Tuesday, 1 July 2025
TheStatesTimes

“ธนกร” ยัน พ.ร.ฏ. อภัยโทษ เป็นตามหลักเกณฑ์ ด้าน “นายกฯ” ย้ำ กฏหมายต้องถูกต้อง-โปร่งใส-เรียกความเชื่อมั่นและปชช. พร้อมโต้ "สมหมาย" อย่าจ้องตีรัฐบาล แนะ วิจารณ์ให้สมคุณวุฒิ-วัยวุฒิ แนะ ทำตัวให้คนรุ่นหลังสรรเสริญ

นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยความคืบหน้าการตรวจสอบของคณะกรรมการตรวจสอบการดำเนินการตามกฎหมาย ว่าด้วยการอภัยโทษ ว่า  ไม่พบความผิดพลาดหรือความบกพร่องในกระบวนการตรา พระราชกฤษฎีกาอภัยโทษ พ.ศ. 2564 ที่เป็นการให้ประโยชน์แก่ผู้ต้องโทษเป็นการทั่วไป และขั้นตอนการเลื่อนชั้นนักโทษเด็ดขาดเป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการตามกฎหมายกำหนด คณะกรรมการฯ ได้มีข้อเสนอแนะให้ปรับปรุงแนวทางในการจัดชั้น เลื่อนชั้นให้ชัดเจนมากขึ้น และให้นำพฤติการณ์ความร้ายแรงหรือความเสียหายต่อสังคมที่บุคคลนั้นได้ก่อขึ้น มาประมวลร่วมกับผลการพัฒนาพฤตินิสัย รวมทั้ง คณะกรรมการฯ มีข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการกำหนดให้มีระยะเวลาปลอดภัย (ระยะเวลาขั้นต่ำ) ในการรับโทษของผู้ต้องขังที่จะต้องได้รับโทษจำคุกมาแล้วไม่น้อยกว่า 1 ใน 3 หรือ 8 ปี แล้วแต่ระยะเวลาใดถึงก่อน มาเป็นเกณฑ์ก่อนได้รับประโยชน์จากการบริหารโทษของกรมราชทัณฑ์ และลดสัดส่วนในการเสนอขอพระราชทานอภัยโทษ รวมทั้งกำหนดให้คดีทุจริตร้ายแรงได้รับประโยชน์น้อยลงกว่าเดิม

นายธนกร กล่าวว่า นายกฯขอให้ทุกฝ่ายเชื่อมั่นในการทำงานของฝ่ายยุติธรรม ซึ่งเป็นการทำงานที่ต้องดำเนินการเป็นขั้นตอน เป็นธรรม โปร่งใส เป็นการทำงานเพื่อความตอบโจทย์ด้านความเชื่อมั่นของคนทั้งประเทศ และรัฐบาลดำเนินตามกระบวนการทำงานที่มีขั้นมีตอน ครอบคลุม ตรวจสอบได้ ยืนข้างความถูกต้องมาโดยตลอดจึงขอให้เชื่อในความตรงไปตรงมาของรัฐบาล

นอกจากนี้นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวกรณีที่นายสมหมาย ภาษี อดีตรมว.คลัง ระบุว่ารัฐบาลไร้ผลงานเป็นชิ้นเป็นอันในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ และเสนอให้ยุบสภาฯ ว่า ไม่อยากเชื่อว่าเป็นความคิดของอดีตขุนคลังของประเทศ เพราะไม่ต่างอะไรกับพวกที่ชอบเสนอความเห็นแบบเอามัน ไม่คำนึงถึงหลักการความเป็นจริง อย่าเอาความน้อยใจ ความโกรธ หรืออคติ มาเป็นตัวตั้งในการกระแนะกระแหนโจมตีรัฐบาล และควรจะกลับไปทบทวนตัวเองว่าที่ผ่านมาในอดีตของท่านเป็นอย่างไร สิ่งที่เคยคิดว่าดี เมื่อครั้งที่อยู่ในตำแหน่งได้ทำอะไรไปบ้างหรือไม่ และสำเร็จอย่างที่คิดจริงหรือไม่ เพราะนายสมหมายถือว่าเป็นผู้ใหญ่ของบ้านเมืองคนหนึ่ง ควรวิพากษ์วิจารณ์หรือเสนอแนะให้สมกับคุณวุฒิและวัยวุฒิของท่านด้วย

“แรมโบ้” ถก อนุกรรมการฯแก้หวยแพง เล็งตั้งคกก. คัดกรองโควตาสลากฯ จ่อ ดึงผู้ค้าออนไลน์เข้าระบบมีใบอนุญาต ใช้กฎหมาย ฟัน ผู้ขายเกินราคา  

ที่สำนักงานข้าราชการพลเรือน นายเสกสกล อัตถาวงศ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาการเสนอขายหรือขายสลากกินแบ่งรัฐบาลในราคาเกินกว่าที่กำหนดในสลากกินแบ่งรัฐบาล กล่าวก่อนการประชุมคณะอนุกรรมการฯ ว่า  การประชุมวันนี้มีตัวแทนหน่วยงานภาครัฐ ทั้งผู้เชี่ยวชาญจากสำนักงานอัยการสูงสุด กระทรวงมหาดไทย สภาสังคมสงเคราะห์แห่งประเทศไทย กรมสอบสวนคดีพิเศษ ตัวแทนจากกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เข้าร่วมหารือเพื่อกำหนดกรอบการแก้ปัญหา เตรียมเสนอต่อเข้าที่ประชุมคณะกรรมการชุดใหญ่ ในวันที่ 8 เม.ย. เวลา 13.00 น.ให้ความเห็นชอบ ก่อนจะเสนอต่อ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และกลาโหม รับทราบต่อไป

