. หลายแห่ง เช่น น่าน เชียงใหม่ ตาก และแม่ฮ่องสอน ที่ปรับระบบเกษตรเป็นพืชผักและพืชอื่น ๆ ที่เหมาะสมแล้ว สามารถลดการบุกรุกป่า และการเผาได้อย่างเป็นรูปธรรม รวมทั้งทำให้เกษตรกรมีรายได้และความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น

การผลิตพืชผักคุณภาพและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

ความยั่งยืนของการประกอบอาชีพปลูกพืชผักนั้น คุณภาพของผลผลิต และวิธีการผลิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมเป็นสิ่งสำคัญ ซึ่งจากการที่โครงการหลวงและสถาบันวิจัยและพัฒนาพื้นที่สูงได้ส่งเสริมให้เกษตรกรบนพื้นที่สูงจำนวนมาก ปลูกพืชผักเป็นอาชีพมาเป็นระยะเวลายาวนาน โดยในปีหนึ่ง ๆ มีผลิตผลที่ผ่านระบบบริหารจัดการด้านการตลาดรวมมากกว่า 25,552 ตัน มูลค่า ประมาณ  646 ล้านบาท โดยมีหลักการและแนวทางที่เหมาะสมในการปลูกพืชผักบนพื้นที่สูง ดังนี้ 

1. การวางแผนการใช้ประโยชน์ที่ดิน และแปลงของเกษตรกร บนพื้นที่สูงพื้นที่ของเกษตรกรส่วนใหญ่เป็นพื้นที่ลาดชัน ไม่มีแหล่งกักเก็บน้ำ จึงต้องวางแผนการใช้พื้นที่ให้มีการทำการเกษตรที่หลากหลาย ตามความเหมาะสมและศักยภาพของพื้นที่ ควบคู่ไปกับการทำระบบอนุรักษ์ดินและน้ำ

2. การวางแผนการผลิตและตลาด ความสำเร็จของการทำการเกษตรคือเกษตรกรจะต้องสามารถขายผลผลิตได้และราคาเป็นธรรม การส่งเสริมอาชีพแก่เกษตรกรในพื้นที่ดำเนินงานของสวพส. จะยึดหลักตลาดนำการผลิต หรือเป็นพืชหรือพันธุ์ใหม่ จะเริ่มส่งเสริมจากจำนวนที่ไม่มาก ควบคู่กับการสร้างตลาด สำหรับพืชผักเป็นพืชที่มีช่วงเวลาปลูกสั้น และต้องมีการวางแผนการผลิตและการตลาดให้สัมพันธ์กัน 

3. การเพาะปลูกภายใต้ระบบมาตรฐานอาหารปลอดภัย หรือ พืชผักที่ปลูกภายใต้ระบบการเพาะปลูกที่ดี (GAP) หรือเกษตรอินทรีย์ ซึ่งจะเป็นจุดแข็งและเพิ่มโอกาสทางการตลาด โดยเฉพาะความตระหนักเรื่องสุขภาพ และการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุในปัจจุบัน

4. การเลือกพันธุ์และผลิตต้นกล้าแบบประณีต ความแม่นยำของปริมาณผลิตผลและช่วงเวลาที่ตลาดต้องการ มาจากพื้นฐานสำคัญ คือ การผลิตต้นกล้าให้ได้ตรงตามพันธุ์ ปริมาณ และช่วงเวลา ซึ่งการผลิตต้นกล้าแบบประณีตในโรงเรือนเพาะกล้าโดยใช้วัสดุปลูกที่ดี ช่วยให้ได้ต้นกล้าที่มีคุณภาพ มีจำนวน และระยะเวลาที่แน่นอน รวมทั้งยังช่วยให้ใช้เมล็ดพืชผักพันธุ์ดีซึ่งมีราคาสูงได้อย่างคุ้มค่า 

