Tuesday, 24 June 2025
TheStatesTimes

ส.ส.กทม. ก้าวไกล สะท้อนปัญหาคนกรุง ทั้งน้ำประปา - PM 2.5 ซัดรัฐละเลย ไม่สนใจประชาชน ย้ำ ‘ประยุทธ์’ ต้องเพิ่มมาตรการ แก้ปัญหาอย่างเร่งด่วน เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีเเลกกับภาษีที่จ่าย

น.ส.วรรณวรี ตะล่อมสิน ส.ส.กรุงเทพมหานคร เขต 3 บางคอเเหลม พรรคก้าวไกล กล่าวถึงกรณีปัญหาเรื่องน้ำประปาเค็ม และประชาชนชาวกรุงเทพมหานครและจังหวัดข้างเคียงต้องทนรับสภาพดื่มน้ำเค็มๆ เป็นปีที่สอง ซึ่งรัฐบาลไม่ใส่ใจที่จะแก้ไขปัญหาพื้นฐานเมื่อคนไทยต้องจ่ายเงินเพียงเพื่อต้องการอากาศที่ดีและน้ำดื่มที่สะอาด

สำหรับ เเนวทางที่รัฐบาลพลเอกประยุทธ์ แนะนำเมื่อปีก่อนคือ ให้นำน้ำไปต้ม ซึ่งการต้มนอกจากจะลดความเค็มไม่ได้แล้ว ยังจะเพิ่มความเข้มข้นของเกลือในน้ำดื่มอีกด้วย อีกทั้งปีนี้ เกิดเป็นปีที่สอง ซึ่งก็ไม่มีการจัดสรรงบประมาณ หรือเตรียมการใด ๆ ทำให้ประชาชนผู้เสียภาษี รับกรรมกันเองตามยถากรรม

ซึ่งถ้าน้ำประปาดื่มไม่ได้ ก็ต้องซื้อดื่ม คนเราเฉลี่ยต้องดื่มน้ำวันละ 2 ลิตร ถ้าซื้อน้ำขวดกิน ก็ต้องมีค่าใช้จ่ายเพิ่มอย่างน้อยๆ ก็ต้องมี 20 - 30 บาท ต่อคน ถ้าในครอบครัวมีสมาชิก 3 คน ต่อเดือน ก็ต้องมีค่าใช้จ่ายครัวเรือนเพิ่มขึ้น เดือนละ 600 - 900 บาท คิดเป็นค่าใช้จ่ายจำนวนไม่ใช่น้อยๆ สำหรับคนตัวเล็กตัวน้อย หาเช้ากินค่ำ รับจ้างทั่วไป และในช่วงที่เศรษฐกิจกำลังตกต่ำย่ำแย่ ประชาชนตกงาน แรงงานต้องหยุดงาน แม้แต่เรื่องพื้นฐานอย่างอาหาร ยังคิดหนักว่าจะเอาเงินจากไหนมาซื้อข้าว ไม่ต้องพูดถึงทางเลือกอื่นๆในชีวิต

"สิ่งที่เจ็บปวดและสร้างความผิดหวังซ้ำซาก คือ รัฐบาลนี้ไม่เคยใส่ใจความเป็นอยู่ของพี่น้องประชาชนเลยมีแต่ผลักภาระให้กับประชาชนเพื่อให้ประชาชนใช้ชีวิตตามยถากรรม กลายเป็นว่า การมีคุณภาพชีวิตที่ย่ำแย่เป็นเรื่องปกติ หรือ new normal ของการอยู่อาศัยในกรุงเทพฯเมืองฟ้าอมรที่ไม่มีจริง"

การใช้ชีวิตอยู่ในเมืองนี้ หากท่านพอจะมีทางเลือก ท่านก็ต้องมีภาระค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นให้กับตัวเอง ลูกๆ และคนในครอบครัว ทั้งค่าเครื่องกรองน้ำ หน้ากากอนามัย บางบ้านที่ลูกมีปัญหาการแพ้ฝุ่น PM 2.5 หนักๆ ก็ต้องลงทุนซื้อเครื่องกรองอากาศ และในฐานะของคนเป็นแม่ ที่มีลูกเล็ก ปัจจัยพื้นฐานที่ดิฉันต้องการคือ ต้องการให้ลูกเติบโตมาในเมืองที่มีความปลอดภัย มีปัจจัยต่อการดำรงอยู่ขั้นต่ำที่เพียงพอ

ดิฉัน ในฐานะสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในฐานะแม่ลูก ในฐานะสมาชิกคนหนึ่งในครอบครัว ในฐานะคนกรุงเทพฯขอเรียกร้องในฐานะนายกรัฐมนตรี เร่งดำเนินการเยียวยาให้แก่พี่น้องประชาชน และดำเนินการเตรียมการเตรียมงบประมาณในการรับมือกับปัญหาน้ำประปาเค็ม PM 2.5 ได้แล้ว และหวังเป็นอย่างยิ่งว่า ในปีถัดไปนับจากนี้ ดิฉันจะไม่ต้องมาเรียกร้องในปัญหาเดิม ๆ ในแบบนี้อีก" วรรณวรี กล่าวทิ้งท้าย

เหรียญอีกด้านที่เผยเบื้องลึกอีกมุมจากการรัฐประหารในพม่า โดย ‘นิพัทธ์พร เพ็งแก้ว’ นักเขียนสารคดีชื่อดังและนักเรียกร้องสิทธิมนุษยชนหญิง บุตรสาวอาจารย์ล้อม เพ็งแก้ว ปราชญ์ด้านภาษาไทย

…เพื่อนกลุ่มชาติพันธุ์ติดต่อส่งข่าวจาก Source: IQ สำนักข่าวอินโฟเควสท์ | 1 Feb 2021 7:02 ว่า ‘อองซาน ซูจี’ ถูกทหารเมียนมาควบคุมตัว พร้อมเจ้าหน้าที่ระดับสูงพรรค NLD โดยการควบคุมตัวนางซูจีเกิดขึ้น หลังจากสถานการณ์ตึงเครียดระหว่างรัฐบาลพลเรือนและกองทัพเมียนมาได้ทวีความรุนแรงมากขึ้น ซึ่งทำให้หลายฝ่ายวิตกกังวลว่าอาจจะเกิดการรัฐประหารหลังจากกองทัพเมียนมาอ้างว่ามีการโกงการเลือกตั้งในเดือนพ.ย.ที่ผ่านมา

