Tuesday, 17 June 2025
TheStatesTimes

กาฬสินธุ์ - “อ.ยักษ์ แม่โจ้” ผู้เชี่ยวชาญด้านกัญชาระดับประเทศ เยี่ยมและแนะนำวิธีปลูกกัญชาแก่วิสาหกิจชุมชนฯ ผู้ปลูกกัญชาถูกกฎหมาย

เมื่อวันที่ 18 เมษายน 2564 ที่วิสาหกิจชุมชนพืชสมุนไพรเพื่อเศรษฐกิจใหม่ จ.กาฬสินธุ์ ดร.อานนท์ สุทน ผอ.ศูนย์สาธิตแม่โจ้เกษตรศิลป์ จังหวัดกำแพงเพชร, นางพรรณี ดวงจันทร์ทิพย์ เจ้าพนักงานส่งเสริมสหกรณ์ จ.กาฬสินธุ์ พร้อมคณะ ได้เข้าเยี่ยมชมอาคารปลูกกัญชาถูกกฎหมายของวิสาหกิจชุมชนพืชสมุนไพรเพื่อเศรษฐกิจใหม่ อ.เมืองกาฬสินธุ์ โดย มี น.ส.สุภาพร คำยุธา ประธานวิสาหกิจชุมชนฯ นายนิมิตร รอดภัย ที่ปรึกษาวิสาหกิจชุมชนฯ และนักวิชาการ ของวิสาหกิจชุมชนพืชสมุนไพรเพื่อเศรษฐกิจใหม่พร้อมสมาชิก ให้การต้อนรับ

ดร.อานนท์ สุทน ผอ.ศูนย์สาธิตแม่โจ้เกษตรศิลป์ จ.กำแพงเพชร ผู้เชี่ยวชาญด้านการปลูกกัญชาระดับประเทศได้ให้คำแนะนำ และแลกเปลี่ยนแนวทางการปลูกกัญชากับ นายนิมิตร รอดภัย ที่ปรึกษา-นักวิชาการของวิสาหกิจชุมชนฯ ที่จำเป็นต้องมีการเตรียมดินพร้อมกับการดูแลต้นและบำรุงรากให้มีความแข็งแรง ก่อนที่ลำต้นจะเติบโตมากขึ้น

ดร.อานนท์ กล่าวว่า ต้นกัญชาที่ปลูกแห่งนี้เป็นพันธุ์หางกระรอก ซึ่งตามแผนงานการปลูกจะมีอายุประมาณ 3 เดือนที่ต้องพร้อมต่อการเก็บเกี่ยว ดังนั้นในการดูแลรวมไปถึงการให้ปุ๋ย จำเป็นต้องมีระบบและเป็นเวลา จนกว่าที่ลำต้นจะเติบโตในช่วง 1 เดือนแรก

“ผมไม่ต้องการให้เกษตรกรผู้รับอนุญาตถูกต้อง จะต้องมาเสียเวลาในการดูแล เพราะต้นกัญชาสามารถที่จะทำให้เจริญเติบโตได้ สิ่งสำคัญขณะนี้ผู้ได้รับใบอนุญาตถูกต้องสามารถปลูกได้เพียง 50 ต้นที่ถือว่าน้อยมาก แต่หากสามารถดูแลและทำให้มีใบกัญชาได้มากขึ้นกว่าเดิม ก็จะทำให้เกษตรกรวิสาหกิจผู้ปลูกกัญชามีรายได้ในจุดนี้ และในอนาคตกระบวนการแลกเปลี่ยนก็จะเกิดขึ้นอยู่ตลอด ขอให้วิสาหกิจฯ มีความมั่นใจและพัฒนาตามที่แนะนำ”

สำหรับวิสาหกิจชุมชนพืชสมุนไพรเพื่อเศรษฐกิจใหม่จังหวัดกาฬสินธุ์ ได้รับอนุญาตถูกต้อง เป็นหนึ่งในสามแห่งของจังหวัดกาฬสินธุ์  รับใบอนุญาตจาก สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา กระทรวงสาธารณสุข และได้ทำการปลูกลงดินเมื่อวันที่ 13 เมษายน 2564 ที่คาดว่าผลผลิตจะสามารถออกสู่ตลาดได้ภายใน 3 เดือนข้างหน้า


ภาพ/ข่าว ณัฐพงษ์ ประชากูล จ.กาฬสินธุ์

ชลบุรี - เริ่มวันนี้ ร้านสะดวกซื้อ เซเว่น อีเลฟเว่น เมืองพัทยา รับลูก ศบค. ดีเดย์ เปิดตี 4 ปิด 5 ทุ่ม

ร้านสะดวกซื้อเซเว่น อีเลฟเว่น และเซเว่น เดลิเวอรี่ สาขาเมืองพัทยา พร้อมให้ความร่วมมือปฏิบัติตามมาตรการของภาครัฐ แบะศบค. เลื่อนเปิดให้บริการระหว่างเวลา 04.00–23.00 น. ตั้งแต่วันนี้

ตามที่ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด–19) หรือ ศบค. ได้ประกาศมาตรการควบคุมแบบบูรณาการ จำแนกตามพื้นที่สถานการณ์ ในพื้นที่ควบคุมสูงสุด 18 จังหวัด ซึ่งประกอบด้วย กรุงเทพมหานครฯ เชียงใหม่ ชลบุรี สมุทรปราการ ประจวบคีรีขันธ์ สมุทรสาคร ปทุมธานี นครปฐม ภูเก็ต นครราชสีมา นนทบุรี สงขลา ตาก อุดรธานี สุพรรณบุรี สระแก้ว ระยอง และขอนแก่นนั้น

มีรายว่า บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) ผู้บริหารร้านสะดวกซื้อเซเว่น อีเลฟเว่น และเซเว่น เดลิเวอรี่ พร้อมให้ความร่วมมือปฏิบัติตามมาตรการของภาครัฐ โดยจะเปิดให้บริการระหว่างเวลา 04.00–23.00 น. ตั้งแต่วันนี้ วันที่ 18 เม.ย. 2564 จนกว่าจะมีประกาศเปลี่ยนแปลง เพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19

