Sunday, 22 June 2025
TheStatesTimes

25 มกรามคม พ.ศ. 2509 วันสถาปนามหาวิทยาลัยขอนแก่น สถาบันอุดมศึกษาอีกหนึ่งแห่งของประเทศที่มีความสำคัญ เป็นมหาวิทยาลัยแห่งแรกในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ผลิตบัณฑิตและสร้างบุคลากรที่มีคุณภาพของประเทศออกมามากมายกว่า 55 ปี

วันนี้เป็นวันครบรอบการสถาปนามหาวิทยาลัยขอนแก่น มีอายุมากว่า 55 ปี โดยหากย้อนเวลากลับไป มหาวิทยาลัยขอนแก่นมีแนวคิดที่จะถุกสร้างขึ้นมาตั้งแต่สมัยก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 จนมาถึงช่วงปี พ.ศ. 2507 ประเทศไทยในขณะนั้น มีแนวคิดในการยกระดับพัฒนาภูมิภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศอย่างจริงจัง ส่วนหนึ่งคือการจัดตั้งสถาบันอุดมศึกษา จึงเป็นที่มาของการก่อสร้างสถาบันการศึกษาชั้นสูง ในด้านวิศวกรรมศาสตร์และเกษตรศาสตร์ ขึ้นที่จังหวัดขอนแก่น โดยใช้ชื่อว่า มหาวิทยาลัยตะวันออกเฉียงเหนือ

ต่อมาในปี พ.ศ. 2508 คณะรัฐมนตรีได้มีมติให้เปลี่ยนชื่อเป็น มหาวิทยาลัยขอนแก่น โดยมีพระบรมราชโองการ โปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชบัญญัติ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ประกาศใช้ราชกิจจานุเบกษา ในวันที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2509 จึงนับได้ว่า วันนี้เมื่อ 55 ปีก่อน ถือเป็นวันสถาปนาของมหาวิทยาลัยอย่างเป็นทางการนั่นเอง

มหาวิทยาลัยขอนแก่นมีพื้นที่กว่า 5,500 ไร่ มีคณะวิชาที่ผลิตบัณฑิตจำนวนกว่า 22 คณะวิชา ปัจจุบันเปิดหลักสูตรทั้งในระดับปริญญาเอก โท และตรี มีนักศึกษารวมทั้งสิ้นกว่า 40,000 คน และมีบุคลากรด้านวิชาการอีกกว่า 2,075 คน ที่ผ่านมา ถือเป็นมหาวิทยาลัยที่ผลิตบุคลากรที่มีคุณภาพ รวมถึงเป็นมหาวิทยาลัยที่มีอัตราการสอบแข่งขันเข้าเรียนมากที่สุดในภูมิภาคอีกด้วย

“พาณิชย์” เผยส่งออกเดือน ธ.ค. 63 มีมูลค่า 20,082.7 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่ม 4.71% พลิกบวกเป็นครั้งแรกในรอบ 8 เดือน ส่งผลให้ยอดรวมทั้งปี 63 เหลือติดลบ 6.01% จากเป้าลบ 7%

ส่วนปี 64 ตั้งเป้าโต 4% มีลุ้นถึง 5% หลังเศรษฐกิจโลกฟื้น เริ่มฉีดวัคซีนโควิด-19 สงครามการค้าผ่อนคลาย

น.ส.พิมพ์ชนก วอนขอพร ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) เปิดเผยว่า การส่งออกเดือน ธ.ค. 2563 มีมูลค่า 20,082.7 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 4.71% กลับมาเป็นบวกได้เป็นครั้งแรกในรอบ 8 เดือนของปี 2563 และมีอัตราการขยายตัวสูงสุดในรอบ 22 เดือน นับจาก ก.พ. 2562 ที่เพิ่มขึ้น 5.65% การนำเข้ามีมูลค่า 19,119.2 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 3.62% เกินดุลการค้า 963.6 ล้านเหรียญสหรัฐ ส่วนการส่งออกทั้งปี 2563 มีมูลค่า 231,468.4 ล้านเหรียญสหรัฐ ลดลง 6.01% ถือว่าทำได้ดีกว่าที่คาดไว้ว่าจะติดลบประมาณ 7% การนำเข้ามีมูลค่า 206,991.9 ล้านเหรียญสหรัฐ ลดลง 12.39% เกินดุลการค้ารวม 24,476.5 ล้านเหรียญสหรัฐ

