สถานการณ์ COVID-19 ประเทศไทยและอาเซียน (1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2564)
สถานการณ์ COVID-19 ประเทศไทยและอาเซียน (1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2564)

สถานการณ์ COVID-19 ประเทศไทยและอาเซียน (1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2564)
นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เป็นประธาน เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะอนุกรรมการบริหารการพัฒนาเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (กบอ.) ว่า ได้รับทราบภาพรวมการขอรับส่งเสริมการลงทุนใน อีอีซี
ในปี 2563 มีทั้งสิ้น 453 โครงการ มูลค่าลงทุน 2.08 แสนล้านบาท คิดเป็น 43% ของมูลค่าการขอรับส่งเสริมการลงทุนทั้งประเทศ เป็นการลงทุนจากต่างประเทศรวม 1.15 แสนล้านบาท คิดเป็น 55% ของมูลค่าขอรับส่งเสริมทั้งหมดใน อีอีซี
โดยนักลงทุนจากประเทศญี่ปุ่น เข้ามาลงทุนใน อีอีซี สูงสุด มูลค่าการลงทุน 50,455 ล้านบาท คิดเป็น 44% และอันดับสองเป็นนักลงทุนจากจีน มูลค่าการลงทุน 21,831 ล้านบาท ส่วนโครงการที่ยื่นขอรับส่งเสริมการลงทุนในอีอีซี ปี 63 จาก 453 โครงการ ได้อนุมัติคำขอแล้ว 292 โครงการ ออกบัตรส่งเสริมแล้ว 172 โครงการ และได้เริ่มโครงการแล้ว 79 โครงการ
อย่างไรก็ตาม ในปี 2564 แม้จะมีสถานการณ์การระบาดของไวรัสโควิด-19 แต่รัฐบาลยังคงนโยบายปฏิบัติการเชิงรุกเพื่อดึงดูดการลงทุน ทั้งในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก หรืออีอีซี และพื้นที่อื่นทั่วประเทศ โดยเฉพาะอุตสาหกรรมเป้าหมาย
ด้วยการใช้ทุกองคาพยพ ทั้งสำนักงานอีอีซี และสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือ บีโอไอ ร่วมกันคัดเลือกกลุ่มนักลงทุน แก้ปัญหา และพิจารณาสิทธิประโยชน์อย่างเต็มที่ โดยตั้งเป้าหมายดึงดูดการลงทุนในอีอีซี ให้ได้ 3 แสนล้านบาท ในปี 2564 เพิ่มจากปีก่อน 50%
เราเชื่อว่าเทคโนโลยีที่ควรจะเป็นคือ เทคโนโลยีที่ทำงานเพื่อคุณ เป็นเทคโนโลยีที่จะทำให้คุณนอนหลับได้ ไม่ใช่กระตุ้นให้คุณตื่นอยู่เสมอ เป็นเทคโนโลยีที่บอกให้คุณพอได้แล้ว ให้คุณมีเวลาสำหรับสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ได้วาดรูป ได้เขียน หรือได้เรียนรู้ ไม่ใช่ขอให้คุณ refresh อีก ดูอีก
มันต้องเป็นเทคโนโลยีที่ทำงานอย่างเงียบๆ ขณะที่คุณกำลังปีนเขา หรือว่ายน้ำ แต่มันจะเตือนคุณเมื่อหัวใจคุณทำงานผิดปกติ และช่วยคุณได้เมื่อคุณเกิดอุบัติเหตุล้มลง
และทั้งหมดหมายถึงการเก็บ ความลับ ความเป็นส่วนตัวที่ถือเป็นความสำคัญที่สุดลำดับที่หนึ่ง เพราะไม่ควรมีใครได้สิทธิ์ส่วนตัวของคุณไปใช้ในการสร้างโปรดักส์ที่ดี
คุณจะเรียกว่าเราไร้เดียงสาก็ได้ แต่เรายังเชื่อในเทคโนโลยีที่สร้างโดยคน เพื่อคน และทำให้คนอยู่อย่างเป็นสุข ซึ่งเรื่องเหล่านี้ยากที่เราจะไม่สนใจ เพราะเราเชื่อว่าเทคโนโลยีที่ดี วัดผลได้จากความเป็นอยู่ของมนุษย์ที่ดีขึ้น
ถ้าเรารับได้ว่าเรื่องการโดนล้วงข้อมูลเป็นเรื่องธรรมดาและหลีกเลี่ยงไม่ได้ และคิดว่าทุกอย่างของเรานั้นสามารถรวบรวมนำไปขายได้ สุดท้ายแล้วเราไม่ได้จะเสียแค่ข้อมูล แต่เรากำลังจะเสียอิสระภาพของความเป็นคนด้วย..