ทั้งนี้ จากการลงพื้นที่สำรวจบรรยากาศ พบว่า ร้านสะดวกซื้อเซเว่น อีเลฟเว่น สาขาต่าง ๆ ในเมืองพัทยา จ.ชลบุรี เมืองท่องเที่ยวชื่อดังของภาคตะวันออก ได้เตรียมพร้อมสำหรับการให้บริการโดยปฏิบัติตามมาตรการของ ศบค. อย่างเคร่งครัด คุมเข้มมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดที่ได้ดำเนินการมาโดยตลอด เพื่อสุขภาพอนามัยของพนักงาน และลูกค้าที่มาใช้บริการด้วยเช่นกัน

นอกจากนี้ยังเน้นย้ำมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด–19 ตามที่ได้ดำเนินการในเรื่องของการสวมหน้ากากอนามัย การตรวจวัดอุณหภูมิร่างกายของผู้ปฏิบัติงาน และผู้มาใช้บริการ การเว้นระยะห่าง การล้างมือก่อนหยิบจับอาหารหรือสินค้า การทำความความสะอาดพื้นที่ อุปกรณ์ในร้าน รวมทั้งจุดสัมผัสร่วมตามระยะเวลาที่กำหนด และการจำกัดจำนวนผู้เข้าใช้บริการตามขนาดของร้าน เพื่อบรรเทา และแก้ปัญหาการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19


ภาพ/ข่าว  นิราช / นันทพล ทิพย์ศรี ก012 ชลบุรี

“สงคราม” อัด “บิ๊กตู่” อวดเก่งทำประเทศวิกฤติซ้ำ ชี้รัฐบาลบริหารวัคซีนผิดพลาดทำคิดติดโควิดพุ่ง - ตายรายวัน

วันที่ 19 เมษายน พ.ศ.2564 นายสงคราม กิจเลิศไพโรจน์ ประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์พรรคเพื่อชาติ ในฐานะอดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า สถานการณ์การระบาดของไวรัสโควิด-19 ในประเทศไทยเพิ่มขึ้นทุกวัน แสดงว่ามาตรการที่รัฐบาลออกมาล้มเหลว ไม่ได้ผล เพราะจากวันที่พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ออกมาประกาศมาตรการต่าง ๆ ผลที่ตามมาคือ ปิดโอกาส ประชาชนในการทางทำมาหากิน

พลเอกประยุทธ์มีทุกอย่างทั้งงบประมาณและเครื่องมือในการทำงาน แต่ทำงานไม่เป็นสุดท้ายงบประมาณจำนวน 1.9 ล้านล้านบาทที่ไปกู้มาจึงล้มเหลวไม่เป็นท่า ไม่เกิดประโยชน์กับประชาชน ผู้ประกอบการที่เข้าไม่ถึงเงินกู้ก็ประสบความลำบาก หลายคนสู้ไม่ไหวฆ่าตัวตายหนีปัญหาเป็นจำนวนมาก กรณีการเยียวยาที่ผ่านมาผลที่ออกมาคือประชาชนเข้าไม่ถึง หรือมีปัญหาในการจ่ายเงินไม่มีทุนทำต่อ จนหลายคนฆ่าตัวตาย รัฐบาลไม่ปรับวิธีการเยียวยา ก็จะมีคนฆ่าตัวตายตามมาเป็นจำนวมมาก

นายสงคราม กล่าวด้วยว่า พลเอกประยุทธ์ ไม่ยอมรับฟังความคิดเห็นของคนอื่น ใครท้วงติงอะไร ก็มองว่าเป็นการเมืองหาทางโจมตีรัฐบาล แม้คำแนะนำจากฝ่ายค้านจะมีประโยชน์ที่จะพาประเทศฝ่าวิกฤติที่เกิดขึ้นไปได้ รัฐบาลกลับไม่ฟังไปฟังแต่คำคนใกล้ชิดที่คอยเชลียร์เพื่อหวังผลทางการเมืองและการอยู่ในอำนาจของคนใกล้ชิดผู้นำประเทศ

“ปัญหาที่เกิดขึ้นเกิดมาจากความไม่รู้และไม่ฟังคำแนะนำจากคนอื่น หากพลเอกประยุทธ์เร่งในการฉีดวัคซีนให้ประชาชน ปัจจุบันคนไทย 77 ล้านคนได้รับวัคซีนเพียง 5 แสนคนซึ่งน้อยมาก และประชาชนยังคงต้องรอไปจนถึงเดือนมิถุนายนถึงจะได้รับวัคซีน รัฐบาลไม่เคยยอมรับผิดว่าบริหารวัคซีนล้มเหลวทำคนไทยเสี่ยงตายรายวัน ตัวเลขคนติดโควิดพุ่งเกือบ 2,000 คนต่อวัน และมีประชาชนตายเพราะโควิดทุกวัน พลเอกประยุทธ์ต้องไม่ควรโทษคนอื่น ไม่ปัดสวะให้พ้นตัวต้องยอมรับว่าตัวเองไร้ความสามรถและรับฟังคนอื่นบ้างอย่าอวดเก่งอยู่คนเดียว” นายสงครามกล่าว

อธิบดีกรมสรรพสามิต ชี้! ยังไม่ถึงเวลาเหมาะสม จัดเก็บภาษีใหม่ หวั่นซ้ำเติมประชาชน

วันที่19 เมษายน พ.ศ.2564 นายลวรณ แสงสนิท อธิบดีกรมสรรพสามิต กล่าวว่า ยืนยันว่าจะยังไม่มีการจัดเก็บภาษีใหม่ ๆ ในช่วงนี้ เนื่องจากยังไม่ใช่ช่วงเวลาที่เหมาะสม เพราะเศรษฐกิจยังได้รับผลกระทบจากการระบาดของโควิด-19 ตั้งแต่ปีที่ผ่านมา ดังนั้นการออกภาษีใหม่ ๆ จึงยังไม่ใช่เวลาที่เหมาะ โดยขณะนี้กระทรวงการคลังและรัฐบาลได้ให้ความสำคัญเกี่ยวกับการใช้มาตรการภาษีในการเอื้อต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจมากกว่า

