Tuesday, 24 June 2025
TheStatesTimes

ฟังแล้วอาจจะดูแปลก ๆ เพราะเวลาพูดถึงสมาชิกแบบรายเดือน หลายคนก็มักจะนึกถึง Spotify สตรีมมิงสำหรับฟังเพลง Netflix สำหรับดูภาพยนตร์ หรือ Dollar Shave Club บริการสมาชิกมีดโกนหนวดรายเดือน

อย่างไรก็ตาม เหล่านี้เป็นบริการสมาชิกที่เกี่ยวข้องกับ ‘มนุษย์’ หากแต่ในมุมหนึ่ง ในโลกก็ยังมีบริการสมาชิกในอุตสาหกรรมสัตว์เลี้ยงอีกด้วย และหนึ่งในนั้นก็คือ BarkBox แพลตฟอร์มสมาชิกรายเดือนสำหรับคนรักสุนัขที่กำลังเติบโต และปัจจุบัน มีมูลค่าสูงถึง 6 หมื่นล้านบาท

เหตุผลเพราะพฤติกรรมของคนที่ต้องอยู่บ้านมากขึ้น เพราะการระบาดของ ‘โควิด-19’ ทำให้ ‘ธุรกิจที่เกี่ยวกับสัตว์เลี้ยง’ โดยเฉพาะสุนัข จึงยังไปได้ดี

แล้วสมาชิกรายเดือนของ BarkBox แพลตฟอร์มเพื่อคนรักสุนัข มีหน้าตาเป็นอย่างไร ?

จุดเริ่มต้น BarkBox เกิดขึ้นเมื่อ 9 ปีก่อน โดยผู้ก่อตั้ง 3 คน ได้แก่ Carly Strife, Matt Meeker และ Henrik Werdelin ซึ่งมองว่าการเลี้ยงสุนัขที่ดี คือการส่งเสริมให้สุนัขได้เรียนรู้และเจอสิ่งใหม่ตลอดเวลา

ดังนั้นนอกจากอาหารแล้ว ‘ของเล่นและขนม’ จึงเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ช่วยส่งเสริมพัฒนาการของสุนัข

อย่างไรก็ตาม พวกเขากลับพบว่าพนักงานส่วนใหญ่ในร้านค้าสำหรับสัตว์เลี้ยงไม่มีความเชี่ยวชาญด้านการเลือกผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสม และพวกเขามักจะไม่ได้รับความช่วยเหลือในการเลี้ยงดูสัตว์เลี้ยงเท่าที่ควร

เรื่องดังกล่าวจึงทำให้พวกเขาเกิดไอเดียในการสร้างเว็บไซต์ BarkBox ขึ้นมา ซึ่งพวกเขาคิดว่า BarkBox จะเป็นโมเดลธุรกิจที่จะช่วยเหลือกลุ่มเจ้าของสุนัขได้อย่างตรงจุด

แล้วโมเดลธุรกิจที่ว่านี้ คืออะไร?

BarkBox มีโมเดลธุรกิจก็คือ การมัดรวมผลิตภัณฑ์สำหรับสุนัข เช่น ของเล่น ขนม และอาหาร เข้ามาอยู่ภายในกล่องเดียวกัน และจะส่งมอบให้กับลูกค้าที่สมัครเข้ามาเป็นสมาชิก

ทั้งนี้ ก็เพื่อให้กลุ่มผู้เลี้ยงสุนัขไม่ต้องมานั่งคิดว่าแต่ละเดือน จะต้องหาซื้อผลิตภัณฑ์เสริมอะไรบ้าง โดยลูกค้าที่สมัครเข้ามาเป็นสมาชิกก็จะสามารถกำหนดได้ว่าต้องการสินค้ากลุ่มใดเป็นพิเศษ ไม่ว่าจะเป็นการขอหลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่อาจส่งผลต่อภูมิแพ้ หรือเลือกกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมกับสุนัขแต่ละประเภท ซึ่งจะมีราคาอยู่ในช่วงระหว่าง 700 ถึง 1,100 บาท ต่อเดือน

ด้วยความที่กลุ่มผู้ก่อตั้งเป็นกลุ่มคนรักสุนัขอยู่แล้ว BarkBox จึงเข้าใจถึงปัญหาที่เกิดขึ้นในการเลี้ยงสุนัขเป็นอย่างดี

พวกเขาจึงได้นำประสบการณ์ไปปรับให้บริการมีความยืดหยุ่น และให้ความใส่ใจแก่กลุ่มเจ้าของสุนัขได้ดีทั้งในมุมของผลิตภัณฑ์ที่คัดสรรมา รวมถึงการให้คำปรึกษาแก่ผู้ใช้งานผ่านแพลตฟอร์มต่างๆ แบ่งออกเป็น…

- Facebook มีผู้ติดตาม 3 ล้านบัญชี

- Instagram มีผู้ติดตาม 1.7 ล้านบัญชี

- Twitter มีผู้ติดตาม 3 แสนบัญชี

ส่งผลให้ขณะนี้ แพลตฟอร์ม BarkBox กลายเป็นที่ชื่นชอบของชาวอเมริกันอย่างมาก ซึ่งปัจจุบัน BarkBox มีจำนวนสมาชิกรายเดือน 660,000 ราย เติบโตขึ้นเป็น 8 เท่า เมื่อเทียบกับ 5 ปีก่อน แถมบริษัทยังมี Retention Rate หรืออัตราการใช้บริการซ้ำมากถึง 95%

แล้วนอกจากบริการกล่องของเล่น ขนม และอาหารแล้ว ตอนนี้ บริษัท BarkBox ยังมีบริการอะไรอีกบ้าง ?

