Saturday, 28 June 2025
TheStatesTimes

ปลัดกทม.ตรวจเยี่ยมสถานที่ฉีดวัคซีนนอกรพ. ณ SCB สนง.ใหญ่

เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2564 นางศิลปสวย ระวีแสงสูรย์ ปลัดกรุงเทพมหานคร ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมการทดสอบระบบ สถานที่ฉีดวัคซีนนอกโรงพยาบาล "หน่วยความร่วมมือบริการฉีดวัคซีนโควิด-19 กรุงเทพมหานคร-หอการค้าไทย" ณ ธนาคารไทยพาณิชย์ สำนักงานใหญ่ เขตจตุจักร

สำหรับสถานที่ฉีดวัคซีนนอกโรงพยาบาล ณ ธนาคารไทยพาณิชย์ สำนักงานใหญ่ เป็นการประสานความร่วมมือระหว่าง กรุงเทพมหานคร-สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย-ธนาคารไทยพาณิชย์-โรงพยาบาลในเครือ บริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด (มหาชน) ได้แก่ โรงพยาบาลพญาไท และโรงพยาบาลเปาโล เมโมเรียล ซึ่งเป็น 1 ใน 25 สถานที่ฉีดวัคซีนของภาคเอกชนในพื้นที่กรุงเทพฯ ที่จะเปิดให้บริการฉีดวัคซีนแก่ประชาชนที่ลงทะเบียนฉีดวัคชีนโควิด-19 ในโครงการ ไทยร่วมใจ "กรุงเทพฯ ปลอดภัย" Safe Bangkok ทั้ง 3 ช่องทาง ได้แก่ เว็บไซต์ www.ไทยร่วมใจ.com แอปพลิเคชันเป๋าตัง และร้านสะดวกซื้อที่ร่วมโครงการ

โดยจะเริ่มให้บริการฉีดวัคซีนตั้งแต่วันที่ 7 มิ.ย. 64 เป็นต้นไป ระหว่างเวลา 09.00-16.00 น. สามารถให้บริการแก่ประชาชนได้ 3,000-5,000 คน/วัน เนื่องจากมีความพร้อมทั้งด้านบุคลากรและสถานที่ โดยมีสถานที่กว้างขวาง เป็นสัดส่วน มีระบบการจัดการเป็นไปตามมาตรฐานทางสาธารณสุข อาทิ การคัดกรองอุณหภูมิ การให้บริการแอลกอฮอล์สำหรับล้างมือ การจัดระยะห่างระหว่างบุคคล การใส่หน้ากากอนามัยตลอดเวลา เป็นต้น ซึ่งในช่วงเช้าวันนี้ได้มีการทดสอบระบบด้วยการฉีดวัคซีนให้แก่กลุ่มเป้าหมายที่สำนักอนามัย กทม. ได้นำเข้าข้อมูลไว้ในระบบแล้ว อาทิ เจ้าหน้าที่ด่านหน้า และกลุ่มอาชีพเสี่ยง จำนวน 500 ราย

อนึ่ง ประชาชนที่เข้ามารับบริการฉีดวัคซีนควรเตรียมตัวเองให้พร้อม ได้แก่ งดการออกกำลังกายอย่างหนัก 2 วันก่อนเข้ารับการฉีดวัคซีน นอนพักผ่อนให้เพียงพอ รับประทานอาหารมาให้เรียบร้อย ดื่มน้ำให้เพียงพอ อย่างน้อย 500-1,000 ซีซี งดชา กาแฟ เครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน หรือเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ และนำบัตรประจำตัวประชาชนติดตัวมาแสดงต่อเจ้าหน้าที่ด้วย

ประจวบคีรีขันธ์ - ศนชล.บูรณาการหน่วยงาน ตรวจแรงงานต่างด้าว สถานประกอบการ โรงงาน ที่พัก แคมป์คนงาน คัดกรองโควิด-19

วันที่ 27 พ.ค.64 ศูนย์อำนวยการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเลภาค 1 (ศรชล.ภาค 1) โดย น.อ.ไกรพิชญ์ กรวีร์ปภาวิทย์ หน.ศูนย์ควบคุมความมั่นคงท่าเรือจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ (ศคท.จว.ปข.)

ร่วมบูรณาการ เจ้าหน้าที่หน่วยงานต่าง ๆ ประกอบด้วย กอ.รมน. ฉก.จงอางศึก ตำรวจตรวจคนเข้าเมือง แรงงานจังหวัด จัดหางานจังหวัด สวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัด จนท.ฝ่ายปกครอง ลงตรวจสถานประกอบการ โรงงาน หอพัก บ้านพัก ที่มีแรงงานต่างด้าว

เพื่อตอบสนองมาตรการของจังหวัดในการตรวจค้นหาแรงงานต่างด้าวที่ผิดกฎหมาย ให้เข้ากระบวนการตรวจคัดกรองโรค เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ในพื้นที่อำเภอปราณบุรี โดยเข้าทำการตรวจโรงงาน จำนวน 2 แห่ง ท่าเรือแพปลา 1 แห่ง และเรือประมง 1 ลำโดย มีรายละเอียดดังนี้

   1.โรงงานแปรรูปสัปรด บจก.เนเชอรัล ฟรุต ตรวจแรงงานเมียนมาร์ จำนวน 300 คน

   2.โรงงานแปรรูปสัปรด บจก.(มหาชน)สยามอุตสาหกรรม เกษตรอาหาร ตรวจแรงงานเมียนมาร์ จำนวน 303 คน

   3.แพปลาสมนึก ตรวจแรงงานเมียนมาร์ 3 คน

   4.เรือ ส.เลิศสมุทร 111 ตรวจแรงงานเมียนมาร์ 3 คน กัมพูชา 21 คน

ผลการตรวจไม่พบการกระทำที่ผิดกฎหมาย แต่อย่างใด


ภาพ/ข่าว ปชส.ศรชล.ภาค 1 / นิราช / นันทพล ทิพย์ศรี รายงาน

ทะเลภูเขาอยากไปไหนคิดไว้ COVID ซาจะพาไป | คิดเพลิน Learn & Play Talk EP.19

คุณอยู่กับ Podcast face to face รายการ “คิดเพลิน Learn & Play Talk” ฟังง่ายได้สาระ  

พูดคุยประเด็นต่างๆ แบบเพลินๆ พบกันทุกวันจันทร์ - อาทิตย์ เวลา 22.00 น. 

ติดตามชมรายการ “คิดเพลิน Learn & Play Talk” ได้ทาง YouTube และ Facebook Fanpage ของ THE STATES TIMES 

อย่าลืม! กดไลก์ กดแชร์ กด Subscribe 

.

.