นี่คือส่วนหนึ่งของ Speech โดย ทิม คุก CEO ของ Apple ที่พูดไว้ในงาน Privacy & Data Protection conference เมื่อวันที่ 28 ที่ผ่านมา
เนื้อหาค่อนข้างตรงไปตรงมา และแทงใจบริษัทอย่าง Facebook โดยตรง แต่ในฐานะ Apple users รู้สึกว่า นี่คือการยืนยันที่จะเป็น ผู้นำในการป้องกันข้อมูลส่วนบุคคล ที่นอกจากจะได้ภาพด้านนี้แล้ว ยังสร้าง Branding ที่ดีให้กับ Apple ได้อีกด้วย
ถือว่าเป็น speech ที่ยอดเยี่ยม...
ทั้งนี้ Apple ยังได้ปล่อยเอกสารที่ชื่อว่า ‘A Day in the Life of Your Data’ ซึ่งเปิดด้วย quote ของ Steve Jobs ที่เขียนว่า..
“เราเชื่อว่ามนุษย์เรานั้นฉลาด และหลายคนก็ต้องการจะแชร์ข้อมูลส่วนตัวให้คนอื่น แต่ขอให้ถามเขาก่อน ถามเขาทุกครั้ง ถามจนกว่าเขาจะบอกให้หยุดถามเมื่อเขาเริ่มเบื่อกับคำถามของเรา ให้เรารู้ชัด ๆ ว่าคุณกำลังจะทำอะไรกับข้อมูลของเขา”
“I believe people are smart and some people want to share more data than other people do. Ask them. Ask them every time. Make them tell you to stop asking them if they get tired of your asking them. Let them know precisely what you're going to do with their data.”
ส่วนด้านล่างนี่คือ speech ของ ทิม คุก ช่วงที่ผมตัดมานะครับ
We believe that ethical technology is technology that works for you. It’s technology that helps you sleep, not keeps you up. That tells you when you’ve had enough, that gives you space to create, or draw, or write or learn, not refresh just one more time. It’s technology that can fade into the background when you’re on a hike or going for a swim, but is there to warn you when your heart rate spikes or help you when you’ve had a nasty fall. And that all of this, always, puts privacy and security first, because no one needs to trade away the rights of their users to deliver a great product.
Call us naive. But we still believe that technology made by people, for people, and with people’s well-being in mind, is too valuable a tool to abandon. We still believe that the best measure of technology is the lives it improves.
ที่มา:
https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=10158974172635070&id=570720069
พรรค NLD ระบุว่า คำแถลงที่ถูกอัปโหลดขึ้นบนหน้าเพจเฟซบุ๊กที่พรรคใช้ระหว่างการหาเสียงเลือกตั้งในวันนี้ (1) ได้เขียนขึ้นก่อนที่การรัฐประหารในวันจันทร์ (1) จะเกิดขึ้น อย่างไรก็ตาม รอยเตอร์ไม่สามารถติดต่อเจ้าหน้าที่ของพรรค NLD เพื่อขอความคิดเห็นได้
ซูจีไม่ปรากฏตัวให้เห็นในที่สาธารณะตั้งแต่เธอถูกควบคุมตัวในช่วงเช้ามืดพร้อมกับบุคคลสำคัญของพรรคและนักเคลื่อนไหวจำนวนหนึ่ง
“การกระทำของกองทัพเป็นการกระทำที่ทำให้ประเทศถอยกลับมาอยู่ภายใต้การปกครองระบบเผด็จการ เราขอเรียกร้องให้ประชาชนไม่ยอมรับสิ่งนี้ ตอบสนองและประท้วงอย่างเต็มที่ ต่อต้านการรัฐประหารโดยกองทัพ” คำแถลงที่มีชื่อของซูจี แต่ไม่ใช่ลายเซ็น ระบุ