สำหรับการส่งออกปี 2563 ที่ติดลบน้อยลงจากเป้าที่คาดไว้ เพราะการส่งออกของไทยเริ่มฟื้นตัวดีขึ้นตั้งแต่ช่วงกลางปี 2563 โดยได้รับผลดีจากเศรษฐกิจโลกที่ฟื้นตัวขึ้น ทำให้มีการนำเข้าสินค้าเพิ่มขึ้น ส่งผลดีต่อประเทศส่งออก ทั้งไทยและประเทศอื่น ๆ ที่ส่งออกได้ดีขึ้น ขณะที่สินค้า 3 กลุ่มหลัก ได้แก่ อาหาร สินค้าที่เกี่ยวข้องกับการทำงานที่บ้านและเครื่องใช้ไฟฟ้า และสินค้าเกี่ยวกับการป้องกันการติดเชื้อ ยังเป็นกลุ่มเติบโตได้ดี และยังมีการฟื้นตัวของสินค้ากลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ ที่กลับมาขยายตัวเป็นบวก ส่วนยานยนต์และชิ้นส่วน ติดลบน้อยลง และเริ่มฟื้นตัวดีขึ้น

ส่วนตลาดส่งออกปี 2563 ตลาดหลักลดลง 1.8% โดยสหรัฐฯ เพิ่ม 9.6% แต่ญี่ปุ่นและสหภาพยุโรป 15 ประเทศ ลด 6.7% และ 12.7% ตลาดศักยภาพสูง ลด 8.4% จากการลดของอาเซียนเดิม 5 ประเทศ 12.2% CLMV ลด 11.1% จีน เพิ่ม 2% อินเดีย ลด 25.2% ฮ่องกง ลด 3.6% เกาหลีใต้ ลด 10.3% ไต้หวัน ลด 5.6% ตลาดศักยภาพระดับรอง ลด 13.1% โดยทวีปออสเตรเลีย ลด 7.6% ตะวันออกกลาง ลด 13% แอฟริกา ลด 19.4% ลาตินอเมริกา ลด 19% สหภาพยุโรป 12 ประเทศ ลด 6.4% กลุ่ม CIS รวมรัสเซีย ลด 21.1% แคนาดา ลด 3% ตลาดอื่นๆ ลด 34.3% แต่สวิตเซอร์แลนด์ เพิ่ม 42.1%

น.ส.พิมพ์ชนก กล่าวว่า "กระทรวงพาณิชย์ประเมินการส่งออกในปี 2564 จะขยายตัวเป็นบวก 4% มูลค่า 240,727 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งเฉลี่ยต่อเดือนต้องส่งออกให้ได้เดือนละ 20,000 ล้านเหรียญสหรัฐ และมองว่าอาจจะขยายตัวได้ถึง 5% มูลค่ารวม 243,042 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือส่งออกเฉลี่ยเดือนละ 20,253 ล้านเหรียญสหรัฐ

เพราะมีปัจจัยบวกจากเศรษฐกิจโลกที่ฟื้นตัวอย่างชัดเจน แม้โควิด-19 จะระบาดอีก แต่ก็มีการล็อกดาวน์แบบจำกัด ทำให้ผลกระทบไม่รุนแรงเหมือนรอบแรก และยังได้แรงหนุนจากการกระจายวัคซีนโควิด-19 การกระตุ้นเศรษฐกิจในหลายประเทศ ทำให้มีความต้องการสินค้าเพิ่มขึ้น ประกอบกับนโยบายการค้าสหรัฐฯ กลับมายึดกติกาองค์การการค้าโลก (WTO) ช่วยให้ความขัดแย้งจากสงครามการค้าผ่อนคลาย รวมถึงความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (อาร์เซ็ป) ที่จะบังคับใช้ช่วงครึ่งปีหลัง 2564 จะช่วยเพิ่มมูลค่าการค้าของประเทศสมาชิก"