สมุทรสงคราม - ศรชล.รับเรื่องร้องเรียนแจกจ่ายวัคซีนไม่เป็นธรรม จากชาวประมง

วันที่ 27 พ.ค.64 ศูนย์อำนวยการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเลจังหวัดสมุทรสงคราม (ศรชล.จว.สส.) โดย นายชรัส บุญณสะ ผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเลจังหวัดสมุทรสงคราม/ผวจ.สมุทรสงคราม

(ผอ.ศรชล.จว.สส./ผวจ.สส.) พร้อมด้วย น.อ.นิคม  แจ่มยิ่ง รอง ผอ.ศรชล.จว.สส. และคณกรรมการโรคติดต่อจังหวัดสมุทรสงคราม ได้รับเรื่องร้องเรียน จากสมาคมประสมุทรสงคราม, สมาคมประมงเรือลากคู่สมุทรสงคราม และสหกรณ์ประมงแม่กลอง จำกัด กรณีไม่พอใจการจัดสรรวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 จากกรมควบคุมโรคติดต่อ เพื่อจ่ายให้กับ จว.สส. ซึ่งเป็นพื้นที่เสี่ยงมาก เพราะอยู่ท่ามกลางระหว่างจังหวัดพื้นที่สีแดงและพื้นที่สีแดงเข้ม ทำให้โอกาสแพร่ระบาดโรคโควิด-19 มีโอกาสสูงมาก โดยตลาดปลาสหกรณ์แม่กลองเป็นตลาดกลางซื้อสัตว์น้ำที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ของประเทศ เปิดทำการซื้อขายสัตว์น้ำทุกวันจากชาวประมงทั้ง 22 จังหวัด ซึ่ง จว.สส. ตามแผนที่ได้รับการจัดสรรวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 จะได้รับวัคซีนมากสุดช่วงเดือน ส.ค.-ก.ย.64 โดยเกรงว่าจะไม่ทันกับการระบาดของโรคโควิด-19      

ผอ.ศรชล.จว.สส./ผวจ.สส. ได้ชี้แจง พร้อมนำหนังสือที่ได้ทำเรื่องเสนอกรมควบคุมโรคติดต่อ ด่วนที่สุด ที่ สส.0017.1/7098 ลง 26 พ.ค.64 เรื่องขอรับการสนับสนุนการปรับแผนการจัดสรรวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 สำหรับจังหวัดสมุทรสงคราม ให้ผู้ที่มาร้องเรียนได้ดูและรับทราบ ทำให้ผู้ที่มาร้องเรียนเข้าใจและพึงพอใจ จึงได้สลายการรวมตัวในครั้งนี้

 


ภาพ/ข่าว ปชส.ศรชล.ภาค 1 / นิราช / นันทพล ทิพย์ศรี รายงาน

ขอนแก่น - กกต.รับรอง “ธีระศักดิ์-พงศ์ธร-โกเมศ” นั่งนายกเล็กขอนแก่นแล้ว หลังมติรับรองเพิ่มเติมภายในระยะเวลา 60 วัน ตามกฎหมาย คาดสัปดาห์หน้าแถลงนโยบายต่อสภาพ และเดินหน้าทำงานเพื่อประชาชนทันที

เมื่อเวลา 08.30 น.วันที่  28 พ.ค.2564ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง หรือ กกต. มีหนังสือด่วนที่สุดแจ้งถึง ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งประจำจังหวัดขอนแก่น เรื่องการประกาศผลการเลือกตั้งเพิ่มเติมตามกรอบระยะเวลาการพิจาณาภายใน 60 วัน หลังเสร็จสิ้นการเลือกตั้ง เพื่อให้ กกต.ขอนแก่น ดำเนินการแจ้งทางจังหวัดและเทศบาลต่าง ๆ ได้รับทราบและดำเนินการตามระเบียบและข้อบังคับในด่านต่าง ๆ ต่อไปท่ามกลางความสนใจจากนักการเมือง ทั้งในระดับประเทศและระดับท้องถิ่นอย่างมาก เนื่องจากการประกาศรับรองผลการเลือกตั้งเพิ่มเติมในรอบที่ 2 เป็นที่น่าจะตามองอย่างมาก เนื่องจากเป็นพื้นที่ที่มีการแข่งขันกันอย่างรุนแรง ที่ต่างติดตามความคืบหน้าในการประกาศรับรองจาก กกต.มาอย่างต่อเนื่อง

โดยประกาศรับรองครั้งนี้มีการประกาศรับรอง นายกและสมาชิกสภาเทศบาลฯ ในส่วนที่เหลือ อาทิ นายธีระศักดิ์ ฑีฆายุพันธ์ เป็นนายกเทศมนตรีนครขอนแก่น,นายพงศ์ธร  พิศาพิทักษ์กุล เป็นนายกเทศมนตรีตำบลพระลับ,นายโกเมศ  ฑีฆธนานนท์ เป็นนายกเทศมนตรีตำบลเมืองเก่า,นายชัชวาล ธีรภานุ เป็นนายกเทศมนตรีตำบลบ้านเป็ด,นายบุญแสง พรนิคม เป็นนายกเทศมนตรีตำบลโนนสะอาด,นายพนม เย็นสบาย เป็นนายกเทศมนตรีตำบลม่วงหวาน,นายชัยดี  รัตนปรีดา เป็นนายกเทศมนตรีตำบลบ้านฝาง,นายฉิน วรปัญญาสถิต เป็นนายกเทศมนตรีตำบลภูเวียง และ นายเสาวฤทธิ์ คามกะสก เป็นนายกเทศมนตรีตำบลโพธิ์ไชย

นายอภินันท์  จันทร์อุปละ ผอ.กกต.ขอนแก่น กล่าวว่า กกต.จะทำหนังสือแจ้งถึงจังหวัดและเทศบาลฯ ที่เกี่ยวข้องในการประกาศรับทราบถึงมติจาก กกต.กลาง ในการประกาศรับรองผลการเลือกตั้งดังกล่าว ซึ่งเป็นไปตามกรอบระยะเลา 60 วัน หลังเสร็จสิ้นวันเลือกตั้ง โดยที่เทศบาลฯแต่ละแห่งจะทำหนังสือถึงจังหวัดเพื่อจัดประชุมสภาครั้งแรกภายใน 15 วัน เพื่อเลือกประธานสภาเทศบาลและตำแหน่งอื่น ๆ สำหรับเทศบาลฯที่มีการรับรองครั้งแรกและไม่สามารถเปิดประชุมสภาได้ ส่วนเทศบาลฯที่มีการรับรองเพิ่มเติม โดยเฉพาะเทศบาลฯที่มีการรับรองนายกเทศมนตรีฯ สภาเทศบาลฯจะจัดกาประชุมเพื่อให้นายกเทศมนตรีได้แถลงนโยบายเพื่อรับตำแหน่งอย่างเป็นทางการ ตามระเบียบที่กระทรวงมหาดไทยได้กำหนดไว้ให้แล้วเสร็จภายใน 15 วัน

สุโขทัย - ส.อบต หญิงน้ำใจงามควักงบส่วนตัวซื้อหน้ากากอนามัยแจกชาวบ้าน 2 หมู่บ้าน

ผู้สื่อข่าวได้รับรายงานว่าที่ตำบลบ้านแก่งมีสมาชิก อบต ใจดีใช้งบประมาณส่วนตัวซื้อหน้ากากอนามัยมาแจกให้กับชาวบ้านถึงสองหมู่บ้านในตำบลบ้านแก่ง อำเภอศรีสัชนาลัย จังหวัดสุโขทัย จึงเดินทางไปยังสองหมู่บ้านดังกล่าว พบนางปัทมา สอนโต อายุ 57 ปี ซึ่งเป็นสมาชิก อบต. มา 8 ปีถึง 2 สมัย กำลังแจกหน้ากากอนามัยให้กับชาวบ้าน จากการสอบถามนางปัทมา สอนโต ทราบว่าตนเองเป็นสมาชิกองค์การบริหารส่วนตำบลบ้านแก่ง มาหลายสมัย จนเป็นที่รู้จักมักคุ้นและเป็นที่รักของพี่น้องในตำบลบ้านแก่ง