ปัจจุบัน BarkBox มีบริการอยู่ 4 แบบ แบ่งออกเป็น…

1.) BarkBox เป็นบริการรายเดือนที่จะส่งขนม ของเล่น และเกมสำหรับใช้เล่นกับสุนัข ซึ่งเหมาะกับสุนัขขนาดเล็ก

2.) Super Chewer เป็นบริการส่งผลิตภัณฑ์ที่เหมือนกับ BarkBox แต่สำหรับสุนัขที่มีขนาดตัว หรือปากที่ใหญ่

3.) Bark Bright เป็นนวัตกรรมสำหรับดูแลฟันและลมหายใจของสุนัข และอนาคต BarkBox ได้มีแผนในการต่อยอด Bark Bright ให้เป็นแพลตฟอร์มสำหรับดูแลสุขภาพของสุนัขแบบครบวงจร

4.) Bark Eats เป็นการให้บริการเลือกอาหารที่ส่งผลดีต่อสุขภาพของสุนัข

สำหรับ Bark Eats นั้น จะมีการสอบถามเพิ่มเติมโดยตรงกับกลุ่มลูกค้า และจะนำข้อมูลที่ได้นั้นไปทำการวิเคราะห์ต่อเพื่อนำไปพัฒนาการนำเสนอ และส่งมอบอาหารที่เหมาะสมกับสุนัขให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น

จากจุดนี้เองทำให้ BarkBoxจะแตกต่างจากโมเดลธุรกิจแบบเดิมที่เน้นเฉพาะการขายอาหารสัตว์เลี้ยงเพียงอย่างเดียว โดยบริการ Bark Bright และ Bark Eats เพิ่งทำการเปิดให้บริการเมื่อปีที่แล้ว แต่ก็ได้รับผลตอบรับที่ดีจากลูกค้า ซึ่งในส่วนบริการใหม่นี้ทางบริษัทได้คาดว่าจะเป็นตัวสำคัญที่สามารถสร้างการเติบโตแบบก้าวกระโดดให้กับ BarkBox และทางบริษัทคาดการณ์ว่ามันจะเป็นบริการที่เข้ามาดิสรัปอุตสาหกรรมอาหารสัตว์เลี้ยงอีกด้วย

แล้วปัจจุบัน BarkBox มีรายได้ขนาดไหน?

ผลประกอบการของบริษัทที่ผ่านมา 3 ปีย้อนหลัง

...ปี 2018 รายได้ 4,520 ล้านบาท

…ปี 2019 รายได้ 5,840 ล้านบาท เติบโต 29 %

...ปี 2020 รายได้ 6,850 ล้านบาท เติบโต 17%

จากข้อมูล เราก็พอสรุปได้ว่า BarkBox สามารถสร้างการเติบโตได้ต่อเนื่องแม้ว่าจะเผชิญกับช่วงวิกฤตโควิด-19 ในปีที่ผ่านมา

ในขณะเดียวกัน ทางบริษัทก็ได้ตั้งเป้ารายได้โตเฉลี่ยปีละ 47% จากการเพิ่มจำนวนสมาชิกและการขยายกลุ่มผลิตภัณฑ์และบริการใหม่ในอีก 3 ปีข้างหน้า ซึ่งสะท้อนไปยังบริษัท BarkBox ที่ปัจจุบัน มีมูลค่าสูงถึง 6 หมื่นล้านบาท

นี่คืออีกธุรกิจที่มีความเข้าใจ และสามารถนำความเข้าใจมาพัฒนาเป็นสินค้า หรือบริการขึ้นมา เพื่อแก้ไขปัญหาได้อย่างแท้จริง จนตอนนี้มีมูลค่าระดับ 6 หมื่นล้าน ไปแล้วนั่นเอง


ที่มา: https://www.facebook.com/113397052526245/posts/1028981634301111/

สาธารณสุข ร่วมสวนนงนุชพัทยาสานพลังเอกชนพัฒนาคุณภาพชีวิต สร้างสุขภาพดี

เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 22 มี .ค.64 ที่สวนนงนุชพัทยา อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี นายกัมพล ตันสัจจา ประธานสวนนงนุชพัทยา ร่วมกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุขเปิดการอบรมเชิงปฏิบัติการ โครงการสานพลังเอกชนพัฒนาคุณภาพชีวิต สร้างสุขภาพดี วิถีใหม่ วิถีธรรม วิถีไทย วิถีเศรษฐกิจพอเพียง โดยมี ดร.นายแพทย์อุทัย สุดสุข ประธานที่ปรึกษามูลนิธิอุทัย สุดสุข แพทย์หญิงศศิธร  ตั้งสวัสดิ์  ผู้อำนวยการกองโรคไม่ติดต่อ กรมควบคุมโรค พร้อมคณะวิทยากร และผู้บริหารพนักงานสวนนงนุชพัทยา 45 คน เข้าร่วมอบรม ระหว่างวันที่ 22 - 24 มีนาคม  2564

นายกัมพล  ตันสัจจา ประธานสวนนงนุชพัทยา กล่าวว่าโครงการอบรมดังกล่าว จัดขึ้นเพื่อให้พนักงานทุกคนที่เข้าร่วมอบรม ได้ทราบถึงแนวทางการรักษาสุขภาพ และสามารถลดความเสี่ยงในการเกิดโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง และเป็นการส่งเสริมให้ภาคเอกชนจัดตั้งและพัฒนาศูนย์การเรียนรู้และนวัตกรรมสุขภาพดี วิถีใหม่ วิถีธรรม วิถีไทย วิถีเศรษฐกิจพอเพียง และสถานีบริการตรวจสุขภาพด้วยตนเอง ในรูปแบบที่สร้างสรรค์ ทันสมัย น่าสนใจ เพิ่มช่องทางการเข้าถึงความรู้ด้านสุขภาพของประชาชน โดยเน้นโรคความดันโลหิตสูง และโรคเบาหวาน เพื่อให้จำนวนผู้ป่วยใหม่ลดลง ลดภาวะแทรกซ้อน และอาการผู้ป่วยโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง หายหรือทุเลาลง และมีความสุขในการทำงานและการดำเนินชีวิต

ด้าน ดร.นายแพทย์อุทัย สุดสุข ในวัย 90 ปี แต่ยังมีสุขภาพที่สมบูรณ์แข็งแรง ประธานที่ปรึกษามูลนิธิอุทัย สุดสุข กล่าวว่า เพื่อสนับสนุนองค์กรเครือข่ายภาคเอกชน ให้มีส่วนร่วมในระบบสุขภาพปฐมภูมิและขับเคลื่อนการสร้างสุขภาพดีวิถีใหม่ วิถีธรรม วิถีไทย วิถีเศรษฐกิจพอเพียง (สธทศ.) และขยายผลแนวคิดธุรกิจเชิงสุขภาพ เพื่อให้มีวิทยากรภาคเอกชนที่มีความรู้ สามารถไปปฏิบัติและถ่ายทอดความรู้และการปฏิบัติสู่ประชาชนทั่วไป ได้อย่างมีคุณภาพ และได้นำโครงการฯ นี้ มาจัดที่สวนนงนุชพัทยา