คำแถลงดังกล่าวออกโดยวิน เต็ง หัวหน้าพรรค NLD ที่ยังมีข้อความที่เขียนด้วยลายมืออยู่บริเวณด้านล่าง เน้นย้ำว่า ถ้อยแถลงเหล่านี้เป็นความจริงและสะท้อนถึงความประสงค์ของซูจี โดยระบุว่า “ผมขอสาบานว่าคำร้องต่อประชาชนนี้เป็นถ้อยแถลงที่แท้จริงของอองซานซูจี”
วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2564 ที่ห้องพิจารณา 813 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลอ่านคำพิพากษาคดีขว้างระเบิดสังหาร พล.อ.ร่มเกล้า ธุวธรรม กับพวก ในเหตุการณ์สลายการชุมนุมแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) วันที่ 10 เม.ย. 2553 หมายเลขดำ อ.857/2562 ที่พนักงานอัยการคดีพิเศษ 1
และนางนิชา หิรัญบูรณะ ธุวธรรม ภรรยาของ พล.อ.ร่มเกล้า ร่วมกันเป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายสุขเสก หรือเสก พลตื้อ, นางพรกมล บัวฉัตรขาว หรือนางกนกพร ศิริพรรณาภิรัตน์ อดีตผู้ดำเนินรายการสถานีโทรทัศน์เอเชียอัพเดต และนายสุรชัย หรือหรั่ง เทวรัตน์ แนวร่วม นปช. เป็นจำเลยที่ 1 - 3 ในความผิดฐานร่วมกันฆ่าและสนับสนุนให้ฆ่าผู้อื่นฯ กับ พ.ร.บ.อาวุธปืนฯ
โจทก์ฟ้องระบุพฤติการณ์ความผิดสรุปว่า เมื่อระหว่างวันที่ 15 พ.ย. 2552 - 20 พ.ค. 2553 กลุ่ม นปช. ได้ร่วมกันชุมนุมที่บริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยเพื่อขับไล่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี (ขณะนั้น) ให้ลาออกจากตำแหน่ง จนวันที่ 7 เม.ย. 2553 นายอภิสิทธิ์ ได้ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงในเขตกรุงเทพมหานคร และออกคำสั่งจัดตั้งศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) เพื่อปฏิบัติการขอคืนพื้นที่ บริเวณ ถ.ราชดำเนินกลาง ตั้งแต่แยกคอกวัวมุ่งหน้าอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย
กระทั่งวันที่ 10 เม.ย. 2553 จำเลยที่ 1 และ 3 กับพวกร่วมกันมีลูกระเบิดขว้างชนิดสังหารแบบ 88 บ.67 หรือ M67 คนละ 3 ลูก ซึ่งมีจำเลยที่ 2 เป็นผู้สนับสนุนด้านการเงิน และจัดหาระเบิดให้ โดยพวกจำเลยมีเจตนาฆ่าผู้อื่นด้วยการขว้างระเบิดสังหาร 2 ลูก ใส่เจ้าหน้าที่ทหารขณะปฏิบัติหน้าที่บริเวณหน้าโรงเรียนสตรีวิทยา ถ.ดินสอ เป็นเหตุให้ พ.อ.ร่มเกล้า ธุวธรรม รองเสนาธิการกองพลทหารราบที่ 2 รอ.(ขณะนั้น) กับนายทหารรวม 5 นายเสียชีวิต และมีนายทหารอีกหลายนายได้รับบาดเจ็บสาหัส โดยจำเลยทั้งสามให้การปฏิเสธ
วันนี้ศาลเบิกตัวนายสุขเสกกับนายสุรชัย จำเลยที่ 1 และ 3 ซึ่งถูกคุมขังในคดีอื่นด้วยจากเรือนจำมาศาล ส่วนนางพรกมล จำเลยที่ 2 ที่ได้รับการประกันตัวเดินทางมาศาล โดยมีทีมทนายความจำเลย กับนายก่อแก้ว พิกุลทอง แกนนำ นปช. เดินทางมาศาลร่วมฟังคำพิพากษาและให้กำลังใจด้วย ขณะที่ฝ่ายโจทก์ไม่มีผู้ใดเดินทางมาศาล
ศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานที่โจทก์และจำเลยนำสืบแล้ว ปัญหาต้องวินิจฉัยประการแรก ผู้เสียหายและผู้ตายได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิตจากอาวุธชนิดใด แพทย์พยานโจทก์เบิกความเกี่ยวกับการชันสูตรบาดแผลที่มีเศษชิ้นส่วนโลหะ