เนื่องจากตนเป็นคนที่ใส่ใจในการพัฒนาชุมชนและชอบช่วยเหลือชาวบ้าน สำหรับเรื่องการแจกหน้ากากอนามัยตนเองมองเห็นว่าขณะนี้จังหวัดสุโขทัยมีการแพร่ระบาดเชื้อไวรัสโคโรน่า2019(โควิด19)เพิ่มขึ้น ตนจึงมีความคิดว่าอยากมีส่วนร่วมในการป้องกันการแพร่ระบาดโรคดังกล่าวตนจึงใช้งบประมาณส่วนตัวซื้อหน้ากากอนามัยมาแจกให้ชาวบ้านสองหมู่บ้านคือหมู่บ้านป่าคาและหมู่บ้านห้วยหยวก ที่ตนเองเลือก 2 หมู่บ้านเนื่องจากอยู่ห่างไกลตัวเมืองประกอบกับชาวบ้านประกอบอาชีพทำไร่ทำสวนไม่ค่อยได้มีเวลาเดินทางไปตัวเมืองบ่อยนักที่สำคัญไม่อยากให้ชาวบ้านออกเดินทางไปต่างพื้นที่เพื่อป้องกันตัวเองในเรื่องโรคโควิด-19 ด้วย โดยมีหน้ากากอนามัยที่ตนนำมาแจกมีจำนวน 350 กล่อง หรือจำนวน 17,500 ชิ้น ซึ่งเพียงพอต่อพี่น้องประชาชนแน่นอน


ภาพ/ข่าว  พงศ์เทพ สาคร สุโขทัย

ผลไม้ไทยธรรมดากับการส่งออกแบบราชา จนกลายเป็น “ผลไม้เศรษฐี” ในอินเดีย 

ถ้าใครไม่เคยเดินทางไปอินเดียจะนึกไม่ออกเลยว่าผลไม้พื้น ๆ ราคาธรรมดา ๆ ในประเทศไทยจะกลายเป็นผลไม้ราคาแพงลิบลิ่วสำหรับเศรษฐีอินเดียไปได้ยังไง แต่ก็ไม่ใช่ว่าผลไม้ทุกชนิดของไทยจะได้รับความนิยมในอินเดียนะครับ หลัก ๆ ก็จะมีลำไย เงาะ มังคุด ฝรั่ง มะพร้าวอ่อน ลิ้นจี่ แก้วมังกร และช่วงหลัง ๆ ทุเรียนก็เริ่มได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นด้วย แต่ถ้าพูดถึงผลไม้ไทยยอดนิยมที่สุดในอินเดียก็ต้องยกให้ลำไยเพราะเป็นผลไม้ที่ถูกโฉลกกับคนอินเดียมาก เนื่องจากคนอินเดียชอบรับประทานรสหวาน ลำไยไทยก็เลยตอบโจทย์ได้ดีที่สุด

เมื่อประมาณ 10 ปีที่แล้ว ตอนที่ผมไปประจำการอยู่ที่เมืองมุมไบใหม่ ๆ พอเห็นราคาผลไม้ไทยที่สูงลิบลิ่วก็ตื่นเต้นดีใจมาก แต่พอพิจารณาอีกด้านหนึ่งก็พบว่าราคาผลไม้ของไทยที่สูงลิบลิ่วนั้น จริง ๆ แล้วพี่น้องเกษตรกรและผู้ส่งออกของไทยเราก็ไม่ได้รับประโยชน์อะไรจากราคาขายปลีกที่สูงมากในอินเดียเลย พูดง่าย ๆ ก็คือ เกษตรกรและผู้ส่งออกไทยก็ขายได้ในราคาปกติ แถมราคาที่สูงลิ่วนั้น ก็ทำให้เป็นการจำกัดเฉพาะลูกค้าระดับเศรษฐีเท่านั้นที่จะสามารถซื้อได้ ก็เลยทำให้ตลาดสำหรับผลไม้ไทยในอินเดียขยายตัวยาก

สาเหตุสำคัญที่ทำให้ราคาผลไม้ไทยที่อินเดียพุ่งขึ้นไปสูงมากขนาดนั้น ก็เพราะต้นทุนค่าขนส่งที่สูงมากเนื่องจากผู้นำเข้าอินเดียมักจะนำเข้าแต่ละครั้งในปริมาณไม่มาก ประกอบกับระบบห้องเย็นของอินเดียยังไม่มีประสิทธิภาพดีพอและมีอยู่จำกัด จึงต้องนำเข้าผลไม้ไทยไปทางอากาศเพื่อเป็นการรักษาความสดของผลไม้ และช่วยยืดอายุผลไม้ซึ่งเป็นสินค้าเน่าเสียง่ายให้มีอายุในการจำหน่ายยาวขึ้น และอีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ผลไม้ไทยมีราคาพุ่งสูงไปอีกก็คือ ประเด็นเกี่ยวกับการตั้งราคาที่ร้านค้าปลีกจะต้องตั้งราคาไว้สูงมากเผื่อการเน่าเสียของผลไม้

เพราะฉะนั้น จึงเป็นเรื่องธรรมดามากในประเทศอินเดียเมื่อประมาณ 10 ปีที่แล้ว ที่เราจะพบว่าราคาลำไยจากประเทศไทยที่ขายปลีกอยู่ตามซูเปอร์มาร์เก็ตในอินเดียจะมีราคาสูงถึงกิโลกรัมละ 600 รูปีขึ้นไปหรือ 300 บาทเลยทีเดียว (อัตราแลกเปลี่ยนในสมัยนั้น 1 รูปี = 0.50 บาท) แต่ภายหลังได้มีความพยายามของผู้นำเข้าอินเดียที่จะเปลี่ยนจากการขนส่งทางอากาศมาเป็นการขนส่งทางเรือด้วยตู้คอนเทนเนอร์เย็นซึ่งถือเป็นพัฒนาการด้านโลจิสติกส์ที่สำคัญในการนำเข้าลำไยครั้งละมาก ๆ ได้ เลยส่งผลทำให้ราคาลำไยไทยในอินเดียในช่วงหลังมีราคาถูกลง จนล่าสุดจากการสำรวจของสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ นครมุมไบ ประเทศอินเดีย พบว่าราคาลำไยไทยลดลงเหลือกิโลกรัมละ 199-249 รูปี หรือ 85-107 บาท (อัตราแลกเปลี่ยน 1 รูปี = 0.43 บาท) ซึ่งการที่สามารถทำราคาได้ต่ำลง ก็จะทำให้ลำไยไทยสามารถขยายไปยังตลาดส่วนอื่นได้เพิ่มขึ้นอีกมากนอกเหนือจากกลุ่มลูกค้าเศรษฐีของอินเดีย เพราะฉะนั้นตอนนี้ลำไยไทยก็อาจจะไม่ใช่ “ผลไม้เศรษฐี” ในอินเดียอีกต่อไปแล้ว

อย่างไรก็ตาม ผลไม้ไทยยอดนิยมอื่น ๆ ก็ยังคงมีราคาสูงมากหรือหนักกว่าเดิม และยังคงความเป็น “ผลไม้เศรษฐี” ในอินเดียอยู่เหมือนเดิม อย่างฝรั่งกิมจูจากประเทศไทยปัจจุบันวางขายในซูเปอร์มาร์เก็ตที่อินเดียกิโลกรัมละ 499-600 รูปีหรือ 215-258 บาท ลิ้นจี่สด ราคา 625 รูปีต่อ 250 กรัมหรือกิโลกรัมละ 2,500 รูปีหรือ 1,075 บาท มังคุด ราคากิโลกรัมละ 750 รูปี หรือประมาณ 320 บาท เสาวรสสด ราคา 300 รูปีต่อ 250 กรัมหรือกิโลกรัมละ 1,200 รูปีหรือ 516 บาท มะพร้าวอ่อน ราคาลูกละ 550 รูปีหรือ 236 บาท (มะพร้าวอ่อนอินเดีย ราคาลูกละ 29-32 รูปีหรือประมาณ 12-14 บาท) เงาะ ราคากิโลกรัมละ 900 รูปี หรือ 387 บาท แก้วมังกร ราคา 100 รูปีต่อ 250 กรัมหรือกิโลกรัมละ 400 รูปีหรือ 172 บาท และมาแรงสุดตอนนี้ก็คือ ทุเรียน ราชาแห่งผลไม้ของไทยนั่นเอง วางขายในซูเปอร์มาร์เก็ตราคากิโลกรัมละ 1,500 รูปีหรือ 645 บาท