"อย่างไรก็ตาม ต้องระวังปัจจัยลบ เรื่องค่าเงินบาทที่อยู่ในทิศทางแข็งค่าขึ้น เมื่อเทียบกับสกุลเงินของคู่แข่งในภูมิภาค ทำให้การแข่งขันด้านราคายากขึ้น มีปัญหาอุปสรรคจากการขาดแคลนตู้สินค้า ทำให้มีต้นทุนโลจิสติกส์เพิ่มขึ้น และอุปสรรคในการเจรจาความตกลงการค้า เช่น ความตกลงที่ครอบคลุมและก้าวหน้าสำหรับหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก (CPTPP) ที่ไทยยังไม่มีข้อสรุปชัดเจน ทำให้ส่งออกในอนาคตเสี่ยงที่จะเสียแต้มต่อคู่แข่ง"

‘กัปตันโยธิน’ ตั้งคำถาม ‘บอร์ดฟื้นฟูการบินไทย’ เหตุใดไร้ความสามารถหาแหล่งเงินทุนเอง ต้องจ้างบริษัทหลักทรัพย์ช่วยหา เพราะต้องจ่ายค่าคอมมิสชันเพิ่ม ในขณะที่ฐานะการเงินยังย่ำแย่ รวมถึงแผนการยกเลิกการขายตั๋วผ่าน agent ยังไม่มีความชัดเจนเช่นกัน

กัปตัน โยธิน ภมรมนตรี อดีตผู้บริหารระดับสูง บริษัท การบินไทย จำกัด(มหาชน) โพสต์ผ่านเฟสบุ๊ก ‘Jothin Pamon-montri’ เมื่อวันที่ 25 มกราคม 2564 ถึงแผนฟื้นฟูการบินไทย โดยมี ว่า  

สะพัดข่าว แผนฟื้นฟูกิจการ การบินไทย

เมื่อ 2 อาทิตย์ที่ผ่านมา จนถึงปัจจุบัน มีข่าวสะพัด ทั้งทาง TV และ สื่อมวลชนแขนงอื่น ๆ เรื่องแผนฟื้นฟูกิจการ บริษัท การบินไทย ส่อล้ม

ดูเหมือนจะมีปัญหาขัดแย้งกัน ในคณะผู้ทำแผนฟื้นฟูกิจการ ซึ่งมีความเห็นไม่ตรงกัน ในเรื่องที่จะจัดจ้างที่ปรึกษาด้านการเงิน และนโยบาย สายการบินไทยสมายล์ จึงมีข่าวออกมาว่า อาจเป็นไปได้ ว่าไม่สามารถส่งแผนให้ทางศาลล้มละลาย ทันตามกำหนด

เมื่อติดตามข่าว ดูเหมือน ว่าบริษัท EY (บริษัทที่ปรึกษา) ได้ทำแผนฟื้นฟูกิจการเสร็จแล้ว และได้ส่งแผนดังกล่าวให้แก่ คณะกรรมการทำแผนฯ เพื่อพิจารณา ส่วนว่าคณะทำแผนฯ จะรับแผนฟื้นฟูกิจการที่ทาง EY เสนอหรือไม่ ก็คงต้องรอวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2564 เป็นวันที่คณะทำแผนฟื้นฟูต้องเสนอ แผนดังกล่าวแก่ ศาลล้มละลายกลาง เพื่อพิจารณา หรือว่าจะมีการขอเลื่อนเวลาออกไปอีกครั้ง

ที่ทราบมา คือฝ่ายบริหารการบินไทยได้ ส่ง RFP ( Request for Proposal ) ไป ยัง 7 บริษัทเพื่อจะจ้างมาเป็นที่ปรึกษาด้านการเงิน ดูเหมือนมีแค่ 2 บริษัท คือ บริษัท หลักทรัพย์ เกียรตินาคินภัทร และ ธนาคารไทยพาณิชย์ ส่งข้อเสนอมา และหลังพิจารณาข้อดีข้อเสียแล้ว บริษัท หลักทรัพย์ เกียรตินาคินภัทร ให้ข้อเสนอที่ดีที่สุด ซึ่งข้อเสนอดังกล่าว ทาง บริษัท หลักทรัพย์ เกียรตินาคินภัทร เสนอ ค่าตอบแทนออกเป็น สองส่วน