ผลการตรวจพิสูจน์ปรากฏว่าเป็นเศษชิ้นส่วนที่เกิดจากการแตกตัวของลูกระเบิดขว้างชนิดสังหารแบบ 88 บ.67 หรือ M67 ตรงกับผลการตรวจพิสูจน์ชิ้นส่วนโลหะจากหลุมระเบิดในที่เกิดเหตุ ฟังได้ว่าผู้เสียหายและผู้ตายได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิตจากระเบิดขว้างชนิดดังกล่าว
ปัญหาวินิจฉัยประการต่อมา คนร้ายใช้สถานที่ใดเป็นที่ขว้างหรือโยนระเบิด จากคำเบิกความของพยานโจทก์ประกอบกับจุดที่เป็นหลุมระเบิดทั้งสองหลุม น่าเชื่อว่าจุดที่เหมาะสมที่สุดในการโยนระเบิดใส่เจ้าหน้าที่ทหารคือบ้านเลขที่ 149 ไม่ใช่โรงเรียนสตรีวิทยา
ขณะเกิดเหตุเป็นเวลากลางคืน มีแสงไฟสลัว และมีความชุลมุนวุ่นวาย ทหารที่ยืนอยู่บนรถลำเลียงพลจึงอาจมองไม่เห็นหรือไม่ทันสังเกตคนร้ายที่เข้ามาในบ้านเลขที่ 149 จึงน่าเชื่อว่าคนร้ายใช้วิธีการโยนระเบิด M67 ออกมาจากบ้านเลขที่ 149 ถ.ดินสอ ตรงข้ามโรงเรียนสตรีวิทยา
ปัญหาวินิจฉัยจำเลยที่ 1 และ 3 เป็นคนร้าย จำเลยที่ 2 เป็นผู้สนับสนุนหรือไม่ คำเบิกความของพยานโจทก์มีข้อพิรุธอยู่หลายประการ พยานปากนายชุมพล เบิกความได้รับชักชวนจากอาสาทหารพรานค่ายปักธงชัยให้มาเป็นการ์ดของกลุ่ม นปช. และมีผู้แนะนำให้รู้จักกับจำเลยที่ 3
ซึ่งเป็นผู้ติดตาม พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล หรือเสธ.แดง โดยจำเลยที่ 3 ตั้งฉายาให้พยานว่าหวังเฉา และตั้งฉายาให้พยานปากนายนิวัฒน์ว่าหม่าฮั่น แต่พยานทั้งสองไม่มีหมายเลขโทรศัพท์ของจำเลยที่ 3 จึงผิดปกติวิสัยของผู้ติดตามหรือลูกน้องคนสนิทที่จะต้องมีหมายเลขโทรศัพท์ของเจ้านายหรือผู้ที่ตนติดตามอยู่ ทั้งยังเบิกความไม่สนิทสนม ไม่เคยพูดคุยกัน ทั้งที่เป็นผู้ติดตามจำเลยที่ 3 เช่นเดียวกัน ประกอบพยานโจทก์ปากอื่นไม่รู้จักและไม่เคยเห็นบุคคลทั้งสอง
อีกทั้งพยานปากนายนิวัฒน์เบิกความตอบทนายจำเลยที่ 1 ถามค้าน พยานมาที่ชุมนุมทุกวัน แต่ไม่ทราบจุดประสงค์การชุมนุมของ นปช. ไม่รู้จักแกนนำ ไม่สนใจฟังปราศรัย ไม่น่าเชื่อว่าพยานจะเข้าร่วมการชุมนุมและเป็นการ์ด นปช. ดังที่เบิกความ
ทั้งเบิกความว่าชื่นชอบ พล.ต.ขัตติยะ แต่ไม่ทราบว่า พล.ต.ขัตติยะ เสียชีวิตเมื่อไหร่และที่ไหน แสดงให้เห็นว่าพยานโจทก์ปากนี้หาได้มีความสนใจหรือแรงจูงใจทางการเมือง จึงไม่น่าเชื่อว่าพยานโจทก์ปากนี้จะเป็นผู้ติดตามหรือลูกน้องคนสนิทของจำเลยที่ 3 ไม่มีเหตุผลใดที่จำเลยที่ 3 จะต้องพานายชุมพลและนายนิวัฒน์ไปยังบ้านเลขที่ 149 เพื่อขว้างระเบิด
ประกอบกับพยานได้ให้การต่อพนักงานสอบสวน กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เมื่อ พ.ศ.2560 ภายหลังจากพยานเข้าโครงการคุ้มครองพยาน อันเป็นเวลาหลังเกิดเหตุถึง 7 ปี โดยไม่ปรากฏว่าก่อนหน้านี้พยานเคยให้ข้อเท็จจริงต่อเจ้าหน้าที่รัฐที่ใดว่าจำเลยที่ 1 และ 3 เป็นคนร้ายโยนระเบิดแต่อย่างใด เชื่อว่าพยานโจทก์ทั้งสองให้การทั้งที่มิได้อยู่ในเหตุการณ์หรือรู้เห็น