สำหรับทุเรียนซึ่งเป็นผลไม้ที่คนอินเดียไม่รู้จักคุ้นเคยสักเท่าไหร่ เมื่อประมาณ 10 ปีที่แล้วแทบจะไม่เห็นมีวางขายในอินเดียเลย จะพบก็แต่ในอินเดียทางตอนใต้โดยเฉพาะที่รัฐเกรละ ที่มีทุเรียนวางขายอยู่ในซูเปอร์มาร์เก็ตแล้ว สืบสาวราวเรื่องก็ได้ทราบว่าคนอินเดียจากรัฐเกรละไปทำงานอยู่ต่างประเทศมากที่สุด โดยบางส่วนก็จะทำงานอยู่ในตะวันออกกลาง สิงคโปร์ และมาเลเซีย เพราะฉะนั้นคนอินเดียในรัฐนี้ก็จะรู้จักและรับประทานทุเรียนเป็น แต่ในปัจจุบันพบว่าซูเปอร์มาร์เก็ตที่เมืองมุมไบมีการนำทุเรียนไปขายแล้ว ก็เป็นเรื่องที่น่ายินดีและน่าส่งเสริมให้คนอินเดียรับประทานทุเรียนให้มากขึ้น สาเหตุสำคัญที่คนอินเดียรับประทานทุเรียนเป็น นอกเหนือจากการที่เคยไปทำงานในต่างประเทศโดยเฉพาะที่สิงคโปร์และมาเลเซียแล้ว อีกสาเหตุหนึ่งก็น่าจะมาจากการที่คนอินเดียนิยมเดินทางมาท่องเที่ยวในประเทศไทยกันมากขึ้นทุกปี โดยในปี 2562 ก่อนที่จะเกิดการแพร่ระบาดของ COVID-19 ก็พบว่ามีคนอินเดียเดินทางมาท่องเที่ยวในประเทศไทยสูงถึง 1.98 ล้านคนเลยทีเดียว คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 20% ของจำนวนนักท่องเที่ยวจีนที่เดินทางมาท่องเที่ยวในประเทศไทยในแต่ละปี 

จริง ๆ แล้ว อินเดียเป็นประเทศที่สามารถผลิตผักและผลไม้ได้มากที่สุดเป็นอันดับ 2 ของโลก โดยสามารถผลิตผลไม้ได้ประมาณปีละ 80 ล้านตัน อาทิ กล้วย มะม่วง องุ่น ส้ม ทับทิม ฝรั่ง มะละกอ แตงโม และ สับปะรด โดยรัฐที่มีพื้นที่เพาะปลูกผลไม้มาก (มีสัดส่วนรวมกัน 60% ของพื้นที่ปลูกผลไม้ทั้งหมด) ได้แก่ อานธรประเทศ มหาราษฏระ คุชราต ทมิฬนาฑู กรณาฏกะ มัธยประเทศ และ เกรละ ตามลำดับ โดยรัฐบาลมีแผนที่จะผลักดันให้มีการส่งออกด้วย โดยเฉพาะองุ่นและมะม่วง โดยตลาดส่งออกสำคัญของอินเดีย ได้แก่ UAE อิหร่าน โอมาน ซาอุดิอารเบีย การ์ต้า คูเวต และ อิรัก รวมถึงอีกหลายประเทศในยุโรป

ทั้งนี้ จากการศึกษาของ Food and Agribusiness Strategic Advisory & Research และธนาคาร YES BANK ของอินเดียพบว่าผลไม้หลายชนิดประสบภาวะขาดตลาดซึ่งรัฐบาลอินเดียกำลังพยายามเชื่อมโยงการค้าระหว่างรัฐที่มีสินค้าขาดและเกินเพื่อแลกเปลี่ยนผลผลิตซึ่งกันและกัน อาทิ รัฐคุชราตมีมะละกอ กล้วยและส้ม แต่ยังขาดแคลนฝรั่ง รัฐมหาราชฏระมีองุ่น ทับทิม มะม่วงและส้ม แต่ยังขาดสับปะรด ในขณะที่ รัฐกัวขาดแคลนส้ม รัฐทมิฬนาฑูและรัฐเกรละขาดแคลนองุ่น เป็นต้น 

อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบันรัฐบาลอินเดียกำลังเร่งพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเพื่อการเกษตร โดยเฉพาะการจัดเก็บสินค้าเน่าเสียง่าย และการขนส่งทางรางเพื่อสินค้าเกษตร (Kisan Rail) ที่ได้เริ่มโครงการดังกล่าวตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2563 เพื่อลดความสูญเสียและรักษาความสดของสินค้าในราคาที่ SMEs สามารถใช้บริการได้ โดยจะไม่จำกัดปริมาณขั้นต่ำในการจัดส่งและหากมีการเน่าเสียก็มีการจ่ายชดเชยให้ด้วย นอกจากนี้ ยังส่งเสริมให้มีการพัฒนาผลิตภัณฑ์ด้วยการนำผลไม้ที่ผลิตได้มหาศาลนี้ไปแปรรูปด้วย ทั้งนี้ ระบบการจัดเก็บและแปรรูปผลไม้ในอินเดียยังคงต้องมีการพัฒนาอีกมากซึ่งถือว่าเป็นโอกาสหนึ่งของนักลงทุนต่างชาติเช่นกัน โดยเฉพาะการสูญเสียของผักและผลไม้ที่มีสูงสุดถึง 18% ของผลผลิตและมีสัดส่วนในการนำไปแปรรูปเพียง 2% เท่านั้น

ในขณะเดียวกัน อินเดียก็กำลังส่งเสริมให้มีการผลิตผลไม้ทดแทนการนำเข้าเพื่อลดราคาในตลาดและเพิ่มรายได้ให้เกษตรกร โดยในขณะนี้ได้มีการทดลองปลูกแล้วในรัฐเกรละ (Kerala) โดยเฉพาะในเขตอำเภอ Wayanad และ Idukki ได้แก่ ผลไม้ประเภทเงาะ มังคุด ลิ้นจี่ ขนุน อโวคาโด และ โกโก้ รวมถึงสตรอเบอรรี่ โดยรัฐบาลมีงบประมาณมาอุดหนุนให้ประมาณ 1,800 บาทต่อไร่ และในปี 2564 คาดว่าจะมีพื้นที่เพาะปลูกที่จะเข้าร่วมโครงการประมาณ 4,375 ไร่ ซึ่งรัฐบาลจะจัดหาต้นพันธุ์และวัสดุต่าง ๆ ที่มีคุณภาพให้แก่เกษตรกรด้วย นอกจากรัฐเกรละแล้ว รัฐบาลจะส่งเสริมการเพาะปลูกผลไม้เหล่านี้ในรัฐกรณาฏกะ มหาราชฎระ และทมิฬนาฑู ทั้งนี้ มีบางพื้นที่ที่ได้เก็บเกี่ยวผลผลิตแล้ว โดยเฉพาะเงาะ ซึ่งปัจจุบันมีราคาขายปลีกอยู่ที่ 65 บาท/กก. โดยเป็นเงาะสายพันธุ์จากมาเลเซีย (ปูลาซัน) ซึ่งสามารถเก็บรักษาได้นานกว่าเงาะสายพันธุ์อื่น

แต่อินเดียยังคงมีความต้องการนำเข้าผลไม้ต่างชาติที่มีความแปลกใหม่ (Exotic Fruits) โดยในปัจจุบันมีแอปเปิ้ลและสตรอเบอรี่เป็นผลไม้นำเข้าหลักในสัดส่วนประมาณ 60% นอกจากนี้จะเป็นผลไม้ประเภทลูกแพร์ บลูเบอร์รี่ แครนเบอร์รี่ แบล็คเบอรี่ เชอรี่ กีวี อโวคาโด และผลไม้เมืองร้อนต่าง ๆ โดยแหล่งนำเข้าหลักได้แก่ อิหร่าน ชิลี นิวซีแลนด์ เวียดนาม ไทย UAE บังกลาเทศ กรีซ อิตาลี และ เนเธอร์แลนด์

