Monday, 23 June 2025
TheStatesTimes

ส.ส.พลังประชารัฐ ขอพรรคการเมือง เลิกตีตราจอง แสดงความเป็นเจ้าของพื้นที่ ชี้ควรเคารพเสียงของประชาชน เป็นผู้ตัดสินใจเลือกคนมาทำงานเป็นตัวแทน แนะพรรคการเมืองควรทำหน้าที่เป็นตัวเลือก ไม่ใช่ผู้ชี้ขาด

นายสัณหพจน์ สุขศรีเมือง ส.ส.เขต 2 จ.นครศรีธรรมราช และรองโฆษกพรรคพลังประชารัฐ เปิดเผยถึง กรณีที่พรรคพลังประชารัฐ ส่งตัวแทน คือ นายอาญาสิทธิ์ ศรีสุวรรณ ลงรับสมัครเลือกตั้งซ่อมในเขต 3 จ.นครศรีธรรมราช แทน นายเทพไท เสนพงศ์ ซึ่งถูกศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตัดสิทธิทางการเมือง ว่า เป็นเพราะตนเคารพการตัดสินใจของพี่น้องประชาชนในพื้นที่

การที่พรรคส่งตัวแทนผู้สมัคร นั่นหมายความว่า พรรคไม่สนับสนุนให้มี “การตีตราจอง” ว่าใครเป็นเจ้าของพื้นที่ และ ยืนยันว่า จะไม่มี “การฮั้วกันทางการเมือง” แต่เป็นการเพิ่มช่องทางตัวเลือกที่เพิ่มมากขึ้นสำหรับประชาชน

“30 ปี ที่ผ่านมา พี่น้องประชาชนในพื้นที่จ.นครศรีธรรมราช ต้องเผชิญกับคำว่า "พรรคของเรา คนของเรา" มาโดยตลอด คนภายนอกอาจมองว่า พื้นที่นี้มีแต่พรรคการเมือง พรรคเดียวเป็นเจ้าของพื้นที่ แต่สถานการณ์ปัจจุบันเปลี่ยนไปแล้ว ในสนามเลือกตั้งไม่มีใครเป็นเจ้าของพื้นที่ที่แท้จริงนอกจากพี่น้องประชาชน”

สำหรับวันนี้บ้านเมืองอยู่ในระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข การเลือกตั้งซึ่งเป็นหัวใจสำคัญในระบอบประชาธิปไตย จึงควรที่จะต้องมาจากคะแนนเสียงที่บริสุทธิ์ของพี่น้องประชาชน ในฐานะพรรคการเมือง เราเป็นเพียงตัวเลือกของพี่น้องประชาชน ในการเสนอตัวรับใช้ ไม่ใช่ “การตีตราจอง” ว่า พื้นที่นี้เป็นของฉัน หรือพื้นที่นี้เป็นของพรรคใดพรรคหนึ่ง

และ ผมเชื่อว่า “การฮั้ว” กัน ไม่ใช่หนทางของการสร้างประชาธิปไตยที่แท้จริง และยังขัดต่อหลักการอย่างที่สุด นอกจากนี้ยังเป็นการกระทำที่ปิดโอกาสทางเลือกให้พี่น้องประชาชนได้ตัดสินใจเลือกผู้แทนที่เขาอยากเลือก เพื่อมาทำงานรับใช้เขา

“สิ่งที่พรรคพลังประชารัฐ ยืนยันในหลักการมาโดยตลอดคือ เราต้องให้ความเคารพต่อคะแนนเสียงของพี่น้องประชาชน แม้ว่าเขาไม่ได้เลือกเรา แม้ว่าพรรคพลังประชารัฐจะต้องพ่ายแพ้ในเขตเลือกตั้งนั้นๆ เราไม่เคยตีโพยตีพาย แต่เราต้องใช้สถานการณ์ดังกล่าวในการคิดทบทวน และปรับปรุงตัวเราเอง”

อย่างไรก็ตาม พรรคพลังประชารัฐ เคารพและถือว่าเป็นเกียรติอย่างสูงสุดที่พี่น้องประชาชน ได้ลงคะแนนเสียงเลือกตัวแทนของพรรค เราเชื่อว่าทุกคะแนนเสียงที่ได้รับ คือ “คะแนนบริสุทธิ์” ที่พี่น้องประชาชนได้ตัดสินใจเลือกตัวแทนของเขาแล้ว และคือผู้ให้โอกาสเราได้ทำงานตอบแทนความไว้เนื้อเชื่อใจนั้น โดยเราพร้อมที่จะยอมรับกติกาที่ถูกต้องตามระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข

รายงานจาก TechCrunch ได้มีการเปิดเผยว่า Instagram กำลังพัฒนาฟีเจอร์ใหม่ ที่เลียนแบบการจัดวางฟังก์ชันการใช้งาน Story ให้เป็นฟีดแนวตั้ง (Vertical) เหมือนกันแอปพลิเคชัน TikTok จากจีน หลังจากก่อนหน้านี้ หากผู้ใช้งานต้องการดู Story ถัดไป

แนวคิดในการการปรับฟังก์ชันใน Story ครั้งนี้ของ Instagram มาจากผลงานวิจัยต่างๆ ที่ทางทีม Instagram ค้นหามา โดยพวกเขาพบว่า เหล่าผู้ใช้งานส่วนใหญ่ จะมีความรู้สึกที่ดีกับการปัด ‘ขึ้น และ ลง’ มากกว่า เพราะรู้สึกถึงความสะดวกและง่าย ซึ่งนั่นก็ไปตรงกับลักษณะการทำงานของแอป ‘TikTok’