นายเมียว ยุนต์ โฆษกพรรค NLD เปิดเผยกับผู้สื่อข่าวของรอยเตอร์ทางโทรศัพท์ว่า นางซูจี, นายอู วินมิ่นท์ ประธานาธิบดีเมียนมา และผู้นำคนอื่นๆ ของเมียนมา ได้ถูกควบคุมตัวในช่วงเช้านี้ “ผมต้องการจะบอกกับประชาชนของเราว่าอย่าตอบโต้อย่างผลีผลาม และผมต้องการให้พวกเขาทำตามกฏหมาย” นายเมียวกล่าวและคาดว่าตัวเขาก็คงจะถูกควบคุมตัวด้วยเช่นกัน

ดิฉันจึงเริ่มประสานงานตรวจเช็คจากเพื่อน ๆ แหล่งข่าวกลุ่มชาติพันธุ์หลายคนที่ทำงานอยู่ชายแดนไทย และในเมียนมา โดยในยามสายได้มีข่าวจากกลุ่มชาติพันธุ์ชัดเจนแล้วว่า นายพล มิน อ่อง หล่าย เป็นผู้นำรัฐประหาร ตอนนี้ทหารพม่าได้เข้าจับกุม นักการเมืองท้องถิ่นที่รัฐบาลซูจีของพรรค NLD แต่งตั้งให้ทำงานอยู่ตามพื้นที่ต่างๆ ดังที่ท่าขี้เหล็กผู้นำท้องถิ่นสังกัดพรรค NLD ของซูจีโดนรวบแล้ว และตามเมืองต่างๆ ทหารได้เข้าล็อคตัวผู้นำที่รัฐบาลซูจีแต่งตั้งไว้แล้ว แต่ผู้นำกลุ่มชาติพันธุ์ และคนของกลุ่มชาติพันธุ์ที่ทำงานทางการเมืองโดยตรง ยังไม่โดนอะไร

สำหรับในประเทศเมียนมา ดิฉันได้ประสานงานกับเพื่อนสัญชาติพม่าที่อยู่ในเมียนมา เขาบอกชีวิตชาวบ้านและทุกอย่างยังสงบ ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง แต่เพิ่งมีประกาศเป็นทางการในทีวีพม่าว่า มีการแต่งตั้งอูมินส่วย รองประธานาธิบดีพม่าคนที่ 1 ขึ้นรักษาการประธานาธิบดีชั่วคราว ทั้งประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในประเทศ 1 ปี ก่อนจะมีการเลือกตั้งใหม่ ให้โปร่งใสกว่านี้

ข้อมูลที่เป็นไฮไลท์จาก นิพัทธ์พร เพ็งแก้ว ได้เผยว่า...

นี่เป็นข้อมูลที่ดิฉันรวบรวมจากเพื่อนกลุ่มชาติพันธุ์ และติดต่อทางสื่อออนไลน์คุยกับเพื่อนในเมียนมา โดยได้รับทราบมาตลอดหลายปี และรวบรวมเหตุการณ์รัฐประหารวันนี้ มีดังนี้

1.) การรัฐประหารครั้งนี้ ทั้งประชาชนพม่าและกลุ่มชาติพันธุ์จำนวนมาก เป็นส่วนใหญ่ก็ว่าได้ ‘เห็นด้วยกับทหาร’ และประชาชนไม่เอาด้วยกับซูจีและนักการเมืองพรรค NLD

2.) สำหรับทางกลุ่มชาติพันธุ์แล้ว แม้หลายปีมานี้ ในช่วงรัฐบาลซูจี ทางซูจีจะช่วยชนกลุ่มน้อยหลายอย่าง แต่ก็เหยียบย่ำบีบคั้น ชนกลุ่มน้อยมาก โดยบังคับให้ผู้นำทุกกลุ่มชาติพันธุ์ต้องพูดภาษาพม่าในรัฐสภา, กระทั่งนักการเมืองพรรค NLD เองจะเสนอแนวคิดใดในสภา ก็ต้องนำเสนอประเด็นที่จะพูดในรัฐสภากับซูจีก่อน จึงจะได้รับโอกาสให้เสนอความเห็นในสภาได้

3.) นักการเมืองเมียนมาจำนวนมาก และกลุ่มชาติพันธุ์ทุกกลุ่มเจอเรื่องสุดแสบจากซูจีมาตลอด 5 ปี จนเข็ดขี้อ่อนขี้แก่ จนกระทั่งมีนักการเมืองรุ่นใหม่ทั้งของเมียนมาและชนกลุ่มน้อย ไม่เอากับ NLD และเข้ารวมตัวกันกับทหารรุ่นใหม่ เข้าสู่สนามเลือกตั้งในช่วงการเลือกตั้งปลายปีที่ผ่านมา

4.) เพื่อนกลุ่มชาติพันธุ์บอกกำลังตรวจเช็ค จะเป็นการรัฐประหารยาวหรือทำแค่ควบคุมระยะสั้น เพราะตอนนี้เป็นช่วงเลือกตั้งเสร็จใหม่ๆ เหลือเวลาให้ต้องเปิดรัฐสภาให้ได้ภายใน 10 วัน ถ้าเปิดสภาไม่ได้ ผลเลือกตั้งจะเป็นโมฆะ ทหารต้องการให้ผลเลือกตั้งเป็นโมฆะ เพราะโกงมาก และทางซูจีจะต้องเปลี่ยนรัฐธรรมนูญที่ใช้อยู่แน่ เนื่องจากรัฐธรรมนูญเอื้อกับการใช้อำนาจของทหารมาก ดังนั้นทหารต้องยึดอำนาจ ตรงนี้กลุ่มชาติพันธุ์ก็ต้องการที่สุดในการแก้ รธน. แต่ตลอด 5 ปีที่ผ่านมา กลุ่มชาติพันธุ์ก็ถูกบีบบังคับอย่างที่สุดจากซูจีด้วย และกลุ่มชาติพันธุ์จำนวนมากได้เมินเฉยไม่เอากับรัฐบาลซูจีไปมากแล้วด้วย