5. โรงเรือน คือ หัวใจของคุณภาพและความปลอดภัย การปลูกผักในโรงเรือนช่วยลดผลกระทบจากสภาพอากาศที่มีความแปรปรวนโดยเฉพาะบนพื้นที่สูง และยังใช้พื้นที่น้อยแต่ให้ผลตอบแทนที่สูงมากกว่าการปลูกนอกโรงเรือนประมาณ 2-5 เท่า สามารถควบคุมการผลิตได้ค่อนข้างแม่นยำและผลผลิตมีคุณภาพดี ช่วยลดการใช้สารเคมีในกระบวนการผลิตมากถึง 30-50 % ลดการใช้สารป้องกันและกำจัดวัชพืชได้ร้อยละ 100 ควบคุมการใช้น้ำและปุ๋ยอย่างมีประสิทธิภาพ และแก้ปัญหาเรื่องของสภาพแวดล้อมที่ไม่เหมาะสมได้

6. การปลูกและดูแลรักษาอย่างประณีต โดยเริ่มจากการปลูกในโรงเรือน ใช้ต้นกล้าที่คุณภาพดีสม่ำเสมอ ปลูกอย่างเป็นระบบระเบียบ เพื่อให้ทุกต้นมีพื้นที่และได้รับสภาพแวดล้อมที่เหมือนกัน ให้น้ำและปุ๋ยอย่างทั่วถึงและสม่ำเสมอด้วยการให้ปุ๋ยทางระบบการน้ำ และการดูแลและป้องกันกำจัดศัตรูพืชอย่างใกล้ชิด สำหรับพืชผักใบส่วนใหญ่จะปลูกลงแปลง (ดิน) โดยตรง สำหรับผักผลบางชนิด เช่น พริกหวาน และมะเขือเทศ นิยมที่จะปลูกในวัสดุปลูก (Substrate culture)

7. การจัดการหลังเก็บเกี่ยวและการตลาดที่ดี นอกจากการผลิตในแปลงปลูกอย่างประณีตและปลอดภัยแล้ว ต้องมีการเก็บเกี่ยวและการจัดการหลังเก็บเกี่ยวที่ดี ทั้งการรวบรวมและการคัดคุณภาพของผลิตผลให้เป็นไปตามที่กำหนด การบรรจุหีบห่อ และการขนส่งไปสู่ตลาด ซึ่งกระบวนการทั้งหมดต้องทำอย่างประณีตและรวดเร็ว เพื่อให้ผลิตผลถึงตลาดและผู้บริโภคด้วยคุณภาพดีที่สุด นอกจากนี้ยังมีขั้นตอนการตรวจสอบความปลอดภัยของผลผลิต โดยตรวจสารเคมีตกค้างทั้งก่อนและหลังเก็บเกี่ยว การจัดการหลังการเก็บเกี่ยวที่เป็นระบบแบบนี้จำเป็นต้องมีโครงสร้างพื้นฐานรองรับ เช่น โรงคัดบรรจุ ห้องเย็น ห้องวิเคราะห์สารเคมี หรือรถขนส่งผลผลิต ซึ่งเกษตรกรควรรวมกันเป็นวิสาหกิจชุมชนหรือสหกรณ์ เพื่อให้รัฐสามารถให้สนับสนุนได้ง่าย รวมถึงการขอรับรองมาตรฐาน

“การเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ ความใส่ใจและห่วงใยสุขภาพของผู้บริโภคในปัจุบันนี้  พืชผักจะเป็นอาหารอันดับแรก ๆ ที่มีความสำคัญ แต่เกษตรกรจะสามารถปลูกพืชผักเป็นอาชีพอย่างมั่นคงได้ ความปลอดภัยของผลิตผล และการเพาะปลูกแบบประณีต เป็นสิ่งที่จะต้องคำนึงถึงอยู่เสมอ เพื่อสร้างความสามารถในการแข่งขันทางการตลาด และความพร้อมสำหรับรองรับการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ เช่น สภาพภูมิอากาศ การเสื่อมโทรมและจำกัดของทรัพยากรธรรมชาติ รวมทั้งการเปลี่ยนแปลงของกฏและกติกาการค้าต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต” นายวิรัตน์ ปราบทุกข์ กล่าวส่งท้าย