ล่าสุด หนึ่งในผู้พัฒนา Instagram อย่าง Alessandro Paluzzi ได้ออกมาเปิดเผยว่า ตอนนี้เขาได้เขียนโค้ดรองรับการเปลี่ยนแปลงสำหรับฟีเจอร์ใหม่นี้เสร็จเรียบร้อยแล้ว และได้ทดลองใช้งานมันจริงๆ และตัวเขาก็รู้สึกว่า “น่าใช้งานมากกว่า”

ขณะที่หัวเรือใหญ่ของ Instagram อย่าง Adam Mosseri ก็ได้เผยว่า การพัฒนาในครั้งนี้ก็ไม่ต่างจากการพัฒนาฟีเจอร์ที่ออกมาในช่วงปลายปีที่ผ่านมา อย่าง Reels หรือฟีเจอร์อัดคลิปวิดีโอสั้นความยาว 15 วินาที แต่ถึงกระนั้นหากสิ่งไหนที่ทำให้ผู้ใช้งานชื่นชอบ และ ง่ายต่อการใช้งาน ก็พร้อมที่จะนำมาประยุกต์ใช้กับ Instagram

ทั้งนี้ Adam Mosseri ยังบอกอีกว่า สิ่งต่อไปที่เขากำลังจะพัฒนาคือ การแบ่งความแตกต่าง ให้ชัดเจนระหว่าง IGTV และ การโพสต์วิดีโอทั่วไป ผ่านแอป Instagram


ที่มา:

https://www.facebook.com/1387231808035873/posts/3635479016544463/

https://techcrunch.com/2021/02/03/instagram-confirms-its-working-on-a-vertical-stories-feed/?fbclid=IwAR1qGr9-NpJZse2MidEgDNRP2_L_dCblJz_ATfdjDy3uwJBakkmFL5hl0K0

https://www.theverge.com/2021/2/3/22264891/instagram-stories-vertical-feed-tiktok-style?fbclid=IwAR35w-5op71Yaog34nobQBNNjg_p7NrNYWouc1BOFXBHlXb2SB5WbuJlJkg

“ธนาธร” ขึ้นศาลไต่สวนเพิกถอนคำสั่ง ดีอีเอสขอระงับเผยเเพร่ข้อมูลไลฟ์สดวัคซีนป้องกันโควิดกระทบมั่นคง มั่นใจพูดโดยสุจริต พร้อมย้ำต้องแก้ม.112 เหตุมีโทษที่สูงเกินไป

วันที่ 4 ก.พ. ที่ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า เดินทางมาที่ศาลเพื่อเข้าฟังนัดไต่สวนคำร้องคัดค้านของคณะก้าวหน้า ที่ขอให้เพิกถอนคำสั่งศาลสั่งลบลิงค์ตามคำขอ กระทรวงดิจิตอลฯ (MDES) การเผยแพร่ภาพ-คลิปเกี่ยวกับวัคซีนป้องกันโควิดพาดพิงสถาบันฯ ผ่านเพจคณะก้าวหน้า

นายธนาธร เปิดเผยว่า วัตถุประสงค์ในวันนี้ ตนมาที่ศาลเพื่อขอคัดค้านใบคำสั่งจากกระทรวงดิจิตอลฯที่ขอให้ ปลดการไลฟ์เฟซบุ๊ก ทั้งในช่องทางเฟซบุ๊ก และยูทูป

เมื่อถามว่า ส่วนตัวคิดว่าการตั้งคำถามในประเด็นที่เกี่ยวเนื่องกับสถาบันสามารถใช้หลักการวิจารณ์สุจริตกล่าวอ้างต่อศาลได้หรือไม่ นายธนาธร กล่าวว่า ตนเห็นด้วย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรที่เกี่ยวข้องกับพรรคการเมืองล้วนเป็นเรื่องของทุกคนในประเทศ สถาบันพระมหากษัตริย์ก็เป็นส่วนหนึ่งในสังคมไทย ดังนั้นการพูดถึงสถาบันพระมหากษัตริย์โดยสุจริต โดยไม่ว่าร้ายพยาบาท เพื่อหวังดีต่อสังคม ย่อมเป็นสิ่งที่พลเมืองพึงกระทำได้

เมื่อถามว่าคิดว่าศาลจะใช้ดุลยพินิจที่ครอบคลุมถึงหลักการข้างต้นด้วยหรือไม่ นายธนาธรกล่าวว่า อันนี้ตนคงก้าวล่วงศาลไม่ได้ เพราะเห็นว่าสิ่งที่เราวิพากษ์วิจารณ์การจัดหาวัคซีนของรัฐบาลให้คนไทย เป็นสิ่งที่พวกเราทำด้วยความประสงค์ดี ก็หวังว่าศาลคงจะเข้าใจ ตนคงไม่ไปก้าวล่วงคำวินิจฉัยของศาล

เมื่อถามว่าจนถึงตอนนี้แล้วมองว่าขอบเขตความผิด ม.112 ในประเทศไทย มีความต่างจากประเทศที่ปกครองด้วยราชาธิปไตยใต้รัฐธรรมนูญอย่างไรบ้าง นายธนาธร กล่าวว่า ใน ม.112 เป็นมาตราที่ละเมิดสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐานอย่างแน่นอน เพราะสิทธิสิทธิมนุษยชนนั้นคือการมีเสรีภาพทางการแสดงออก และม.112 มีโทษที่สูงเกินไปด้วย จึงเห็นว่าควรมีการแก้ไขกฎหมาย ม.112