เนื่องจาก ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ได้กรุณาลงนามเห็นชอบนโยบายสุขภาพดี วิถีใหม่ วิถีธรรม  วิถีไทย  วิถีเศรษฐกิจพอเพียงของ กระทรวงสาธารณสุข พ.ศ.2564-2570 ซึ่งเป็นนโยบายที่ได้เน้น ที่จะส่งเสริมให้ประชาชนคนไทยทุกคน มีสุขภาพแข็งแรง โดยนำหลักธรรมะแต่ละศาสนามาปฎิบัติ ควบคู่กับการแพทย์แผนปัจจุบัน แผนไทย แผนทางเลือก โดยบรูณาการเรื่องของการดูแลสุขภาพ และน้อมนำหลักเศรษฐกิจพอเพียงมาปฎิบัติ โดยเลือกสวนนงนุชพัทยา เป็นสถานที่ฝึกอบรม เนื่องจากมีความเหมาะสมและมีความพร้อม ที่จะรับนโยบายไปขับเคลื่อนและต่อยอดผู้ที่มาท่องเที่ยวจำนวนมากไดั โดยได้จัดตั้งศูนย์เรียนรู้ขึ้น เนื่องจากมีอุปกรณ์พร้อมที่จะตรวจเช็คสุขภาพด้วยตนเอง


ภาพ/ข่าว : นิราช ทิพย์ศรี / นันทพล  ทิพย์ศรี 

จันทุบรี จัดกิจกรรม วัน อปพร.ประจำปี 2564 ยกย่องเชิดชูคุณงามความดีของผู้เสียสละช่วยเหลือสังคม พร้อมสาธิตการช่วยเหลือผู้ประสบสาธารณะภัย และอุบัติเหตุรถแก๊สไฟไหม้

บ่ายวันนี้ ( 22 มี.ค.64 ) ที่ลานองค์การบริหารส่วนจังหวัดจันทบุรี ศูนย์ ปภ.เขต 17  จันทบุรี และสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดจันทบุรีเป็นเจ้าภาพจัดกิจกรรม วัน อปพร.ประจำปี 2564 พร้อมทั้งสาธิต ฝึกซ้อมการใช้อุปกรณ์และเครื่องจักรกลสาธารณภัย ในที่สูงด้วยรถดับเพลิงหอน้ำ สาธิตการใช้รถดับไฟป่า และการจำลองเหตุการณ์อุบัติเหตุเพลิงไหม้รถยนต์ที่ใช้แก๊สเป็นเชื้อเพลิง ให้ความรู้ ความเข้าใจแก่ อปพร.ในการขอรับการสนับสนุนอุปกรณ์ช่วยชีวิตผู้ประสบภัย โทรสายด่วน 199 และ สายด่วน 1669 การดับเพลิงเบื้องต้น การกันประชาชนออกจากจุดเกิดเหตุป้องกันภัยลุกลาม

โดยนายอลงกรณ์ แอคะรัจน์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดจันทบุรี นำหัวหน้าส่วนราชการ ผู้แทนองค์กรภาคเอกชนที่เกี่ยวข้องร่วมชมการสาธิต และเป็นกำลังใจแก่เจ้าหน้าที่ หลังจากนั้น รองผู้ว่าราชการจังหวัดจันทบุรีเป็นประธานในพิธีปฏิญาณตนเนื่องในวัน อปพร.และอ่านสารจากนายกรัฐมนตรี ซึ่งทุกวันที่ 22 มีนาคม ของปีถือเป็นวันสำคัญของอาสาสมัครป้องกันภัยฝ่ายพลเรือน โดยศูนย์ อปพร. กลาง กำหนดให้เป็น “วันอปพร.” เพื่อยกย่องเชิดชูคุณงามความดีของ อปพร. ที่ได้เสียสละอุทิศ กำลังกาย กำลังใจและความรู้ ความสามารถที่มี เข้ามาช่วยเหลือสังคมภายใต้อุดมการณ์ “เมตตา กล้าหาญ” โดยมิได้หวังผลประโยชน์หรือสิ่งตอบแทนใดๆ จนเป็นที่ประจักษ์แก่สังคม

 

ปัจจุบัน อปพร.ถือเป็นพลังภาคประชาชนที่มีความสำคัญอย่างยิ่งในการสนับสนุน ผลักดันนโยบายของรัฐบาล ไปสู่การปฏิบัติในระดับพื้นที่ด้วยความมุ่งมั่น อดทนและเสียละเพื่อช่วยเหลือบรรเทาทุกข์ให้กับประชาชนในด้านการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย การสร้างความปลอดภัยให้สังคม โดยการจัดกิจกรรมวันนี้ มีผู้บริหารศูนย์ อปพร. / เจ้าหน้าที่ประจำศูนย์ / ผู้นำ อปพร.และสมาชิก จากจังหวัด ชลบุรี,ระยอง,จันทบุรี และ จังหวัดตราด ร่วมกิจกรรมรวม 270 คน


ภาพ/ข่าว : จรัล บรรยงคเสนา (ผู้สื่อข่าว จ.จันทบุรี) / นายพรเทพ เขม้นเขตวิทย์ รายงานจากศูนย์ข่าวภาคตะวันออก

"ครูใหญ่" นำ 16 แกนนำคณะราษฎรขอนแก่น เข้ารายงานตัวต่อตำรวจขอนแก่นตามหมายเรียก ขณะที่ตำรวจวางกำลังเข้ม ด้านผู้ชุมนุมปิดถนน 1 ช่องทาง กางเต๊นท์ปักหลักรอผลการสอบสวน