ภาพ/ข่าว  นภาพร / เชียงใหม่

รวบหนุ่มจีน หลอกชาวสวนไทย ความเสียหายกว่า 3 ล้านบาท

ตามนโยบายของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เรื่องการควบคุมกำกับดูแลชาวต่างชาติที่เข้ามาพำนักอาศัยหรือท่องเที่ยวในประเทศไทย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. และ พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รอง ผบ.ตร. มอบหมายให้ สตม. ดำเนินการตรวจสอบชาวไทยและชาวต่างชาติที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสมในขณะที่พำนักในประเทศไทยกระทำความผิดกฎหมายและก่อเหตุอันตรายต่อความสงบสุขและความปลอดภัยในชีวิตทรัพย์สินของประชาชน ทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศหรือกลุ่มคนร้ายข้ามชาติที่เข้ามาแฝงตัวกับคนไทยหรือต่างชาติ โดยใช้ประเทศไทยเป็นฐานในการกระทำความผิด

ภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ท.สมพงษ์  ชิงดวง ผบช.สตม., ,พล.ต.ต.ณฐพล แสวงกิจ รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.อาชยน  ไกรทอง รอง ผบช.สตม. , พล.ต.ต.พันธนะ นุชนารถ ผบก.สส.สตม. , พ.ต.อ.สถิตย์ พรมอุทัย รอง ผบก.สส.สตม. , พ.ต.อ.อภิมุข  กานตยากร รอง ผบก.สส.สตม. , พ.ต.อ.ณภัทรพงศ สุภาพร ผกก.ปอพ.บก.สส.สตม. ได้สั่งการให้ ว่าที่ พ.ต.ต.สิทธิมณ สร้อยภู่ระย้า เจ้าหน้าที่ ศปชก.สตม., ร.ต.อ.อดิศร บุญชุ่ม รอง สว.กก.ปอพ.บก.สส.สตม., ส.ต.ต.รดิศ สิทธิประศาสน์ ผบ.หมู่ กก.4.บก.สส.สตม.,ส.ต.ต.สืบสกุล สุขเสนีย์ ผบ.หมู่ กก.4.บก.สส.สตม. และเจ้าหน้าที่ตำรวจ ศปชก.สตม. ร่วมทำการสืบสวนกรณีที่มีประชาชนที่ทำอาชีพเกษตรกรในภาคใต้ ได้ร้องเรียนมาที่กองบังคับการสืบสวนสอบสวน สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง และศูนย์ปราบปรามคนร้ายข้ามชาติและเข้าเมืองโดยผิดกฎหมายสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง

ว่าได้มีชายชาวจีน ไม่ทราบชื่อนามสกุลที่แท้จริง ทราบเพียงแค่ชื่อ อาหม่า ได้เข้ามาทำการติดต่อชาวสวนในเขคพื้นที่ภาคใต้ โดยทำการติดต่อขอซื้อผลไม้และวัสดุที่ใช้ห่อหุ้มผลไม้สำหรับส่งออกไปยังต่างประเทศ โดยอ้างว่าตนเป็นพ่อค้าจะนำผลไม้ส่งออกไปยังต่างประเทศต้องการจำนวนมาก ต่อมาได้มีชาวสวนได้หลงเชื่อและตกลงที่จะขายผลไม้และวัสดุในการห่อหุ้มผลไม้ ให้แก่คนร้ายที่ทราบชื่อเพียงว่าอาหม่า แต่ต่อมาปรากฏว่าเมื่อคนร้ายได้รับสินค้าแล้วกลับหายตัวไป ไม่สามารถติดต่อได้อีก จนทำให้มีชาวสวนหลายรายเดือนร้อน ซึ่งต่อมาทางเจ้าหน้าที่ชุดสืบสวนจึงได้ทำการสืบสวนจนทราบว่า อาหม่า คือ MR.MA (ปกปิดชื่อนามสกุลจริง) และได้ทำการสืบสวนจนสามารถออกหมายจับคนร้ายได้ ซึ่งต่อมาเจ้าหน้าที่ชุดสืบสวนทราบว่าคนร้ายได้ทำการหลบหนีจากพื้นที่ภาคใต้มาพักอยู่ในคอนโดแห่งหนึ่งย่านปทุมวัน กรุงเทพมหานคร จึงได้เข้าทำการตรวจสอบและทำการจับกุม

MR.MA (ปกปิดชื่อนามสกุลจริง) อายุ 56 ปี สัญชาติจีน  ตามหมายจับศาลแขวงนครศรีธรรมราชที่ จ. 46/2564 ลงวันที่ 12 มีนาคม 2564 ข้อหา ฉ้อโกง