นายเสกสกล กล่าวว่า การหารือวันนี้จะให้ตกผลึกในการวางกรอบแนวทางดำเนินการควบคุม โดยจะพิจารณาแก้ไข พ.ร.บ.สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล ว่าจะมีการแก้ไขเพิ่มเติมในมาตราใดได้บ้าง หรือจะมีระเบียบข้อบังคับใด ออกมาควบคุม หากมีการขายสลากเกินราคา จะมีวิธีการดำเนินคดีทั้งคดีแพ่งและคดีอาญา อย่างไร รวมถึงนำกฎหมายที่เกี่ยวข้อง เช่น กฎหมายฟอกเงิน กฎหมายเกี่ยวกับการล้มละลาย มาบังคับใช้กับผู้ที่ทำผิดกฎหมายขายสลากเกินราคา รวมถึงจะหารือสาเหตุของการกระจายสลาก ที่ไม่สามารถควบคุมราคาได้ว่ามาจากอะไร ซึ่งเรามีข้อมูลอยู่แล้ว และจะนำมืออาชีพที่มีประสบการณ์ ที่เรากำลังไล่จับ เอาเข้ามาอยู่ในกรอบให้มีใบอนุญาตให้ถูกต้อง ควบคุมให้อยู่ในกติกา มาช่วยกันบริการประชาชน จะได้หรือไม่ 

"แสนยากรณ์" ทวงถาม บังคับใช้ รธน.ครบ 5 ปี ปฏิรูปประเทศไม่เกิดตามเป้า ขอทุกฝ่ายหนุนแก้ รธน. ยกเลิกอำนาจ ส.ว.เลือกนายกฯ ให้สำเร็จก่อนยุบสภา 

6 เมษายน 2565 นายแสนยากรณ์ สิงห์วีรธรรม โฆษกพรรคกล้ากล่าวว่า วันนี้เป็นวันครบรอบรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2560 บังคับใช้เป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศมา 5 ปีแล้ว ซึ่งหัวใจสำคัญของรัฐธรรมนูญฉบับนี้ คือรัฐธรรมนูญฉบับแรกที่กำหนดให้มีการปฏิรูปประเทศ (มาตรา 257 - 261) เป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้ ประชาชนหลายคน ยอมมองข้ามกติกาหลายข้อที่ไม่เป็นประชาธิปไตย แล้วตัดสินใจเห็นชอบผ่านการออกเสียงประชามติ 

นายแสนยากรณ์ กล่าวว่า รัฐธรรมนูญมาตรา 259 เขียนเอาไว้ว่า ให้เริ่มดำเนินการปฏิรูปในแต่ละด้านภายใน 1 ปี นับแต่วันประกาศใช้รัฐธรรมนูญนี้ รวมตลอดทั้งผลสัมฤทธิ์ที่คาดหวังว่าจะบรรลุในระยะเวลา 5 ปี แต่จนถึงวันนี้ซึ่งเป็นวันครบรอบแล้ว กลับไม่ได้รู้สึกว่ามีการปฏิรูปประเทศเกิดขึ้น ตามที่รัฐธรรมนูญกำหนดเอาไว้ 

"รัฐธรรมนูญกำหนดให้มีการปฏิรูปประเทศ 7 ด้าน คาดหวังให้มีผลสัมฤทธิ์ภายใน 5 ปี วันนี้ครบ 5 ปีแล้ว รัฐบาล รัฐสภา กล้าหรือไม่ ที่จะออกมาบอกกับประชาชน ว่าทำเรื่องไหนสำเร็จไปแล้วบ้าง เพราะเชื่อว่าประชาชนส่วนใหญ่ ไม่ได้รู้สึกว่ามีการปฏิรูปเกิดขึ้นในประเทศ ความขัดแย้งการเมืองยังมีอยู่ การพัฒนาอย่างยั่งยืนยังไม่เกิดขึ้น ประชาชนส่วนใหญ่ยังต้องเผชิญกับความยากจน การขจัดความเหลื่อมล้ำไม่ประสบผลสำเร็จ คนตัวเล็กลืมตาอ้าปากไม่ได้ ทุนใหญ่ยังคงกดทับผูกขาด โอกาสอันทัดเทียมกัน ไม่ได้เกิดขึ้นจริงตามที่เขียนไว้ในรัฐธรรมนูญ" นายแสนยากรณ์ กล่าว 

"อนุทิน" นำทัพภูมิใจไทยจัดงาน "ก้าวขึ้นปีที่14" ชื่นมื่น พรรคร่วมรบ.หอบกระเช้าร่วมยินดี แต่ไร้เงา "พปชร." ลั่น พร้อมสู้ศึกเลือกตั้ง ยัน ส่ง ส.ส.ครบทุกพื้นที่ ขอโอกาสเป็นรัฐบาลอีกครั้งสานต่อนโยบาย "พูดแล้วทำ"

ที่พรรคภูมิใจไทย นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรมว.สาธารณสุข ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย เป็นประธานจัดงานทำบุญพรรคภูมิใจไทย "ก้าวสู่ปีที่ 14" โดยมีกรรมการบริหารพรรค รัฐมนตรี และส.ส. รวมถึงสมาชิกพรรค เข้าร่วมงานอย่างพร้อมเพรียง ขาดเพียงแต่นายชาดา ไทยเศรษฐ์ ส.ส.อุทัยธานี และรองหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย นายทรงศักดิ์ ทรงศรี รมช.มหาดไทย และรองหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย โดยมีการจัดพิธีทางศาสนาทั้งพิธีสงฆ์ และพิธีทางศาสนาอิสลาม เพื่อเสริมความเป็นสิริมงคล ภายใต้มาตรการป้องกันโควิด-19 โดยผู้ที่มาร่วมงานทุกคนต้องแสดงผลการตรวจหาเชื้อโควิด-19 ด้วยเอทีเคก่อนเข้ามาร่วมงาน นอกจากนี้ยังมีตัวแทนพรรคการเมือง เช่น นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รมว.เกษตรและสหกรณ์ ในฐานะเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ นายนิกร จำนง ส.ส.บัญชีรายชื่อ และผู้อำนวยการพรรคชาติไทยพัฒนา นายดล เหตระกูล ส.ส.บัญชีรายชื่อ รองหัวหน้าพรรคชาติพัฒนา นายวัชระ กรรณิการ์ ผู้ร่วมก่อตั้งพรรคสร้างอนาคตไทย อีกทั้งยังมีตัวแทนภาคเอกชนนักธุรกิจ นำกระเช้าดอกไม้ร่วมแสดงความยินดีด้วย ทั้งนี้ เป็นที่น่าสังเกตว่าไม่พบตัวแทนจากพรรคพลังประชารัฐเข้ามาร่วมยินดีแต่อย่างใด