5.) ดิฉันได้สัมภาษณ์ออนไลน์กับเพื่อนสัญชาติเมียนมา เขาอยู่กลางเมืองใหญ่ในเมียนมา เขาให้รายละเอียดว่า ขณะนี้ทั้งประเทศไม่มีสัญญาณโทรศัพท์ มีแต่ WIFI ธนาคารก็หยุดชั่วคราว เมื่อเช้านักการเมืองถูกคุมตัวที่เนปิดอว์ 31 คน ทั้งหมดเป็นคน NLD ของซูจี และพรรคอื่นๆ ซูจีก็โดนด้วย นักการเมืองมาชุมนุมกันที่เนปีดอว์ตอนเช้า เพราะวันนี้เป็นวันเริ่มประชุมสภาผู้แทนราษฎร ตอนนี้ในประเทศเมียนมายังไม่มีประกาศอะไร ทีวีช่องต่างๆ ในเมียนมาไม่เปิด มีแต่ทีวีช่องทหารอันเดียว ซึ่งที่ออกอากาศให้ประชาชนดูกันอยู่ก็ไม่มีข่าวปัจจุบัน ไม่มีข่าวใหม่ มีแต่ข่าวเมื่อ 2 - 3 วันก่อน

ผู้ใหญ่ในบ้านเมืองเมียนมาและผู้ใหญ่ในกลุ่มชาติพันธุ์ที่พบปะติดต่อกัน มีความเห็นว่า ‘ดีที่มีการรัฐประหาร’ เพราะNLDของซูจี โกงเลือกตั้งมาก คนตายแล้วยังมีชื่อไปเลือกตั้ง บางคนชื่อมีสิทธิ์เลือกตั้งอยู่ถึง 3-4 เมือง และมีการไปเลือกตั้งทุกเมือง, คนไม่มีบัตรประชาชน คนอายุไม่ถึงเกณฑ์ ยังเข้าไปเลือกตั้งได้ หลายเมืองมากที่เสียงคนลงคะแนนเกินจำนวนคนมีสิทธิ์จริง การเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมาในพม่า มีการโกงอย่างโจ่งแจ้ง เละเทะมาก

กระทั่งทหารเอง นายพล มิน อ่อง หล่าย ออกมาบอกหลายครั้ง ให้ตรวจสอบการโกงเลือกตั้ง เพื่อให้เกิดความยุติธรรมก่อนเปิดสภา เพราะไม่เป็นประชาธิปไตยจริง ไม่สะอาด ไม่ถูกต้อง มิน อ่อง หล่าย ออกมาบอกหลายครั้ง ซูจีและNLD ก็ไม่ฟัง จะเปิดสภาให้ได้

จนเมื่อ 3 - 4 วันก่อน ทหารกับNLD ประชุมกันที่เนปีดอว์ ทหารขอให้มีการตรวจสอบการเลือกตั้งก่อน ให้ประชาชนได้เห็นความยุติธรรม ความสะอาดโปร่งใสก่อนค่อยเปิดสภา แต่ซูจีและNLD ไม่ยอม ยืนยันจะเปิดสภาให้ได้

6.) การรัฐประหารครั้งนี้ คนเมียนมาและผู้นำทางความคิดของกลุ่มชาติพันธุ์เห็นด้วย เพื่อนดิฉันที่เคยถูกทหารพม่าจับติดคุก และต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยมาตลอด ยืนยันว่า ดีที่มีการรัฐประหาร เขาเห็นด้วยกับการรัฐประหาร เพราะทหารไม่ได้มายึดอำนาจเหมือนครั้งก่อน แต่ทหารมาเป็นนายกสภา อูมินส่วย มารักษาการประธานาธิบดี ภายใน 1 ปีจะมีการเลือกตั้งใหม่

ที่คนจำนวนมาก ผู้นำทางความคิดของกลุ่มชาติพันธุ์จำนวนมากเห็นด้วยกับการยึดอำนาจของทหารครั้งนี้ เพราะตลอดหลายปีในการปกครองของซูจีและรัฐบาลพรรคNLD ซูจีได้ทำในหลายสิ่งที่ประชาชนต่อต้าน ไม่เห็นด้วย เป็นการกระทำที่แย่มากๆ ตัวอย่างเช่น ซูจีไปเอาคนยุโรป ฝรั่งต่างประเทศมาเป็นที่ปรึกษาประเทศจำนวนถึงประมาณ 90 กว่าคน แต่ละคนต้องจ่ายเงินเดือนเขาอย่างน้อยเดือนละ 2000 USดอลลาร์ (60,000บาท) ทั้งที่ประเทศเมียนมาร์ยากจนมาก ประชาชนยากจนมาก ไม่มีเงิน

แต่ซูจีเอางบประมาณชาติมาผลาญ ตลอด 5 ปีของรัฐบาลซูจีเสียเงินไปมาก ทั้งที่คนพม่าเองที่เก่งๆ มีความรู้ในเมืองก็มีมาก ซูจีไม่เอาไปปรึกษา เธอเห็นแก่ชาติตะวันตก ประเทศเมียนมาของเราจะเอาแบบตะวันตกไม่ได้ เราไม่เหมือนกัน ชนกลุ่มน้อยก็มีมาก คนไม่มีการศึกษาก็มาก ตลอด 5 ปีของการปกครองของซูจี บ้านเมืองไม่ได้เจริญรุ่งเรืองขึ้นมาเลย งบประมาณที่ซูจีเอาไปให้ที่ปรึกษาฝรั่ง เอามาช่วยการศึกษาดีกว่า แต่ซูจีและNLD ไม่ทำ

ที่สำคัญซูจีไม่เห็นหัวชนกลุ่มชาติพันธุ์ ไม่อยากร่วมมือกับกลุ่มชาติพันธุ์ ไม่อยากเอาคนของกลุ่มชาติพันธุ์เข้าร่วมทำงานการเมืองในสภา ซูจีไม่เอาอย่างชัดเจนมาก ดังนั้นรัฐประหารครั้งนี้น่าจะดีกับประเทศของเรา มากกว่าปล่อยให้ซูจีเปิดสภาแล้วตั้งรัฐบาลปกครองประเทศต่อไป