เนื่องจากได้รับผลประโยชน์ตอบแทนจากการเข้าอยู่ในโครงการคุ้มครองพยาน เช่นเดียวกับนายชยุตที่ถูกจับกุมดำเนินคดี ซึ่งเบิกความรับว่าได้รับผลประโยชน์ทางการเงินจากการที่พยานเข้าโครงการคุ้มครองพยาน จึงน่าเชื่อว่าพยานโจทก์ทั้งสามมิได้รู้เห็นเหตุการณ์ ประจักษ์พยานโจทก์ทั้งสามปากจึงไม่น่าเชื่อถือ ไม่มีน้ำหนักให้รับฟังได้ พยานหลักฐานโจทก์ที่นำสืบมา จึงไม่อาจรับฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 และ 3 กระทำผิดตามฟ้อง กรณีจึงไม่จำต้องวินิจฉัยพยานหลักฐานอื่นนอกเหนือจากนี้อีก
นอกจากนี้ ศาลได้พิจารณากรณีคำฟ้องต่อจำเลยในคดีนี้ เปรียบเทียบกับในคดี นปช. ที่ถูกฟ้องข้อหาก่อการร้าย ศาลอาญาพิพากษายกฟ้อง อยู่ระหว่างการอุทธรณ์ ซึ่งมีจำเลยเป็นบุคคลเดียวกัน มูลเหตุช่วงเวลาเดียวกัน ฟ้องโจทก์จึงเป็นฟ้องซ้อน พิพากษายกฟ้องจำเลยที่ 1 - 3
ภายหลังฟังคำพิพากษาแล้ว นายวิญญัติ ชาติมนตรี เลขาธิการสมาพันธ์นักกฎหมายเพื่อสิทธิเสรีภาพ (สกสส.) ในฐานะทีมทนายความจำเลย ให้สัมภาษณ์ว่า ขอแสดงความเสียใจกับผู้สูญเสียชีวิตไม่ว่าจะเป็นครอบครัว พล.อ.ร่มเกล้า ครอบครัวทหาร และครอบครัวของประชาชนคนเสื้อแดงที่เสียชีวิตจำนวนมาก ทั้งนี้เป็นผลมาจากการเมืองที่ไม่มีคุณธรรม การเมืองที่ไม่แยกแยะ สะท้อนมาถึงปัจจุบัน
ซึ่งตนก็แสดงความเสียใจในเรื่องนั้น แต่ในส่วนคดีที่ศาลยกฟ้องจำเลย 3 คน ซึ่งจำเลยที่ 1 และ 3 เป็นคนเสื้อแดงที่ถูกดำเนินคดีข้อหาก่อการร้ายมาตั้งแต่ปี 2553 แล้ว โดยศาลยกฟ้อง ขณะนี้อยู่ระหว่างสู้คดีอยู่ในศาลสูง ส่วนจำเลยที่ 2 อ้างว่าเป็นคนสนับสนุนที่ไม่ใช่การ์ด นปช.หรือลูกน้องเสธ.แดง
คดีนี้ศาลพิเคราะห์การเสียชีวิตของ พล.อ.ร่มเกล้า เกิดจากระเบิดชนิดใดและที่ใด ซึ่งมีพยานอ้างว่ามีการขว้างระเบิดนั้น ศาลรับฟังว่าเป็นการโยนระเบิดจากบ้านไม้ตรงข้ามโรงเรียนสตรีวิทยา แต่การโยนระเบิดนั้นไม่มีประจักษ์พยานที่น่าเชื่อถือน่ารับฟังได้ว่าเป็นจำเลยในคดีนี้ทั้งสองคน พยานที่โจทก์อ้างมีพิรุธหลายประการ
กับพิเคราะห์จำเลยที่ 1 และ 3 เป็นคนร้ายลูกน้องเสธ.แดง ได้รับงานจากเสธ.แดง หรือไปตอบโต้ทหารในวันที่ 10 เม.ย. 2553 จริงหรือไม่ จากพยานหลักฐานศาลเห็นว่าไม่มีใครยืนยันชัดเจนและรับฟังได้ว่าจำเลยทั้งสองคนอยู่ในที่เกิดเหตุ
นายวิญญัติ กล่าวด้วยว่า ส่วนการเสียชีวิตของ พล.อ.ร่มเกล้า ศาลไม่ได้ปฏิเสธเรื่องการเสียชีวิต เพราะมีการชันสูตรพลิกศพและรายงานการตรวจศพอย่างชัดเจน ในอดีตที่มีการโต้เถียงกันว่าเหตุเกิดจากระเบิดชนิด M79 หรือระเบิดยิงนั้นเป็นความเชื่อของทหารส่วนใหญ่ในพื้นที่ แต่ผลการพิสูจน์ทางนิติวิทยาศาสตร์ยืนยันว่าเป็นระเบิดขว้างชนิด M67 และจากรายงานการตรวจศพ
รวมทั้งพยานบุคคลก็ปรากฏว่า ไม่มีประจักษ์พยานที่ยืนยันว่าคนร้ายคือจำเลยทั้งสองคน และคนร้ายที่แท้จริงคือใคร นอกจากนี้ เมื่อเกิดเหตุระเบิดนั้นมีชาย 4-5 อ้างว่าเป็นเจ้าหน้าที่ไปเก็บกระเดื่องระเบิดในที่เกิดเหตุ แล้วอันตรธานหายไปไหน ประเด็นสุดท้ายศาลมองว่าเป็นการฟ้องซ้อนกับ คดี อ.2542/2553 นปช.ก่อการร้ายเมื่อปี 2553
ผู้สื่อข่าวถามว่าจำเลยจะได้ปล่อยตัวจากเรือนจำหรือไม่ นายวิญญัติ กล่าวว่า โดยปกติถ้าศาลไม่สั่งคุมขังระหว่างอุทธรณ์จะต้องปล่อย แต่จำเลยที่ 1 และ 3 ถูกดำเนินคดีอื่นอีก 2 คดี ที่ดีเอสไอนำพยานหลักฐานชุดเดียวกันมาฟ้องจำเลยอีก เราต้องสู้ต่อไป ดังนั้น จำเลยสองคนจึงยังไม่ถูกปล่อยตัววันนี้ แต่เราจะพยายามยื่นประกันเร็วๆ นี้