จากนั้นเวลา 11.00 น.  นายอนุทิน ได้เป็นประธานแถลงข่าวคิกออฟการเปิดรับสมัครผู้สนใจเสนอตัวเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้ง ส.ส. ผ่านทางเว็บไซต์ระบบออนไลน์ของพรรค

โดยนายอนุทิน แถลงว่า พรรคภูมิใจไทยเริ่มเข้าสู่วัยทีนเอจในปีที่13 เข้าสู่ปีที่ 14 ซึ่งเราเป็นพรรคที่จัดตั้งขึ้นมาเพื่อรับใช้ชาติและประชาชน ท่ามกลางเหตุการณ์มากมายและคำสบประมาท คำปรามาส ด้อยค่ามากมายในช่วงที่เราตั้งพรรคขึ้นมาใหม่ๆท่ามกลางการด้อยค่าทั้งหลาย แต่ทุกคนในพรรคก็ร่วมต่อสู้ไม่ท้อถอย สิ่งสำคัญที่สุดไม่ว่าอยู่ที่ไหนเราจะต้องทำเพื่อประโยชน์ให้บ้านเมือง ประชาชน สุดความสามารถ เราเริ่มจากเจตนารมณ์แรกคือการปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ เราก็ยังมุ่งมั่นในเจตนารมณ์นี้อยู่ เราจะไม่ยอมให้ใครมาลบหลู่ จาบจ้วงสถาบันฯ จากนั้นก็มาที่เจตนารมณ์ประชานิยมสังคมเป็นสุข ต่อด้วยสงบ สันติ สามัคคี ที่ทุกคนเห็นว่าไม่มีวินาทีไหนที่พรรคจะแปรผันไปจากเจตนารมณ์หรือนโยบายพรรคที่เราร่วมกันทำมา จนการเลือกตั้งล่าสุดปี 2562 เราเดินหน้านโยบาย เพื่อปากท้องประชาชน ลดอำนาจรัฐ เพิ่มอำนาจประชาชน และได้รับความไว้ใจเชื่อมั่นจากประชาชน เลือกให้พรรคมีส.ส.ในจำนวนที่มาร่วมจัดตั้งรัฐบาลได้

“ขณะนี้พรรคภูมิใจไทยมีความแข็งแกร่ง เข้มแข็ง มีพลังเพียงพอที่จะผลักดันทุกนโยบายที่ให้สัญญาไว้กับประชาชนได้ 3 ปีที่ผ่านมาเราพูดแล้วทำ จากนี้เราเป็นพรรคหนึ่งที่จะทำประโยชน์ให้ประชาชน โดยใช้ผลงานสร้างความมั่นใจ พร้อมให้ประชาชนพิสูจน์แล้ว ไม่ว่ารัฐบาลจะมีความมั่นคง หรือมีอุปสรรคใด ไม่ว่าสภาฯ จะมีสิ่งใดๆ เกิดขึ้น แต่สภาฯ ชุดนี้ก็จะครบวาระในวันที่ 22 มี.ค.2566 ครบ 4 ปี เราทำงานมาเข้าปีที่ 4 แล้ว เราจะไม่พูดว่าสภาฯ หรือรัฐบาลเป็นอย่างไร เรามีหน้าที่ทำงาน  พูดแล้วต้องทำให้เกิดผลสำเร็จกับประชาชน ไม่ว่าจะพอใจหรือไม่ ต้องทำให้สำเร็จ อีก 11 เดือนต่อจากนี้คงไม่ลากไปนานกว่านี้แล้วก็จะต้องมีการเลือกตั้งใหม่ เราก็พร้อมขับเคลื่อนนโยบายคู่ขนานไป” นายอนุทิน กล่าว

นายอนุทิน กล่าวต่อว่า สำหรับเป้าหมายทางการเมืองจากนี้ไป เราต้องใช้ผลงานที่เรามีเพื่อสร้างความมั่นใจให้ประชาชนเลือกพรรคภูมิใจไทยเข้ามาเป็นรัฐบาลอีกครั้ง โดยใช้คนที่เข้าใจวิถีชีวิตประชาชน กล้าพูด กล้าทำ และกล้ารับผิดชอบต่อบ้านเมือง เพื่อให้เราได้สานงานที่ทำมาแล้วไปสู่จุดที่สมบูรณ์ที่สุด รวมถึงเพิ่มสิ่งใหม่ๆ ที่เกิดขึ้นในนโยบายโครงการต่างๆ ยืนยันว่าเราให้ความสำคัญกับทุกภูมิภาค แม้เราไม่ส่งผู้ว่าฯ กทม. แต่เราส่งส.ส.กทม.แน่นอน รวมถึงส่งส.ก.ด้วย ในจำนวนที่เรามี ส.ส.กทม.อยู่ 4 ราย ก็คือส่งส.ก.จำนวน 4 เขต ได้แก่ เขตจอมทอง ธนบุรี เขตสวนหลวง และเขตประเวศ ในนามกลุ่มภูมิใจไทย เพื่อเป็นปากเสียงให้ประชาชน ขณะที่การเลือกตั้งครั้งหน้าพรรคภูมิใจไทย จะส่งส.ส.ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เหมือนที่เคยทำมา โดยเน้นไปที่พื้นที่ที่เรามีความแข็งแกร่ง พร้อมทั้งมีการเปิดเว็บไซต์ เพื่อเปิดให้ผู้ที่สนใจมาสมัครเป็นส.ส.ของพรรค หากใครคิดว่ามีความสามารถ ทุ่มเท พร้อมรับใช้บ้านเมือง และประชาชน ก็สามารถสมัครเข้ามาได้ทันที จากนั้นจะเข้าสู่กระบวนการคัดเลือกเป็นผู้แทนฯ ของพรรคภูมิใจไทย

อยากได้ผู้ว่ากรุงเทพฯ แบบนี้!! รู้จัก Jaime Lerner สุดยอดนายกเทศมนตรีแห่ง Curitiba บราซิล ผู้เปลี่ยนเมืองแห่งความสิ้นหวัง เป็นแดนศิวิไลซ์ที่ใครก็อยากเลียนแบบ

การเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครครั้งที่ 11 ที่จะจัดขึ้นในวันอาทิตย์ที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2565 พี่น้องชาวกทม. อยากได้ผู้ว่าฯ เข้ามาบริหารจัดการกรุงเทพมหานครแบบไหนกันครับ

ถ้ายังไม่แน่ใจ ผมขอแนะนำให้ลองเลือกผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครที่มีคุณลักษณะแบบ Jaime Lerner ผู้เป็นสุดยอดนายกเทศมนตรีแห่ง Curitiba บราซิล

ว่าแต่ Jaime Lerner เป็นใคร? แล้วเขาสุดยอดแค่ไหน ลองมาดูผลงานและประวัติของเขากันดูครับ

Jaime Lerner (17 ธันวาคม พ.ศ. 2480 - 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2564) เป็นนักการเมืองชาวบราซิล เคยเป็นผู้ว่าการรัฐ Paraná มีชื่อเสียงในฐานะสถาปนิกและนักวางผังเมือง อีกทั้งยังเคยเป็นนายกเทศมนตรีเมือง Curitiba เมืองหลวงของรัฐ Paraná ถึง 3 สมัย (พ.ศ. 2514-2518, พ.ศ. 2522-2527 และ พ.ศ. 2533-2535)

ในปี พ.ศ. 2537 Jaime Lerner ได้รับเลือกเป็นผู้ว่าการรัฐ Paraná และได้รับเลือกอีกครั้งในปี พ.ศ. 2541 โดยอดีตนายกเทศมนตรีแห่ง Curitiba เมืองหลวงของรัฐ Paraná นั้น มีดีกรีเป็นนักวางผังเมืองและสถาปนิก ที่มีชื่อเสียงอย่างมาก จากการช่วยออกแบบทางเดินในเมือง, ถนน และการขนส่งสาธารณะส่วนใหญ่ของ Curitiba เช่น Rede Integrada de Transporte ในปี พ.ศ. 2508 เขาช่วยก่อตั้ง Instituto de Pesquisa e Planejamento Urbano de Curitiba หรือ IPPUC (สถาบันการวางผังเมืองและการวิจัยแห่ง Curitiba) และออกแบบแผนแม่บทของ Curitiba

ครั้งหนึ่งราว 50 ปีก่อน Curitiba เคยเป็นเมืองที่สิ้นหวังไม่ต่างจากเมืองอื่น ๆ ในโลกนี้ เพราะเต็มไปด้วยปัญหานานัปการ แต่ปัญหาต่าง ๆ กลับเปลี่ยนไป โดยปัจจุบัน Curitiba เป็นเมืองหนึ่งในประเทศกำลังพัฒนาที่ติดอันดับเมืองที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมอย่างต่อเนื่อง แถมยังเป็นเมืองสำหรับประชาชน ไม่ใช่สำหรับรถ และถูกจัดให้เป็นเมืองที่น่าอยู่ที่สุดในอเมริกาใต้ ในการจัดอันดับเมืองที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ทั้ง ๆ ในช่วงที่ผ่านมา เหล่าเมืองที่ติดอันดับหนึ่งในสิบเกือบทั้งหมด มักอยู่ในประเทศที่พัฒนาแล้ว เช่น แคนาดา, ออสเตรเลีย, สหรัฐอเมริกา, เยอรมัน, เดนมาร์ก เป็นต้น แต่มีเมืองหนึ่งในประเทศกำลังพัฒนาติดอันดับอย่างต่อเนื่อง นั่นคือ Curitiba ของบราซิล

สวนสาธารณะของเมือง Curitiba

Curitiba เป็นเมืองหลวงของรัฐ Paraná ตั้งอยู่ตอนใต้ของประเทศบราซิล สร้างขึ้นในปี พ.ศ. 2236 เป็นเมืองขนาดกลาง มีพื้นที่ 432 ตารางกิโลเมตร มีขนาดเศรษฐกิจเป็นลำดับที่ 4 ของประเทศบราซิล ประชากร 1.9 ล้านคน และหากรวมพื้นที่เชื่อมต่อเขตมหานครมีประชากรถึง 3.3 ล้านคน

แกะเทศบาลแห่ง Curitiba

ในฐานะนายกเทศมนตรี Jaime Lerner ใช้วิธีในการแก้ปัญหานอกแบบเพื่อรับมือกับความท้าทายทางภูมิศาสตร์ของ Curitiba เช่นเดียวกับเมืองอื่นๆ Curitiba ล้อมรอบด้วยที่ราบน้ำท่วมถึง เมืองที่มั่งคั่งกว่าในสหรัฐอเมริกา เช่น New Orleans หรือ Sacramento ได้สร้างระบบเขื่อนในเขตที่ราบน้ำท่วมถึงที่มีราคาแพงและมีค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาสูง แต่ในทางตรงกันข้าม Curitiba ได้ซื้อที่ดินในเขตที่ราบน้ำท่วมถึง และสร้างเป็นสวนสาธารณะ ปัจจุบันเมืองนี้ติดอันดับเมืองชั้นนำของโลกที่มีพื้นที่สวนสาธารณะต่อหัวสูง Curitiba เคยมีปัญหาเรื่องสถานะความเป็นเมืองของโลกที่สาม ขาดงบประมาณจนไม่สามารถซื้อรถแทรกเตอร์และน้ำมันเชื้อเพลิงเติมรถเพื่อตัดหญ้าในสวนสาธารณะที่มีอยู่ได้ แต่ได้รับการตอบสนองที่เป็นนวัตกรรมใหม่คือ "แกะเทศบาล" ที่ควบคุมดูแลพืชพันธุ์ในสวนสาธารณะ และขายขนแกะเป็นทุนสำหรับโครงการต่างๆ เพื่อเด็กและเยาวชน