ทั้งหมดนี้ดิฉันรวบรวมจากการสัมภาษณ์เพื่อนสัญชาติพม่า และคนของกลุ่มชาติพันธุ์ในช่วงครึ่งวันที่ผ่านมา


ที่มา:

https://www.facebook.com/1190754654403357/posts/2485003138311829/

https://www.thaipost.net/main/detail/91873

กรณ์ ยกทัพพรรคกล้า นำเสนอ สราวุฒิ สุวรรณรัตน์ ว่าที่ผู้สมัครรับเลือกตั้งซ่อมเขต 3 นครศรีธรรมราช ลงพื้นที่พบปะประชาชนตลาดชะอวด พร้อมให้คำแนะนำการพัฒนาเศรษฐกิจในพื้นที่

นายกรณ์ จาติกวณิช หัวหน้าพรรคกล้า กล่าวว่า พรรคกล้ามีความพร้อมเต็มที่ในศึกเลือกตั้งซ่อมครั้งนี้ และหวังว่าประชาชนจะให้โอกาสคนรุ่นใหม่ ให้โอกาส นายสราวุฒิ สุวรรณรัตน์ ได้เป็นปากเป็นเสียง เป็นตัวแทนประชาชน เข้าไปทำงานในฐานะผู้แทนราษฎรของพรรคกล้า เชื่อว่านายสราวุฒิจะสามารถใช้ ประสบการณ์ทั้งหมด พัฒนาความเป็นอยู่ให้คนในพื้นที่ เปลี่ยนแปลงนครศรีธรรมราชไปสู่สิ่งใหม่ที่ดีกว่าเดิมได้

"การเลือกตั้งซ่อมครั้งนี้ ไม่ใช่แค่การเลือกตั้งซ่อมธรรมดา แต่ส่งผลไปถึงการเมืองของนครศรีธรรมราช นึกภาพว่า ถ้าวันที่ 7 มีนาคมนี้ พรรคกล้าได้ ส.ส.คนแรก เป็น ส.ส.นครศรีธรรมราช เขต 3 การเมืองในนครศรีธรรมราชเปลี่ยนไปแน่นอน ไม่ได้มีผลแค่กับชีวิตนายสราวุฒิ หรืออนาคตของพรรคกล้าเท่านั้น แต่มั่นใจว่าจะมีผลต่ออนาคตของชาวนครศรีธรรมราชทุกคน เพราะการเมืองนครศรีธรรมราชเป็นแบบเดิมมายาวนาน" หัวหน้าพรรคกล้ากล่าว

ส่วนเรื่องคู่แข่งในพื้นที่ทางผู้สมัครจากพรรคประชาธิปัตย์ พรรคพลังประชารัฐ และพรรคเสรีรวมไทย นายกรณ์ กล่าวว่า พรรคกล้ามีความพร้อมที่จะส่งผู้สมัครลงแข่ง ไม่ว่าคู่แข่งในพื้นที่ จะเป็นอย่างไร หรือมาจากพรรคใด และย้ำว่า เสียงของพี่น้องชาวนครศรีธรรมราช เขต 3 ไม่ใช่มรดกของคนตระกูลใดตระกูลหนึ่ง หรือพรรคใดพรรคหนึ่ง

‘ชื่อหวานๆ ต้องโครงการลุงตู่’ รวมรายชื่อโครงการเยียวยา ช่วยเหลือประชาชน ของรัฐบาลลุงตู่นับตั้งแต่ปี 2560-2564 ตีความง่าย ประชาชนเข้าใจได้เลย

ถามว่า อะไรเอ่ย ‘ชื่อเยอะ โครงการแยะ’ อันนี้ก็ต้องยกให้ ‘โครงการของรัฐบาลลุงตู่’ นิเอง ลองย้อนๆ เช็กดู ตั้งแต่ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรีมา 2 สมัย 7 ปี ทำเป็นเล่นไป มีโครงการช่วยเหลือประชาชนออกมามากมาย ไม่ต้องนับย้อนไปไกลมากถึง 7 ปีหรอก เอาแค่ 3-4 ปีให้หลังมานี้ ลุงตู่แอนด์เดอะแก๊งค์ ผุดสารพัดโครงการ ไม่ว่าจะเป็นแนวแก้ปัญหา เยียวยา หรือมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ทยอยมาเป็นชู๊ดดๆ

ช่วง 2 - 3 วันที่ผ่านมา ก็เพิ่งปล่อย ‘ม.33 เรารักกัน’ ลำพังแค่ได้ยินชื่อ ก็แอบหวานเห็นรอยยิ้มลุงตู่นำมากันเลยทีเดียว เราจึงลองสืบย้อนกลับไปดูบรรดารายชื่อโครงการมากมาย ก็พบว่า มีจุดเด่นคือ อ่านง่าย เข้าใจได้เลย และเป็นประโยคหวานๆซอฟท์ๆ อาทิ โครงการกำลังใจ, เราไปเที่ยวด้วยกัน (แนะนำว่า เวลาอ่านแต่ละชื่อ ขอให้นึกใบหน้าลุงตู่แย้มยิ้มไปด้วยนะจ๊ะ)

ข้อดีอีกประการที่หากสังเกตจะทำให้รู้ว่า บรรดาโครงการเหล่านี้ มีวิธีให้ผู้คนทุกระดับต้องเอาตัวเข้าไปสู่ ‘โลกดิจิตัล’ หรือพูดง่ายๆ คือ ต้องหัดลงทะเบียน เบิกจ่าย สั่งจอง ผ่านโลกออนไลน์ทั้งสิ้น แรก ๆ มีเสียงคัดค้านว่ายากต่อการเข้าถึง แต่ถึงวันนี้ คุณลุง คุณป้า คุณย่า คุณยาย มีสารพัดแอปฯ ของรัฐกันเรียบร้อย มันอาจจะยุ่งวุ่นวายกันบ้างในช่วงแรก แต่นี่คือกุศโลบายในการเดินหน้าเข้าสู่ ไทยแลนด์ 4.0 ไปโดยไม่รู้ตัว

เล่ามาถึงตรงนี้ The States Times เลยไปรวบรวมบรรดาชื่อโครงการอ่านง่าย เข้าใจได้เลย ของรัฐบาลลุงตู่ มาให้ได้ดูกัน งานนี้ขออนุญาตย้อนถามคุณสักหน่อยว่า ชอบชื่อไหนกันบ้าง วานบอก...