ส่วนที่ 1 ที่เรียกว่า Advisory Fee (ค่าให้ การปรึกษา) ชำระเป็นรายเดือน จนสิ้นสุดสัญญา

ส่วนที่ 2 ที่เรียกว่า Success Fee (ภาษาชาวบ้าน คือ ค่า กินหัวคิว) จ่ายเป็น เปอร์เซ็นต์ ตามมูลค่า ของแหล่ง เงินทุนที่จัดหามาให้ได้ และการขายหลักทรัพย์ หรือ สินทรัพย์ ก็เลยจำเป็นต้องมีคำตอบในเรื่องนี้

คำถามแรก ขอเรียนถามคุณจักรกฤศฎิ์ พาราพันธกุล ในฐานะที่เคยเป็นรองปลัดกระทรวงคลัง ว่าไม่มีความสามารถ ที่จะช่วยหาแหล่งเงินทุนให้กับบริษัทการบินไทย เชียวหรือ จึงต้องจ้างที่ปรึกษาฝ่ายการเงิน บริษัท หลักทรัพย์ มาช่วย เร่งหา แหล่งเงินทุน ซึ่งบริษัทการบินไทยต้องเสียเงินจำนวนเปอร์เซ็นต์ ตามจำนวนทุนที่สามารถ หามาได้โดยบริษัท ที่ปรึกษา

คำถามที่ สอง บริษัทมี นโยบาย จะพยายามขายตั๋วโดยสารโดยตรง ไม่ขายผ่าน ตัวแทน (agent) เพื่อไม่ต้อง เสียค่า คอมมิชชั่น เช่นเดียวกับ การซื้อเครื่องบินในอดีต ต่อไปจะซื้อตรงกับ บริษัทผู้ผลิต เพื่อหลีกเลี่ยง ข้อ ครหา เรื่อง สินบน และเหตุใด จึงต้องไปจ้าง บริษัท หลักทรัพย์ มาช่วย ขาย หลักทรัพย์ และหรือ สินทรัพย์ ของบริษัท ซึ่งบริษัทต้องจ่ายเป็นเปอร์เซ็นต์ จากจำนวนเงิน ของ หลักทรัพย์ และ สินทรัพย์ที่ขายไป แต่ถ้าบริษัทที่ปรึกษา ไม่สามารถสรรหาแหล่งเงินทุน หรือ หาผู้มาซื้อหลักทรัพย์ หรือ สินทรัพย์ ของบริษัท ก็ไม่ต้องรับผิดชอบใดๆทั้งสิ้น แถมยังได้ ค่าจ้าง ที่เรียกว่า Advisor fee ทุกเดือน จน สิ้นสุดสัญญา

ส่วนเรื่อง สายการบินไทยสมายล์ จะให้ข้อมูลเกี่ยวกับแนวทางการฟื้นฟู และความเห็นต่าง ระหว่างฝ่ายเสียงข้างมาก กับฝ่ายเสียงข้างน้อย กับบริษัทที่ปรึกษาทำแผนในโอกาสต่อไป ครับ


กัปตันโยธิน ภมรมนตรี

25 มกราคม 64

ที่มา : https://www.facebook.com/jothin.pamonmontri

ททท. หวั่นผลกระทบของการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 รอบใหม่ไม่คลี่คลาย หากยืดเยื้อถึง 1 ไตรมาส อาจสูญเสียรายได้หลักแสนล้านบาทแน่นอน โดยเฉพาะลูกจ้างในสาขาโรงแรม จะตกงานเพิ่มขึ้นประมาณ 1 แสนคน

นายยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เปิดเผยว่า ผลกระทบของการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 รอบใหม่ตั้งแต่ต้นปีนั้น เห็นว่า การระบาดครั้งนี้ต่างจากครั้งก่อนเพราะมีมุมมองการจัดการที่ดีขึ้น ทั้งความสามารถในการตรวจ การรองรับผู้ป่วยมากขึ้นกว่าเดิม ความตื่นตระหนกที่น้อยกว่ารอบแรก รวมทั้งความรุนแรงของโรคที่น้อยลง เช่นเดียวกับความพร้อมด้านสาธารณสุขที่เพิ่มขึ้น และความพร้อมเรื่องวัคซีนชัดเจนขึ้น ส่งผลให้เกิดการเดินทางท่องเที่ยวมากขึ้น