เมื่อถามว่าคิดว่าอะไรเป็นตัวแปรที่ทำให้สัดส่วนโทษทางอาญาของมาตรา 112 ในไทยรุนแรงกว่าชาติอื่น ที่ยังคงมีระบบกษัตริย์ นายธนาธร กล่าวว่า ตรงนี้ตนคงไม่ทราบ ต้องไปถามนักกฎหมาย

เมื่อถามว่าในวันนี้ นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม รักษาการหัวหน้าพรรคไทยภักดี จะเดินทางมาไปแจ้งความเพิ่มเติม นายธนาธร กล่าวว่า เชิญครับเพราะตนเชื่อมั่นในความบริสุทธิ์ใจ ขอเรียนพ่อแม่พี่น้องประชาชนอย่างนี้ว่าจนถึงวันนี้รัฐบาลไทยก็ยังไม่สามารถให้คำสัญญากับประชาชนได้ว่าตกลงวัคซีนที่จัดซื้อจัดหาได้แล้วจะมีจำนวนเท่าไหร่กันแน่ เอกสารทางราชการก็ระบุไว้ชัดเจนว่าการหาวัคซีนให้คนไทยล่าช้าไป 1 เดือน ความเสียหายทางเศรษฐกิจเป็นแสนล้านบาท อย่าลืมว่าเมื่อไม่นานมานี้เองรัฐบาลยังยืนยันว่าจะฉีดวัคซีน 50% ให้กับคนไทยภายใน 3 ปี แต่เพิ่งมาเปลี่ยนเมื่อไม่นานมานี้เอง เมื่อมีการตั้งคำถามจากประชาชนที่ต้องการเห็นการจัดหาวัคซีนให้กับคนไทยได้อย่างเร็วที่สุด

ดังนั้นการวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลเรื่องกลยุทธ์การจัดซื้อหาวัคซีนและการฉีดวัคซีนให้กับคนไทยเป็นสิ่งที่พึงกระทำและตนอยากจะเห็นรัฐบาลให้คำสัญญาที่ชัดเจนว่าตกลงจะฉีดวัคซีนให้กับคนไทยได้จำนวนมากเท่าไหร่ในเวลาเท่าไหร่ ตนคิดว่าเรื่องนี้เป็นความเป็นความตายของพี่น้องประชาชน คนที่หาเช้ากินค่ำ คนที่เป็นแรงงานนอกระบบไม่มีประกันสังคม ไม่มีความมั่นคงในชีวิตรอนานเป็นปีไม่ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลายประเทศเริ่มฉีดวัคซีนกันแล้วอย่างอิสระเอลตั้งเป้าว่าจะฉีด วัคซีนให้ครบ 100% ให้ครบจำนวนประชากรในไตรมาสที่ 1 และวันนี้อังกฤษฉีดไปแล้ว 10 % อเมริกา 6-7 % ประเทศอินโดนีเซียก็เริ่มฉีดแล้ว ตนจึงเป็นกังวลเรื่องนี้ การมีวัคซีนเป็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ แต่ตราบใดที่เราฉีดวัคซีนให้ครอบคลุมจำนวนประชากร เพื่อให้เกิดภูมิคุ้มกันในสังคมไม่ได้ เราก็ยังอยู่ในอุโมงค์ที่มืดมิด

ด้านนายกฤษฎางค์ นุตจรัส ทนายความ ระบุว่า วันนี้เตรียมพยานหลักฐานมาพอสมควร แต่ต้องรอดูพยานหลักฐานฝั่งผู้กล่าวหาก่อนว่าเป็นอย่างไรบ้าง แต่มองว่าเรื่องนี้ ศาลไม่จำเป็นต้องไต่สวนก็ได้ เพราะเจตนาของนายธนาธรคือต้องการจะปกป้องประชาชนจากนโยบายที่อาจจะผิดพลาดของรัฐบาล

"ผมไม่รู้ว่าจะใช้เวลาไต่สวนนานเท่าไหร่ แต่ขอยืนยันในความบริสุทธิ์ใจ สิ่งที่พูดไปเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของประชาชนเพื่อปกป้องภาษีของประชาชน การสั่งซื้อวัคซีนจากแอสทราเซเนก้า เป็นเงินที่มาจากประชาชน ใช้ภาษีของประชาชน ดังนั้นการตรวจสอบการใช้เงินย่อมเป็นเรื่องที่พลเมืองพึงที่จะกระทำได้" นายธนาธร กล่าวทิ้งท้าย

เจ้าของเฟซบุ๊ก Natty in Myanmar โพสต์เฟซบุ๊ก เปิดเผยเอกสารที่มีการแพร่ในโลกโซเชี่ยลของเมียนมา ถึงการบล็อก Facebook / IG และ Messenger

เอกสารฉบับนี้แพร่หลายในโลกโซเชียลของเมียนมา ช่วงประมาณตี 2 ความว่า จะมีการตัดการเข้าถึง Facebook ตั้งแต่คืนนี้ ถึงวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 23:59 น.