เมื่อเวลา 12.00 น. วันที่ 22 มี.ค.2564 ที่ สภ.เมืองขอนแก่น นายอรรถพล บัวพัฒน์ หรือ ครูใหญ่ แกนนำกลุ่มขอนแก่นพอกันที นำแกนนำคณะราษฎรขอนแก่น รวม 16 คนเข้ารายงานตัวต่อพนักงานสอบสวน สภ.เมืองขอนแก่น ตามหมายเรียกให้ทั้ง 16 คนเข้ารายงานตัวในวันนี้ ท่ามกลางมาตรการป้องกันและรักษาความสงบของเจ้าหน้าที่ตำรวจทั้งในและนอกเครื่องแบบอย่างเข้มงวด ด้วยกำลังกองร้อยควบคุมฝูงชนและปราบจราจลจำนวน 4 กองร้อยจาก จ.ขอนแก่น,กาฬสินธุ์ และ จ.มหาสารคาม วางกำลังโดยรอบ สภ.เมืองขอนแก่น และฝั่งตรงข้าม สภ.เมืองขอนแก่น อย่างเข้มงวด

เนื่องจาก สภ.เมืองขอนแก่นตั้งอยู่ใจกลางเมืองซึ่งมีตลาด ร้านทอง สถาบันการศึกษา โรงรับจำนำ ที่มีประชาชนเดินทางมาใช้บริการอย่างคับคั่ง โดยมีการตรวจสอบคนเข้า-ออก สภ.เมืองขอนแก่น อย่างเข้มงวด และไม่ให้ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องเข้าไปภายใน สภ.เมืองขอนแก่นอย่างเด็ดขาด ขณะที่ผู้ที่มาติดต่อราชการให้ผ่านได้ทางประตูด้านข้างโดยมีเจ้าหน้าที่ตรวจสอบอย่างเข้มงวดเช่นกัน

และเมื่อแกนนำทั้ง 16 คนเดินทางมาครบ เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงเรียกแกนนำเข้าพบพนักงานสอบสวน โดยเริ่มเหตุการการณ์ชุมนุมที่ สภ.ย่อย มข. เมื่อวันที่ 1 มี.ค. ต่อด้วยเหตุการชุมนุม ที่ มหาวิทยาลัยขอนแก่น เมื่อวันที่ 12 ก.พ. และการชุมนุม ที่ สภ.เมืองขอนแก่น เมื่อวันที่ 20 ก.พ. โดยแกนนำทั้งหมดและทนายความได้เดินทางเข้าไปภายใน สภ.เมืองขอนแก่น โดยเจ้าหน้าที่ได้อนุญาตให้ผู้ติดตามแกนนำเข้าไปร่วมรับฟังการสอบปากคำได้แบบ 1 ต่อ 1

โดยไม่อนุญาตผู้ที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง รวมทั้งสื่อมวลชนเข้าไปภายใน สภ.เมืองขอนแก่น ทำให้กลุ่มผู้ชุมนุมที่มาให้กำลังใจ ที่ไม่ได้เข้าไปภายใน สภ.เมืองขอนแก่น ทำการนำเต๊นท์มาตั้งบน ถ.กลางเมือง 1 ช่องทาง พร้อมทั้งการหมุนเวียนกันปราศรัยและรอติดตามการดำเนินการของเจ้าหน้าที่ตำรวจตลอดทั้งวันในวันนี้ ซึ่งก่อนเดินทางเข้ารายงานตัวนั้นกลุ่มผู้ชุมนุมได้มอบดอกกุหลาบเพื่อให้กำลังใจกับเหล่าบรรดาแกนนำทั้งหมด

อย่างไรก็ตามขณะนี้แกนนำกลุ่มราษฎรขอนแก่นทั้ง 16 คน ประกอบด้วยนายอรรถพล บัวพัฒน์ หรือ ครูใหญ่,นายวชิรวิทย์ เทศศรีเมือง หรือ เซฟ,นายชัยธวัช รามมะเริง,นายนิติกร ค้ำชู,นายกรชนก แสนประเสริฐ,นายพชร สารธิยากุล,นายธนศักดิ์ โพธิเตมิย์,นายวีรภัทร ศิริสุนทร,นายภานุพงศ์ ศรีธนานุวัฒน์,นายศรายุทธ นาคมณี,น.ส.จตุพร แซ่อึง,นายเชษฐา กลิ่นดี,นายศิวกร นามนวด,นายเจตน์สฤษดิ์ นามโคตร,นายอิศเรษฐ์ เจริญคง และ น.ส.วิศัลยา งามนา อยู่ในระหว่างการสอบสวน ของเจ้าหน้าที่ตำรวจ

ขณะที่ผู้ชุมนุมยังคงปักหลักหน้า สภ.เมืองขอนแก่น ต่อไป ท่ามกลางมาตรการป้องกันและรักษาความปลอดภัยของเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดควบคุมฝูงชนและปราบจราจล รวมทั้งเจ้าหน้าที่ตำรวจทั้งในและนอกเครื่องแบบที่กระจายกำลังอยู่โดยรอบสถานที่ชุมนุม และ สภ.เมืองขอนแก่น อย่างเข้มงวด

“ประยุทธ์” สั่งเดินหน้า “เมืองต้นแบบที่ 4” หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องละเอียดรอบคอบ ในการ ขับเคลื่อน

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี “สั่งการ” ให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง เดินหน้า ในการ ผลักดัน “เมืองอุตสาหกรรมแห่งอนาคต” หรือ”เมืองต้นแบบที่ 4” มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน ต่อไป ตามมติ ครม. 7 พฤษภาคม 2562 โดยให้ ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ ( ศอ.บต. ) เป็นฝ่ายอำนวยการ

เพราะได้มีการตรวจสอบในประเด็นของการ ร้องเรียนจาก กลุ่ม เอ็นจีโอ ที่ร้องเรียนถึงความไม่ถูกต้องในขบวนการต่างๆ ของหน่วยงานของรัฐ ที่เข้าไปดำเนินการขับเคลื่อนโครงการ “เมืองต้นแบบที่ 4” ตาม มติ ครม. และตามคำสั่งของ นายกรัฐมนตรี และ รองนายกรัฐมนตรี พล.อ.ประวิตร สุวรรณวงค์ ผู้เป็นประธาน กพต. ที่เป็นผู้เสนอโครงการสรุปว่า

เรื่องที่เอ็นจีโอร้องเรียนต่อ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รมช.กระทรวงเกษตรฯ ก็ดี เรื่องที่ ผู้ช่วยรัฐมนตรีสำนักนายก ที่เดินทางมาตรวจสอบข้อเท็จจริง จากหน่วยงานของรัฐ ทั้งเรื่องของการ เปลี่ยนผังเมือง เรื่องของการออกโฉนดที่ดิน เรื่องของการรับฟังความคิดเห็น และการทำความเข้าใจกับคนในพื้นที่ 3 ตำบล ของ อ.จะนะ ที่เป็นที่ตั้งโครงการ  มีการตรวจสอบแล้ว ว่าอะไรเป็นเรื่องเท็จ อะไรเป็นเรื่องจริง หลังจากนั้น พล.อ.ประยุทธ์ จึงได้สั่งให้ เดินหน้า อย่างไม่ชักช้า