‘อัศวิน’ เผย กทม. งดจัดงานตรุษจีนเยาวราช ป้องกัน ‘โควิด-19’

พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เปิดเผยว่า ที่ผ่านมาในช่วง วันตรุษจีน ของทุกปี กรุงเทพมหานคร โดยสำนักงานเขตสัมพันธวงศ์ จะร่วมกับคณะกรรมการจัดงานตรุษจีนเยาวราช ผู้ประกอบการ และประชาชนในพื้นที่เขตสัมพันธวงศ์ จัดงานเทศกาลตรุษจีนเป็นประจำ

แต่เนื่องจากปีนี้อยู่ในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) และยังไม่มีแนวโน้มที่จะลดลง อาจส่งผลกระทบต่อความปลอดภัยของประชาชนที่เสี่ยงต่อการแพร่เชื้อโควิด-19 ในกลุ่มคนจำนวนมาก

ทั้งนี้ เพื่อเป็นการป้องกันและควบคุมไม่ให้มีการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 (COVID-19) ที่อาจเกิดขึ้นได้จากงานตรุษจีนยาวราช จึงยกเลิกการจัดงานในปีนี้


ที่มา: https://www.infoquest.co.th/2021/63902

ทัพบกแจง!! เยียวยาเหยื่อเหตุกราดยิงโคราช แล้ว 88 ราย รวมถอดยศ-คาดโทษ ผู้ก่อเหตุและมีส่วนเกี่ยวข้อง พร้อมรื้อระบบสวัสดิการทัพบกใหม่ รวมถึงปิดสนามมวย-รื้อสนามม้าตามความเหมาะสม

ที่กองบัญชาการกองทัพบก (บก.ทบ.) พล.ท.สันติพงศ์ ธรรมปิยะ โฆษกกองทัพบก แถลงสรุปครบ1 ปี เหตุการณ์กราดยิงโคราช เมื่อวันที่ 8 ก.พ.63 หลังจากที่กองทัพบกมีคำสั่งตั้งคณะกรรมการสอบสวน และฟื้นฟูเยียวยา รวมถึงพิจารณาลงโทษผู้เกี่ยวข้อง ได้ข้อสรุปจากฝ่ายเสนาธิการ โดยจะเยียวยาใน 2 ลักษณะ ให้กับผู้เสียชีวิตทั้ง 31 ราย และบาดเจ็บ 57 คน รวมทั้งสิ้น 88 ราย โดยบรรจุราชการทหาร 31 คน ในสังกัดกองทัพบก 26 คน สำนักงานตำรวจแห่งชาติ 4 คน และพนักงานรัฐวิสาหกิจการรถไฟ 1 คน

ในส่วนผู้ที่ไม่ได้รับการเยียวยามีทั้งหมด มี 4 คน คือ ผู้ก่อเหตุ และผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง ประกอบด้วย จ.ส.อ.จักรพันธ์ ถมมา ผู้ก่อเหตุ, พ.อ.อนันต์ฐโรจน์ กระแสร์, นางอนงค์ มิตรจันทร์ และ นายพิทยา แก้วพรหม พร้อมตั้งคณะกรรมการสอบสวนปลดประจำการถอดยศ ทั้ง จ.ส.อ.จักรพันธ์ และ พ.อ.อนันต์ฐโรจน์ ถึงแม้จะเสียชีวิตไปแล้ว ก็จะไม่ได้รับสิทธิตามระเบียบบำเหน็จตกทอด

ขณะที่ผู้บังคับบัญชาประจำหน่วยกองทัพภาค โดนคาดโทษ รวมไปถึงผู้บัญชาการช่วยรบที่ 2 ถูกปรับเป็นผู้ทรงคุณวุฒิ ประจำกองทัพบก (ยศไม่ขึ้น) นอกจากนี้ กองทัพบกยังปรับปรุงระเบียบการรักษาความปลอดภัยคลังอาวุธ และปรับปรุงระบบสวัสดิการกองทัพให้เป็นไปตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ทั้งสวัสดิการภายในและนอกเหนือ

นอกจากนี้ พล.ท.สันติพงษ์ ยังชี้แจงถึงแผนสวัสดิการทั้งหมดของกองทัพ โดยพื้นที่สนามกอล์ฟทั้งหมด 36 แห่ง นำไปจัดทำเป็นพื้นที่สวัสดิการเชิงธุรกิจ 1 แห่ง คือ สวนสนประดิพัทธ์ และอีก 2 แห่งที่ รามอินทรา จังหวัดกรุงเทพมหานครฯ และ ลานนา จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งอยู่ระหว่างขั้นตอนการเตรียมเอกสาร โดยจะคงเหลือพื้นที่ 33 แห่งเป็นสวัสดิการภายใน

ส่วนสนามมวย 3 แห่ง ปิดถาวรไปแล้ว 2 แห่ง คือ ค่ายอดิศร จังหวัดสระบุรี และ ค่ายสุรนารี จังหวัดนครราชสีมา ขณะที่สนามมวยลุมพินี ผู้บัญชาการทหารบกได้สั่งการให้แต่งตั้งคณะทำงานศึกษาให้ถูกต้องตามระเบียบ ซึ่งอาจจะเป็นธุรกิจหรือสนามกีฬาที่อาจไม่มีการจัดการแข่งขันแล้ว

ด้านสนามม้า จังหวัดนครราชสีมา ปัจจุบันไม่ได้เปิด เนื่องจากสถานการณ์โควิด-19 และขณะนี้ ผู้บัญชาการทหารบก สั่งตั้งคณะกรรมการศึกษาสำหรับการใช้พื้นที่ว่าจะรื้อสนามม้ามาใช้ประโยชน์ในรูปแบบอื่นหรือไม่ ซึ่งอาจจะเป็นรูปแบบสถานที่ท่องเที่ยว หรือสวนสาธารณะเพื่อออกกำลังกาย