มีรายงานว่า คนที่ใช้อินเตอร์เนทบ้าน หรือมือถือของค่าย MPT ไม่สามารถเข้าFacebook / IG / Messengerได้แล้ว คาดว่าภายในเช้านี้ค่ายอื่นๆ ก็จะทยอยบล็อกเช่นกัน

การดำเนินการดังกล่าวนี้ ถือว่าเป็นความพยายามในการจัดการกับการรุกฮือขึ้นต่อการรัฐประหารครั้งล่าสุด ซึ่งก็เกิดขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นการดำเนินการอารยะขัดขืนโดยบรรดาแพทย์ และการออกมาชุมนุมทั้งในประเทศ และต่างประเทศของชาวเมียนมา

ส่วนของสาเหตุในการปิดการเข้าถึง Facebook นั้น เนื่องมาจากความนิยมใช้งานของชาวเมียนมา ที่ถือว่าเป็น Domain หลักที่ผู้คนมักใช้งานกัน ไม่ว่าจะเป็นในทางสังคม และทางอื่นๆ โดยคนเมียนมาเวลาค้นหาข้อมูลจะไม่นิยมค้นหา Google เท่าไรนัก แต่จะใช้วิธีการค้นหาผ่าน Facebook มากกว่า หรือหลายครั้งที่มีการสร้างคอนเนคชั่นใหม่ๆ ก็จะเพิ่มเพื่อนใน Facebookทันที


ที่มา: https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=259970128827438&id=100044433576342

การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย เผย รถไฟฟ้า MRT พร้อมรับผู้โดยสารใช้สิทธิโครงการ ‘เราชนะ’ ได้ตั้งแต่ 5 ก.พ. - 31 พ.ค.

การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) ร่วมกับ บมจ.ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ (BEM) พร้อมสนับสนุนนโยบายของรัฐบาล โดยได้เตรียมพร้อมรองรับการใช้สิทธิ์ในโครงการ “เราชนะ” ออกเหรียญโดยสาร (Token) เพื่อเดินทางในระบบรถไฟฟ้ามหานคร สายเฉลิมรัชมงคล (MRT สายสีน้ำเงิน) และรถไฟฟ้ามหานคร สายฉลองรัชธรรม (MRT สายสีม่วง) ได้ทุกสถานี ตั้งแต่วันที่ 5 กุมภาพันธ์ – 31 พฤษภาคม 2564

ผู้ได้รับสิทธิในโครงการฯ แบ่งเป็น กลุ่มผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ และกลุ่มผู้ได้รับสิทธิ์ผ่านแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” ดังนี้

กลุ่มผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ สามารถใช้สิทธิสนับสนุนค่าเดินทางจากภาครัฐได้ทั้ง 2 กรณี

กรณีที่ 1 ใช้สิทธิค่าเดินทางของบัตรสวัสดิการแห่งรัฐในวงเงิน 500 บาทต่อเดือน โดยผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐที่มีสัญลักษณ์ “แมงมุม” บนหลังบัตร สามารถใช้แตะที่ประตูจัดเก็บค่าโดยสารอัตโนมัติเพื่อเดินทางได้ทันที ส่วนผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐที่มีสัญลักษณ์ “Prompt Card” ต้องนำบัตรมาออกเหรียญโดยสารที่ห้องออกบัตรโดยสาร

กรณีที่ 2 ใช้สิทธิในโครงการ “เราชนะ” ผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐนำบัตรมาออกเหรียญโดยสารที่ห้องออกบัตรโดยสาร ซึ่งระบบจะตัดเงินจากโครงการฯ ทั้งนี้ ผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐสามารถเริ่มใช้สิทธิ์ในโครงการ “เราชนะ” ได้ตั้งแต่วันที่ 5 กุมภาพันธ์ - 31 พฤษภาคม 2564

กลุ่มผู้ได้รับสิทธิในโครงการ “เราชนะ” ผ่านแอปพลิเคชันเป๋าตัง (G-Wallet) สามารถมาติดต่อออกเหรียญโดยสารได้ที่ห้องออกบัตรโดยสารทุกสถานี โดยระบบจะตัดเงินจากโครงการ “เราชนะ” ผ่านแอปพลิเคชันเป๋าตัง ซึ่งจะเริ่มใช้สิทธิ์ในโครงการฯ ได้ตั้งแต่วันที่ 18 กุมภาพันธ์-31 พฤษภาคม 2564

ผู้ได้รับสิทธิในโครงการ “เราชนะ” สามารถออกเหรียญโดยสารประเภทบุคคลทั่วไป โดยคิดอัตราค่าโดยสารตามระยะทาง ได้ที่ห้องออกบัตรโดยสารรถไฟฟ้า MRT สายสีน้ำเงิน และสายสีม่วง ทุกสถานี ระหว่างเวลา 06.00-23.00 น.

และหากผู้ใช้สิทธิออกเหรียญโดยสารแล้ว จะไม่สามารถนำเหรียญโดยสารเปลี่ยนหรือคืนได้ทุกกรณี ทั้งนี้ สิทธิในโครงการฯ ไม่สามารถใช้ออกเหรียญโดยสารประเภทเด็ก/ผู้สูงอายุ และไม่สามารถใช้เติมเงิน เติมเที่ยวโดยสาร ชำระค่าที่จอดรถ หรือชำระค่าธรรมเนียมต่างๆ ของรถไฟฟ้า MRT ได้

‘ดร.อานนท์’ ไขปม 6 ประเด็นบิดเบือน ‘ธนาธร – ปิยบุตร’ หลังใส่ความสถาบันไม่เลิก เหตุวัคซีน AstraZeneca ถึงไทยล่าช้า

‘ผศ.ดร.อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์’ ดีกรี ด็อกเตอร์ ด้าน Psychometrics and Quantitative Psychology จากมหาวิทยาลัยฟอร์ดแฮม สหรัฐอเมริกา ปัจจุบัน เป็นอาจารย์ประจำสาขาวิชา Business Analytics and Intelligence และ Actuarial Science and Risk Management คณะสถิติประยุกต์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) ได้โพสต์เฟซบุ๊ก Arnond Sakworawich