สำหรับความคืบหน้าเกี่ยวกับการปฏิรูปโครงสร้างภาษี ที่กระทรวงการคลังได้รับนโยบายจากรัฐบาลมานั้น แต่ละกรมจัดเก็บรายได้ คือ กรมสรรพากร กรมศุลกากร และกรมสรรพสามิตอยู่ระหว่างดำเนินการ ในส่วนของกรมสรรพสามิตนั้นได้ดำเนินการศึกษาแนวทางการปฏิรูปโครงสร้างภาษีที่เกี่ยวข้องในทุกมิติ ไม่ใช่แค่การจัดเก็บรายได้เท่านั้น แต่ได้พิจารณาในทุกเรื่อง ภายใต้เงื่อนไขว่าจะต้องปฏิรูปโครงสร้างภาษีออกมาให้ทันสมัย สอดคล้องกับสถานการณ์เศรษฐกิจในปัจจุบัน และตอบโจทย์ภารกิจของกรมสรรพสามิต

“กรมฯ กำลังดำเนินการอยู่ ต้องดูในทุกมิติ ไม่ใช่แค่การออกพิกัดอัตราภาษีใหม่เท่านั้น แต่ต้องดูให้ครอบคลุมรวมไปถึงภาษีที่จัดเก็บอยู่แล้วก็ต้องทำให้ดี มีประสิทธิภาพมากขึ้น ต้องดูในภาพที่ใหญ่ขึ้นว่าจะต้องดำเนินการในส่วนไหนบ้าง เช่น ภาษีบาปที่ยังมีช่อง ก็ไปศึกษาดูว่าจะดำเนินการอย่างไร ส่วนภาษีใหม่ ๆ ที่มีการเสนอ เช่น ภาษีเครื่องใช้ไฟฟ้า และภาษีจากความเค็ม ทีมกำลังทำการบ้านอยู่ มีความคืบหน้า ข้อมูลทั้งหมดมีอยู่แล้ว แต่อยากขอเวลาทำงานให้รอบคอบมากขึ้น ซึ่งเชื่อว่ายังมีเวลาเพราะช่วงโควิด และช่วงที่เศรษฐกิจกำลังฟื้นตัวแบบนี้คงไม่เหมาะหากจะออกภาษีใหม่ ๆ มาใช้ ทุกอย่างยังมีเวลา อยากศึกษาให้ดีและรอบคอบก่อน” นายลวรณ กล่าว

นอกจากนี้ กรมสรรพสามิตเตรียมพิจารณาขยายเวลาเลื่อนการปรับขึ้นอัตราภาษีความหวานตามขั้นบันไดไปอีกระยะหนึ่ง เนื่องจากผู้ประกอบการได้รับผลกระทบจากการระบาดของโควิด-19 ส่วนจะขยับไปนานเท่าไหร่นั้น คงเป็นเรื่องที่ฝ่ายนโยบายจะพิจารณาอีกที

นายลวรณ กล่าวอีกว่า ภาพรวมการจัดเก็บรายได้ของกรมสรรพสามิตในช่วง 6 เดือนของปีงบประมาณ 2564 (ต.ค.63 - มี.ค.64) ถือว่าทำได้ในระดับที่น่าพอใจ จากอานิสงส์ของการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตรถยนต์และภาษีเบียร์ที่ขยายตัวได้อย่างต่อเนื่อง ทำให้มั่นใจว่าภาพรวมการจัดเก็บรายได้ของกรมฯ ในปีงบประมาณ 2564 จะทำได้สูงกว่าเป้าหมายของกระทรวงการคลัง และสูงกว่าการจัดเก็บในปีงบประมาณก่อนหน้าแน่นอน

ทั้งนี้ ยังต้องติดตามภาพรวมการจัดเก็บรายได้ในช่วง 6 เดือนหลังของปีงบประมาณ 2564 ด้วย หากสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 คลี่คลายไปในทิศทางที่ดีขึ้น ก็จะส่งผลดีต่อการเดิน การบริโภคและใช้จ่ายมากขึ้น ก็จะส่งผลดีกับรายได้จากภาษีน้ำมันที่จะกลับมาฟื้นตัวได้ดีมาก ๆ และจะเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยสนับสนุนการจัดเก็บรายได้ในช่วงที่เหลือของปีงบประมาณ 2564 ซึ่งการจัดเก็บรายได้จากภาษีน้ำมันเฉลี่ยอยู่ที่ 2.3 แสนบาทต่อปี

อย่างไรก็ดี ในส่วนของการพิจารณาโครงสร้างภาษีกัญชานั้น กรมสรรพสามิตมองว่ายังมีเวลาในการศึกษาแนวทางดำเนินการให้รอบคอบ โดยยังต้องรอความชัดเจนจากฝ่ายนโยบายด้วยว่าจะกำหนดให้กัญชาไปใช้ในเชิงพาณิชย์ได้ในระดับใด โดยปัจจุบันยังเป็นเพียงการนำมาใช้ในการทำอาหารปรุงสด หรือการเป็นเครื่องดื่ม ซึ่งไม่เสียภาษีสรรพสามิต แต่การที่กรมฯ จะเข้าไปจัดเก็บภาษีได้นั้น ก็ต่อเมื่อมีการนำกัญชามาบรรจุลงขวดหรือกระป๋อง จึงยังมีเวลาในการพิจารณาเรื่องนี้อยู่พอสมควร

นาทีนี้ถ้าไม่พูดถึง 'เดวิด สเตร็คฟัสส์' ชาวต่างชาตินักจัดกิจกรรมที่ถูกคาดว่าได้รับเงินผ่านจากสหรัฐอเมริกา มาดำเนินกิจกรรมสั่นคลอนประเทศไทย ก็ถือว่าไม่ทันกระแสความดัง

หลังจากฝรั่งนายนี้ได้ถูกเด้งออกจากอาจารย์มหาวิทยาลัยชื่อดังของภาคอีสาน เริ่มมีคนตั้งข้อสงสัยกันว่าเขาคือใคร และเกิดอะไรขึ้นกับเขาคนนี้...

จากเฟซบุ๊กเพจ 'Neo Fighter' ได้โพสต์ข้อความเกี่ยวกับ เดวิด สเตร็คฟัสส์ ผ่านมุมมองของ 'ไบรอัน เบอร์เลติก' ฝรั่งอเมริกันที่เคยออกมาแฉว่าเฟซบุ๊กเป็นเครื่องมือหนึ่งของอเมริกาในการแทรกแซงประเทศต่าง ๆ จนถูกปิดเพจไปว่า...