เมื่อถามถึงสำนวนคดีก่อการร้ายของดีเอสไอมีความผิดปกติหรือไม่ นายวิญญัติ กล่าวว่า ขอไม่กล่าวถึงตรงนั้น เนื่องจากยังมีการสู้คดีกันต่อในศาลอุทธรณ์และฎีกา รอให้การพิจารณาคดีของศาลสุดทางก่อน สุดท้ายผลจะเป็นอย่างไร อยู่ในบทบัญญัติเรื่องอายุความและการดำเนินคดีอยู่แล้ว
ในส่วนของจำเลยที่ 1 และ 3 เป็นคนเสื้อแดงที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์สลายการชุมนุมนั้น ยังเหลืออีก 2 คดี ส่วนคดีชายชุดดำก็ยังเหลือคดีอื่นที่กำลังตามมา ไม่ทราบว่าทางการคิดอะไรไม่ออกก็เอาจำเลยชุดเดิมหรือไม่ จึงขอถามไปยังดีเอสไอให้ความเป็นธรรม
ถ้าพยานหลักฐานไหนอ่อนหรือไปไม่ถึง หรือไม่ควรเกิดขึ้น ก็อย่าไปทำลายครอบครัวและอิสรภาพของเขา ซึ่งผลของคดีนี้พวกเราไม่ได้ดีใจ เราเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่การทำหน้าที่ทนายความ เราต่อสู้มาตามกระบวนการยุติธรรม ก็หวังว่าจะไม่เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้นในประเทศไทยอีก
นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยถึงแนวทางการช่วยเหลือผู้ประกันตนมาตรา 33 ในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี ว่า ขณะนี้ได้หารือร่วมกับกระทรวงแรงงานแล้ว และจะมีการพิจารณาพิจารณารายละเอียด และหลักเกณฑ์กับกระทรวงแรงงานกันอีกครั้ง โดยเฉพาะ จำนวนเงินที่จ่ายชดเชย รวมไปถึงจำนวนผู้ที่จะได้รับสิทธิ เช่นเดียวกับเงื่อนไขต่างๆ ซึ่งจะรีบทำให้ได้ข้อสรุปเร็วที่สุด เบื้องต้น ในรูปแบบการจ่ายเงินอาจทำผ่านระบบประกันสังคม ซึ่งอาจมีรูปแบบคล้าย ๆ กับโครงการเราชนะ
สำหรับแนวทางการช่วยเหลือดังกล่าว ที่ผ่านมา ทางรมว.แรงงานเคยระบุว่า ได้กำหนดคุณสมบัติ หลักเกณฑ์และเงื่อนไข เอาไว้เบื้องต้น คือ 1.) มีสัญชาติไทย อายุไม่ต่ำกว่า 18 ปีบริบูรณ์
2.) มีรายได้ไม่เกิน 300,000 บาทต่อปีหรือเฉลี่ยไม่เกินเดือนละ 25,000 บาท
3.) มีเงินฝากในธนาคารไม่เกิน 500,000 บาท
4.) ผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐไม่ได้สิทธิ ซึ่งจะครอบคลุมแรงงานตามมาตรา 33 จำนวน 11 ล้านคน
“คลังจะรีบทำให้ได้ข้อสรุปเร็วที่สุด ซึ่งการจ่ายเงินอาจมีรูปแบบคล้ายๆ โครงการเราชนะ ที่จ่ายเงินผ่านทางแอพพลิเคชัน โดยพิจารณาจากข้อมูลของผู้ที่มีสิทธิ์ตามฐานข้อมูลของสำนักงานประกันสังคม จากนั้นจึงเอามาประยุกต์ใช้กับการจ่ายเงินของกระทรวงการคลัง”
นายโอ๊ค พานทองแท้ ชินวัตร ออกมาแซะ ‘บิ๊กตู่’ และ ‘ทหาร’ จากกรณีดราม่าเรียกคืนเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ จากผู้สูงอายุที่ได้รับเงินซ้ำซ้อนกับเงินพิเศษต่างๆ ในทวิตเตอร์ ‘Oak Panthongtae’ ว่า
.
คุณลุง-คุณป้า คุณตา-คุณยาย
คนชราผู้มี “ความยากจน”
รับเงินเดือนละพัน ซ้ำซ้อนกันไม่ได้
.
แต่ลุงตู่..คนชราผู้มี “อำนาจรัฐ”
> อยู่บ้านพักนายก
ควบคู่บ้านพักทหารได้
> รับเงินเดือนกองทัพ ซ้อนกับ
คสช.เดือนละหลายแสนได้
.