แสดงให้เห็นว่า เรื่องที่ถูก เอ็นจีโอ กล่าวหาต่อ หน่วยงานของรัฐทุกเรื่อง ทุกหน่วยงาน ตั้งแต่ ศอ.บต. ที่ดินอำเภอ ที่ดินจังหวัด สำนักงานโยธาธิการ ไม่มีข้อเท็จจริง และแม้แต่การที่ สส.ฝ่ายค้านนำเรื่องนี้ ไปอภิปราย ในการอภิปรายไม่ไว้วางใจ นายนิพนธ์ บุญญามณี รมช.มหาดไทย ว่าเป็นผู้ “เอื้อ” ประโยชน์ ให้กับนายทุน ก็ไม่มีน้ำหนัก

หลังการอภิปราย เอ็นจีโอ และ กลุ่มผู้เห็นต่าง ในพื้นที่ อ.จะนะ ที่ต่อต้านโครงการ”เมืองต้นแบบที่ 4” ถึงขนาด ปล่อยข่าวว่า จะมีการย้าย พล.ร.ต.สมเกียรติ ผลประยูร เลขาธิการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ และนายชนธัญ แสงพุ่ม ( ดร.เจ๋ง ) รองเลขาธิการ ศอ.บต. ออกจากพื้นที่ เพราะเชื่อมั่นว่าการ ร้องเรียนเพื่อ เอาผิด กับ ทุกหน่วยงานราชการที่เกี่ยว และการ อภิปรายของฝ่ายค้าน จะเป็น”หมัดเด็ด”นั้น  สลายเป็นอากาศธาตุในทันที ที่ พล.อ.ประยุทธ์ มีการสั่งการเดินหน้า ของ โครงการ”เมืองต้นแบบที่ 4”

และ หลังที่คำสั่งของ พล.อ.ประยุทธ์ ถูก”สื่อ”ส่วนกลาง นำเสนอ เอ็นจีโอ ในพื้นที่ก็มีการ ต่อสายกับ”เครือข่าย” และกลุ่มผู้ที่”เห็นต่าง” ในพื้นที่ เพื่อเตรียมการกำหนดแผนในการ ขับเคลื่อน เพื่อการต่อต้าน โครงการ”เมืองต้นแบบที่ 4” ต่อไป ซึ่งจะต้องติดตามว่า ครั้งนี้ เอ็นจีโอ และกลุ่มผู้เห็นต่าง จะใช้แผนอะไร ในการ ต่อต้าน เพื่อมิให้ โครงการนี้เดินหน้าเพราะเมื่อผลจากการสอบสวนในข้อร้องเรียนไม่เป็นจริง การที่จะต่อต้าน ย่อมขาดความชอบธรรม

วันนี้ กลุ่มผู้ที่ออกมาเคลื่อนไหว เพื่อการต่อต้าน “เมืองต้นแบบที่ 4” มีอย่างน้อย 2 กลุ่ม กลุ่มที่ 1 เป็นกลุ่มเก่า ที่เป็นผลผลิตของ เอ็นจีโอ ตั้งแต่การต่อต้าน โรงงานท่อก๊าซไทย-มาเลเซีย เมื่อ 20 ปีก่อน และกลุ่มที่ 2 ที่ปรากฏตัวแบบชัดเจน ไม่มีการเป็น”อีแอบ”แล้ว ในขณะนี้คือ กลุ่มของโรงเรียนเอกชนสอนศาสนา ซึ่งถือเป็นกลุ่มใหญ่ ที่เกิดขึ้นมา

ซึ่งหน่วยงานที่ถูกตั้งขึ้นเพื่อรับผิดชอบในเรื่องการทำความเข้าใจ รวมทั้งเจ้าหน้าที่ฝ่ายมวลชนของ”กลุ่มทุน” ต้องนับหนึ่งใหม่ ในการสร้างความเข้าใจ การให้รายละเอียดของโครงการ การรับฟังความคิดเห็น และข้อเสนอแนะ ข้อเรียกร้อง ให้เป็นไปตาม ขบวนการ เพื่อสร้างความชอบธรรม และต้องทำให้”โปร่งใส” ครบถ้วนทุกขั้นตอน เพื่อสร้างความชอบธรรมให้เกิดขึ้น โดยไม่จำเป็นที่จะต้องรีบร้อนแต่อย่าใด

ส่วนกลุ่มโรงเรียนเอกชนสอนศาสนา นั้น เป็นกลุ่มใหม่ที่ต่อต้านโครงการนี้ ซึ่งอาจะมีปัญหาของความ”ไม่เข้าใจ” ปัญหาการ ไม่ให้เกียรติกัน ไม่เห็นความสำคัญ และไม่ได้มีส่วนร่วมในโครงการดังกล่าว  ซึ่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ในการทำความเข้าใจ ก็ต้องไปคิดว่าจะดำเนินการอย่างไร เพราะแต่ละกลุ่ม มีความคิด ความเห็น ความต้องการ ที่ไม่เหมือนกัน แต่เชื่อว่า หลังจากการเลือกตั้งท้องระดับเทศบาลผ่านไป สถานการณ์ในพื้นที่อาจจะนิ่งในระดับหนึ่ง เพราะต้องยอมรับว่าเรื่องของการเมืองท้องถิ่น ก็มีส่วนในการสร้าง ก๊ก สร้างกลุ่ม สร้างความขัดแย้งในพื้นที่ โดยมีโครงการ”เมืองต้นแบบที่ 4” เป็น”เหยื่อ” เช่นกัน