ก่อนหน้านี้ลุงสนธิ ได้ออกมาพูดถึงสเตร็คฟัสส์ในรายการคุยทุกเรื่องกับสนธิมาแล้ว ด้วยการเล่าเรื่องและข้อมูลของลุงสนธิทำให้คนไทยส่วนใหญ่ได้ตื่นตัวขึ้นมาว่าบุคคลคนนี้คือใคร ทำไมถึงมาทำงานตรงนี้ได้ ประวัติเป็นมาอย่างไร และในที่สุดก็ถึงบางอ้อกับฝรั่งที่ชื่อ เดวิด สเตร็คฟัสส์!

ด้านเจ้าตัวได้ออกมาแถลงว่า เขาไม่รู้จักประวัติองค์กรที่เข้ามาให้เงินการสนับสนุนทางกลุ่มอีสานเรคคอร์ดของเขา แค่รู้จักชื่อเสียงและเป็นเพียงผู้สนับสนุนเฉยๆ... (ลิเกโรงใหญ่มาก) ซึ่งหลังจากที่เขาให้สัมภาษณ์แบบนั้น ทำให้ไบรอัน เบอเลติก ได้งัดเอาข้อมูลชิ้นดีอันเป็นหลักฐานที่มัดตัวสเตร็คฟัสส์พ่อพระเอกลิเกหลังโรงไว้แน่นเลยทีเดียว

ซึ่งข้อมูลที่ไบรอันเอาออกมาแสดงนั้นล้วนมีความเกี่ยวพันทางอาชกรรมทางลับ ๆ ของสหรัฐอเมริกาทั้งสิ้น ซึ่งฝั่งตรงข้ามที่พยายามทำลายประเทศไทยนั้นไม่เคยเอ่ยหรือพูดถึงข้อเท็จจริงของ NED หรือเหล่าองค์กรปรสิต NGOs ที่ทำกับนานานับประเทศในโลกใบนี้เลยแม้แต่นิด

เพราะฉะนั้นคนไทยต้องออกมาปกป้องชาติของตนเองให้มากที่สุด ตื่นรู้ตื่นสู้ให้มากที่สุด ไบรอันเป็นเพียงผู้เปิดฉากเปิดหน้าเอาความจริงมาเปิดเผยให้คนไทยได้รับรู้เพียงเท่านั้น เราจงช่วยไบรอันเปิดโปงเหล่าองค์กรปรสิตฝุ่นใต้ตีนสหรัฐออกมาให้มากที่สุด...


ที่มา: https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=3975460309201489&id=140063372741221

https://youtu.be/lMdcR7r3-Nk

เป็นเรื่องราวที่แพร่หลายในสังคมของชาวเมียนมา สำหรับเรื่องการฉีดวัคซีนโควิด-19 ถึงคราวที่ประชาชนชาวเมียนมาได้รับวัคซีนบ้าง

เป็นเรื่องราวที่แพร่หลายในสังคมของชาวเมียนมา มาช่วงระยะเวลาหนึ่งแล้ว สำหรับเรื่องการฉีดวัคซีนโควิด-19 ซึ่งมีนโยบายมาตั้งแต่รัฐบาลก่อนรัฐประหารว่า หากเหล่าผู้นำทางการเมืองและกองทัพ รวมถึงบุคลากรทางการแพทย์และผู้ทำงานใกล้ชิดกับผู้ป่วยโควิด-19 ได้รับวัคซีนหมดแล้ว ก็จะถึงคราวที่ประชาชนชาวเมียนมาได้รับวัคซีนบ้าง

ความจริงการฉีดวัคซีนให้แก่ชาวเมียนมา เป็นนโยบายต่อเนื่องเพื่อควบคุมโรคโควิดที่สานต่อเป็นวาระแห่งชาติ แต่เมื่อเกิดการยึดอำนาจขึ้น ทำให้ประชาชนส่วนใหญ่ในประเทศเลือกที่จะไม่ฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ถึงจะมีเหตุผลหลาย ๆ อย่างที่ถูกอ้างมา เช่น กลัวความไม่ปลอดภัยของวัคซีน หรือไม่ได้เดินทางไปต่างประเทศไม่จำเป็นต้องฉีดก็ดี หรือหลายคนบอกว่าก็เคยเป็นแล้วมีภูมิแล้วไม่อยากฉีด

แต่ก็มีประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศที่เชื่อและเอย่าคิดว่านี่คือสาเหตุหลักของคนไม่ฉีดวัคซีนคือการที่ยอมรับการฉีดวัคซีนเท่ากับการเห็นดีเห็นงามกับกองทัพ

การฉีดวัคซีน COVISHIELD เริ่มฉีดให้แก่บุคลากรทางการแพทย์ในเมียนมาก่อนตั้งแต่มกราคม 2021 ที่ผ่านมา

การฉีดวัคซีนในเมียนมาผู้เข้ารับการฉีดจะต้องทำการแสดงตนด้วยบัตรประชาชนพร้อมประวัติบิดา มารดา รวมถึงต้องเข้ารับการตรวจร่างกายก่อนที่จะเข้ารับการฉีดวัคซีนว่าไม่มีความเสี่ยงในการฉีดวัคซีน ซึ่งเมื่อฉีดครบ 2 เข็มแล้วทางหน่วยงานที่ฉีดวัคซีนจะมีเอกสารออกให้เป็นภาษาเมียนมาว่าได้รับวัคซีนแล้ว

เอกสารที่ได้จากกระทรวงสาธารณสุขเมียนมาที่แจ้งว่าได้รับวัคซีนแล้ว

สำหรับคนเมียนมาที่มีโอกาสในครั้งนี้ แต่เลือกที่จะละทิ้ง เพราะคิดว่ากองทัพจะนำชื่อเหล่านี้ของพวกเขาไปอยู่ในลิสต์ของผู้สนับสนุนทหารตามที่กลุ่มประชาธิปไตยได้เรียกร้องนั้น พวกเขาหารู้ไม่ว่า กำลังเสียโอกาสครั้งยิ่งใหญ่ หากเขาจะเดินทางไปประเทศอื่น

เพราะแค่นำเอกสารฉบับนี้แปลเป็นภาษาอังกฤษแล้วให้กระทรวงการต่างประเทศเมียนมารับรอง ก็สามารถเดินทางไปประเทศอื่น ๆ ได้ และการที่เอกสารนี้ติดตัวไปสามารถการันตีได้ระดับหนึ่งดังที่ไทยได้มีประกาศออกมาแล้วว่าหากใครมีการฉีดวัคซีนจากต่างประเทศมาแล้วจะลดการกักตัวลงเหลือเพียง 7 วันเท่านั้น