ส่วนสถานที่พักฟื้นพักผ่อน 5 แห่ง จะเข้าสู่สวัสดิการเชิงธุรกิจ 2 แห่ง คือ ไชยนารายณ์ ริเวอร์ไซด์ จังหวัดเชียงราย และสวนสนประดิพัทธ์ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ส่วนลานนา มทบ.33 จังหวัดเชียงใหม่ กำลังดำเนินการ ขณะที่อีก 2 แห่งคือ บางปู จังหวัดสมุทรปราการ และหาดเจ้าสำราญ จังหวัดเพชรบุรี ยังคงเป็นสวัสดิการภายใน

5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2404 กำเนิด ‘ถนนเจริญกรุง’ ถนนสายหลักที่สร้างให้ชีวิตคนไทยเปลี่ยนแปลงสู่วิถีอันทันสมัย

ถ้าเป็นสายฮิปสเตอร์ ชื่อ ‘ถนนเจริญกรุง’ ในวันนี้ คือถนนที่เต็มไปด้วยร้านค้า คาเฟ่ บูติกโฮเทลเก๋ๆ ที่ผุดขึ้นมาเรียงรายสองฝั่งถนน แต่หากสืบย้อนกลับไป ถนนที่มีความยาวกว่า 8,575 เมตร สายนี้ ได้ชื่อว่า เป็นถนนสายหลักแห่งแรกของประเทศไทย

ถนนเจริญกรุง ถูกดำริให้สร้างขึ้นเมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2404 โดยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นด้วยเหตุที่มีชาวต่างชาติ ได้เข้ามาทำธุรกิจห้างร้าน รวมถึงที่ทำการกงสุลต่างๆ ก็ถูกก่อสร้างขึ้นในย่านนี้ ซึ่งกลุ่มคนเหล่านี้ได้ขอให้สร้างถนนสายสำหรับขี่ม้า หรือนั่งรถม้า พระองค์จึงทรงดำริให้มีการสร้างถนนที่มีมาตรฐานขึ้น แล้วเสร็จเมื่อราวปี พ.ศ. 2407

แรกเริ่มเดิมที ผู้คนเรียกถนนสายนี้ว่า ถนนใหม่ ส่วนฝรั่งเรียกว่า นิวโรด (New Road) และชาวจีนเรียกว่า ซินพะโล้ว แปลว่า ถนนตัดใหม่ เช่นกัน ต่อมาพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงโปรดเกล้าฯ พระราชทานนามถนนว่า ‘ถนนเจริญกรุง’ ซึ่งมีความหมายถึง ความเจริญรุ่งเรืองของบ้านเมือง

ถนนเจริญกรุงในยุคก่อน ได้ชื่อว่าเป็นถนนที่ใหญ่และยาวที่สุด โดยแบ่งเป็น 2 ตอน คือ ถนนเจริญกรุงตอนใน ตั้งแต่วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม ถึงสะพานดำรงสถิต (สะพานเหล็ก) และถนนเจริญกรุงตอนใต้ ตั้งแต่สะพานเหล็กออกไปนอกกำแพงพระนคร ต่อเนื่องไปถึงตลาดน้อย บางรัก จรดดาวคะนอง (ในปัจจุบัน)

เมื่อมีถนนหลักใหม่และงดงาม จึงนำมาซึ่งวิถีชีวิตของผู้คนสมัยใหม่ ไม่ว่าจะเป็น การสร้างอาคาร ห้างร้าน บ้านเรือน ไปตลอดแนวถนน ต่อมามีการติดไฟฟ้านำทางส่องสว่าง และด้วยความสวยงามของท้องถนน ผู้คนจึงรู้จักที่จะออกมาใช้ชีวิตในยามค่ำคืนกันมากขึ้น จนเป็นที่มาของถนนที่ได้ชื่อว่า เป็นถนนที่ไม่มีวันหลับใหล ตราบจนทุกวันนี้ ‘เจริญกรุง’ ก็ยังเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตผู้คน แม้สองข้างทางจะเก่าแก่ไปตามกาลเวลา แต่จิตวิญญาณของถนนที่ได้ชื่อว่า เก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งของเมืองไทย ก็ยังคงปรากฎอยู่เช่นเดิมไม่เปลี่ยนแปลง


ที่มา: https://sites.google.com/site/ibkkgroup3/home/yan-ceriykrung

โฆษกรัฐบาล เผยเศรษฐกิจไทยไทยผ่านจุดตกต่ำแล้ว เชื่อปี 2564 ตัวเลขเศรษฐกิจต่าง ๆ จะดีขึ้น ลั่นเงินคงคลังเข้มแข็ง ยืนยันมีงบประมาณลงทุนเพียงพอ

นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงสถานการณ์เศรษฐกิจของไทยในปัจจุบันว่า สถานการณ์เศรษฐกิจของประเทศไทยขณะนี้ถือว่ามีสัญญาณที่ดี มีรานงานจากสำนักงานเศรษฐกิจการคลังออกมาให้ข้อมูลว่าช่วงเดือน ธ.ค. 2563

ตัวเลขต่าง ๆถือว่าดีเช่นการขยายการส่งออก มีการขยายตัวครั้งแรกในรอบ 8 เดือน อยู่ที่ร้อยละ 4.7 อัตราเงินเฟ้อต่ำ ทุนสำรองสูง ผ่านพ้นจุดที่ตกต่ำมาแล้ว และ ในปี 2564 ตัวเลขเศรษฐกิจต่าง ๆ จะดีขึ้น

อีกทั้งสำนักงานบลูมเบิร์ก ประเมินมุมมองอนาคตเศรษฐกิจของไทยปี 2564 ว่า เป็นประเทศที่น่าสนใจอันดับ 1 ใน 17 ประเทศของกลุ่มประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ ทำให้มีแรงดึงดูดจากเงินทุนต่างประเทศ รวมทั้ง ดัชนีสุขภาพของไทยติด 1 ใน 10 ประเทศแรกของโรค