บรรทัดนี้ จึงขอแสดงความยินดีกับ กลุ่มประชาชน และ องค์กรต่างๆ ที่สนับสนุนให้”เมืองต้นแบบที่ 4” ที่ อ.จะนะ เดินหน้า เพราะต้องการที่จะเห็นความเปลี่ยนแปลงของพื้นที่ภาคใต้ตอนล่าง และใกล้เคียง ที่จะได้รับประโยชน์ จากการเกิดขึ้นของ”เมืองต้นแบบที่ 4” แห่งนี้ เพื่อเปิดประตูของภาคใต้ไปสู่โลกภายนอก และนำเงินตราเข้าสู่ประเทศไทย เพราะวันนี้ ภาคใต้จะหวัง”พึ่งพา” อุตสาหกรรมการท่องเที่ยว และ ผลผลิตทางการเกษตร ไม่ได้อีกต่อไปแล้ว นั่นเอง


ภาพ/ข่าว นายปรีชา สถิตย์เรืองศักดิ์ (หาดใหญ่ จ.สงขลา)

ผอ.ซูเปอร์โพล เผยผลสำรวจส่วนใหญ่เชื่อเปิดประเทศพ้นวิกฤต มั่นใจเปิดได้หวังกระตุ้นเศรษฐกิจ และต้องการใช้ กฏหมายทุกมาตราจัดการม็อบทำลายชาติ ชี้รัฐบาลต่างชาติอย่าหนุนชุมนุมทำลายสถาบันหลักของไทย

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.นพดล กรรณิกา ผู้อำนวยการสำนักวิจัยซูเปอร์โพล (SUPER POLL) เปิดเผยผลสำรวจภาคสนาม เรื่อง เปิดประเทศ พ้นวิกฤต กรณีศึกษาประชาชนทุกสาขาอาชีพทั่วประเทศ โดยดำเนินโครงการทั้งการวิจัยเชิงปริมาณ (Quantitative Research) และการวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) จำนวน 1,600 ตัวอย่าง ดำเนินโครงการระหว่างวันที่ 17 - 20 มีนาคม 2564 ที่ผ่านมา พบว่า ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 95.3 เชื่อว่า เปิดประเทศ พ้นวิกฤต เพราะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจท่องเที่ยว และห่วงโซ่ธุรกิจอื่นๆ ช่วยเพิ่มเงินในกระเป๋าของประชาชน

นอกจากนี้ ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 91.5 ระบุ ประเทศไทยเปิดประเทศได้ เพราะมีวัคซีนแล้ว และเป็นหน้าที่ของทุกคน คนไทยอยู่กับโควิด ให้เป็นบุคลากรการแพทย์ไทยเก่งเครื่องมือทันสมัยติดโควิดก็รักษาได้ แต่ต้องไม่ประมาท การ์ดไม่ตก

ในขณะที่ร้อยละ 88.5 มั่นใจว่า เปิดประเทศแล้ว รัฐบาลและประชาชนช่วยกันทำเศรษฐกิจฐานราก เดินหน้าต่อได้ดีขึ้น

ที่น่าสนใจ คือ ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 90.4 มีความสุข มีความหวัง ที่รัฐบาลจะเปิดประเทศ ช่วงโควิด กระตุ้นเศรษฐกิจ คนต้องการทำมาหากิน

แต่ที่น่าเป็นห่วงคือ ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 92.3 ทุกข์ใจ และต้องการให้ใช้กฎหมายทุกมาตรา จัดการพวกม็อบ พวกท่อน้ำเลี้ยงและนักการเมือง นักวิชาการบางคนยุยงปลุกปั่น ม็อบละเมิดกฎหมาย ก้าวล่วงละเมิดสถาบันหลักของชาติ เผาบ้านตนเอง ชักศึกเข้าบ้าน ทำลายภาษีของประชาชน แกนนำม็อบละเมิดศาล ม็อบละเมิดผู้อื่น คุกคามผู้อื่น เบียดเบียนผู้อื่น ทำลายชาติบ้านเมืองของตนเองด้วยการยั่วยุให้เกิดความรุนแรงบานปลาย

นอกจากนี้ ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 93.1 ต้องการเห็น รัฐบาลต่างชาติ หนุนประเทศไทยเปิดประเทศช่วงโควิด กระตุ้นเศรษฐกิจ ขอรัฐบาลต่างชาติอย่าหนุนม็อบทำลายสถาบันหลักของชาติ สร้างความแตกแยกของคนไทยในชาติ

ในขณะที่ ร้อยละ 89.6 ระบุ รัฐบาลต่างชาติ ควรหนุนประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการเดินทางทั่วโลกอย่างปลอดภัย ปลอดโควิด

นอกจากนี้ ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 73.5 ต้องการค่อนข้างมาก ถึง มากที่สุด ต่อรัฐบาล

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา มีมาตรการใหม่ๆ ช่วยเหลือธุรกิจขนาดกลางและย่อม (SME) ล่วงหน้ารองรับการเปิดประเทศ

ในขณะที่ ร้อยละ 22.4 ระบุปานกลาง และร้อยละ 4.1 ต้องการค่อนข้างน้อย ถึง ไม่เลย

ผอ.ซูเปอร์โพล กล่าวว่า “พวกเราต้องทำหน้าที่” เปิดประเทศ พ้นวิกฤต เพิ่มเงินในกระเป๋าของคนไทยถ้วนหน้า ดึงรัฐบาลต่างชาติมาเสริมสร้างการเปิดประเทศอย่างปลอดภัยสร้างผลประโยชน์ร่วมกันระหว่างชาติ โดยชี้ให้ตรงจุดไปว่า ขอรัฐบาลต่างชาติอย่าร่วมมือกับนักการเมือง นักวิชาการ นักธุรกิจคนไทยบางคนที่พบปะกันบ่อยๆ วางแผนหนุนหลังม็อบ 3 นิ้ว ที่เห็นกันชัดเจนว่า แกนนำม็อบ 3 นิ้ว และนักการเมือง นักธุรกิจ และนักวิชาการบางคน ก้าวล่วงละเมิดสถาบันหลักของชาติ ละเมิดศาล ฝ่าฝืนกฎหมาย เผาทำลายเงินภาษีของประชาชน เบียดเบียนคุกคามผู้อื่น นำไปสู่ความขัดแย้งรุนแรงบานปลายของคนไทยในชาติ