แต่ถ้าสถานการณ์ยังไม่คลี่คลาย โดยยังมีการควบคุมกิจกรรมทางเศรษฐกิจ และจำกัดการเดินทาง ประเมินเบื้องต้นว่า อาจส่งผลให้รายได้จากการท่องเที่ยวหายไปไม่น้อยกว่าเดือนละ 4.6 หมื่นล้านบาท และถ้ายืดเยื้อถึง 1 ไตรมาสก็สูญเสียรายได้เป็นหลักแสนล้านบาทแน่นอน

นายยุทธศักดิ์ กล่าวว่า จากข้อมูลของธนาคารแห่งประเทศไทย หรือ ธปท. ระบุว่า ถ้าสถานการณ์การระบาดยืดเยื้อ การท่องเที่ยวจะมีความเสี่ยง โดยเฉพาะลูกจ้างในสาขาโรงแรมจะตกงานเพิ่มขึ้นประมาณ 1 แสนคน ขณะที่สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม หรือ สสว. ประเมินว่า เอสเอ็มอีภาคท่องเที่ยวและที่เกี่ยวเนื่องกว่า 93,437 ราย จ้างงาน 3.2 ล้านคน ถ้ารวมธุรกิจที่เกี่ยวข้องไปอีกจะเป็นตัวเลขที่มากกว่านี้ถึง 3 เท่า หรือคิดเป็นการจ้างงานถึง 10 ล้านคน ที่ได้รับผลกระทบ ดังนั้นการจะฟื้นภาคการท่องเที่ยวได้รัฐจำเป็นต้องช่วยเหลือเอกชนก่อนเพื่อให้อยู่รอดในช่วงนี้ต่อไปได้

ผ่านมาร่วม 2 เดือน กับสถานการณ์โควิด – 19 ระบาดระลอกใหม่ มียอดผู้ป่วยเพิ่มขึ้นอยู่ทุกวัน แต่มีอยู่ 12 จังหวัดที่ยังรักษาความเหนียว โควิด-19 ยังไม่สามารถเจาะเข้าพื้นที่ได้!

โควิด – 19 ระลอกใหม่ เล่นงานประเทศไทยมาเกือบจะ 2 เดือนเต็ม อัปเดตสถานการณ์ล่าสุดประจำวันที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2564 ยอดผู้ป่วยสะสมอยู่ที่ 13,687 ราย หายป่วยไปแล้ว 10,662 ราย กำลังรักษาตัวอยู่ที่ 2,950 ราย ส่วนจังหวัดที่มีผู้ติดเชื้อมากที่สุด ยังเป็นสมุทรสาคร 5,511 คน กรุงเทพ 2,198 คน ชลบุรี 735 คน ระยอง 580 คน และสมุทรปราการ 407 คน

แต่ที่น่าสนใจคือ มีอยู่ถึง 12 จังหวัดที่ยังไม่มียอดผู้ติดเชื้อ (ระลอกใหม่) ตัวเลขยังยืนระยะเป็น 0 โดยแบ่งเป็นจังหวัดทางภาคเหนือ 2 จังหวัด ภาคกลาง 1 จังหวัด ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 5 จังหวัด และภาคใต้อีก 4 จังหวัด ต้องปรบมือให้ในมาตรการการดูแลความปลอดภัย ส่วนจะมีจังหวัดใดที่เหนียวประหนึ่งพกยันต์มหาอุตทั้งจังหวัดกันบ้าง ไปดูกัน!

กองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด บุกรวบพ่อค้ารายใหญ่ ‘เคนมผง’ ฉายา "ลูแปง ไต้หวัน" คาคอนโดย่านอโศก ขณะกำลังผลิตยา เตรียมส่งเอเย่นต์ในกรุงเทพฯ ยึดของกลางเพียบ ด้าน ผบ.ตร.รุดสอบปากคำด้วยตัวเอง

พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) พร้อมด้วย พล.ต.ท.ชินภัทร สารสิน ผู้ช่วย ผบ.ตร. และ พล.ต.ท.มนตรี ยิ้มแย้ม ผบช.ปส. นำกำลังเข้าทำการตรวจสอบคอนโดมิเนียมแห่งหนึ่ง ย่านอโศก หลังจากที่ชุดปราบปรามยาเสพติดของกองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด (บช.ปส.) ได้สืบสวนแกะรอยผู้ต้องหาชาวไต้หวัน

จากการตรวจค้นห้องพักเป้าหมายพบยาเสพติด เคนมผง จำนวนมาก และสามารถจับกุมผู้ต้องหาชาวไต้หวัน ฉายา "ลูแปง ไต้หวัน" ทั้งนี้ ยังตรวจพบว่าผู้ต้องหามีการใช้ชื่อปลอม มีสำเนาหนังสือเดินทางหลายสัญชาติ และหลบหนีหมายจับของไต้หวันมในคดียาเสพติดอีกหลายคดี อย่างไรก็ตาม การตรวจค้นครั้งนี้ พบของกลาง เช่น เคตามีน, เฮโรอีน, ไอซ์, ยาอี และ ยานอนหลับ จำนวนมาก

รวมถึงอุปกรณ์ที่ใช้ในการผสมสารเสพติดเป็นเคนมผง อาวุธปืนขนาด 9 มม. และเครื่องกระสุนปืน 8 นัด อยู่ภายในห้อง อีกทั้ง ขณะที่เจ้าหน้าที่เข้าทำการจับกุมพบว่า ผู้ต้องหากำลังผสมสารเสพติดเพื่อจำหน่ายให้กับเอเย่นต์ยาเสพติดส่งให้ลูกค้าในพื้นที่กรุงเทพฯ ทั้งนี้ พล.ต.อ.สุวัฒน์จะทำการสอบปากคำผู้ต้องหาด้วยตนเองก่อนจะแถลงข่าวให้ทราบต่อไป

สถานการณ์ COVID-19 ประเทศไทยและอาเซียน (25 มกราคม พ.ศ. 2564)

ศูนย์ข้อมูล COVID-19 รายงานสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ประจำวัน โดยประเทศไทยพบจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่ม 187 ราย ทำให้ยอดผู้ป่วยยืนยันสะสมอยู่ที่ 13,687 ราย เสียชีวิตเพิ่ม 2 ราย รวมยอดผู้เสียชีวิต 75 ราย รักษาหายเพิ่ม 95 ราย รวมผู้ป่วยที่รักษาหายแล้ว 10,662 ราย ยังคงรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล 2,950 ราย

ทั้งนี้ ผู้ป่วยรายใหม่ 187 ราย เป็นคนไทย 7 ราย สัญชาติอังกฤษ 1 ราย ,รัสเซีย 1 ราย ,เยอรมัน1 ราย เดินทางมาจากต่างประเทศ จากสหราชอาณาจักร 6 ราย ,รัสเซีย 1 ราย ,มาเลเซีย 1 ราย ,บาห์เรน 1 ราย ,เยอรมนี 1 รายผ่านการคัดกรองและเข้าพักสถานที่กักกันที่รัฐจัดให้

ผู้ป่วยรายใหม่ จากระบบเฝ้าระวังและระบบบริการฯ จำนวน 61 ราย

ค้นหาผู้ติดเชื้อเชิงรุกในชุมชน 116 ราย

ขณะเดียวกันสถานการณ์ COVID-19 ของประเทศในกลุ่มอาเซียนมีการอัพเดทดังนี้

ประเทศบรูไน ดารุสซาลาม ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 175 ราย รักษาหายแล้ว 169 ราย เสียชีวิต 3 ราย

ประเทศกัมพูชา ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 458 ราย รักษาหายแล้ว 409 ราย ไม่มียอดผู้เสียชีวิต

ประเทศอินโดนีเซีย ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 9.89 แสน ราย รักษาหายแล้ว 7.99 แสน เสียชีวิต 27,835 ราย