‘ธนาธร’ และ ‘ปิยบุตร’ กล่าวหาว่าในหลวงต้องรับผิดชอบหากวัคซีนโควิด-19 ล่าช้า ไม่เพียงพอ หรือมี Adverse Event

แต่ในความเป็นจริงไม่ได้เกี่ยวอะไรกับในหลวงเลย

1.) รัฐบาลไทยโดยสถาบันวัคซีนแห่งชาติซื้อวัคซีนจาก AstraZeneca

2.) Siambioscience แค่รับจ้างผลิต และรับการถ่ายทอดเทคโนโลยีแบบ in kind คือไม่มีค่าใช้จ่าย จาก AstraZeneca และ Oxford โดยมีเงื่อนไขว่าจะไม่ได้กำไรจากการผลิตวัคซีน

3.) การควบคุมคุณภาพอยู่ที่ AstraZeneca ดังนั้นเรื่อง adverse event อันอาจจะเกิดขึ้นตามปกติ เช่น การแพ้วัคซีน ไม่ได้เกี่ยวกับ Siambiosicence แต่อย่างใด

4.) คำสั่งซื้อมาจากสถาบันวัคซีนแห่งชาติ หากจะเพียงพอหรือไม่เพียงพอ ล่าช้าหรือไม่ล่าช้า ก็ตามเป็นความรับผิดชอบของสถาบันวัคซีนแห่งชาติและ AstraZeneca ไม่ได้เกี่ยวกับ Siambioscience และไม่ได้เกี่ยวกับในหลวงแต่อย่างใด

5.) เงินที่ SCG และรัฐบาลให้มาปรับปรุงเครื่องจักรและกำลังการผลิต Siambioscience ก็นำไปซื้อวัคซีนจาก AstraZeneca ส่งมอบให้รัฐบาลคือสถาบันวัคซีนแห่งชาติต่อไป ไม่ได้ได้มาฟรีๆ แต่อย่างใด

6.) ในฐานะนิติบุคคลของ Siambioscience ผู้ที่มีความรับผิดคือกรรมการผู้จัดการใหญ่ ตามกฎหมาย หาได้เป็นความรับผิดของผู้ถือหุ้นในพระปรมาภิไธยก็หาไม่ อันนี้เป็นหลักของกฎหมายหุ้นส่วนบริษัทที่ใครที่ทำธุรกิจหรือเรียนกฎหมายมาบ้างก็ต้องรู้อยู่แล้ว ทำไมมันโง่ ไม่รู้เรื่องอะไรเลยถึงเพียงนี้

รายละเอียดอื่น ๆ แสดงในแผนภาพที่ผมวาดด้านล่างนี้

ไม่รู้มันจะพยายามโยงบ้าโยงบอเพื่อด้อยค่าสถาบันพระมหากษัตริย์ไม่ยอมเลิกสักที คงต้องให้มันติดคุก ถึงจะเลิก

#ให้มันติดคุกที่รุ่นเรา


ที่มา: https://www.facebook.com/784302727/posts/10159241688227728/

‘เอ็มบีเค เซ็นเตอร์’ หรือ ที่คนไทยเรียกติดปากว่า ‘มาบุญครอง’ จะกลับมาคึกคักอีกครั้ง หลังจากหนึ่งในแผนการรีโนเวตศูนย์การค้าครั้งใหม่ในรอบ 36 ปีนั้น มีชื่อของ ‘ดองกิ’ ราชาแห่งร้านดิสเคาน์สโตร์จากญี่ปุ่นติดเข้ามาอยู่ในโผด้วย

นายสมพล ตรีภพนารถ กรรมการผู้จัดการธุรกิจศูนย์การค้า บริษัท เอ็ม บี เค จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัทได้ทำการรีโนเวตครั้งใหญ่ในรอบ 36 ปี โดยมีการปรับเปลี่ยน จัดโซนนิ่งและพื้นที่ภายในใหม่ เพื่อให้ง่ายและสะดวกต่อการเดินช็อปปิ้ง รองรับความต้องการได้อย่างตรงจุด หลังจากห้างสรรพสินค้าโตคิวได้ปิดตัวลง

สำหรับการรีโนเวตพื้นที่บางส่วนภายในศูนย์ฯ จัดวางผังร้านค้าใหม่ เพิ่มเติมร้านค้าและบริการใหม่ๆ เพื่อรองรับกับความต้องการของกลุ่มลูกค้าคนรุ่นใหม่ ทั้งวัยทำงาน นักเรียน นักศึกษา และ กลุ่มครอบครัว

โดยแบ่งพื้นที่แต่ละชั้น ดังนี้

• ชั้น 1 จับมือกับเครือสหพัฒน์ทั้งในส่วนของไอ.ซี.ซี ,โอ.ซี.ซี. และร้านซูรูฮะ

• ชั้น 2 เปิดตัวร้านดองกิ (DON DON DONKI) สาขาแฟล็กชิฟสโตร์ที่ใหญ่ที่สุดในไทย เปิดให้บริการ 24 ชั่วโมงและเน้นบริการสินค้าในกลุ่มอาหารเป็นหลัก