สำหรับการนำเข้าผลไม้สดจากประเทศไทยในปี 2563 คิดเป็นมูลค่า 98.29 ล้านบาท ลดลงจากปีก่อนหน้า 26.61% เนื่องจากผลกระทบจากวิกฤติการแพร่ระบาดของ COVID-19 โดยผลไม้ไทยที่อินเดียนำเข้า โดยเฉพาะเงาะ มีการขยายตัวต่อเนื่องจากปีก่อนหน้าแม้จะประสบกับวิกฤติการแพร่ระบาดของ COVID-19 ก็ตาม เช่นเดียวกับทับทิมและมะขาม อย่างไรก็ตามการส่งออกลำไย ทุเรียน ส้ม มังคุด และ มะม่วง ลดลงจากปีก่อนหน้า ในขณะเดียวกันพบว่าปัจจุบันอินเดียเริ่มนำเข้าผลไม้จากเวียดนามเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

อย่างไรก็ดี ผู้ส่งออกไทยสามารถใช้สิทธิประโยชน์จากข้อตกลงการค้าเสรีได้ โดยภายใต้ความตกลงเขตการค้าเสรีไทย-อินเดีย (TIFTA) มีผลไม้ที่ได้รับการยกเว้นภาษีนำเข้าจำนวน 8 ชนิด คือ มังคุด มะม่วง องุ่น แอปเปิ้ล ทุเรียน เงาะ ลำไย และทับทิม และความตกลงเขตการค้าเสรีอาเซียน-อินเดีย (AIFTA) ที่มีผลไม้ได้รับการยกเว้นภาษีมากกว่า 20 ชนิด เช่น กล้วย สับปะรด ฝรั่ง ส้ม แตงโม มะละกอ มะนาว เชอร์รี่ อินทผลัม ลูกพีช ลูกแพร และน้อยหน่า

มาถึงจุดนี้ก็คงจะพอเห็นภาพนะครับว่าอินเดียเป็นประเทศที่อุดมสมบูรณ์ไปด้วยผลไม้สด แต่ที่ยังคงมีการนำเข้าผลไม้จากต่างประเทศรวมทั้งประเทศไทยก็เพื่อเติมเต็มความต้องการของผู้บริโภคอินเดียระดับเศรษฐีที่ต้องการบริโภคผลไม้ต่างชาติที่มีความแปลกใหม่หรือ Exotic Fruits แม้ว่าจะมีราคาสูงกว่าผลไม้ที่ผลิตภายในประเทศหลายเท่าตัวก็ตาม ซึ่งการที่ผลไม้ไทยถูกนำเข้าไปและขายในราคาที่สูงเกินไปก็ไม่ใช่สิ่งที่เราควรจะดีอกดีใจ เพราะราคาขายปลีกที่สูงขนาดนั้นเป็นผลมาจากต้นทุนทางด้านโลจิสติกส์และระบบห้องเย็นที่ยังไม่มีประสิทธิภาพของอินเดีย ในขณะที่เกษตรกรและผู้ส่งออกไทยก็ยังคงส่งออกผลไม้ไทยไปอินเดียในราคาปกติโดยไม่ได้รับประโยชน์อันใดจากราคาขายปลีกที่สูงเกินไปขนาดนั้น แถมยังทำให้ตลาดสำหรับผลไม้ไทยในอินเดียกระจุกตัวอยู่แต่ในกลุ่มเศรษฐีอีกต่างหาก เพราะฉะนั้นถ้าสามารถแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับระบบโลจิสติกส์และระบบห้องเย็นในอินเดียได้ ก็น่าจะทำให้ผลไม้ไทยค่อย ๆ ปลดตัวเองจากตำแหน่ง “ผลไม้เศรษฐี” มาเป็นผลไม้สำหรับทุกคนในอินเดียได้ ซึ่งก็น่าจะทำให้ตลาดผลไม้ไทยในอินเดียขยายตัวได้มากกว่านี้อีกหลายเท่า


ข้อมูลอ้างอิง 
ขอขอบคุณข้อมูลจากสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ นครมุมไบ ประเทศอินเดีย


แหล่งรวม "บทความและคอนเทนต์แปลกใหม่!!!" แบบไร้ Toxic ติดตามได้ที่ THE STATES TIMES Blockdit
LINK : https://www.blockdit.com/pages/60583e7ff90e240c3e7f1c32

ชลบุรี – สัตหีบพายุฝนพัดถล่ม หลังคาตลาดปลิว เสาไฟพังเสียหาย แม่ค้าลูกค้าวิ่งหนีตาย

จากกรณีช่วงเช้าของวันที่ 28 พ.ค. 64 ที่ผ่านมาได้เกิดพายุฝนฟ้าคะนอง และคลื่นลมแรงครอบคลุมทุกพื้นที่ใน อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี ส่งผลให้หลังคาร้านค้าขายของสด ในตลาดเช้า อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี ถูกแรงลมพัดจนหลังคาปลิวได้รับความเสียหาย และยังพบมีเสาไฟฟ้าหักโค่น 1 ต้น 

โดยล่าสุดนายสิทธิชัย เกียรติมนตรี สมาชิกสภาเทศบาลเมืองสัตหีบ ได้เข้ามาตรวจสอบและประสานให้ความช่วยเหลือในเบื้องต้น พร้อมกับแจ้งไปยังเจ้าของพื้นที่ ฐานทัพเรือสัตหีบ กองทัพเรือ เข้ามาดูแลและซ่อมแซมเสาไฟฟ้าที่หักโค่น เพื่อสร้างความปลอดภัยให้กับประชาชนที่จับจ่ายซื้อสินค้าภายในตลาดต่อไป ซึ่งชาวบ้านได้เล่าเหตุการณ์ว่า ขณะกำลังยืนขายของได้มีลมพายุมาจากทางทะเล ก่อนจะพัดหลังคาร้านค้าในตลาด หลายร้านปลิวไปทั่ว ก่อนที่จะไปเกี่ยวสายทำให้เสาไฟในตลาดหักโค่นอีก ซึ่งตอนนั้นแม่ค้าต่างพากันวิ่งหนีตาย

ซึ่งหลังจากกรมอุตุนิยมวิทยา ประกาศจะมีร่องมรสุมพาดผ่านภาคเหนือตอนล่าง ภาคกลาง และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ประกอบกับมรสุมตะวันตกเฉียงใต้กำลังแรงพัดปกคลุมทะเลอันดามัน ภาคใต้ และอ่าวไทย ลักษณะเช่นนี้ทำให้ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคตะวันออก และภาคใต้ มีฝนตกหนักบางแห่ง ขอให้ประชาชนบริเวณดังกล่าวระวังอันตรายจากฝนตกหนักที่เกิดขึ้นในระยะนี้  สำหรับคลื่นลมบริเวณทะเลอันดามันและอ่าวไทยมีกำลังแรง โดยทะเลอันดามันมีคลื่นสูง 2-4 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองมีคลื่นสูงมากกว่า 4 เมตร ส่วนอ่าวไทยตอนบนทะเลมีคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร อ่าวไทยตอนล่างทะเลมีคลื่นสูง 1-2 เมตร และบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร ชาวเรือบริเวณทะเลอันดามันควรงดการเดินเรือ ส่วนชาวเรือบริเวณอ่าวไทยควรเดินเรือด้วยความระมัดระวัง อนึ่ง พายุไซโคลน “ยาอาส” (YAAS) บริเวณรัฐกัลกัตตา ประเทศอินเดีย ได้อ่อนกำลังลงเป็นพายุดีเปรสชันแล้ว คาดว่าจะอ่อนกำลังลงเป็นหย่อมความกดอากาศต่ำในระยะต่อไป