ส่วนการจัดเก็บรายได้ของไทยระหว่างปี 2557- 2563 ก็ถือว่าขยายตัวร้อยละ 2.1 ต่อปี มีเพียง3 ปี ที่จัดเก็บลดลงจากปีก่อนหน้า คือ 2557 , 2560 และ 2563 โดยปี 2563 สาเหตุที่จัดเก็บภาษีได้น้อยที่เกิดผลประทบจากโควิด19 ที่รัฐบาลออก มาตรการภาษีช่วยเหลือประชาชน และ มาตรการช่วยผู้ประกอบการต่าง จึงจัดเก็บรายได้น้อยลง

อีกทั้งสำนักงานบลูมเบิร์ก ประเมินมุมมองอนาคตเศรษฐกิจของไทยปี 2564 ว่า เป็นประเทศที่น่าสนใจอันดับ 1 ใน 17 ประเทศของกลุ่มประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ ทำให้มีแรงดึงดูดจากเงินทุนต่างประเทศ รวมทั้ง ดัชนีสุขภาพของไทยติด1ใน 10 ประเทศแรกของโรค ส่วนการจัดเก็บรายได้ของไทยระหว่างปี 2557- 2563

ก็ถือว่าขยายตัวร้อยละ 2.1 ต่อปี มีเพียง3 ปี ที่จัดเก็บลดลงจากปีก่อนหน้า คือ 2557 ,2560 และ 2563 โดยปี 2563 สาเหตุที่จัดเก็บภาษีได้น้อยที่เกิดผลประทบจากโควิด19 ที่รัฐบาลออก มาตรการภาษีช่วยเหลือประชาชน และ มาตรการช่วยผู้ประกอบการต่าง ึงจัดเก็บรายได้น้อยลง

นายอนุชา กล่าวว่า "สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ได้ชี้แจงว่าสภาพ เงินคงคลัง มีเพียงพอในการดำเนินนโยบาย และการลงทุนต่างๆ โดยเงินคงคลังปลายงวดปี 2563 มากกว่าเงินคงคลังปลายปี 2562 ร้อยละ 49.5 และ หนี้สาธารณะไม่เกินกรอบที่กฎหมายร้อยละ 60"

"บิ๊กป้อม" มอบที่ดินราชพัสดุกว่า 649 ไร่ ให้กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ นำไปพัฒนาต่อยอดเป็น "เมืองสร้างสุข ต้นแบบอาเซียน" คาดใช้เงินลงทุนประมาณ 1.6 หมื่นล้านบาท

พล.อ.ประวิตร เป็นประธาน มอบหนังสืออนุญาตที่ดินราชพัสดุ ก.คลัง จำนวน 649 ไร่ ส่งมอบให้นายจุติ รมว.พม. นำไปพัฒนา "เมืองสร้างสุข ต้นแบบอาเซียน" โดยมี นายสันติ รมช.ก.คลัง, ปลัด ก.คลัง, ปลัด ก.พม., และอธิบดีกรมธนารักษ์, ร่วมส่งมอบและเป็นสักขีพยาน

พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานในพิธีมอบหนังสืออนุญาตให้เช่าที่ดินราชพัสดุแปลงหมายเลขทะเบียน ชบ.219 (บางส่วน) ต.บางละมุง อ.บางละมุง จ.ชลบุรี โดยกรมธนารักษ์ กระทรวงการคลัง เป็นผู้ส่งมอบหนังสืออนุญาตให้ใช้ที่ดินราชพัสดุแปลงหมายเลข 219 (บางส่วน) จำนวน 649-0-72 ไร่

พร้อมสิ่งปลูกสร้างจำนวน 267 รายการ ให้กับกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงมนุษย์ (พม.) เพื่อนำไปใช้ประโยชน์ในการดำเนินโครงการพัฒนาพื้นที่ต้นแบบสังคม "เมืองสร้างสุข (Happiness Social City)" ให้เป็นศูนย์เรียนรู้และอบรมด้านสวัสดิการสังคมระดับอาเซียน และศูนย์ที่พักผู้สูงอายุครบวงจร (Senior Complex) ภายใต้กรอบนโยบายฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ

ทั้งนี้ในการนำที่ราชพัสดุมาใช้ให้เกิดประโยชน์ในครั้งนี้ ถือเป็นไปตามนโยบายของรัฐบาลมอบให้ พม. ดำเนินการพัฒนาให้เป็นไปตามแผนการพัฒนาพื้นที่จังหวัดชลบุรีให้เป็นพื้นที่เศรษฐกิจพิเศษภายใต้เขตพื้นที่พัฒนาเศรษฐกิจตะวันออก (Eastern Economic Corrdor :EEC) และผลักดันให้ไทยเป็นศูนย์การดำเนินงานด้านอาเซียน โดยการขับเคลื่อนแผนงานประชาสังคมและวัฒนธรรมอาเซียน เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากร เข้าสู่สังคมผู้สูงวัยที่มากขึ้น

นายสันติ พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า “ตามที่กระทรวงการคลัง ได้มอบหมายให้ นายยุทธนา หยิมการุณ อธิบดีกรมธนารักษ์ ดำเนินการนำที่ดินและที่ราชพัสดุ ที่ส่งมอบคืนไปใช้พัฒนาให้เกิดประโยชน์ต่อประเทศชาติมากที่สุด

เพื่อให้เกิดการหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ ดังนั้นการมอบที่ราชพัสดุให้กับ พม. เป็นไปตามแผนงานหลักโดยการนำไปใช้พัฒนาเป็นพื้นที่ต้นแบบด้านสังคม "เมืองสร้างสุข (Happiness Social City) ที่พร้อมให้บริการกับประชาชน"

โดย นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) กล่าวว่า "โครงการดังกล่าว นับว่าเป็นประโยชน์ต่อประชาชนเป็นอย่างมาก หลังจากนี้ ทางกระทรวง พม. จะนำที่ดิน จำนวน 649 -0-72 ไร่ พร้อมสิ่งปลูกสร้างจำนวน 267 รายการ ไปพัฒนาให้เกิดประโยชน์ และเป็นโครงการต้นแบบ "เมืองสร้างสุข (Happiness Social City) ให้เป็นศูนย์เรียนรู้และอบรมด้านสวัสดิการสังคมระดับอาเซียนและศูนย์ที่พักผู้สูงอายุแบบครบวงจรภายใต้กรอบนโยบายฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมของประเทศต่อไป"