• ชั้น 3 อยู่ระหว่างการเจรจากับพันธมิตรยักษ์ใหญ่ในการเช่าพื้นที่

• ชั้น 4 เป็นโซนสินค้าไอทีทั้งหมด

ทั้งนี้ศูนย์การค้าเอ็มบีเค มีแผนเปิดตัวการรีโนเวตอย่างเป็นทางการในช่วงไตรมาส 3 นี้ ให้ได้อย่างน้อย 80% และจะเปิดได้เต็ม 100% ในช่วงปลายปี เพื่อรองรับกับความต้องการของกลุ่มลูกค้าคนรุ่นใหม่ ทั้งวัยทำงาน นักเรียน นักศึกษา และ กลุ่มครอบครัว ซึ่งปัจจุบันมีผู้มาใช้บริการราว 2-3 หมื่นคนต่อวัน โดยคาดการณ์ว่า ในช่วงไตรมาส 3 หลังวัคซีนโควิด-19 เริ่มถูกนำมาใช้ น่าจะช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้ลูกค้ากลับมาใช้บริการในศูนย์ได้อีกครั้ง

สำหรับไฮไลท์ของการรีโนเวต เอ็มบีเค ในครั้งนี้ เชื่อว่าน่าจะอยู่ที่การเปิดตัวร้านดองกิ สาขาแฟล็กชิฟสโตร์ที่ใหญ่ที่สุดในไทย ต่อจากทองหล่อ และ The Market ราชดำริ เพราะจะเป็นจิ๊กซอว์เติมเต็มการจากหายไปของโตคิวได้ด้วย

...ว่าแต่ทำไม เอ็มบีเค ถึงสนใจในตัว ‘ดองกิ’

‘ดองกิ’ หรือ ‘DON DON DONKI’ (ชื่อในไทย) ถือเป็นดิสเคาน์สโตร์ที่คนไทยที่ชอบไปเที่ยวญี่ปุ่นคุ้นเคยเป็นอย่างดีอยู่แล้ว หรือเรียกว่าเป็นร้านที่ใครไปญี่ปุ่น ก็ต้องแวะ โดยชูคอนเซ็ปต์ ‘ร้านค้าที่ขายเฉพาะแบรนด์ญี่ปุ่น’ ที่ตั้งใจเจาะกลุ่มคนญี่ปุ่นที่อาศัยในไทย คนไทยและนักท่องเที่ยว

ฉะนั้นการที่ ดองกิ มาเปิดในไทย และรวมถึงมาเปิดใหม่ในเอ็มบีเค จึงเป็นการตอบโจทย์กลุ่มนักท่องเที่ยวไทยที่เคยไปเที่ยวญี่ปุ่นบ่อยๆ นี่คือโอกาสทางตรง

ขณะเดียวกันโอกาสทางอ้อม เชื่อว่าจะมาจากการพลิกวิกฤติโควิด-19 ลามกรุง และทั่วโลกมาเป็นตัวผลักดัน หลังจากช่วงเวลานี้ในอดีตมักมีคนไทยไปเที่ยวญี่ปุ่นจำนวนมาก แต่พอเจอโรคระบาดหนัก ก็ทำให้อดไป การได้มา ดองกิ ก็เหมือนได้ซึมซับความรู้สึกที่คุ้นเคยทดแทนไปกลายๆ

สำหรับผลตอบรับของ ดองกิ ในช่วงที่ผ่านมากับ 2 สาขาที่เปิดอยู่ ถือว่าน่าสนใจ เพราะแค่เพิ่งเข้ามาทำตลาดในบ้านเราได้ 2 ปี แต่ก็มีผลประกอบการที่เติบโตแบบก้าวกระโดด โดยผลประกอบการ บริษัท ดองกิ (ประเทศไทย) จำกัด

• ปี 2562 มีรายได้ 160 ล้านบาท

• ปี 2563 มีรายได้ 728 ล้านบาท

เหตุผลที่ทำให้รายได้เติบโตอย่างก้าวกระโดดของดองกิ มาจาก...

1.) รูปแบบธุรกิจมีความเฉพาะเจาะจง ยากต่อการเลียนแบบ ไม่ว่าจะเป็นการออกแบบร้าน การจัดวางสินค้าที่ดึงดูดให้ลูกค้าเข้ามาสำรวจ และค้นหาหรือแม้แต่การใช้ปากกาเมจิก เขียนป้ายบอกราคา

2.) มอบประสบการณ์ที่แตกต่าง นอกจากจะมีสินค้าที่เป็นซิกเนเชอร์ หาไม่ได้จากที่ไหน เสน่ห์อีกอย่างของดองกิ คือ การมอบประสบการณ์ที่มากกว่ามาช้อปปิ้ง อย่างดองกิ สาขาทองหล่อ นอกจากจะมีร้านค้า ร้านอาหาร เครื่องดื่ม คาเฟ่ เบเกอรี และคาราโอเกะ ส่วนด้านบน ก็ยังทำเป็นสวนสนุก และสปอร์ตเอนเตอร์เทนเมนต์ นำเข้าจากญี่ปุ่น ถือเป็นอีกหนึ่งกิมมิกที่ทำให้หลายคนอยากไปเช็คอิน

สำหรับ ดองกิ ในไทยนั้น ตั้งเป้าขยายให้ได้ 20 สาขาใน 5 ปี โดยไม่จำกัดว่าต้องเป็นกรุงเทพฯ เท่านั้น แต่ยังมองไปถึงเมืองท่องเที่ยว อย่าง ภูเก็ต, เชียงใหม่ และ ระยอง อีกด้วย


ที่มา:

https://www.prachachat.net/marketing/news-605213

https://www.facebook.com/1387231808035873/posts/3635479016544463/

ผบ.ตร. แถลงจับกุมเสี่ยโป้ เปิดเว็บไซต์พนันออนไลน์ พร้อมชักชวนผ่านโซเชียลมีเดีย ยันมีหลักฐานชัด หลังใช้เวลาสืบสวนนาน 4 เดือน พบเงินหมุนเวียนกว่าพันล้านบาท