เมื่อ Jaime Lerner เป็นนายกเทศมนตรี ในเขตเทศบาล Curitiba มีพื้นที่บางส่วนซึ่งไม่สามารถให้บริการในการจัดเก็บขยะของเสีย เพราะ “ถนน” นั้นแคบเกินไป แทนที่จะละเลยคนเหล่านี้หรือรื้อถอนสลัมที่มีอยู่ทิ้งไป Jaime Lerner ได้เริ่มโครงการในการแลกถุงเครื่องใช้ของชำและบัตรโดยสารสำหรับถุงใส่ขยะที่นำมาแลก สลัมจึงสะอาดขึ้นมาก ทำนองเดียวกัน Curitiba มีอ่าวในบริเวณใกล้เคียงเป็นพื้นที่ทิ้งขยะ ซึ่งทำให้มีค่าใช้จ่ายที่สูงมากในการทำความสะอาด Jaime Lerner จึงเริ่มโครงการจ่ายเงินให้ชาวประมงสำหรับขยะที่พวกเขาเก็บมาได้ (ตามน้ำหนัก) ด้วยวิธีนี้พวกเขาสามารถหาเงินได้ แม้จะอยู่นอกฤดูจับปลา และเป็นรายได้เสริม สามารถทำให้ Curitiba ประหยัดเงินในการจัดการขยะดังกล่าวได้มากมาย

Jaime Lerner ยังได้จัดตั้งโครงการด้านสังคมและการศึกษาที่เป็นนวัตกรรมใหม่ ๆ มากมาย เด็กในพื้นที่สามารถฝึกงานกับเจ้าหน้าที่ของเทศบาลได้หากไม่ต้องการไปโรงเรียน แม้ว่าวาระของเขาในฐานะนายกเทศมนตรีจะไม่ได้ปราศจากความขัดแย้ง แต่ Curitiba ก็ไม่มีกลุ่มนักเลงอันธพาลเช่นเมืองใหญ่อย่าง Rio de Janeiro

กระบวนการพัฒนา Curitiba ให้เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม สามารถแบ่งช่วงทศวรรษแห่งการพัฒนามีความก้าวหน้าตามลำดับดังนี้...

ทศวรรษแรก ยุคแห่งขยายตัวอย่างรวดเร็วและไร้ทิศทาง ในปี พ.ศ. 2511 นายกเทศมนตรี Ivo Arzua สั่งการให้เตรียมเมือง Curitiba สำหรับการขยายตัวในอนาคต มีทีมสถาปนิก นักผังเมืองจากมหาวิทยาลัย Paraná นำโดย Jaime Lerner รับผิดชอบจัดทำแผนแม่บท Curitiba มีสาระสำคัญ 4 ประการ ได้แก่ (1) ลดการขยายตัวอย่างไร้ทิศทาง (2) ลดการจราจรบริเวณใจกลางเมือง (3) อนุรักษ์พื้นที่ประวัติศาสตร์ และ (4) จัดระบบขนส่งมวลชนที่เข้าถึงง่ายและราคาถูก (BRT : Bus Rapid Transit) ใน 5 สายทางที่กระจายออกจากศูนย์กลางเมือง

ทศวรรษที่ 2 การปฏิบัติตามแผนแม่บท ในปี พ.ศ. 2514 Jaime Lerner ซึ่งเป็นนายกเทศมนตรี ได้สร้างนวัตกรรมในการพัฒนาเมืองโดยใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสม และงบประมาณไม่มากนัก เขาตั้งหน่วยวางแผนและผังเมืองเพื่อจัดระบบและพัฒนาฟื้นฟูเมือง ผลงานสำคัญได้แก่ ศูนย์กลางธุรกิจของเมือง เป็นถนนคนเดินสายแรกของบราซิล และเริ่มพัฒนาเขตอุตสาหกรรมบริเวณนอกเมือง

ทศวรรษที่ 3 ยุคสมัยแห่งสิ่งแวดล้อม Curitiba ได้จัดทำโครงการที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและโครงการทางสังคมจำนวนมากคุ้มครองพื้นที่สีเขียวจากการพัฒนา ขยายระบบขนส่งมวลชน BRT และจัดตั้งกลไกบริหารระดับภาคเพื่อกระจายอำนาจและการตัดสินใจสู่ท้องถิ่น

ทศวรรษที่ 4 การยอมรับในฐานะเมืองที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ปี พ.ศ. 2533 Curitiba ได้รับรางวัลด้านสิ่งแวดล้อมจากองค์การสิ่งแวดล้อมโลก และในปี พ.ศ. 2535 Curitiba เป็นสถานที่จัด World Cities Forum มีการสร้างสวนพฤกษศาสตร์แห่งใหม่และโรงโอเปร่าบริเวณเหมืองเก่า มีอุตสาหกรรมรถยนต์เป็นอุตสาหกรรมใหม่ที่ตั้งในเขตอุตสาหกรรมของเมือง

ทศวรรษที่ 5 อุตสาหกรรมท่องเที่ยวเริ่มมีบทบาทสำคัญต่อเศรษฐกิจเมือง เพิ่มรถเมล์ชมเมืองในระบบ BRT เทศบาลเริ่มสร้างสวนเทคโนโลยีเพื่อดึงดูดธุรกิจสมัยใหม่ และลงทุนเกี่ยวกับเทคโนโลยีพลังงานทางเลือก ในปี 2553 Curitiba ได้รับรางวัล Globe Sustainable City Award ในฐานะเทศบาลที่มีความโดดเด่นในการพัฒนาเมืองอย่างยั่งยืน และได้รับยกย่องจาก นิตยสารรีดเดอร์ส์ไดเจสต์ ได้เป็นเมืองที่น่าอยู่ที่สุดในบราซิล

ย่านใจกลางเมือง Curitiba

ปัจจุบัน Curitiba เป็นเมืองที่ได้รับการยอมรับทั่วโลกในฐานะต้นแบบของการพัฒนาเมืองที่ดี และมีนโยบายสิ่งแวดล้อมที่ก้าวหน้า นับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2513 เทศบาล Curitiba ได้ริเริ่มระบบขนส่งมวลชนแบบ BRT เพิ่มสวนสาธารณะมากกว่า 24 แห่ง เพื่อสันทนาการและเป็นแก้มลิง และรองรับน้ำที่จะไหลบ่าท่วมในเมือง รวมทั้งเพิ่มพื้นที่สีเขียวต่อจำนวนประชากรจาก 0.5 ตารางเมตรต่อคน เป็น 52 ตารางเมตรต่อคน

'อดีตหัวหน้าศรภ.' ย้อนอดีต คำพูด 'คอมมิวนิสต์โซเวียต' ถึงสถาบันมหากษัตริย์ไทย 'ความเมตตา-พัฒนา' ที่พระเจ้าซาร์ฯ ๒ ยากจะเทียบเคียง

พลโทนันทเดช เมฆสวัสดิ์ อดีตหัวหน้าศูนย์ปฏิบัติการพิเศษ ศูนย์รักษาความปลอดภัยแห่งชาติ (ศรภ.) โพสต์เฟซบุ๊ก ว่า...