สุดท้ายขึ้นกับคนเมียนมาเหล่านั้นจะคำนึงถึงสิ่งที่จับต้องไม่ได้แล้วละเลยโอกาสที่จะได้แก่ตนหรือจะเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้แก่ตนก่อนแล้วหาโอกาสกลับมาทำในสิ่งที่ตนต้องการทีหลัง


ที่มา: AYA IRRAWADEE

กนอ. ปลื้ม! ผลงานลงทุนกลุ่มยานยนต์-การขนส่ง พุ่ง 1 แสนล้านบาท

วันที่ 19 เมษายน พ.ศ.2564 นางสาวสมจิณณ์ พิลึก ผู้ว่าการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) เผยผลประกอบการช่วง 6 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2564 (ต.ค.63 - มี.ค.64) มีมูลค่าการลงทุนรวมอยู่ที่ 106,146.56 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน จำนวน 78,758.09 ล้านบาท ที่ทำได้ 27,388.47 ล้านบาท หรือคิดเป็น 287.56% เป็นผลจากการแจ้งเริ่มประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรมในช่วง 1 ถึง 2 ปีที่ผ่านมา ที่ยังคงมีการลงทุนต่อเนื่องและขยายการลงทุนเพิ่ม ชี้ให้เห็นว่านักลงทุนยังคงมีความต้องการขยายการลงทุนอีกมากโดยเฉพาะในอุตสาหกรรม เช่น ยานยนต์และการขนส่ง , เหล็กและผลิตภัณฑ์โลหะ , กลุ่มยาง พลาสติกและหนังเทียม , กลุ่มเครื่องยนต์ เครื่องจักรและอะไหล่ รวมถึงกลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้า อิเล็กทรอนิกส์  ที่ยังคงมีการลงทุนมากที่สุดในช่วง 2 ไตรมาสของปี 64 เช่นกัน ขณะที่มีการจ้างงานในนิคมอุตสาหกรรมประมาณ 4,655 คน ซึ่งลดลงกว่าปีก่อนหน้า 42% เนื่องจากโรงงานในนิคมอุตสาหกรรมส่วนใหญ่มีการปรับเปลี่ยนโดยเริ่มนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้ในกระบวนการผลิตมากขึ้น

ทั้งนี้ กลุ่มอุตสาหกรรม 5 อันดับแรกที่เป็นกลไกขับเคลื่อนการลงทุนในนิคมอุตสาหกรรม ประกอบด้วย อุตสาหกรรมยานยนต์และการขนส่ง 13.94% ยังคงครองแชมป์การลงทุน รองลงมาคืออุตสาหกรรมเหล็กและผลิตภัณฑ์โลหะ 11.69% อุตสาหกรรมยาง พลาสติก และหนังเทียม 7.95% อุตสาหกรรมเครื่องยนต์ เครื่องจักรและอะไหล่ 7.2% อุตสาหกรรมปุ๋ย สีและเคมีภัณฑ์ 5.99 % โดยนักลงทุนจากประเทศญี่ปุ่นได้ให้ความสนใจมาลงทุนมากเป็นอันดับ 1 ถึง 37.36% รองลงมาคือนักลงทุนจากประเทศจีน 8.16 % อเมริกา 6.79 % สิงคโปร์ 6.78 % และไต้หวัน 4.11 %

“สำหรับการขาย/ให้เช่าที่ดินในช่วง 6 เดือนแรกของปีงบประมาณ 64 ในภาพรวมประมาณ  473.75 ไร่ ซึ่งลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีผู้ประกอบการซื้อ/เช่าประมาณ 1,398.84 ไร่ คิดเป็น 66.13% แบ่งเป็นการขาย/เช่าในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) 394.42 ไร่ และนอกพื้นที่อีอีซี 79.33 ไร่ ซึ่งจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 แม้ในภาพรวมจะชะลอการลงทุนอยู่บ้าง เนื่องมาจากการระงับเดินทางข้ามประเทศชั่วคราว แต่ความต้องการที่ดินในนิคมอุตสาหกรรมของกลุ่มนักลงทุนต่างประเทศยังมีอยู่อย่างต่อเนื่อง ด้วยระบบโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐที่ดำเนินการอย่างเป็นรูปธรรม และสามารถจูงใจการลงทุนในนิคมอุตสาหกรรมได้”  นางสาวสมจิณณ์ กล่าว

อย่างไรก็ตาม ในปี 64 กนอ.มีแนวทางยกระดับขีดความสามารถทางการแข่งขันให้กับนักลงทุนในนิคมอุตสาหกรรมและท่าเรืออุตสาหกรรมให้สามารถขับเคลื่อนภาคการผลิต โดยเพิ่มศักยภาพการให้บริการระบบสาธารณูปโภค และสาธารณูปการในนิคมอุตสาหกรรม ที่ตั้งเป้าให้ทุกนิคมก้าวสู่นิคมอุตสาหกรรมอัจฉริยะ โดยการนำเทคโนโลยี 5G มาประยุกต์ใช้ให้ตรงกับความต้องการของภาคอุตสาหกรรมเพื่อให้สามารถดำเนินงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ สามารถเชื่อมโยงข้อมูล การขับเคลื่อนการบริหารจัดการระบบสาธารณูปโภค รวมถึงบริการต่าง ๆ ในนิคมอุตสาหกรรม

“เทพไท” แนะ รัฐบาล สั่ง คลัง - สศช. หรือ กมธ.ติดตามตรวจสอบการใช้เงินกู้1.9ล้านล้านบาท แถลงความคืบหน้ากับประชาชน

เมื่อวันที่ 19 เมษายน พ.ศ.2564 นายเทพไท เสนพงศ์ อดีต ส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่ศูนย์นโยบายพรรคเพื่อไทยได้ออกมาวิจารณ์โครงการกู้ครบรอบ 1 ปี เพื่อเยียวยา - ฟื้นฟูเศรษฐกิจของรัฐบาล สูญหาย ล้มเหลว ยิงไม่ตรงเป้า สวยแต่รูปจูบไม่หอม ว่า เป็นเรื่องที่สังคมต้องการคำตอบว่า จำนวนเงินกู้ 1.9 ล้านล้านบาท ซึ่งรัฐบาลได้กู้มาเพื่อใช้ในการเยียวยาและฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศ ที่เกิดจากวิกฤตการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 จนถึงบัดนี้เวลาล่วงเลยมาเป็น 1 ปีแล้ว สังคมก็อยากจะได้คำตอบว่าจำนวนเงิน 1.9 ล้านล้านบาทนั้น รัฐบาลได้นำไปใช้ในโครงการอะไรบ้าง และมีความคืบหน้าอย่างไร ซึ่งรัฐบาลก็ควรจะให้คำตอบกับประชาชน ในฐานะเป็นเจ้าของประเทศ ที่ต้องรับผิดชอบภาระเงินกู้ 1.9 ล้านล้านบาทของรัฐบาลด้วย 