ที่กองบังคับการปราบปราม พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. แถลงผลปฏิบัติการชุดปฏิบัติการพิเศษหนุมาน กองบังคับการปราบปรามหลังจากที่ไปควบคุมตัวเสี่ยโป้ หรือ นายเสี่ยโป้ โป้อานนท์ ในข้อหา ร่วมกันจัดโฆษณาชักชวน ให้ผู้อื่นเล่นการพนัน (พนันออนไลน์) และ สมคบกันฟอกเงินว่า

ปฏิบัติการครั้งนี้ตำรวจใช้เวลาสืบสวนรวบรวมพยานหลักฐานนานกว่า 4 เดือน ตั้งเป้าหมายการค้นหา 7 จุด โดยรวบรวมหลักฐานยื่นศาลอนุมัติออกหมายจับเฉพาะหมายจับที่ขอมี 12 หมายและมีการจับซึ่งหน้า 1 รายเพราะมีการพกพาอาวุธปืนและมีหมายค้างเก่าอีก 2 รายรวมการจับกุมทั้งสิ้น 15 ราย

"การสืบสวนใช้เวลานานเพราะการปราบปรามธุรกิจในลักษณะนี้จะทำได้ยากขึ้นเนื่องจากผู้ต้องหา มีทุนมาก มีการใช้ ความรู้ทางกฎหมายปิดบังซ่อนเร้นพยานหลักฐานรวมทั้งมีระบบปฏิบัติการที่มีการป้องกันที่แน่นหนาทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจต้องรวบรวมพยานหลักฐานเป็นเวลานาน"

ทั้งนี้ ได้มีโอกาสพูดคุยกับนายเสี่ยโป้ และชี้แจงว่าการดำเนินคดีของเจ้าหน้าที่ตำรวจครั้งนี้กระทำโดยไม่ได้เจาะจงเรื่องส่วนตัวในส่วนที่ผู้ต้องหาเสียหายและได้เคยแจ้งความไว้เจ้าหน้าที่ตำรวจก็จะให้ความเป็นธรรม การดำเนินการทั้งหมดเจ้าหน้าที่มีพยานหลักฐาน

โดยในระหว่างแถลงข่าว ผบ.ตร.ได้ถามคำถามเสี่ยโป้ว่า เลิกได้ไหมอาชีพนี้ ซึ่งเสี่ยโป้ก็รับฟัง แต่ไม่ได้ตอบคำถามใด ๆ

ในขั้นตอนสอบสวนด้านการเงินจะต้องมีการประสานงานร่วมกับ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.)เพราะพฤติการณ์ดังกล่าวเข้าข่ายฟอกเงิน จากการรวบรวมข้อมูลของเจ้าหน้าที่ตำรวจพบว่าเว็บพนันออนไลน์มีมากกว่า 2 เว็บไซต์เบื้องต้นพบ 6 เว็บไซต์โดยมี เซิร์ฟเวอร์ หลักอยู่ที่ต่างประเทศ หากทำการสืบสวน และพบเครือข่าย จะมีการดำเนินการเอาผิดทั้งหมด

สำหรับการประกันตัว ผบ.ตร. กล่าวว่า เจ้าหน้าที่ชั้นสอบสวนจะคัดค้านการประกันตัวแต่สุดท้ายต้องขึ้นอยู่ที่ดุลยพินิจของศาล ว่าจะให้ประกันตัวหรือไม่

ด้าน พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รอง ผบ.ตร. กล่าวว่า จากเว็บไซต์หลัก 2 เว็บไซต์ พบว่า มีเงินหมุนเวียน มากกว่าพันล้านบาท ซึ่งจากหลักฐานเบื้องต้นชี้ให้เห็นว่ามีการ ให้ผู้อื่นเปิดบัญชีเพื่อถ่ายโอนเงิน หลังจากนี้ทรัพย์สินที่ได้ จากการยึด ทั้งหมดจะเข้าสู่กระบวนการ ตามกฎหมายฟอกเงินรวมถึงบ้านสิ่งปลูกสร้าง

ทั้งนี้ จากการสืบสวนทราบว่า นายเสี่ยโป้ กับพวกรวม 31 คนมีพฤติการณ์สมคบกัน รู้เห็นเป็นใจในลักษณะแบ่งงานแบ่งหน้าที่ร่วมกันประกาศโฆษณาชักชวนจัดให้บุคคลทั่วไปเข้าเล่นการพนันผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์เว็บไซต์พนันออนไลน์ โดยนายเสี่ยโป้ทำหน้าที่โฆษณาประชาสัมพันธ์ผ่าน Facebook ของตัวเอง และ Facebook ของภรรยารวมทั้งเว็บไซต์อื่น ๆ

สำหรับทรัพย์สินที่ตรวจยึดได้มีโทรศัพท์มือถือ 39 เครื่องสมุดบัญชีธนาคาร 65 เล่ม เครื่องบันทึกภาพกล้องวงจรปิด โนตบุ๊ค บัตร ATM อาวุธปืน รถยนต์ เงินสด แหวนทองฝังเพชร กำไลเงินฝังเพชร ธนบัตรต่างประเทศ ส่วนกรณีบ้าน คอนโดและทรัพย์สินอื่น ๆ จะมีการทำรายงาน เพื่อเสนอปปง. ดำเนินการต่อไป