ประเทศลาว ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 41 ราย รักษาหายแล้ว 41 ราย ไม่มียอดผู้เสียชีวิต

ประเทศมาเลเซีย ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 1.84 แสน ราย รักษาหายแล้ว 1.41 แสน ราย เสียชีวิต 678 ราย

ประเทศพม่า ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 1.38 แสน ราย รักษาหายแล้ว 1.22 แสน ราย เสียชีวิต 3,062 ราย

ประเทศฟิลิปปินส์ ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 5.14 แสน ราย รักษาหายแล้ว 4.76 แสน ราย เสียชีวิต 10,242 ราย

ประเทศสิงคโปร์ ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 59,308 ราย รักษาหายแล้ว 59,041 ราย เสียชีวิต 29 ราย

ประเทศเวียดนาม ยอดรวมติดเชื้อ 1,548 ราย รักษาหายแล้ว 1,411 ราย เสียชีวิต 35 ราย

ผ่านมา 2 สัปดาห์ กับเหตุการณ์เหมืองทองระเบิดที่ประเทศจีน ล่าสุดทีมกู้ภัยสามารถช่วยชีวิตคนงานที่ติดอยู่ภายในตั้งแต่วันที่ 10 มกราคม ออกมาได้กว่า 10 ชีวิต แต่ยังคงค้นหาผู้รอดชีวิตต่อไปอีกนับสิบชีวิตที่ยังไม่รู้ชะตากรรม

หลังจากทุ่มเทความพยายามถึง 14 วัน ในที่สุดหน่วยกู้ภัยจีนก็สามารถช่วยเหลือคนงานเหมืองชุดแรกออกมาได้แล้ว 10 คนอย่างปลอดภัย ถึงแม้จะอยู่ในสภาพอิดโรย และจำเป็นต้องใช้ผ้าปิดตาป้องกันแสงแดดจากภายนอก เนื่องจากอยู่ในที่มืดเป็นเวลานานถึง 2 สัปดาห์ แต่โชคร้ายที่มีคนงานเหมือง 1 คน ที่ได้รับบาดเจ็บจากแรงระเบิดที่ศีรษะ เสียชีวิตก่อนได้รับการช่วยเหลือ

คนงานเหมืองทองทั้ง 22 คน ติดอยู่ในเหมืองทองที่ลึกจากพื้นดินเกือบ 600 เมตร หน่วยกู้ภัยเคยคาดว่าอาจต้องใช้เวลานานหลายสัปดาห์กว่าจะขุดโพรงเพื่อช่วยเหลือคนงานเหมืองได้ แต่ทางการจีนมีคำสั่งให้เร่งขุดเจาะเพื่อช่วยเหลือคนงานด้านในออกมาให้เร็วที่สุด และสามารถขุดสำเร็จในวันที่ 14 ของการช่วยเหลือ

แต่ยังเหลือคนงานที่ติดอยู่ข้างในอีก 10 คน ในชั้นเหมืองที่ลึกลงไปอีก 100 เมตร ซึ่งยืนยันได้ว่ามีชีวิตอยู่แค่ 1 คน ส่วนที่เหลืออีก 9 คนยังไม่ทราบแน่ชัด ดังนั้นการช่วยเหลือยังคงดำเนินต่อไป

ส่วนสาเหตุของการระเบิดในเหมืองทองฉิงเซีย ยังไม่เป็นที่เปิดเผย และอย่างที่รู้กัน อุบัติเหตุในอุตสาหกรรมเหมืองของจีนไม่ใช่เรื่องใหม่ มักมีข่าวให้ได้ยินอยู่บ่อยครั้ง ในปี 2020 ที่ผ่านมีอุบัติเหตุในเหมืองจีนที่เป็นข่าวมากถึง 9 ครั้ง และทุกครั้งเป็นอุบัติเหตุร้ายแรงที่มีผู้เสียชีวิต

อุบัติเหตุในเหมืองครั้งสุดท้ายของปีที่ผ่านมา เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 4 ธันวาคมในเหมืองถ่านหินแห่งหนึ่งในมณฑลฉงชิ่ง เกิดก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์รั่วภายในเหมือง ที่คร่าชีวิตคนงานเหมืองถึง 23 คน