สำหรับการพัฒนาพื้นที่ดินพื้นที่ดังกล่าว แบ่งออกเป็นพื้นที่เพื่อใช้ประโยชน์ต่าง ๆ ประกอบด้วย

1.) สำหรับบริการแก่กลุ่มเป้าหมายครบวงจร (Center Club House) อาทิ ศูนย์ให้บริการทางการแพทย์ ศูนย์ฝึกอาชีพ พื้นที่ออกกำลังกายและทำกิจกรรมต่างๆ

2.) ศูนย์บริการของหน่วยงาน พม.ในพื้นที่ เพื่อให้บริการด้านสวัสดิการสังคมผู้สูงอายุบ้านบางละมุง และศูนย์การเรียนรู้และฝึกอบรมด้านผู้สูงอายุจังหวัดชลบุรี เป็นต้น

3.) พื้นที่สำหรับในการ ให้บริการในเชิงพาณิชย์ เช่น ศูนย์การประชุม โรงแรมและ (Community Mall)

4.) ศูนย์ที่พักอาศัยผู้สูงอายุแบบครบวงจร (Senior Complex) ซึ่งอยู่ในการครอบครองของกรมกิจการผู้สูงอายุ เป็นพื้นที่ติดชายทะเล เนื้อที่จำนวน 48 ไร่

โดยนายยุทธนา หยิมการุณ อธิบดีกรมธนารักษ์ ระบุว่า ที่ดินราชพัสดุบางละมุง แปลงหมายเลขทะเบียน ชบ.219 (บางส่วน) จำนวน 649-0-72 ไร่ พร้อมสิ่งปลูกสร้าง 267 รายการ จะอยู่ภายใต้โครงการขับเคลื่อนต้นแบบ "เมืองสร้างสุข (Happiness Social City)” ซึ่งดำเนินการโดย กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.)

"กรมอนุญาตให้ พม.ใช้ที่ดิน จากนี้ ทางพม.จะต้องไปดำเนินการต่อ โดยคาดว่าจะมีมูลค่าโครงการประมาณ 16,000 ล้านบาท เป็นโครงการของ พม. ในรูปแบบร่วมลงทุนกับภาคเอกชน แต่จะกำหนดให้มีการขายและเช่าสิทธิ แต่จะต้องมีราคาไม่สูงมาก เพื่อให้ผู้สูงอายุทุกคนเข้าถึงได้ โดยคาดว่าจะเริ่มคัดเลือกเอกชนมาลงทุน พร้อมทั้งเปิดจองสิทธิซื้อจองได้ภายในปีนี้"

รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ‘ศิริภา อินทวิเชียร’ สวนกลับ ‘สัณหพจน์ สุขศรีเมือง’ อย่าดูถูกเสียงประชาชน ลั่นไม่มีใครตีตราจอง นอกจากประชาชนเลือกเอง พร้อมยก ‘ประชาธิปัตย์’ เก่าแก่ควรค่าเป็นดัง ‘ไม้ยืนต้น’ ส่วนพรรคเกิดใหม่ยังเป็นได้แค่ไม้ล้มลุก

นางสาวศิริภา อินทวิเชียร รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ได้กล่าวถึง กรณีที่นายสัณหพจน์ สุขศรีเมือง ส.ส.เขต 2 จ.นครศรีธรรมราช พรรคพลังประชารัฐ ได้กล่าวถีง การเลือกตั้งซ่อมในเขต 3 จ.นครศรีธรรมราช ว่า อย่าดูถูกประชาชน ว่าพรรคการเมืองใดตีตราจองในเขตเลือกตั้ง เพราะการที่พรรคการเมืองใดที่ได้รับการเลือกตั้งในเขตนั้นๆติดต่อกัน ไม่ใช่พรรคการเมืองตีตราจอง

แต่เป็นเพราะเสียงของประชาชนจองพรรคนั้น และไม่มีผู้แทนในพื้นที่ หรือพรรคการเมืองใดจะจองได้ หากประชาชนไม่เอาด้วยก็ไม่มีทางได้รับความไว้วางใจ ในจังหวัดนครศรีธรรมราชนั้นมีหลายเขตที่ต้องดูกันยาวๆ อย่าพยายามยกหางตัวเอง กลองที่ตีเสียงดังดีคือหนังแท้ กลองที่ตีได้ครั้งเดียวคือหนังเปื่อย

ส่วนเรื่องฮั้วกันในทางการเมือง พรรคการเมืองที่เป็นสถาบันจะทราบดี และเมื่อถึงวันเลือกตั้งก็จะรู้ว่าใครฮั้วกับพรรคไหน

ทั้งนี้ ตลอด 74 ปีที่ผ่านมา พรรคประชาธิปัตย์เป็นหลักให้กับประเทศ ยึดมั่นในระบบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข มุ่งมั่นทำงาน เคารพเสียงประชาชน พรรคของเรา คนของเรา เป็นความภูมิใจของประชาชนที่มีส่วนเป็นเจ้าของพรรค

เมื่อคัดเลือกคนที่ไปลงเลือกตั้งก็ต้องแน่นอนได้ว่าเป็นคนของพรรคและเป็นคนของประชาชน ดังนั้นอย่าดูถูกความรักความศรัทธาของประชาชน ในอนาคตจะมีอีกหลายพรรคที่เราจะรู้ได้ว่าเป็นพรรคที่ยั่งยืนหรือฉาบฉวยหรือไม่ เช่นเดียวกับนักการเมืองที่มีหลักการ ซื่อสัตย์สุจริต ก็ต้องใช้เวลาดูแบบไม้ยืนต้น เพราะถ้าเป็นไม้ล้มลุกจะใช้เวลาดูไม่นานก็จะรู้ว่าไม่ยั่งยืนเหมือนไม้ยืนต้น


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top