ผอ.ซูเปอร์โพล กล่าวต่อว่า เปิดประเทศ พ้นวิกฤต จะเป็นจริงได้ เมื่อคนไทยทุกคนทำหน้าที่ พลเมืองที่ดี มีความรับผิดชอบ ไม่ชักศึกเข้าบ้าน ไม่เผาชาติบ้านเมืองของตนเอง และรัฐบาลออกมาตรการใหม่ๆ หนุนกลุ่มธุรกิจขนาดกลางและย่อม รองรับการเปิดประเทศจะช่วยทำความสุข ความหวังของประชาชนเป็นจริงขึ้นมาได้ เมื่อประชาชนทุกกลุ่มมีความสุข สมหวังที่ตั้งเป้าไว้ ผลที่ตามมาคือ ม็อบต่างๆ จะจุดติดได้ยาก เพราะคนไทยส่วนใหญ่ไม่เอาด้วย


แหล่งข่าว

https://mgronline.com/politics/detail/9640000027004

พีค of the week EP.11

สัปดาห์ที่ผ่านมา การเมืองร้อนแรง การศึกษาก็ร้อนรุ่ม ส่วนคนในเรือนจำก็เดือดสู้กับอุณหภูมิภายนอกเช่นเดียวกัน เปิดหัวต้นสัปดาห์ ด้วย ‘วัคซีนแอสตราเซเนกาเข็มแรกในประวัติศาสตร์’ ที่ปักลงบนหัวไหล่นายกฯ ประยุทธ์ เป็นสัญญาณดี พร้อมลุยฉีดให้ประชาชนสู้โรคระบาดกันต่อไป แต่ไม่วายมีขาเม้าท์ หาว่าลุงตู่ฉีดวัควีนปลอมไปซะได้ เล่นเอาเดือด!

แต่สายเดือดตัวจริง ต้อง เพนกวิน พริษฐ์ ชีวารักษ์ ศาลเบิกตัวมาไต่สวน แต่เล่นใหญ่ชูสามนิ้วตะโกนขออดข้าว ก็จัดไป! ด้านโลกการศึกษา นักเรียนกลุ่มใหญ่ของประเทศ เจออภิมหาสึนามิการสอบแบบมาธารอน งานนี้ร้องศาลปกครอง ให้ช่วยเลื่อนสอบได้ไหม #DEK64 กำลังถูกทิ้ง ขึ้นเทรนด์ทวิตเตอร์ไปแบบระอุ ปิดท้ายปลายสัปดาห์ด้วย ม็อบที่มาด้วยใจแบบไร้แกนนำ สุดท้ายเลยพัง! หมายถึงข้าวของสาธารณะพัง! แถมบาดเจ็บกันไปไม่น้อย 

ไล่เรียงมาถึงตรงนี้ ตามไปดูความร้อนระอุของข่าวสารรอบสัปดาห์ที่ผ่านมากันได้เลย Let’s go go go! 

.

 

จากกรณีศาลอาญา ออกนั่งบัลลังก์ไต่สวนคดีละเมิดอำนาจศาล ที่ผู้อำนวยการสำนักอำนวยการประจำศาลอาญา หรือ ผอ.ศาลอาญา กล่าวหา นายพริษฐ์ ชิวารักษ์ หรือเพนกวิน จำเลยคดี ม.112 และความผิดฐานชุมนุมโดยฝ่าฝืนกฎหมาย เป็นผู้ถูกกล่าวหาคดีละเมิดอำนาจศาล

กรณีเมื่อวันที่ 15 มีนาคม เวลา 10.00 น. ที่ศาลอาญาได้นัดตรวจพยาน หลักฐานคดีชุมนุมที่ท้องสนามหลวงวันที่ 19-20 ก.ย.63 และอัยการขอให้รวมสำนวนคดี ปรากฏว่ามีรายงานว่านายพริษฐ์ปฏิบัติตัวไม่เรียบร้อย โต้ตอบผู้พิพากษาในขณะปฏิบัติหน้าที่ ขออ่านแถลงการณ์ แม้ถูกคัดค้านก็ไม่ยอมฟัง ยังยืนยันอ่านแถลงการณ์โดยลุกขึ้นยืนบนเก้าอี้ จนเกิดเหตุการณ์วุ่นวายมีคนเขวี้ยงขวดน้ำลงพื้น โดย นายพริษฐ์ สารภาพเปลี่ยนเป็นกักขัง 15 วัน

ผู้สื่อข่าวรายงานเพจ แนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุม ได้โพสต์ข้อความการเปลี่ยนสถานที่คุมของ เพนกวิน จากเรือนจำพิเศษกรุงเทพ ไปยัง สถานกักขังจังหวัดปทุมธานี

โดยระบุข้อความว่า ศาลพิพากษา จำคุก เพนกวิน-พริษฐ์ ชิวารักษ์ 1 เดือน ฐานละเมิดอำนาจศาล (ลดโทษเหลือ 15 วันเนื่องจากรับสารภาพ) โดยขณะนี้ เพนกวินถูกย้ายตัวมากักขังที่สถานกักขังจังหวัดปทุมธานีแล้ว ตั้งแต่เวลาประมาณ 20:00 น. โดยไม่แจ้งให้ญาติและทนายทราบ


ที่มา : https://www.matichon.co.th/local/crime/news_2636831

พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ให้สัมภาษณ์ก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ถึงกรณีที่นายเทพไท เสนพงศ์ อดีตส.ส. พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) เสนอให้รัฐบาลเป็นเจ้าภาพในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ว่า เป็นเรื่องของสภาอยู่แล้ว

ผู้สื่อข่าวถามย้ำว่า แต่รัฐบาลมีสิทธิ์เสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญได้ พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า รัฐบาลให้แก้อยู่แล้ว จะแก้รายมาตราหรือแก้ทั้งฉบับก็แล้วแต่ ขอให้ทำตามที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยไว้ก็แล้วกัน

เมื่อถามว่า ขณะนี้ดูเหมือนว่าพรรคร่วมรัฐบาลมีแนวคิดการแก้ไขรัฐธรรมนูญแตกต่างกับพรรคพปชร. หน้าพรรคพปชร. กล่าวว่า "ไม่แตก ๆ ก็เหมือนกันนั่นแหละ จะแก้รายมาตราหรือแก้ไขทั้งฉบับพรรครัฐบาลก็พร้อมอยู่แล้ว"

เมื่อถามว่า จุดยืนพรรคพปชร.จะแก้ไขรัฐธรรมนูญอย่างไร พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า จะเอายังไงก็ได้ไม่เป็นปัญหา ได้ทุกเรื่อง เพราะเป็นนโยบายของรัฐบาลอยู่แล้วในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพราะฉะนั้นไม่ต้องถามหรอก