นายเทพไท กล่าวว่า "ตนเห็นว่ารัฐบาลสามารถสั่งการให้กระทรวงการคลัง หรือสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.)  แถลงความคืบหน้าการใช้เงินกู้ดังกล่าว ต่อประชาชนได้ หรืออาจจะประสานงานให้คณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาติดตามตรวจสอบการใช้เงินตามพระราชกำหนด 3 ฉบับ เพื่อแก้ไขปัญหาเยียวยาและฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม ที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 สภาผู้แทนราษฎร ที่มี นายไพบูลย์ นิติตะวัน เป็นประธานฯ

ซึ่งมีหน้าที่โดยตรงในการติดตามและตรวจสอบการใช้เงินของรัฐบาลจำนวน 1.9 ล้านล้านบาท จาก พ.ร.ก.เงินกู้ทั้ง 3 ฉบับ ให้แถลงข่าวในฐานะฝ่ายนิติบัญญัติ ที่มีหน้าที่ตรวจสอบการทำงานของฝ่ายบริหารโดยตรง ดังนั้น เพื่อไม่ให้เป็นประเด็นทางการเมือง และเกิดความสงสัยในสังคม รัฐบาลจึงควรจะรายงานความคืบหน้าการใช้ พ.ร.ก.เงินกู้ 3 ฉบับ จากจำนวนเงินกู้ 1.9 ล้านล้านบาท ให้ประชาชนได้รับรู้ เพื่อความโปร่งใส และสามารถตรวจสอบได้ตลอดเวลา"

เฟซบุ๊ก Brian B. - News Atlas โดยไบรอัน เบอร์เลติก ได้โพสต์ข้อความชวนคิดในหัวข้อ “พันธมิตรชานม: ทวิตเตอร์สร้างอิโมจิสำหรับนักเคลื่อนไหวเพื่อประชาธิปไตย” ว่า...

เฟซบุ๊ก Brian B. - News Atlas โดยไบรอัน เบอร์เลติก ฝรั่งอเมริกันที่เคยออกมาแฉว่าเฟซบุ๊กเป็นเครื่องมือหนึ่งของอเมริกาในการแทรกแซงประเทศต่าง ๆ จนถูกปิดเพจไปก่อนหน้า ได้โพสต์ข้อความชวนคิด โดยอิงจากบทความของสำนักข่าวบีบีซี (BBC) ในหัวข้อ “พันธมิตรชานม: ทวิตเตอร์สร้างอิโมจิสำหรับนักเคลื่อนไหวเพื่อประชาธิปไตย” ว่า...

'ทวิตเตอร์' ได้เปิดตัวอีโมจิใหม่ สำหรับกลุ่มพันธมิตรชานม (Milk Tea Alliance) ที่เป็นการรวมตัวกันของกลุ่มนักเคลื่อนไหวเพื่อประชาธิปไตยของชาวเอเชียเข้าไว้ด้วยกัน โดยกลุ่มพันธมิตรนี้ ได้รวบรวมเอากลุ่มผู้ประท้วงต่อต้านปักกิ่ง (anti-Beijing) ในเกาะฮ่องกง และประเทศไต้หวัน พร้อมกับกลุ่มรณรงค์เพื่อประชาธิปไตยในประเทศไทย และประเทศเมียนมาไว้ด้วยกัน

ในเนื้อหายังบอกอีกว่า สิ่งที่สำนักข่าวบีบีซี (BBC) ไม่ได้กล่าวถึง ซึ่งจริง ๆ แล้วมันมีอยู่ 2 อย่างที่เหมือนกัน คือ

1.) กลุ่มนักเคลื่อนไหวเหล่านี้เกลียดประเทศจีน

2.) พวกเขาทั้งหมดได้รับเงินทุนสนับสนุนจากรัฐบาลสหรัฐฯ ผ่านทาง กองทุนเพื่อประชาธิปไตยแห่งชาติของสหรัฐฯ (National Endowment for Democracy – NED)

ทุกคนสามารถหาข้อมูลเกี่ยวกับเงินทุนสนับสนุนนี้ได้ง่าย ๆ เพียงแค่ทุกคนเข้าไปที่เว็บไซต์ของกองทุนเพื่อประชาธิปไตยแห่งชาติ ของสหรัฐฯ (National Endowment for Democracy – NED) แล้วเข้าไปดูที่ข้อมูลภายใต้รายชื่อของแต่ละประเทศเหล่านี้ เช่น ประเทศไทย , ประเทศเมียนมา ที่พวกเขายังคงเขียนชื่อเดิม ประเทศพม่า และ เกาะฮ่องกง ครับ

ทวิตเตอร์ กล่าวว่า “ในเวลาที่เกิดการก่อความไม่สงบหรือการปราบปรามอย่างรุนแรงขึ้น สิ่งที่สำคัญมากกว่าคือการให้ประชาชนสามารถเข้าถึงการใช้งานอินเตอร์เน็ตอย่างอิสระ (Open Internet) สำหรับการอัพเดต ณ เวลาที่เกิดเหตุอย่างรวดเร็ว, เป็นข้อมูลที่เชื่อถือได้ และการให้บริการที่จำเป็นต่างๆ”

จากส่วนหนึ่งของบทความนี้ ที่ทางทวิตเตอร์ได้กล่าวไว้คือ “เป็นข้อมูลที่เชื่อถือได้” หมายความว่า ทางทวิตเตอร์กำลังบอกทุกคนว่า ทางทวิตเตอร์กำลังเซ็นเซอร์ข้อมูลบางส่วนออกจากระบบเครือข่ายของพวกเขา ทวิตเตอร์กำลังไล่ระงับผู้ใช้งานที่ต่อต้านเรื่องเล่าของประเทศสหรัฐฯ ที่ผมได้เคยยกตัวอย่างมามากมายกับข้อมูลเหล่านี้ผ่านคลิปที่ผมได้เคยเผยแพร่ทางช่องยูทูป: แลนด์ เดสทรอยเยอร์ (YouTube: Land Destroyer) ของผม