ภาพ/ข่าว  นิราช ทิพย์ศรี /นันทพล  ทิพย์ศรี  อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี

‘พี่จีน’ และ ‘น้องไทย’ ความสัมพันธ์แบบ ‘ถ้าไม่รักก็ชัง’

เป็นที่รู้กันดีครับ ว่าหากไม่มีสถานการณ์โควิด-19 ประเทศไทยเราก็ถือว่าเป็นจุดหมายอันดับต้น ๆ สำหรับนักเดินทางชาวต่างชาติ โดยเฉพาะชาวจีนที่เราต่างก็รู้ดีว่าการเดินทางมาท่องเที่ยวของพวกเขานั้นสร้างรายได้ให้กับประเทศเราอย่างมหาศาล

ในปีพ.ศ. 2559 (ช่วงก่อนโควิดระบาด) เพียงปีเดียว รายได้ที่เกิดจากนักท่องเที่ยวจีนมีมูลค่าสูงกว่า 400,000 ล้านบาท แถมการเติบโตของจำนวนนักท่องเที่ยวจีนก็มีแนวโน้มที่จะเพิ่มสูงขึ้นในทุก ๆ ปี ซึ่งกลุ่มนักท่องเที่ยวจีนที่เที่ยวไทยยังเป็นกลุ่มที่มีการใช้จ่ายเพื่อการท่องเที่ยวมูลค่าต่อคนที่สูงมาก ๆ ทั้งค่าใช้จ่ายโดยการท่องเที่ยว และการซื้อของฝาก

โดยสิ่งที่บ่งบอกได้ว่าชาวจีนค่อนข้างที่จะกรี๊ดกร๊าดกับแบรนดิ้งความเป็นไทยนั้นมีมาโดยตลอด ไม่ว่าจะเป็นการแห่มาท่องเที่ยวในแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมอย่างกรุงเทพฯ พัทยา ภูเก็ต และเชียงใหม่ ฯลฯ หรือการที่ชาวจีนกว้านซื้อผลไม้ไทยส่งกลับไปที่แผ่นดินใหญ่ การที่ชาวจีน “คลั่งไคล้” ในทุเรียนไทย รวมถึงความนิยมในดารานักแสดงชาวไทย และละครไทยซึ่งหลายเรื่องที่เราคนไทยไม่รู้จัก แต่กลับดังพลุแตกอยู่ในจีน ซึ่งที่กำลังเป็นกระแสอยู่ในหมู่ “แม่จีน” ตอนนี้เห็นจะเป็น ‘ซีรี่ส์วาย’ หรือแม้กระทั่งล่าสุดคือกระแสเรื่อง ‘แนนโน๊ะ’ จากซีซั่นใหม่ของซีรี่ส์ ‘เด็กใหม่’ โดย Netflix

ความรักในความเป็นไทยของชาวจีนนั้นเป็นที่ประจักษ์ในตัวเลขสถิติจำนวนนักท่องเที่ยวอยู่แล้ว ตัวผมและเพื่อน ๆ ชาวไทยที่ใช้ชีวิตอยู่ในเมืองจีนเองก็สัมผัสได้อย่างชัดเจนในทุกครั้งที่ผมแนะนำตัวกับเพื่อนใหม่ชาวจีนว่าเราเป็นคนไทย มาจากไท่กั๋ว (泰国) ก็จะได้เห็นแววตาแห่งความตื่นเต้นในเกือบทุกครั้ง ซึ่งบทสนทนาต่อจากนั้นก็จะเป็นไปในทิศทางประมาณว่า

“โอ้ว,我去过泰国 ฉันเคยไปเที่ยวที่ไทย”

“我真的喜欢泰国的水果,特别是泰国的榴莲。ฉันชอบผลไม้ไทยมาก โดยเฉพาะทุเรียน”

“哦,你有没有看过爱在暹罗吗?หนี่เคยดูหนังเรื่อง ‘รักแห่งสยาม’ หรือเปล่า ? ”

ซึ่งผมที่เป็นคนไทยก็จะได้โอกาสโม้เรื่องราวและโอ้อวดความเป็นไทยอย่างภาคภูมิใจอยู่บ้าง แต่เมื่อไม่นานมานี้ มีเหตุการณ์หนึ่งที่ทำให้ผมได้สะท้อนและมองมุมกลับ ซึ่งเหตุการณ์ดังกล่าวก็คือเหตุการณ์ “ดราม่าแนนโน๊ะ” นี่แหละครับ ที่หลังจากกลายเป็นกระแสทำให้คนจีนมากมายแต่งคอสเพลย์ชุดนักเรียนไทยตามแนนโน๊ะ

โดยเหตุการณ์ดังกล่าวเริ่มต้นในวันที่ทีมงานซีรี่ส์เด็กใหม่ออกมาโพสต์ขอบคุณแฟนคลับจากทั่วโลกเป็นภาษาต่าง ๆ โดยมีการใช้คำยกฮ่องกงและไต้หวันว่าเป็น “ประเทศ” โดยวางสัญลักษณ์ธงชาติตามหลังชื่อ ซึ่งสำหรับคนจีนนั้น เรื่องนี้ถือว่าเป็นเรื่องซีเรียส เพราะประชาชนจีนเกือบทุกคนถูกปลูกฝังมาโดยตลอดว่าไต้หวันและฮ่องกงเป็นส่วนหนึ่งของจีน จนทำให้มีคนจีนจำนวนไม่น้อยออกมาเรียกร้องบนโลกอินเทอร์เน็ตโดยติดแอชแท็ก #禁忌女孩辱华 หรือ #ซีรี่ย์เด็กใหม่ดูถูกประเทศจีน โดยเรียกร้องให้ #เด็กใหม่2 ออกมาขอโทษในกรณีดังกล่าว

ซึ่งก็เรียกได้ว่าจากรักกลายเป็นชังได้ภายในพริบตาเดียวจริง ๆ ครับ…

อีกหนึ่งกรณีที่ไม่พูดถึงไม่ได้ก็คือประเด็นเดือดในทวิตเตอร์เมื่อกลางปีที่แล้ว (2020) จากแฮชแท็ก #nnevvy ของเหล่าแฟน ๆ นักแสดงซีรีส์วายอันเป็นชนวนที่ทำให้แฟนคลับชาวจีนทะเลาะกับแฟนคลับชาวไทยในโลกออนไลน์ จากกรณีนักแสดงหนุ่มดาวรุ่งหน้าใส ไบร์ท วชิรวิชญ์ ชีวอารี รีทวีตโพสต์หนึ่งบนทวิตเตอร์ ซึ่งหนึ่งในนั้นเป็นภาพของฮ่องกง และเรียกฮ่องกงว่าเป็นประเทศ ซึ่งก็เป็นกรณีคล้ายกับดราม่าแนนโน๊ะเลยครับ กลายเป็นเหตุที่ทำให้ตัวนักแสดงต้องพบกับแฟนกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักโดยแฟนคลับชาวจีน ก่อนที่นักแสดงหนุ่มจะโพสต์ขอโทษ

จะเห็นได้ว่าประเด็นเรื่องคำว่า “ชาติ” เป็นหนึ่งในประเด็นที่อ่อนไหวมาก ๆ สำหรับคนจีน