โดยจากการสืบสวนขยายผลทราบว่าผู้ต้องหารายนี้จะเข้าไปติดต่อทำการขอซื้อผลไม้จากชาวสวน โดยอ้างว่าจะนำส่งออกไปยังปะเทศจีน ซึ่งเมื่อได้รับสินค้าที่เป็นผลไม้และวัสดุที่นำมาใช้ในการห่อหุ้มผลไม้แล้ว ก็จะหลบหนีไป ซึ่งเบื้องต้นจากการตรวจสอบพบว่ามีผู้เสียหายหลายรายและความเสียหายกว่า 3 ล้านบาท

สตม. จึงขอเรียนให้ท่านทราบว่า สตม. มีมาตรการในการตรวจสอบ กวดขัน และปราบปรามการกระทำความผิดต่าง ๆ รวมทั้งการดำเนินการตรวจสอบชาวต่างชาติที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสม กระทำผิดกฎหมาย ก่อเหตุอันตรายต่อความสงบสุขและความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนหรือ ทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศชาติ หากประชาชนท่านใดพบเบาะแสในการกระทำความผิด กรุณาแจ้งมายัง สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง เลขที่ 507 ซ.สวนพลู แขวงทุ่งมหาเมฆ เขตสาทร กรุงเทพมหานคร 10120 หรือที่หมายเลขโทรศัพท์ 1178 หรือที่ www.immigration.go.th จักขอบพระคุณเป็นอย่างยิ่ง

เจ้าหนี้ ยื่นค้านแผนฟื้นฟู ‘การบินไทย’ ศาลนัดฟังคำสั่ง 15 มิ.ย.นี้

บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า วันที่ 28 พ.ค. 2564 ศาลล้มละลายกลางได้นัดพิจารณาแผนฟื้นฟูกิจการ โดยมีเจ้าหนี้ยื่นคำร้องคัดค้านแผนฟื้นฟูกิจการและศาลรับไว้ จำนวน 2 ฉบับ ศาลล้มละลายกลางเห็นสมควรให้งดสืบพยานและให้โอกาสผู้ทำแผน และเจ้าหนี้ชี้แจงเกี่ยวกับประเด็นต่างๆ ภายในระยะเวลาที่กำหนด และกำหนดนัดฟังคำสั่งศาลเกี่ยวกับแผนฟื้นฟูกิจการ ในวันที่ 15 มิ.ย. 2564

ทั้งนี้บริษัทฯ แจ้งว่า หากศาลมีคำสั่งเห็นชอบด้วยแผนก็จะมีผลทำให้การบินไทยสามารถดำเนินกระบวนการฟื้นฟูกิจการต่อไปได้ โดยการชำระหนี้ที่เกิดขึ้นก่อนวันที่มีคำสั่งให้ฟื้นฟูกิจการ ซึ่งเจ้าหนี้ทั้งหลายยื่นคำขอรับชำระหนี้ จะได้รับการปรับโครงสร้างหนี้ตามแผน การจัดการกระแสเงินสดและทรัพย์สินของบริษัทบางส่วนจะอยู่ภายใต้เงื่อนไขของแผนฟื้นฟูกิจการ

สำหรับผู้บริหารแผนที่ถูกเสนอชื่อตามแผนฟื้นฟูกิจการและแผนที่แก้ไข คือ นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ นายพรชัย ฐีระเวช นายศิริ จิระพงษ์พันธ์ นายไกรสร บารมีอวยชัย และนายชาญศิลป์ ตรีนุชกร เป็นผู้มีอำนาจหน้าที่ในการบริหารธุรกิจ ของบริษัทฯ และดำเนินการตามแผนฟื้นฟูกิจการต่อไป


แหล่งรวม "บทความและคอนเทนต์แปลกใหม่!!!" แบบไร้ Toxic ติดตามได้ที่ THE STATES TIMES Blockdit

LINK : https://www.blockdit.com/pages/60583e7ff90e240c3e7f1c32

กก.1 บก.สส.สตม. รวบไอวอรี่โคสต์ หลบ Blacklist ค้าแข้งสโมสรดัง

ตามนโยบายของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เรื่องการควบคุมกำกับดูแลชาวต่างชาติที่เข้ามาพำนักอาศัยหรือเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. และ พล.ต.อ.ดํารงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รอง ผบ.ตร.