จากเว็บบล็อกของทางทวิตเตอร์ กับบทความเมื่อเดือนตุลาคม ปีค.ศ. 2020 ซึ่งเรื่องนี้ได้เกิดขึ้นในประเทศไทย ทางทวิตเตอร์ได้พบบัญชีมากกว่า 900 บัญชี ที่ได้ถูกระงับลบออกจากระบบเครือข่ายของทางทวิตเตอร์ เนื่องจากสามารถ “เชื่อถือได้ว่ามีความเชื่อมโยง (reliably link)" กับกองทัพบกได้

เวลาที่ใครใช้คำอย่าง “เชื่อถือได้ว่ามีความเชื่อมโยง" นั้น หมายความว่าคนๆ นั้นไม่มีหลักฐาน และไม่สามารถนำหลักฐานมาแสดงให้ดูได้ เพราะถ้ามีหลักฐานจริง ทางทวิตเตอร์คงนำมาแสดงให้เห็นตั้งแต่แรกแล้วว่าบัญชีเหล่านั้นมันเชื่อมโยงกับกองทัพบกจริง พวกเขาจึงใช้คำนี้เพราะพวกเขาไม่มีหลักฐานครับ กองทัพบก คือ กลุ่มคนที่ยืนหยัดเพื่อประเทศของเขาและต่อต้านคนที่มาก่อการจลาจลและปลุกปั่นที่ได้รับการสนับสนุนจากประเทศสหรัฐฯ และรวมถึงพวกม็อบหัวรุนแรง แต่ทางทวิตเตอร์กลับระงับและลบบัญชีของพวกเขาทิ้ง

บทความในเว็บไซต์ของสำนักข่าวรอยเตอร์ส (Reuters) เป็นอีกหนึ่งตัว อย่างที่ผมอยากจะกล่าวถึงนะครับ “ทวิตเตอร์ระงับบัญชีของไทยรอยัลลิสต์ ที่เชื่อมโยงถึงการมีอิทธิพลเพื่อจูงใจในการรณรงค์” และเช่นเคย ทวิตเตอร์ใช้วิธีเดิมๆ ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว ทวิตเตอร์ก็แค่ระงับบัญชีของผู้ต่อต้านการเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองที่ได้รับการสนับสนุนจากประเทศสหรัฐฯ เพื่อให้มีข้อมูลเพียงด้านเดียวเท่านั้นบนทวิตเตอร์ และนี่คือเครือข่ายสื่อสังคมออนไลน์ (Social Media Networks) ของประเทศสหรัฐฯ ครับ

ผมได้เคยชี้ถึงประเด็นที่ผมกำลังกล่าวถึงอยู่หลายครั้ง ว่าเครือข่ายสื่อสังคมออนไลน์ของประเทศสหรัฐฯ นั้น ได้ร่วมงานโดยตรงกับกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐ ซึ่งทุกคนจะสามารถเห็นผลงานนั้นได้จากบทความในเว็บ ไซต์ของ สำนักข่าวรอยเตอร์ส (Reuters) ที่ทางประเทศสหรัฐฯ ร่วมมือกับทางทวิตเตอร์ กับบทความหัวข้อที่ว่า ”กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐเจรจากับทวิตเตอร์เรื่องอิหร่าน” ”กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐ กล่าวไว้เมื่อวันอังคารว่า พวกเขาได้ติดต่อไปยังทวิตเตอร์ผู้ให้บริการเครือข่ายสังคมออนไลน์เพื่อขอให้พวกเขาชะลอการอัพเกรดที่จะลดเวลาการให้บริการในช่วงเวลากลางวันกับชาวอิหร่านที่กำลังถกกันเรื่องการเลือกตั้ง”

ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว ประเทศสหรัฐฯ กำลังดำเนินการการปฏิวัติสี (Colour Revolution) อย่างรุนแรง อยู่ในประเทศอิหร่าน พวกเขาได้ใช้ทวิตเตอร์ในการประสานและวางแผนงาน และไม่ต้องการให้เกิดการสะดุดหรือหยุดชะงักการใช้งานระหว่างที่พวกเขากำลังปฏิบัติการกันอยู่

ผมอยากจะขอยกบทความจากเว็บไซต์ของนิวยอร์ค ไทมส์ (New York Times) เมื่อปีค.ศ. 2011 นี้ขึ้นมาอีกครั้ง เนื่องจากมันเป็นบทความที่ยอดเยี่ยมมาก เพราะมันมีการยอมรับอยู่หลายประเด็นด้วยกัน ภายใต้หัวข้อ ”กลุ่มองค์กรต่างๆของสหรัฐฯ ช่วยสนับสนุนการการลุกฮือของชาวอาหรับ” พวกเขาออกมายอมรับว่ารัฐบาลสหรัฐฯ ให้เงินทุนสนับสนุนกลุ่มต่อต้านเหล่านั้นทั้งหมด การลุกฮือในครั้งนั้นไม่ได้เป็นการเกิดขึ้นแบบอย่างฉับพลัน กระทันหัน หรือที่ไม่ได้เกิดจากการรวมตัวกันเองของกลุ่มชาวอาหรับ แต่กลุ่มคนเหล่านี้ได้รับการถูกฝึกอบรมมาก่อนหน้านั้นนานหลายปีแล้วครับ และจากบทความเดิม ยังมีการยอมรับเกี่ยวกับการฝึกอบรมดังกล่าว ที่ระบุว่า ”ผู้นำเยาวชนของชาวอียิปต์บางคนได้เข้าร่วมการประชุมเทคโนโลยีในปี ค.ศ. 2008...”