ย้อนกลับไปเมื่อปี 2018 ในช่วงขาขึ้นของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว แต่คำพูดของผู้นำระดับสูงของประเทศไทยที่วิจารย์กรณีชาวจีน 41 รายที่เสียชีวิตจากอุบัติเหตุเรือล่มใกล้กับเกาะภูเก็ต และยังตั้งข้อสงสัยด้วยว่าเหตุเกิดเนื่องจาก "บริษัทจีนเข้ามาทำธุรกิจในไทย โดยใช้นอมินีของไทย ซึ่งเจ้าหน้าที่กำลังดำเนินคดีอยู่ โดยเรื่องนี้จะต้องดำเนินการแก้ไขและไทยก็มีกฎหมายของไทยอยู่” ซึ่งก็คือการกล่าวโทษไปที่ระบบ ‘ทัวร์ 0 เหรียญ’ ซึ่งเป็นหนึ่งในประเด็นใหญ่ที่คนพูดถึงกันในปีนั้น

คำพูดดังกล่าวถูกนำไปรายงานตามสื่อต่าง ๆ ของจีน ก่อให้เกิดความไม่พอใจอย่างมากในหมู่ชาวจีน ทำให้มีการวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างกว้างขวาง คนจีนมากมายมองว่าปัญหาก็ส่วนปัญหา แต่การตายของคนจีน 41 คนที่อุบัติขึ้นในประเทศของคุณ ที่คุณเป็นผู้นำ การกล่าวแสดงความอาลัยมันยากนักหรือ การกล่าวโทษคนจีนด้วยสีหน้าที่เพิกเฉยมันผิดเวลาไปหน่อยหรือไม่ ? 

ซึ่งก็กลายเป็นเหตุให้เกิดกระแสแบนภูเก็ต จนทำให้จำนวนนักท่องเที่ยวจีนในภูเก็ตในปีนั้นและปีต่อมาลดฮวบไปอย่างน่าตกใจ เพื่อนของผมที่เปิดร้านอาหารรองรับทัวร์จีนเล่าให้ผมฟังว่าเหตุการณ์นี้ส่งผลให้กิจการร้านอาหารต้องเจ๊งไปเลยทีเดียว

จากสามกรณีที่ผมยกตัวอย่างมานี้คือลักษณะของความสัมพันธ์ในรูปแบบ ‘ถ้าไม่รักก็ชัง’ คือรักกันอยู่ดี ๆ ก็เกลียดกันเสียอย่างนั้น ซึ่งกระบวนการเปลี่ยนแปลงจากคำว่า “รัก” จนกลายมาเป็นคำว่า “เกลียด” หรือคำว่า “แบน” เนี่ย มันเกิดขึ้นจากประเด็นหลัก ๆ อยู่ที่ประเด็นคำว่า “ชาติ”

ด้วยลักษณะของคนจีนที่ยอมเสียได้ทุกอย่างแต่จะไม่มีวันยอมเสียหน้านั้น ทำให้ความเข้าใจผิด ๆ เกี่ยวกับกรณีฮ่องกงและไต้หวันนั้นเป็นเรื่องที่ทำให้พวกเขาหัวร้อนอยู่บ่อย ๆ เพราะหากมองในมุมรัฐบาลจีนที่พยายามอย่างหนักในการโปรโมทนโยบายที่มีชื่อว่า “จีนเดียว” (One China) และด้วยความที่กำลังแข่งขันกับสหรัฐอเมริกา ทำให้ถูกโจมตีด้วยประเด็นเหล่านี้ รวมถึงการที่โลกฝั่งตะวันตกเข้ามามีบทบาทการเมืองระหว่างจีนและไต้หวัน/ฮ่องกง ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกที่รัฐจะต้องคอยปลูกฝังแนวคิดชาตินิยมลงไปในดีเอ็นเอของคนในชาติ

การกระทำอันใดที่เป็นการดูถูกประเทศจีนนั้นเป็นสิ่งที่ยอมรับไม่ได้เป็นอันขาด ในกรณีอย่างดราม่าแนนโน๊ะนั้น ไม่ว่าจะตั้งใจก็ดี หรือว่าไม่ได้ตั้งใจก็ดี แต่การจะทำการค้าขาย หรือตีตลาดในประเทศจีนอย่างมีประสิทธิผลนั้น จำเป็นจะต้องเข้าใจในประเด็นนี้ เพราะหากเราเผลอทำตัวไม่น่ารัก เราอาจถูกเกลียดชังได้ภายในพริบตาเดียว


แหล่งรวม "บทความและคอนเทนต์แปลกใหม่!!!" แบบไร้ Toxic ติดตามได้ที่ THE STATES TIMES Blockdit
LINK : https://www.blockdit.com/pages/60583e7ff90e240c3e7f1c32

ข้อเสนอแนะปฏิรูปการสื่อภาครัฐ เพื่อประสิทธิภาพในการบริหารข้อมูลข่าวสาร และสร้างความมั่นคงให้กับประชาชนทุกคน

ทุกท่านคงได้เห็นแล้วว่าปัญหาของการสื่อสารของภาครัฐ โดยเฉพาะในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 นั้น ถือว่ามีปัญหาและขาดประสิทธิภาพอย่างรุนแรง

ประชาชนตกอยู่ในความวิตกกังวล สับสน และขาดความเชื่อมั่น เพราะไม่รู้ว่าข้อมูลใดเป็นข้อมูลจริงหรือเท็จ ในขณะที่ผู้ปั่นกระแสข่าวปลอมก็ย่ามใจ กระทำการได้โดยเข้าถึงประชาชนมากกว่าภาครัฐ โดยใช้วิธีการสื่อสารที่เน้น Keyword และย้ำข้อความเดิม ๆ จนทำให้คนเกิดความเชื่อในข่าวลือนั้น

ซึ่งทำให้การบริหารสถานการณ์โควิดและการทำงานของเจ้าหน้าที่สาธารณสุขเป็นไปอย่างยากลำบาก ดังนั้น บทความนี้จะนำเสนอแนวทางในการแก้ไขปัญหาดังกล่าวเป็นข้อ ๆ ดังนี้

1.) ทัศนคติในการสื่อสาร

ภาครัฐต้องปรับเปลี่ยนกระบวนทัศน์และทัศนคติที่มีต่อการสื่อสารปัจจุบัน คือ ต้องเปลี่ยนจากการทำตัวเป็นเจ้านายที่ถนัดในการ “ออกคำสั่ง” ในแถลงการณ์ และคิดว่าประชาชนมีหน้าที่รับฟังและนำปฏิบัติตามโดยโดยไม่สนใจว่าผู้ฟังจะได้รับสาร หรือ จะเกิดความสับสนในสารที่ได้รับไปหรือไม่

โดยต้องปรับมาเป็นการต้องยึดผู้รับสารหรือ “ประชาชนเป็นศูนย์กลาง” โดยพยายามสื่อสารในประเด็นที่เขาสงสัยและต้องส่งข้อมูลไปให้ถึงผู้รับสารให้ได้มากที่สุด

นอกจากนี้รัฐยังต้องเข้าใจว่าการต่อสู้กับการบิดเบือน ไม่ใช่แค่การหาเครือข่ายหรือผู้สนับสนุนมาโต้เถียงในโลกออนไลน์ แต่คือการสื่อสารที่ทำให้คนตรงกลางซึ่งเป็นประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศ เข้าใจข่าวสารและข้อมูลได้อย่างถูกต้อง และนั่นคือวัคซีนสำคัญในการป้องกันไวรัสข่าวปลอม

2.) วิธีการสื่อสาร

การทำภาพเพื่ออธิบายข้อมูลที่จะสื่อสาร ต้องมีความกระชับ เข้าใจง่าย เสพง่าย สามารถนำไปส่งต่อหรือนำไปใช้อธิบายเพื่อให้เกิดความเข้าใจ หรือแก้ปัญหาความเข้าใจผิดในวงกว้างได้ทันที โดยไม่ต้องมานั่งตีความให้ซับซ้อนวุ่นวาย เหมือนแถลงการณ์อันแสนยืดยาวที่ผู้มีอำนาจชอบทำในอดีต