รัสเซีย นั้นมองประเทศไทยในทางที่ดีตลอดมาแม้จะไม่มีผลประโยชน์ ที่จะได้จากไทยเลย

อนึ่งผมเขียนเรื่องนี้ไว้ตั้งแต่ เดือนมกราคม 2555 แสดงว่า ...

แม้รัสเซียจะมีความเชื่อคนละอย่างกับ ไทย และ ไทย ยังอยู่ฝ่ายสหรัฐฯ มาตลอด แต่ทั้งรัสเซีย และ จีนแดง ก็ให้ความเคารพต่อองค์พระมหากษัตริย์ของไทยตลอดมา

พล.ท.นันทเดช เล่าว่า เมื่อเกิดความแตกแยกทางด้านความคิดกับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย (พคท.) ในขั้นรุนแรงขึ้น 'เทิดภูมิ ใจดี' และพรรคพวกกลุ่มหนึ่งก็หลบหนีจากฐานที่มั่นในไทย ไปพึ่งพาพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศลาว จนถูกส่งไปศึกษาเพิ่มเติมที่ ลาว, เวียดนาม, จีน และรัสเซีย ทำให้ เทิดภูมิฯ เห็นข้อผิดพลาดของ พคท. มากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะกรณีที่เกี่ยวกับ “สถาบันพระมหากษัตริย์ของไทย” 

ที่รัสเซีย >> หลังจากฟังคำบรรยายของคณะกรรมการกลางบริหารพรรคคอมมิวนิสต์โซเวียตถึงนโยบายพรรคและความเลวร้ายของพระเจ้าซาร์ฯ จบลงแล้ว ทางฝ่ายพรรคคอมมิวนิสต์ไทย จึงได้เสนออุปสรรคและปัญหาของการปฏิวัติในไทยให้ทางรัสเซียได้ทราบบ้าง ซึ่งสรุปถึงปัญหาหลักๆ ที่เป็นอุปสรรคสำคัญ ๒ ประการ คือ...

๑. ศาสนาพุทธครอบงำสังคมไทย มีพระ เณรอยู่ทุกหมู่บ้าน ทำให้ประชาชนไม่ยอมรับการเปลี่ยนแปลงที่รุนแรง การปฏิวัติจึงพัฒนาไม่ได้

๒. สถาบันพระมหากษัตริย์ เป็นสถาบันที่มีอุปสรรคมากที่สุดต่อการปฏิวัติในประเทศไทย ประชาชนเชื่อถือและศรัทธามาก เสมือนหนึ่งว่า ประเทศไทยจะขาดสถาบันฯ ไม่ได้

ลุ้นพาณิชย์เคาะมาตรการดูแลวัตถุดิบอาหารสัตว์ใหม่ทั้งระบบ

นางมัลลิกา บุญมีตระกูล มหาสุข ที่ปรึกษารมว.พาณิชย์ เปิดเผยว่า ในวันที่ 7 เม.ย.นี้ นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรมว.พาณิชย์ จะเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ (นบขพ.) และคณะกรรมการนโยบายอาหาร เพื่อบริหารจัดการวัตถุดิบอาหารสัตว์ทั้งระบบใหม่ เพื่อลดผลกระทบต่อการเลี้ยงสัตว์ และผลกระทบต่อสินค้าบริโภคของประชาชนให้มีความชัดเจนยิ่งขึ้น เพื่อลดผลกระทบต่อค่าครองชีพของประชาชนโดยรวมและภาคธุรกิจในขณะนี้

ทั้งนี้ที่ผ่านมาจนถึงขณะนี้ การดูแลราคาสินค้าและบริการภายในประเทศ กระทรวงพาณิชย์ได้กำกับดูแลและติดตามอย่างใกล้ชิด เห็นได้ชัดราคาสินค้าอุปโภคบริโภคในห้างสรรพสินค้าส่วนใหญ่ราคายังคงทรงตัว และมีการปรับลดลงตามโปรโมชันของแต่ละห้าง และที่สำคัญ กระทรวงพาณิชย์ยังคงขอความร่วมมือตรึงราคาสินค้าและกำกับดูแลอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะสินค้า 18 หมวดสินค้าที่มีความจำเป็นในการดำรงชีวิตให้ตรึงราคาเอาไว้ก่อน

ขณะที่ผลกระทบจากภาวะสงครามระหว่างรัสเซีย-ยูเครน รมว.พาณิชย์ ได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องหาหนทางลดภาระค่าใช้จ่ายให้กับประชาชนในทุกมิติ พร้อมทั้งให้ทีมกระทรวงพาณิชย์ประชุมหารือกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย หาแนวทางลดต้นทุนในการผลิต เพื่อสร้างสมดุลให้กับทุกภาคส่วนให้ได้รับผลกระทบน้อยที่สุด

"ดร.เอ้" ถือฤกษ์วันเกิดปชป. เปิดตัวป้ายหาเสียงแนวใหม่ เวอร์ชั่น 3 ด้านขนาดเท่าเสาไฟฟ้า ยืนยันไม่ได้ลอกเลียนแบบใคร คิดไว้นานแล้ว รับกังวลป้ายถูกกรีดซ้ำ เตรียมปรึกษาฝ่ายกม.พรรคดำเนินการ

ที่พรรคประชาธิปัตย์ นายสุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ ผู้สมัครผู้ว่าฯกทม. พรรคประชาธิปัตย์ หมายเลข 4 เปิดตัวป้ายหาเสียงแบบใหม่ แบบ3 ด้านขนาดเท่าเสาไฟฟ้า มาติดประเดิมบริเวณหน้าที่ทำการพรรคประชาธิปัตตย์