เมื่อถามว่า จะเห็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญเกิดขึ้นในรัฐบาลนี้หรือไม่ พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า "ก็เห็นสิ จะดำเนินการอย่างไรก็ว่าไปเลย คุณอยากแก้ก็แก้เลย แก้ตามที่ศาลรัฐธรรมนูญว่า"

เมื่อถามย้ำว่า การแก้ไขได้รัฐธรรมนูญจะเสร็จสิ้นภายในรัฐบาลนี้หรือไม่ พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า "จะไปรู้ได้อย่างไร ถ้าไม่ทำตามศาลรัฐธรรมนูญก็ไม่ได้"

เมื่อถามว่าความเห็นส่วนตัวอยากเห็นการแก้ไขรายมาตราหรือแก้ไขทั้งฉบับ พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า "ผมยังไม่เห็น แล้วแต่สภา"

กระทรวงแรงงาน เปิดตัว “แรงงานพันธุ์ดี ตามวิถีเศรษฐกิจพอเพียง”

กระทรวงแรงงาน ชื่นชม “แกมม่า อินดัสตรี้ส์” ร่วมเปิดตัวโครงการ “แรงงานพันธุ์ดี ตามวิถีเศรษฐกิจพอเพียง” หวังให้เป็นต้นแบบของการจัดสวัสดิการนอกเหนือกฎหมายช่วยนายจ้าง ลูกจ้างมีภูมิคุ้มกัน พึ่งพาตนเองได้ภายใต้สถานการณ์วิกฤต COVID-19 ตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ร่วมกันก้าวข้ามปัญหาอุปสรรคได้อย่างยั่งยืน

นายสุเทพ ชิตยวงษ์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า ตนได้รับมอบหมายจาก นายสุชาติ  ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ให้มาเป็นประธานเปิดโครงการ “แรงงานพันธุ์ดี ตามวิถีเศรษฐกิจพอเพียง” ซึ่งกระทรวงแรงงานภายใต้การกำกับของ พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ มีนโยบายการบริหารงานภายใต้วิสัยทัศน์ “แรงงานมีศักยภาพสูง และมีคุณภาพชีวิตที่ดี” โดยให้ความสำคัญกับการน้อมนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงมาเป็นแนวทางในการพัฒนาคุณภาพชีวิตของลูกจ้างและครอบครัว พร้อมสนับสนุน ส่งเสริมให้นายจ้างจัดสวัสดิการนอกเหนือกฎหมายให้แก่ลูกจ้าง 

จึงได้มอบหมายให้กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน จัดโครงการ “แรงงานพันธุ์ดี ตามวิถีเศรษฐกิจพอเพียง” เพื่อให้สถานประกอบกิจการจัดสรรทรัพยากรที่มีอยู่ให้ลูกจ้างได้ใช้ประโยชน์ ได้แก่ พื้นที่ว่างเปล่าบริเวณสถานประกอบกิจการให้ลูกจ้างใช้เวลาว่างหลังเลิกงานมาทำการเพาะปลูกพืชผักสวนครัว และเลี้ยงสัตว์ ผลผลิตที่ได้ลูกจ้างนำมาแลกเปลี่ยนกันและนำไปบริโภคในครัวเรือน ส่วนผลผลิตที่เหลือจากการบริโภคสามารถนำไปจำหน่ายในชุมชน อันเป็นการลดภาระค่าใช้จ่ายและเพิ่มรายได้ให้แก่ลูกจ้าง อีกทั้งยังเป็นการพัฒนาอาชีพเสริมไว้รองรับให้กับลูกจ้างที่กำลังเข้าสู่วัยเกษียณ ให้สามารถพึ่งพาตนเองได้ตามแนวทางของหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง สามารถก้าวข้ามปัญหาอุปสรรคในภาวะวิกฤตได้ยั่งยืน

ด้าน นายอภิญญา สุจริตตานันท์ อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน กล่าวเพิ่มเติมว่า โครงการดังกล่าว ถือเป็นการวางรากฐานให้สถานประกอบกิจการจัดสวัสดิการร่วมกับลูกจ้าง เมื่อต้องเผชิญกับสถานการณ์ต่าง ๆ ที่เป็นอุปสรรคต่อการดำเนินธุรกิจ ช่วยบรรเทาความเดือดร้อนจากผลกระทบของสถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID – 19 ทั้งนี้ กรมได้ตั้งเป้าส่งเสริมให้สถานประกอบการอย่างน้อยจังหวัดละ 1 แห่ง และในพื้นที่กรุงเทพมหานครอีก 10 แห่ง ได้นำโครงการนี้ไปดำเนินการให้เป็นรูปธรรม และเปิดตัวโครงการโดยได้รับความร่วมมือจาก บริษัท แกมม่า อินดัสตรี้ส์ จำกัด ซึ่งเป็นต้นแบบที่ดีของสถานประกอบกิจการ ในการน้อมนำหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้เป็นแนวทางการจัดสวัสดิการเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตของลูกจ้าง 

อีกทั้ง ยังเป็น สถานประกอบกิจการที่ได้รับรางวัลเกียรติยศสูงสุดสถานประกอบกิจการดีเด่นด้านแรงงานสัมพันธ์และสวัสดิการแรงงาน 15 ปีติดต่อกันจากกรมในปี 2563 และที่สำคัญอย่างยิ่ง บริษัทฯ ได้จัดสรรพื้นที่ให้แก่ลูกจ้างได้ใช้ประโยชน์จากทรัพยากรที่มีอยู่ให้เกิดมูลค่าด้วยการปลูกพืชผักสวนครัว เลี้ยงสัตว์ สำหรับบริโภคและจำหน่ายในชุมชนอันเป็นการลดภาระค่าใช้จ่าย เพิ่มรายได้ในครัวเรือนของลูกจ้าง รวมถึงการให้โอกาสทั้งลูกจ้างสัญชาติไทย ลูกจ้างสัญชาติเมียนมา และลูกจ้างกลุ่มพิเศษได้เข้าถึงการใช้ประโยชน์จากสวัสดิการที่จัดให้อย่างเท่าเทียมกันโดยไม่เลือกปฏิบัติ ได้อย่างน่าชื่นชม 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top