“...และบรรดาผู้ให้การสนับสนุนการประชุมนี้ ได้แก่ เฟสบุ๊ค (Facebook) , กูเกิล (Google) , เอ็มทีวี (MTV - Music Television) , โรงเรียนกฏหมายโคลัมเบีย (Columbia Law School) และกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐ” บรรดาผู้ให้การสนับสนุนเหล่านี้ได้ร่วมงานกันมาเป็นเวลาสิบปีแล้วและยังคงร่วมงานกันอยู่ การที่ทวิตเตอร์ได้ทำอีโมจิเพื่อกลุ่มพันธมิตรชานมนั้น เพราะกลุ่มพันธมิตรชานมเป็นโครงการของกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐครับ

ในทวีปเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เต็มไปด้วยรัฐบาลของแต่ละประเทศที่สร้างความสัมพันธ์กับประเทศจีนมาเนิ่นนานและจะไม่มีวันที่จะตัดความสัมพันธ์ที่ว่านั้น เพราะเพียงแค่ประเทศสหรัฐฯ สั่งให้ทำ ดังนั้น ประเทศสหรัฐฯ จึงต้องสร้างกลุ่มต่อต้านเหล่านี้ เพื่อใช้ในการโค่นรัฐบาลเหล่านั้น แล้วเปลี่ยน แปลงระบอบการปกครองโดยตั้งรัฐบาลหุ่นเชิดขึ้นมาแทนที่เพื่อให้ตัดความ สัมพันธ์กับประเทศจีนลงครับ

และจากข้อความของทวิตเตอร์ที่ได้ออกมาประกาศเกี่ยวกับการทำอีโมจิ เพื่อกลุ่มพันธมิตรชานม ถือว่าเป็นเรื่องสำคัญมากสำหรับนายเนติวิทย์ ที่ทุกคนคงจำเขาได้ เขาเป็นนักเคลื่อนไหวชาวไทยคนหนึ่งที่ได้ไปพูดบรรยายในงานเวทีเสรีภาพออสโล (Oslo Freedom Forum) ซึ่งสำนักข่าวบีบีซี (BBC) ได้ไปร่วมทำข่าวและยอมรับเองผ่านการรายงานว่า

“นี่อาจไม่ได้เกิดขึ้นจากการปลุกจิตวิญญาณในตัวของนักเคลื่อนไหว แต่ถ้าหากการเรียนการสอนจากที่นี่ไปจะประสบความสำเร็จในการโค่นล้มรัฐบาลให้ได้อย่างถาวรนั้น คนที่มาที่นี่จะต้องมีระเบียบ ต้องทุ่มเทกับการวางแผนอย่างพิถีพิถัน นักเคลื่อนไหวที่นี่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องในการให้ความช่วยเหลือกับการจัดการประท้วงที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ในฮ่องกง ณ ปัจจุบัน แผนการของพวกเขาคือการนำผู้คนนับพันออกมาลงถนน ที่จริงแล้วมันได้เกิดขึ้นจากที่นี่เมื่อเกือบสองปีก่อน”

นี่คือทุกแง่มุมที่นักข่าวบีบีซีได้พยายามบอกกับทุกคน เกี่ยวกับนักเคลื่อน ไหวเหล่านี้ รวมไปถึงที่ทางทวิตเตอร์ให้การสนับสนุนพวกเขา พวกเขาพยายามทำให้เหมือนว่ามันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเองทั้งหมด นักเคลื่อนไหวทุกคนได้มารวมตัวกันเอง แต่มันไม่ใช่เลยครับ พวกเขาทั้งหมดได้รับเงินทุนและได้รับการสนับสนุนและกำกับโดยกลุ่มคนกลุ่มเดียวกันในวอชิงตันดีซี

นี่คือความอันตรายของการปล่อยให้แพลตฟอร์มสื่อสังคมออนไลน์ของประเทศสหรัฐฯ ครอบครองพื้นที่ทางข้อมูลในประเทศของทุกคน ในทวีปเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ค่อนข้างที่จะติดหรือพึ่งกับการใช้งานบนเฟสบุ๊ค และทวิตเตอร์มากเกินไป พวกเขาจำเป็นจะต้องสร้างและพัฒนาแพลต ฟอร์มของตัวเองและผลักดันให้เครือข่ายสื่อสังคมออนไลน์ ของประเทศสหรัฐฯ ออกไปจากพื้นที่ข้อมูลของทุกคนครับ

ไบรอัน เบอร์เลติก ฝรั่งอเมริกันที่เคยออกมาแฉเฟซบุ๊ก


ที่มา: https://www.facebook.com/105777441608823/posts/119955130191054/

 

เพจ Street Hero Project ไขข้อข้องใจ ทำไมอิสราเอลฉีดวัคซีนได้ครอบคลุม 70% ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนที่มีการฉีดให้ประชากรสูงที่สุดในโลก โดยระบุว่า...

ทำไมอิสราเอลถึงฉีดวัคซีนได้ถึง 70% เป็นประเทศแรกของโลก เอาข้อมูลมาให้วิเคราะห์กัน

1.) อิสราเอลยอมจ่ายค่าวัคซีนล่วงหน้าให้บริษัทผู้ผลิตในราคาที่แพงกว่าที่สหรัฐฯ และยุโรปซื้อมากกว่า 35%

เฉลี่ย 1 คน ใช้เงิน 47 us แต่ยุโรปใช้เงิน 35 us (วัคซีนของ Pfizer และ Moderna)

2.) พื้นที่ประเทศขนาด 2 หมื่น ตร.กม. (เล็กกว่าโคราชเล็กน้อย) ประชากร 8.66 ล้านคน ทำให้ใช้งบประมาณและจำนวนวัคซีนไม่เยอะ ใช้เวลาฉีดวัคซีนรวมกว่า 100 วัน

3.) ปัจจุบันอิสราเอลมีผู้ติดเชื้อสะสม 8 แสนกว่าคน เสียชีวิต 6 พันกว่าคน และผู้ติดเชื้อรายใหม่ที่ 2 ร้อยกว่าคน

#ข้อมูลเสริม

อันดับ 2-3 ของโลก คือ อังกฤษที่ 48% และสหรัฐฯ ที่ 40% ทั้งสองคือประเทศที่วิจัยและผลิตวัคซีนได้เอง

ในเอเชีย สิงคโปร์เป็นชาติแรกที่ได้วัคซีนโดยจ่ายเงินล่วงหน้าในราคาที่แพงกว่าประเทศในเอเชียด้วยกัน

ปัจจุบันสิงคโปร์ฉีดวัคซีนได้ที่ 20% เกาหลีใต้ 3% ญี่ปุ่น 0.9% ไทย 0.7% เวียดนาม 0.1%

พอจะได้คำตอบไหมครับ

https://www.timesofisrael.com/liveblog_entry/israel-said-to-be-a-leader-in-number-of-covid-related-fines/


ที่มา : https://www.facebook.com/838203756283643/posts/3525020537601938/


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top