เหตุการณ์รัฐประหารครั้งล่าสุดของพม่า เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา เมื่อกองทัพพม่ายกพลเข้ากรุงเนปิดอว์ และเข้าควบคุมตัวผู้นำคณะรัฐบาลพลเรือน รวมถึง นาง อองซาน ซูจี

ที่ปรึกษาแห่งรัฐ และ นาย วิน มินท์ ประธานาธิบดีคนปัจจุบัน กลายเป็นจุดสนใจของชาวโลก ว่าเกิดอะไรขึ้นในดินแดนฤาษีแห่งอาเซียนแห่งนี้กันแน่

โดยหลังจากเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้น บรรดาชาติตะวันตกหลายชาติ ก็เริ่มออกมาประณามการตัดสินใจของกองทัพพม่า และกดดันไปทางองค์การสหประชาชาติ (UN) ให้ออกมาเคลื่อนไหวแสดงจุดยืนต่อสถานการณ์ในพม่า

ล่าสุด สภาความมั่นคงแห่งสหประชาชาติได้เปิดประชุมด่วน เมื่อวันอังคารที่ 2 กุมภาพันธ์ เพื่อประเมินสถานการณ์ในพม่า และหามติร่วมในการแถลงจุดยืนในนามองค์กร

ที่ประชุมประกอบด้วยตัวแทนสมาชิก 15 ชาติ ที่เป็นสมาชิกถาวร 5 ชาติ คือ สหรัฐ, อังกฤษ, ฝรั่งเศส, จีน และ รัสเซีย ได้หารือที่จะร่วมออกแถลงการณ์ประณามเหตุการณ์รัฐประหารในพม่า และอาจนำไปสู่มาตรการกดดันจากองค์การสหประชาชาติในขั้นตอนต่อไป

แต่ประเทศจีน และ รัสเซีย ได้ใช้สิทธิ์สมาชิกภาพถาวร คัดค้านคำแถลงการณ์ประณามของสภาความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ประเด็นจึงถูกตีตกไป

โดยทางจีนได้ให้เหตุผลที่ไม่สนับสนุนให้สภาความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ หลังออกมาร่วมแถลงการณ์ประณาม และคัดค้านกิจกรรมใดๆ ที่เป็นการแทรกแซงกิจการภายในของพม่าว่า จีนมิได้หมายถึงรัฐบาลปักกิ่งสนับสนุนการรัฐประหารในพม่า แต่เห็นว่าการที่องค์กรนานาชาติเข้าไปกดดัน หรือเข้าแทรกแซงด้วยมาตรการคว่ำบาตร อาจทำให้สถานการณ์ภายในพม่าเลวร้ายลงกว่าเดิม

นอกจากนี้ ยังตอบโต้ข้อครหาที่ว่ารัฐบาลปักกิ่ง อาจมีผลประโยชน์แอบแฝงร่วมกับกองทัพพม่าว่า ทางรัฐบาลจีนมีความสัมพันธ์กับรัฐบาลพม่า ภายใต้การนำของพรรค NLD ของนางอองซาน ซูจี เป็นอย่างดี และเข้าไปร่วมลงทุนในพม่าจากการสนับสนุนของรัฐบาลพลเรือนของพม่ามาโดยตลอด

แต่เมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในพม่า จีนก็ต้องเข้าไปเจรจาข้อตกลงกันใหม่ ซึ่งจะดำเนินโครงการร่วมกันต่อหรือไม่ ก็ต้องขึ้นอยู่กับการพูดคุยในอนาคต แต่ทางจีนจะไม่เข้าไปวุ่นวายเรื่องภายในรัฐบาลของพม่า เช่นเดียวกันกับรัสเซีย ที่มีจุดยืนไม่ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องภายในของพม่า เหมือนเมื่อกรณีการกวาดล้างชน กลุ่มน้อยชาวโรฮิงญานับล้านที่เคยเกิดขึ้นในปี 2017

ทว่า กลุ่มประเทศผู้นำเศรษฐกิจ G7 อันประกอบด้วย อังกฤษ, สหรัฐอเมริกา, แคนาดา, ฝรั่งเศส, เยอรมัน, อิตาลี และญี่ปุ่นนั้น มีความเห็นที่แตกต่างออกไป และได้ออกแถลงการณ์ให้กองทัพพม่าคืนอำนาจให้กับรัฐบาลพลเรือนที่มาจากการเลือกตั้งโดยทันที พร้อมกดดันให้ยกเลิกการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน รวมถึงปล่อยตัวคณะรัฐมนตรีที่ถูกจับกุมตัว เพื่อเป็นการเคารพต่อหลักกฏหมาย และสิทธิมนุษยชน

ฉะนั้นในเมื่อทางองค์การสหประชาชาติได้ประกาศว่าเหตุการณ์ทางการเมืองในพม่า เป็นการรัฐประหารอย่างเป็นทางการ ก็เท่ากับว่า สหรัฐอเมริกาจะตัดความช่วยเหลือทุกทางไม่ว่าจะผ่านทางหน่วยงานรัฐ หรือเอกชนของประเทศพม่านับจากนี้ไป รวมถึงทางสหภาพยุโรป อังกฤษ และออสเตรเลีย ก็ได้ออกแถลงการณ์ประณามแล้วเช่นกันด้วย


อ้างอิง

https://www.businessinsider.com/china-russia-block-un-security-council-condemn-myanmar-coup-2021-2

https://www.france24.com/en/americas/20210203-china-russia-block-un-security-council-condemnation-of-myanmar-coup

https://www.bbc.com/news/world-asia-55913947


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top