นายสุชัชวีร์ ให้สัมภาษณ์ว่า จากนี้ตั้งใจจะระดมติดป้ายแบบใหม่นี้ โดยกำชับไม่ให้ขวางทางเดินประชาชน ซึ่งหลายคนก็คงจะเคยเห็นป้ายหลายๆแบบออกมาแล้ว ย้ำว่าหลักการไม่ให้ขวางทางเดินเท้าและขวางการจราจร ที่ผ่านมาพรรคประชาธิปัตย์ก็ทำป้ายหลายขนาด ซึ่งป้ายเวอร์ชั่น 3 ด้านแนวใหม่นี้ถือเป็นครั้งแรก และเก็บไว้จะมาเปิดตัวในวันเกิดพรรคคือวันนี้(6 เม.ย.) โดยตนได้ให้ติดป้ายจำนวนจำกัด เพราะไม่อยากให้รกเกินจนกีดขวางทางเดินประชาชน โดยป้ายรูปแบบใหม่นี้จะเน้นในพื้นที่ที่ทางเดินจำกัด โดยเฉพาะบนฟุตบาท เนื่องจากกทม.ฟุตบาทจะแคบมาก ขณะที่ป้ายแบบเก่าก็ยังคงมีอยู่ในพื้นที่ที่สามารถติดได้ 

นายสุชัชวีร์ กล่าวต่อว่า ป้ายใหม่นี้เริ่มติดที่บริเวณพรรคประชาธิปัตย์ ขยายไปเขตจตุจักร ลาดพร้าวและเขตอื่นๆ อย่างไรก็ตามยอมรับว่ามีคนแซวว่า สงสัยตอนนี้ไม่เหลือเสาให้สุชัชวีร์ พรรคประชาธิปัตย์แล้ว เพราะอื่นติดไปเยอะแล้ว ซึ่งตนเชื่อว่ายังพอมีให้ติด เนื่องจากป้ายเราไม่ได้มาก และจะใช้เท่าที่จำเป็นให้เหมาะสมกับพื้นที่ และไม่กีกขวาวทางเท้า โดยจะติดครบทุกเขตพร้อมป้ายครอบครัว ส.ก.50 คน เพื่อประกาศความชัดเจน เบอร์ 4 ผู้ว่าฯ และส.ก. 50 เขตที่เบอร์แตกต่างกันไป เราต้องกลัดกระดุมเม็ดแรกให้ถูกต้อง โดยผู้ว่าฯ กทม.ต้องมีส.ก.เพื่อบรรลุเป้าหมาย

เมื่อถามถึงกรณีที่ป้ายหาเสียงที่โดนกรีดก่อนหน้านี้ กังวลว่าป้ายใหม่นี้จะถูกกรีดอีกหรือไม่ นายสุชัชวีร์ กล่าวว่า กังวลเหมือนกัน เพราะเราทำป้ายแล้วก็ไม่อยากให้รื้อทำใหม่ ส่วนจะดำเนินการตามมาตรการทางกฎหมายหรือไม่นั้น ตนก็อยากทำเหมือนกัน แต่จับมือใครดมไม่ได้ ดังนั้นต้องปรึกษาทีมกฎหมายของพรรคว่าจะดำเนินการอย่างไร

เมื่อถามว่า การทำป้ายขนาดเล็กแบบนี้ถูกมองว่าเป็นการลอกเลียนผู้สมัครคนอื่นหรือไม่ นายสุชัชวีร์ กล่าวว่า ไม่มีเลียนแบบ ขอย้ำว่าพรรคประชาธิปัตย์เคยทำมาตั้งแต่ปี 2562 สมัยนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ จึงไม่อยากพูดว่าลอกเลียนจะหาว่าเขาลอกประชาธิปัตย์ ไม่เอาดีกว่า แต่เราตั้งใจคิดมานานแล้ว เพียงแต่รอเปิดตัววันเกิดพรรค วันที่ 6 เม.ย.

“ชัชาติ” ลุยหาเสียงตลาดบางแค เจอร้านค้าบนทางเท้าเยอะ ชี้แนวทางต้องให้คนพื้นที่ช่วยจัดระเบียบ ชัดคนกรุงเทพฯเลือกจากนโยบาย มั่นใจหลังได้รับเลือกทำงานจริง เน้นภาวะผู้นำร่วมใจพน.รับใช้ปชช.

นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ลงพื้นที่หาเสียงเขตทวีวัฒนาและเขตบางแค โดยเป็นการเดินหาเสียงที่ตลาดบางแค และตลาดศิริเกษม อีกทั้งเพื่อสำรวจเศรษฐกิจและการบริหารจัดการตลาดภายใต้การบริหารของกทม. บรรยากาศเป็นไปอย่างคึกคักมีผู้ค้าขายและผู้ที่มาจับจ่ายใช้สอยให้ความสนใจเป็นอย่างมาก

นายชัชชาติให้สัมภาษณ์ภายหลังการเดินตลาดแล้วว่า ตลาดคือหัวใจของคนกทม. เพราะเป็นแหล่งเศรษฐกิจ วันนี้เรามาเดินตลาดคนก็บ่นให้ฟังเรื่องเศรษฐกิจซบเซาและเรายังเห็นถึงปัญหาร้านค้าบนทางเท้า การจราจรที่ติดขัดด้วยรถที่ต้องเอาของมาขาย ซึ่งเรื่องนี้กทม.ต้องดูแล ตลาดบางแคมีร้านค้าบนทางเท้าเยอะมาก จะว่าเขาก็ไม่ได้เพราะเขาก็ขายกันมานานแล้ว แต่จำเป็นต้องดูแลเรื่องคุณภาพ ไม่ให้กีดขวางทางเดิน หรือร้านค้าที่อยู่ด้านใน ดังนั้นแนวทางในการจัดการตลาดต้องให้เขาช่วยกันดูในพื้นที่ด้วย และตั้งคณะกรรมการที่เป็นนในพื้นที่เพื่อดูแลกันเอง ส่วนกทม.ก็มาดูเรื่องสุขอนามัย ความสะอาด นอกจากนี้ยังมีผู้ค้าขอให้เปิดขายได้ในวันจันทร์ แล้วไปหยุดทุกวันพุธก็ได้ ซึ่งตามปกติแล้ว ตลาดจะหยุดทุกวันจันทร์ เพื่อได้ทำความสะอาดตลาด แต่ถึงอย่างไรเราก็ต้องดูไปด้วย เพราะแต่ละพื้นที่ไม่เหมือนกัน เรื่องนี้คงต้องมาคุยกันตนคงไม่ได้มีคำตอบสำเร็จว่าจะเปิดหรือไม่ แต่ยอมรับว่าพื้นที่ค้าขายเป็นเรื่องสำคัญ กทม.เองมีตลาด13 แห่ง แผงค้า 20,000 แผง ฉะนั้นต้องเริ่มจากตลาดกทม.ก่อน ดูแลเรื่องต้นทุน ความสะอาด เรามีนโยบายทำตลาดให้เป็นออนไลน์ ดังนั้น กทม.มีอไรให้ทำเยอะเลย ตลาดทิ้งไม่ได้เป็นหัวใจหลักของประชาชน การนำเทคโนโลยีมาจัดการก็จะทำให้ชีวิตเราง่ายและสะดวกขึ้นได้