มอบหมายให้ สตม.ดำเนินการตรวจสอบชาวไทยและชาวต่างชาติที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสมในขณะที่พำนักอาศัยอยู่ในประเทศไทย กระทำผิดกฎหมาย ก่อเหตุอันตรายต่อความสงบสุขและความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศ หรือกลุ่มคนร้ายข้ามชาติที่เข้ามาแฝงตัวอยู่ก่อเหตุกับคนไทย  หรือชาวต่างชาติ โดยใช้ประเทศไทยเป็นฐานในการกระทำความผิด

สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง โดย พล.ต.ท.สมพงษ์ ชิงดวง ผบช.สตม. พร้อมด้วย พล.ต.ต.ณฐพล แสวงกิจ รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.อาชยน ไกรทอง รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.พันธนะ นุชนารถ ผบก.สส.สตม., พ.ต.อ.สถิตย์ พรมอุทัย รอง ผบก.สส.สตม., พ.ต.อ.ชาติชาย ตันติวุฒิวร ผกก.1 บก.สส.สตม. ร่วมแถลงข่าวการจับกุม ดังนี้

เจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.1 บก.สส.สตม. ได้รับแจ้งจากสายลับว่า นายดิกโก้  (MR.DICKO ABOU) สัญชาติไอวอรี่โคสต์ หนังสือเดินทางไอวอรี่โคสต์ ซึ่งปัจจุบันเป็นนักฟุตบอลอาชีพตำแหน่งศูนย์หน้าของสโมสรดังในไทยลีก 3 มีพฤติกรรมน่าสงสัยว่าเข้ามาในประเทศไทยโดยฝ่าฝืน พ.ร.บ.คนเข้าเมือง พ.ศ.2522  กก.1 บก.สส.สตม. จึงได้นำข้อมูลดังกล่าวตรวจสอบในระบบ Biometrics จนทราบว่าบุคคลดังกล่าวพักอาศัยอยู่ที่คอนโดมิเนียมย่าน ต.บางพูด อ.ปากเกร็ด จว.นนทบุรี จึงได้ไปตรวจสอบยังสถานที่ดังกล่าวและเชิญตัวมาที่ กก.1 บก.สส.สตม. จากนั้นจึงได้นำตัวนายดิกโก้ อะบู (MR.DICKO ABOU) มาพิมพ์ลายนิ้วมือตรวจสอบในระบบ E-Fingerprint และ BIOMETRICS ผลปรากฏว่าลายพิมพ์นิ้วมือตรงกับนายดิกโก้ (MR.DICKO) ซึ่งเคยถูก ตม.จว.สงขลา จับกุมเมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2561 ในความผิดฐานเป็นบุคคลต่างด้าวอยู่ในราชอาณาจักรโดยการอนุญาตสิ้นสุด (จำนวน 774 วัน) และเป็นบุคคลห้ามเข้ามาในราชอาณาจักรตามคำสั่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ที่ 1/2558 ลงวันที่ 27 พฤศจิกายน 2558 เป็นเวลา 10 ปี นับตั้งแต่วันที่ 8 มิถุนายน 2561 จนถึงวันที่ 8 มิถุนายน 2571

และจากการสอบถาม  นายดิกโก้ อะบู (MR.DICKO ABOU) ได้ให้การยอมรับว่า ตนเองเป็นบุคคลเดียวกับนายดิกโก้ (MR.DICKO) จริง โดยสาเหตุที่สามารถเดินทางเข้ามาในประเทศไทยได้ เนื่องจากหลังจากถูกผลักดันกลับไปยังประเทศไอวอรี่โคสต์ แล้วได้ไปเพิ่มชื่อจากเดิม และเปลี่ยนปีเกิดจาก “ค.ศ.1992” เป็น “ค.ศ.1998” จากนั้นได้ไปขอทำหนังสือเดินทางเล่มใหม่เพื่อหลบเลี่ยง Blacklist เข้ามาเป็นนักฟุตบอลอาชีพในสโมสรไทยลีก 3 โดยได้รับเงินเดือน 50,000 บาท กก.1 บก.สส.สตม. จึงได้ขออนุมัติ ผบก.สส.สตม. เพิกถอนการอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรไทยของนายดิกโก้ อะบู (MR.DICKO ABOU) เนื่องจากมีลักษณะต้องห้ามเข้ามาในราชอาณาจักรไทยตาม พ.ร.บ.คนเข้าเมือง พ.ศ.2522 มาตรา 12 (10) รัฐมนตรีไม่อนุญาตให้เข้ามาในราอาณาจักร ตามมาตรา 16 นำตัวส่ง กก.3 บก.สส.สตม. เพื่อควบคุมรอการส่งกลับออกไปนอกราชอาณาจักรตามกฎหมายต่อไป