อยากเป็นนายกของประชาชน
ควรทำประโยชน์ให้ประชาชน
“ไม่ใช่ทำเพื่อตัวเอง”
ที่มา: https://twitter.com/oak_ptt/status/1356165746204659712?s=06
"หน่วยงานกำกับดูแลของยุโรปควรทดสอบประสิทธิภาพวัคซีนของรัสเซียและจีนโดยเร็วที่สุด" เซอเดอร์ให้สัมภาษณ์กับหนังสือพิมพ์ดีเวลท์ (Die Welt) "คุณภาพของกลยุทธ์ป้องกันโรคโควิด-19 ขึ้นอยู่กับว่าเราสามารถควบคุมปัญหาการฉีดวัคซีนได้เร็วเพียงใด"
เซอเดอร์ ซึ่งเป็นหัวหน้าพรรคคริสเตียนสังคมประชาธิปไตย (CSU) ของเยอรมนี ได้ปรับใช้มาตรการอันเข้มงวดและเหมาะสมกับการควบคุมโรคระบาดใหญ่ในรัฐบาวาเรีย โดยการเรียกร้องของเซอเดอร์ครั้งนี้เกิดขึ้นขณะยุโรปและผู้ผลิตวัคซีนอย่างแอสตราเซเนกา (AstraZeneca) มีข้อพิพาทเกี่ยวกับการจัดส่งวัคซีนล่าช้า ส่วนวัคซีนของไฟเซอร์ - ไบออนเทค (Pfizer - BioNTech) ถูกจัดส่งมาน้อยกว่าที่คาดการณ์ไว้
ทั้งนี้หลายประเทศในยุโรปได้ชะลอหรือระงับการฉีดป้องกันโรคโควิด-19 เนื่องจากปัญหาขาดแคลนวัคซีน ขณะในเยอรมนีประชาชนอาจต้องเผชิญกับความล่าช้าของการฉีดวัคซีนอย่างน้อย 10 สัปดาห์
ด้านเยนส์ ชปาห์น รัฐมนตรีกระทรวงฯ กล่าวว่าเขายินดีจะใช้งานวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 จากรัสเซียหรือจีน หลังข้อพิพาทเกี่ยวกับความพร้อมของวัคซีนทวีความรุนแรงมากขึ้น
"หากวัคซีนมีความปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ ไม่ว่าจะผลิตในประเทศใดก็สามารถเอาชนะโรคระบาดใหญ่ได้อย่างแน่นอน" ชปาห์น กล่าว
ที่มา: https://www.xinhuathai.com/high/173743_20210201
ล่าสุดสำนักงานพาณิชย์ไทยในเมียนมา ได้รายงานสถานการณ์ว่า ตอนนี้การค้าบริเวณด่านพรมแดนระหว่างไทยกับเมียนมาได้กลับมาให้ส่งออกและนำเข้าสินค้าได้ตามปกติ แต่คาดว่าจะมีการจำกัดเวลาบ้าง จึงต้องติดตามสถานการณ์แบบวันต่อวันกันต่อไป
สำหรับปริมาณการค้าของทั้ง 2 ประเทศในปีที่ผ่านมามีมูลค่ากว่า 164,000 ล้านบาท โดยไทยส่งออกสินค้าไปเมียนมากว่า 84,000 ล้านบาท และไทยนำเข้าจากเมียนมากว่า 77,000 ล้านบาท โดยไทยได้ดุลการค้า ซึ่งการค้าระหว่างกันจะผ่านใน 3 ด่าน ได้แก่ ด้านแม่สาย มีมูลค่าการค้าในปีที่ผ่านมาอยู่ที่ 12,000 ล้านบาท ด่านแม่สอด จังหวัดตาก มีมูลค่าอยู่ที่ 74,000 ล้านบาท และด่านระนองมีมูลค่าการค้าอยู่ที่ 17,000 ล้านบาท
ขณะที่ภาคเอกชนไทยส่วนใหญ่ ยังขอรอดูสถานการณ์อย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะนายกลินท์ สารสิน ประธานกรรมการหอการค้าไทย และสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ระบุว่า ขอประเมินสถานการณ์ก่อน โดยหวังว่า ผู้ที่เกี่ยวข้องจะไม่กระทำการใด ๆ ที่กระทบต่อการค้าการลงทุนระหว่างประเทศ เช่นเดียวกับนายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ยอมรับว่า ต้องติดตาม สถานการณ์อย่างใกล้ชิด ว่าจะมีผลกระทบต่อสินค้าไทยหรือไม่ รวมไปถึงเรื่องการลงทุนก็ต้องติดตามด้วยเช่นกัน
ตอนนี้ก็เรียกได้เต็มปากว่า ขุมอำนาจทางการเมืองในเมียนมากลับเข้าอยู่อ้อมอกของของทหารอีกครั้ง หลังจากกองทัพได้เข้าควบคุมตัวนางอองซานซูจี และผู้นำระดับสูงของรัฐบาล เมื่อช่วงเช้ามืดวันที่ 1 ก.พ.ที่ผ่านมา พร้อมทั้งประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินเป็นเวลา 1 ปี ก่อนจะมีการเลือกตั้งทั่วประเทศหลังจากพ้นสภาวะฉุกเฉินในอีก 1 ปีข้างหน้า
อย่างไรก็ตาม ต่อจากนี้ 1 ปี เมียนมาจะมีผู้กุมอำนาจเล็ดเสร็จที่สุดโดย พล.อ.อาวุโส 'มิน อ่อง หล่าย' ผู้บัญชาการทหารสูงสุดเมียนมา
พล.อ.อาวุโส มิน อ่อง หล่าย เป็นใคร?