นายชัชชาติ กล่าวว่า กทม.ต้องทำอีกหลายเรื่อง เช่นการดูแลสุขภาพของคนในชุมชนให้เข้มแข็ง จะทำให้ประชาชนไม่ต้องไปออกันที่โรงพยาบาลใหญ่ หนึ่งในนโยบายของเราคือ ทำรถหมอทางไกล เป็นรถที่สามารถพบกับคุณหมอได้ผ่านออนไลน์แม้จะอยู่ที่บ้าน ถ้าป่วยด้วยอาการเบื้องต้น

เมื่อถามว่า เมื่อคนกทม.ไม่ได้เลือกผู้ว่าฯที่นโยบาย  นายชัชชาติ กล่าวว่า ไม่จริงเลย มีคนเข้าไปอ่านนโยบายของตนในออนไลน์จำนวนมาก ตนมองว่าที่ผ่านมาอาจจะไม่มีคนพูดเรื่องนโยบายละเอียด แต่เรามาคิดรูปโฉมใหม่ และจะเป็นข้อดีที่เวลาเราแถลงนโยบายไปมันจะเป็นหลักฐานว่าวันแรกที่เรามา นโยบายเรายยังจะเดินหน้าต่อไป ดังนั้นตนมองว่านโยบายเป็นเรื่องสำคัญบวกกับตัวผู้สมัครที่ต้องไปด้วยกัน ฉะนั้นนโยบายเสมือนอาวุธเราที่เราจะใช้ไปแก้ปัญหา

สุวรรณภูมิเริ่มฟื้น!! ผู้โดยสารต่างชาติพุ่ง 1.1 หมื่นคนต่อวัน รับอานิสงส์ยกเลิกตรวจ RT-PCR ต้นทาง

ทอท. เปิดตัวเลขผู้โดยสารเพิ่มขึ้นกว่า 65.97% ระหว่างประเทศพุ่ง 1 หมื่นคนต่อวัน หลังยกเลิกตรวจ RT-PCR ตั้งแต่ 1 เม.ย. 65 พร้อมเปิดอาคารเทียบเครื่องบิน C เพิ่มพื้นที่รองรับผู้โดยสารเพิ่ม

6 เม.ย. 65 นายกิตติพงศ์ กิตติขจร ผู้อำนวยการท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) (ทอท.) เปิดเผยว่า ภายหลังจาก ศบค. ได้ผ่อนคลายมาตรการการเดินทางเข้าราชอาณาจักร โดยยกเลิกการตรวจ RT-PCR ก่อนเดินทางเข้าประเทศไทยตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2565 เป็นต้นมา ส่งผลให้มีจำนวนผู้โดยสารระหว่างประเทศเดินทางเข้าประเทศไทยเฉลี่ยวันละ 11,623 คน 

ทั้งนี้ เพิ่มขึ้นจากเดือนมีนาคมที่มีจำนวนผู้โดยสารขาเข้าระหว่างประเทศเฉลี่ยวันละ 7,003 คน หรือคิดเป็นเพิ่มขึ้น 65.97% ในส่วนของเที่ยวบินขาเข้าระหว่างประเทศมีจำนวนเฉลี่ยวันละ 141 เที่ยวบิน เพิ่มขึ้นจากเดือนมีนาคมที่มีจำนวนเที่ยวบินเฉลี่ยวันละ 137 เที่ยวบิน หรือคิดเป็นเพิ่มขึ้น 2.92 % และคาดว่าจากนี้ไปจะมีผู้โดยสารระหว่างประเทศเดินทางเข้าประเทศไทยเพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง 

นายกิตติพงศ์ กล่าวต่อไปว่า เพื่อเป็นการอำนวยความสะดวกและเพิ่มประสิทธิภาพในการให้บริการผู้โดยสาร ทสภ. ที่เพิ่มมากขึ้นให้ได้รับการบริการที่สะดวก รวดเร็ว ทสภ. จึงได้เปิดใช้งานอาคารเทียบเครื่องบิน C ซึ่งเป็นอาคารที่รองรับผู้โดยสารขาเข้าระหว่างประเทศ ตั้งแต่วันที่  1 เมษายน ที่ผ่านมา จากเดิมที่เปิดให้บริการเฉพาะที่อาคารเทียบเครื่องบิน E, F และ G 

นอกจากนี้ ทสภ. ยังได้เปิดให้บริการจุดตรวจหนังสือเดินทางผู้โดยสารขาเข้าระหว่างประเทศ โซน 1 ชั้น 2 อาคารผู้โดยสาร หลังจากปิดปรับปรุงในช่วงการแพร่ระบาดของโรค Covid-19 โดยจุดตรวจหนังสือเดินทางที่มีการปรับปรุงใหม่นี้ จะมีการปรับเปลี่ยนโฉมเคาน์เตอร์ให้ดูสวยงาม ทันสมัย มีการปรับผังพื้นที่การติดตั้งเคาน์เตอร์ใหม่ ทำให้มีจำนวนเคาน์เตอร์ให้บริการเพิ่มมากขึ้นเป็น 56 เคาน์เตอร์ ส่งผลให้ประสิทธิภาพการตรวจหนังสือเดินทางผู้โดยสารขาเข้าระหว่างประเทศเพิ่มขึ้นจากเดิม 3,450 คนต่อชั่วโมง เป็น 4,080 คน ต่อชั่วโมง  


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top