การทำข้อมูลต้องอธิบายใน “ประเด็นที่ประชาชนสงสัย” ไม่ใช่สิ่งที่รัฐคิดว่าตนอยากอธิบายแต่เพียงฝ่ายเดียว ซึ่งทำได้ด้วย 2 วิธีการคือ 

(1) การใช้เครื่องมืออย่าง Social Listening หรือการเก็บข้อมูลเชิงสถิติในโลกออนไลน์หรือสื่อต่าง ๆ เพื่อนำมาประมวลผลและวิเคราะห์ ความสนใจและทัศนคติที่ประชาชนกำลังมีอยู่ในขณะนั้น 

(2) การใช้หน่วยสำรวจ ทีมงาน หรือคณะทำงานที่คอยสอดส่องกระแสอารมณ์หรือความสงสัยของผู้คนในโลกออนไลน์ในแต่ละแพลตฟอร์ม 

โดยทั้งสองวิธีการนี้ต้องทำควบคู่กันไป เพื่อให้ได้ข้อมูลทั้งเชิงปริมาณและข้อมูลเชิงคุณภาพเพื่อนำมาวิเคราะห์ปัญหา และสถานการณ์ความเข้าใจผิด รวมถึงวางแผนการประชาสัมพันธ์เพื่อดักทางกระแสข่าวปลอมได้ทันต่อสถานการณ์ 

3.) กระบวนการสื่อสาร

ภาครัฐต้องเปลี่ยนวิธีคิดจากการรอให้คนมารับสาร เหมือนการแถลงข่าวก่อน/หลังภาพยนตร์ช่วง Prime Time ในทีวีเมื่อ 30-40 ปีที่แล้ว เพราะทุกวันนี้แต่ละคนใช้มือถือกันหมดแล้ว ดังนั้นการนำข้อมูลข่าวสารเข้าถึงประชาชนจึงต้องทำใน “เชิงรุก” คือทำอย่างไรก็ได้ให้ข้อมูลที่ต้องการสื่อสารเข้าถึงประชาชนได้ไวที่สุด

กรณีเป็นชุมชน อาจใช้วิธีการภาคสนามคือ อาศัยเครือข่ายประธานชุมชน และ จิตอาสา อย่าง อ.ส.ม.หรือเครือข่ายภาคประชาชนกลุ่มต่าง ๆ ในการช่วยกระจายข้อมูลลงไปในพื้นที่

กรณีเป็นบ้านรั้ว ต้องประสานสื่อหรือเพจที่มีผู้ติดตามจำนวนมาก ในการกระจายข่าวสาร และหากหน่วยงานภาครัฐต้องการเผยแพร่ข้อมูลเอง ต้องทำการยิงโฆษณาไปตามจำนวนประชากรที่มีอยู่ในพื้นที่ต่าง ๆ โดยอาจขอความร่วมมือจากผู้ให้บริการแพลตฟอร์มต่าง ๆ ไม่ว่าจะ Facebook, Twitter, IG, TikTok ฯลฯ

โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากเป็นข้อมูลเกี่ยวกับด้านการสาธารณสุขในช่วงวิกฤตไวรัสโควิดด้วยแล้ว ยิ่งน่าจะขอความร่วมมือจากภาคเอกชนได้ง่ายมากกว่าในภาวะปกติ

การทำงานในรูปแบบนี้ ต้องใช้การประสานงานแบบบูรณการจากหลายภาคส่วนทั้ง ข้อมูลทะเบียนราษฎรจากกระทรวงมหาดไทย, ข้อมูลด้านสาธารณสุขจากกระทรวงสาธารณสุข, การประสานงานด้านดิจิทัลจากกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ซึ่งทั้งหมดจะทำไม่ได้เลยหากขาดการสั่งการที่เป็นเอกภาพ

4.) การปราบปรามผู้กระทำผิดและแก้ไขความเข้าใจผิด

แบ่งได้เป็น 3 ส่วน คือ (1) การตรวจสอบสื่อที่บิดเบือน (2) การแก้ไขความเข้าใจผิดของผู้รับสาร (3) การดำเนินคดีกับผู้เผยแพร่ข่าวปลอม

ตัวอย่างกรณีที่ ผศ.ดร.วรัชญ์ ครุจิต จาก NIDA ซึ่งได้เข้าไปเป็นที่ปรึกษาให้กับ ศบค. ได้ออกมาแก้ข่าวที่เกิดจากการบิดเบือนสื่อมวลชน จนทำให้สื่อใหญ่หลายสำนักต้องออกมาแถลงการณ์ขอโทษ และแสดงความรับผิดชอบ 

เช่น กรณีไทยพีบีเอส แปลข่าวประสิทธิภาพวัคซีนผิดจากข่าวต้นฉบับของต่างประเทศ หรือกรณีช่อง 3 บิดเบือนเนื้อหาของหมอทวีศิลป์ จนทำให้เกิดความขัดแย้งระหว่าง ศบค.และคุณ อรอุมา สิทธิรักษ์ นักวอลเลย์บอลทีมชาติไทย 

กรณีนี้ อ.วรัชญ์ ได้ทำการตรวจสอบการบิดเบือน จนทำให้สำนักข่าวต้องยอมลบเนื้อหา และแถลงการณ์ขอโทษต่อสาธารณชน รวมไปถึงการที่ อ.วลัชญ์ชี้แจงเนื้อหาที่แท้จริงให้กับคุณอรอุมา จนแก้ไขความเข้าใจผิดระหว่างหมอทวีศิลป์และนักวอลเลย์บอลหญิงทีมชาติไทยได้สำเร็จ 

สุดท้ายคือ การดำเนินคดีกับผู้จงใจบิดเบือนข่าวสารหรือตั้งใจเผยแพร่ข่าวลือขาวปลอม โดยหวังผลให้เกิดความแตกแยกและเกลียดชังในหมู่ประชาชนอย่างชัดเจน 

หากภาครัฐยังปล่อยให้บุคคลเหล่านี้ลอยนวล ซึ่งที่เกิดขึ้นคือ ผู้ทำผิด

จะไม่เกรงกลัวกฎหมายและย่ามใจคิดว่าจะทำอะไรก็ได้ โดยไม่ต้องรับผิดชอบต่อผลของการกระทำ

ทั้งหมดนี้ คือข้อเสนอสำหรับการปฏิรูปการสื่อสารของหน่วยงานภาครัฐ และที่ผมได้เขียนมานั้น มิได้เพราะนิยมชมชอบหรือสนับสนุนรัฐบาลหรือบุคคลใดบุคคลหนึ่งโดยเฉพาะ แต่ต้องการให้ภาครัฐเกิดความมีประสิทธิภาพในการสื่อสารต่อประชาชน

เพราะการสื่อสารและบริหารข้อมูลเป็นหัวใจสำคัญที่ทำให้เกิดความมั่นคง และเกิดความร่วมมือต่อโครงการหรือนโยบายสาธารณะต่าง ๆ 

เช่น หากภาครัฐมีนโยบายการพัฒนา ส่งเสริมธุรกิจและอาชีพ แต่ประชาชนเข้าไม่ถึงข้อมูล ก็จะทำให้ประชาชนเสียโอกาสเหล่านั้น และการพัฒนาประเทศก็จะเป็นไปได้อย่างล่าช้า ซึ่งไม่เป็นการดีต่อประชาชนทุกคนในประเทศนี้ ดังนั้นเรื่องการสื่อสารจึงถือเป็นหัวใจอย่างหนึ่งในพัฒนาและขับเคลื่อนประเทศในเจริญรุดหน้าไปได้อย่างมั่นคง


แหล่งรวม "บทความและคอนเทนต์แปลกใหม่!!!" แบบไร้ Toxic ติดตามได้ที่ THE STATES TIMES Blockdit
LINK : https://www.blockdit.com/pages/60583e7ff90e240c3e7f1c32


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top