มีเกร็ดเรื่องราวที่น่าสนใจเรื่องหนึ่งในฐานะที่เป็นลูกบุญธรรมของ ‘ป๋าเปรม’ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ อดีตประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ
เขาเคยได้เข้าพบ ‘ป๋าเปรม’ ที่บ้านสี่เสาเทเวศร์ ในปี 2555 หลังจากที่ได้ขึ้นดำรงตำแหน่ง ผบ.ทสส.เมียนมา และเป็นครั้งแรกที่เขาได้มาเยี่ยมเยือนที่กองบัญชาการกองทัพไทย ซึ่งทั้งคู่ต่างพูดคุยถูกคอกันจึงทำให้ พล.อ.อาวุโส มิน อ่อง หล่าย ได้ขอเป็น ‘บุตรบุญธรรม’ ตั้งแต่นั้นมา หลังจากนั้นทุกครั้งที่มาเยือนไทยก็จะเข้าพบ ‘ป๋าเปรม’ เสมอ
พล.อ.อาวุโส มิน อ่อง หล่าย นับถือ ‘ป๋าเปรม’ เป็นเสมือนบิดา ก็เพราะบิดาของ พล.อ.อาวุโส มิน อ่อง หล่าย อายุมากกว่า ‘ป๋าเปรม’ 1 ปี โดยบิดาของเขาได้เสียชีวิตไปเมื่อปี 2545
เมื่อวันที่ 31 พ.ค. 62 พล.อ.อาวุโส มิน อ่อง หล่าย และคณะนายทหารเมียนมา ในฐานะบุตรชายบุญธรรมของ 'ป๋าเปรม' ก็ได้เดินทางมาลงนามเพื่อแสดงความอาลัยต่อการจากไปของ 'ป๋าเปรม' ด้วย
ในครั้งนั้น พล.อ.อาวุโส มิน อ่อง หล่าย กล่าวภายหลังลงนามไว้อาลัยถึงความรู้สึกหลังจากที่ทราบข่าวการสูญเสีย พล.อ.เปรม ว่าเหมือนตนสูญเสียบิดาไปท่านหนึ่งว่า...
“พล.อ.เปรม เป็นบุคลากรที่สำคัญเปี่ยมไปด้วยความรู้ความสามารถ มีประสบการณ์มากมาย ทั้งการทหาร การเมือง และหลายๆ ด้านของประเทศไทย
ส่วนใหญ่ที่ผมได้พบกับท่านก็จะพูดคุยในเรื่องของประสบการณ์ดีๆ ของท่านให้ฟัง และจะมีคำแนะนำว่าสิ่งใดที่ดี ที่ควรทำซึ่งเมื่อเจอกันก็จะพูดในเรื่องนี้ทุกครั้ง” ผบ.ทสส.เมียนมากล่าว
พล.อ.อาวุโส มิน อ่อง หล่าย กล่าวอีกว่า ก่อนหน้าที่ตนจะเป็น ผบ.ทสส. ไม่เคยได้เข้าพบ พล.อ.เปรมเลย จนกระทั่งได้เป็น ผบ.ทสส.แล้วจึงได้เข้าพบ พล.อ.เปรม และได้นั่งเคียงข้างกัน ได้จับมือกัน ถ้ามีเรื่องอะไรที่สำคัญก็จะจับมือคุยกันเปี่ยมไปด้วยความอบอุ่นทุกครั้งที่ได้พูดคุยกัน ตนจึงเปรียบ พล.อ.เปรม เหมือนบิดา
คำสั่งสอนต่างๆ ของ พล.อ.เปรมก็มีมากมาย ประกอบด้วย 2 ประเด็น คือ...
1.) ทางด้านการเมือง ก็จะพูดถึงประชาธิปไตย ก็จะต้องเป็นประชาธิปไตยของประเทศของตนเอง หรือประเทศใครประเทศคนนั้นให้เหมาะสมกับประเทศตนเอง
และประเด็นที่ 2.) ที่ พล.อ.เปรมพูดอยู่เสมอว่า เราเกิดในแผ่นดินนี้ เราต้องตอบแทนคุณแผ่นดิน ถ้าใครไม่ตอบแทนคุณแผ่นดิน คนนั้นถือว่าเป็นคนทรยศต่อประเทศชาติ
ผบ.ทสส.เมียนมา กล่าวว่า อีกประเด็นหนึ่งที่ พล.อ.เปรมพูดถึงในฐานะที่ท่านเป็นประธานองคมนตรี และตามเสด็จในหลวงรัชกาลที่ ๙ มาโดยตลอด ซึ่ง พล.อ.เปรมมักพูดอยู่เสมอว่า การลดจำนวนคนยากคนจน
โดยในขณะนั้นประเทศไทยมีคนจนประมาณ 10 ล้านคน แล้วท่านก็ได้ให้ข้อคิดกับประเทศเมียนมาในฐานะที่เราสองประเทศเป็นประเทศทางการเกษตร เราต้องพยายามลดคนยากจน โดยใช้การเกษตรดำเนินการ และท่านได้สอนการเป็นผู้นำว่าเราต้องเป็นตัวอย่างให้ชั้นผู้น้อยเราต้องมีความยุติธรรมกับชั้นผู้น้อยของเรา ซึ่งตนก็ปฏิบัติมาโดยตลอด และเมื่อได้คำสอนมาจาก พล.อ.เปรม ตนก็ได้เดินอย่างมั่นคง และเชื่อมั่นในสิ่งที่ท่านสั่งสอน
เขาทิ้งท้ายอีกว่า "คำที่ พล.อ.เปรมมักพูดอยู่เสมอ คือ เมื่อทำอะไรให้ประเทศชาติ เราต้องมีน้ำใจ และมอบใจให้กับประเทศชาติ”
ที่มา:
https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=4033929856640056&id=100000692431266