สตม. ขอเรียนให้ท่านทราบว่า สตม.มีมาตรการในการตรวจสอบ กวดขัน และปราบปรามการกระทำความผิดในด้านต่าง ๆ รวมถึงการเฝ้าระวังบุคคลทั้งสัญชาติไทยและสัญชาติอื่น ๆ ที่มีหมายจับและมีเดินทางเข้า-ออกประเทศไทย หากประชาชนท่านใดพบเห็นเบาะแสการกระทำความผิด กรุณาแจ้งมายัง สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง เลขที่ 507 ซ.สวนพลู แขวงทุ่งมหาเมฆ เขตสาทร กรุงเทพมหานคร 10120 หรือที่หมายเลขโทรศัพท์ 1178  หรือที่ www.immigration.go.th  จักขอบพระคุณเป็นอย่างยิ่ง

‘ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์’ ลั่น ‘ซิโนฟาร์ม’ เป็นวัคซีนทางเลือกให้สังคมเดินหน้าต่อ ยัน ใช้งบองค์กร ขายโดยไม่คิดค้ากำไร ยังไม่เคาะราคาจำหน่าย เข้าไทย 1 ล้านโดสภายในเดือนมิ.ย.นี้

วันที่ 28 พ.ค. 2564 ที่ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ ศาสตราจารย์ นพ.นิธิ มหานนท์ เลขาธิการราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ พร้อมด้วย นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข นพ.ไพศาล ดั่นคุ้ม เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) และ พล.อ.ต.นพ.สันติ ศรีเสริมโภค รองเลขาธิการราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ ร่วมกันแถลงความคืบหน้ากรณีราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ เตรียมนำเข้าวัคซีนต้านโควิด-19 ซึ่งเป็นวัคซีนทางเลือกของ ‘ซิโนฟาร์ม’ จากสาธารณรัฐประชาชนจีน

ศาสตราจารย์ นพ.นิธิ มหานนท์ กล่าวว่า วัคซีนซิโนฟาร์ม ที่ราชวิทยาลัยฯ จะนำเข้ามาเป็นของ บ.ไบโอจีนีเทค จำกัด ที่ได้รับการรับรองจากองค์การอนามัยโลกแล้ว สามารถใช้ได้กับประชาชนที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป จนถึงผู้สูงอายุที่ไม่จำกัดอายุ การทำงานจะเป็นไปตามข้อบังคับและภายใต้กฎหมายซึ่งจะทำงานร่วมกับกระทรวงสาธารณสุขในการกระจายวัคซีนไปยังหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชน เพื่อให้เกิดความรวดเร็วเข้าถึงประชาชนมากที่สุด

‘เพราะฉะนั้น ในการที่จะได้วัคซีนเข้ามาเพิ่มขึ้นไปช่วยเหลือในที่ต่างๆ เพื่อให้ธุรกิจ และกิจกรรมดำเนินการต่อไปได้อย่างไม่สะดุด...การนำเข้าวัคซีนซิโนฟาร์มครั้งนี้ เป็นการทำงานคู่ขนานกันไปในการกระจายวัคซีนเพื่อให้เป็นไปอย่างรวดเร็ว’ ศาสตราจารย์ นพ.นิธิ กล่าว

ศาสตราจารย์ นพ.นิธิ เปิดเผยต่อด้วยว่า ‘ตัวเลขการนำเข้า เบื้องต้นได้ติดต่อกับ บ.ที่กรุงปักกิ่งแล้ว ทราบว่าจะนำเข้ามาก่อน 1 ล้านโดส ภายในเดือนมิ.ย.นี้ ส่วนเรื่องราคาจำหน่ายต่อโดสยังไม่ได้มีการสรุปราคา เพราะต้องรอดูตัวเลขการนำเข้าอีกครั้ง พร้อมยืนยันว่าราชวิทยาลัยฯ เป็นองค์กรที่ไม่แสวงหาผลกำไร’

“สำหรับราคา ต้องคิดต้นทุน การขนส่ง และการจัดเก็บ ทางราชวิทยาลัยฯ เอง คงไม่ได้คิดกำไร ส่วนใครจะไปคิดค่าฉีดกันเองเท่าไหร่ ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง” ศาสตราจารย์ นพ.นิธิ กล่าว

ทั้งนี้ ยอมรับว่างบประมาณในการนำเข้า เป็นงบประมาณรายได้ของราชวิทยาลัยฯ เอง ไม่เกี่ยวกับงบประมาณแผ่นดิน และหากหน่วยงานใดต้องการซื้อ ให้มาติดต่อกับราชวิทยาลัยฯ โดยตรง ขณะนี้ มีองค์กรที่ติดต่อขอซื้อวัคซีนแล้ว คือ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย กับ บมจ.ปตท. และในอนาคตคาดว่าจะมีการนำเข้าวัคซีนยี่ห้ออื่นอีก เพราะส่วนหนึ่งต้องนำมาศึกษาวิจัยตามภารกิจของราชวิทยาลัยฯ

ด้าน พล.อ.ต.นพ.สันติ ศรีเสริมโภค เปิดเผยว่า มีหน่วยงานราชการบางแห่งติดต่อสอบถามเพื่อขอซื้อวัคซีนเข้ามาบ้างแล้ว แต่ตอนนี้ยังอยู่ในขั้นตอนการหารือถึงแผนการกระจายวัคซีน เพราะ อย.เพิ่งจะอนุมัติขึ้นทะเบียน สำหรับประชาชนที่จองวัคซีนผ่านระบบของราชวิทยาลัยฯ จะใช้การจัดสรรวัคซีนของกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งไม่เกี่ยวกับวัคซีนซิโนฟาร์ม เป็นคนละส่วนกัน

ขณะที่ นายอนุทิน ชาญวีรกูล ระบุว่า นับเป็นพระกรุณาธิคุณที่สมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมพระศรีสวางควัฒน วรขัตติยราชนารี ที่ไม่ทรงทอดทิ้งประชาชนไทย พระองค์ได้พระราชทานเวชภัณฑ์ เครื่องมือแพทย์มาแล้วหลายครั้ง ทั้งนี้ กระทรวงสาธารณสุขกับราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ได้พึ่งพาอาศัยสนับสนุนกันมาหลายโอกาส ทำให้การทำงานมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น อย่างไรก็ตาม ขอยืนยันว่าวัคซีนทางเลือกของคนไทยเกิดขึ้นจริง โดยผ่านการประสานจากราชวิทยาลัยฯ

อย่างไรก็ดี นายอนุทิน ยืนยันว่า ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ เป็นองค์กรที่อยู่ภายใต้พระราชบัญญัติ เป็นสถาบันทางการแพทย์ สามารถที่จะติดต่อกับหน่วยงานใดก็ได้ ขึ้นอยู่กับคู่เจรจาที่จะยอมพูดคุยด้วย ขอย้ำว่า กระทรวงสาธารณสุขไม่ได้แต่งตั้งองค์กรใดเป็นผู้แทนในการไปเจรจากับบริษัทวัคซีน

ด้าน เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา ย้ำว่า อย.เพิ่งจะได้อนุมัติขึ้นทะเบียนวัคซีนซิโนฟาร์ม ของ บ.ไบโอจีนีเทค จำกัด เมื่อประมาณช่วงเที่ยงวันที่ผ่านมา โดยเป็นวัคซีนเชื้อตาย ยืนยัน วัคซีนมีคุณภาพความปลอดภัย มีประสิทธิผล และเหตุที่มีการอนุมัติได้รวดเร็ว ก็เพราะว่ามีเอกสารหลักฐานในการวิจัยที่ครบถ้วน รวมทั้งองค์การอนามัยโลกได้ให้การรับรองแล้ว

 

ที่มา : https://www.pptvhd36.com/news/สุขภาพ/148396


แหล่งรวม "บทความและคอนเทนต์แปลกใหม่!!!" แบบไร้ Toxic ติดตามได้ที่ THE STATES TIMES Blockdit

LINK : https://www.blockdit.com/pages/60583e7ff90e240c3e7f1c32


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top