แหล่งข้อมูล

https://www.bbc.com/news/world-asia-china-55784231

https://www.theguardian.com/world/2021/jan/24/chinese-mine-accident-first-worker-rescued-after-two-weeks-underground

ฝ่ายค้านยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจ 10 รมต. ขึงพืดประจานความไร้ประสิทธิภาพ บริหารราชการแผ่นดิน แย้มขอมากกว่า 5 วันกระหน่ำรัฐบาล โต้ไร้ผลประโยชน์แลกเปลี่ยนเหตุปล่อยรมว.พลังงาน หลุดโพยไม่ไว้วางใจ

ที่รัฐสภา นายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร และหัวหน้าพรรคเพื่อไทย พร้อมแกนนำและสมาชิกพรรคร่วมฝ่ายค้านทั้ง 6 พรรค ประกอบไปด้วย พรรคเพื่อไทย พรรคก้าวไกล พรรคประชาชาติ พรรคเสรีรวมไทย พรรคเพื่อชาติ พรรคพลังปวงชนไทย และพรรคเล็ก 2 พรรค คือพรรคเศรษฐกิจใหม่ และพรรคไทยศรีวิไลย์ ยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคลต่อนายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร

ทั้งนี้นายสุทิน คลังแสง ส.ส.มหาสารคาม พรรเพื่อไทย ในฐานะประธานวิปฝ่ายค้าน กล่าวว่า สำหรับวันเวลาที่เราจะใช้ในการอภิปรายนั้น จากการพูดคุยกันเบื้องต้น เห็นว่าควรเริ่มวันที่ 16 ก.พ. จึงจะพอเหมาะ ส่วนวันที่สิ้นสุดนั้นจะดูตามความเหมาะสม และจำนวนผู้อภิปราย

ด้านนายชวน กล่าวว่า เมื่อยื่นญัตติฯแล้ว สภาฯก็จะให้ฝ่ายเลขาฯ ตรวจสอบความถูกต้องทั้งหมด ถ้ามีอะไรจะแจ้งไปที่ผู้เสนอญัตติภายใน 7 วัน จากนั้นจะดำเนินการเข้าสู่การบรรจุวาระแบบเร่งด่วน ซึ่งวันที่จะดำเนินการอภิปรายนั้น ฝ่ายค้าน และฝ่ายรัฐบาลตกลงกันไว้เบื้องต้นว่าจะใช้วันที่ 16-19 ก.พ. แต่คงจะต้องมีการตกลงเรื่องเวลากันให้แน่นอนอีกครั้งหนึ่ง

จากนั้นนายประเสริฐ จันทรรวงทอง ส.ส.นครราชสีมา พรรคเพื่อไทย ในฐานะเลขาธิการพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า การอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งนี้มีส.ส.ฝ่ายค้านร่วมเข้าชื่อ 208 คน ยื่นอภิปรายรัฐมนตรี 10 คนประกอบด้วย 1.) พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม 2.) พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี 3.) นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรมว.สาธารณสุข 4.) นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรมว.พาณิชย์ 5.) นายสุชาติ ชมกลิ่น รมว.แรงงาน 6.) พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย 7.) นายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ รมว.ศึกษาธิการ 8.) นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รมว.คมนาคม 9.) นายนิพนธ์ บุญญามณี รมช.มหาดไทย 10.) ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รมช.เกษตรและสหกรณ์

ขณะที่มีส.ส.ประสงค์ที่จะอภิปรายนั้น หลังจากการยื่นแล้ว พรรคร่วมฝ่ายค้านจะหารือกันทันที และจะได้คุยเรื่องกรอบเวลาด้วย

เมื่อถามว่า ประเด็นหลัก ๆ ที่จะอภิปรายมุ่งเน้นไปที่เรื่องใด นายประเสริฐ กล่าวว่า มีหลายประเด็น ทั้งเรื่องการทุจริตต่อหน้าที่ การบริหารราชการที่ผิดพลาด เรื่องเอื้อประโยชน์ต่อประชาชน และเรื่องการขาดหลักนิติรัฐ นิติธรรม

เมื่อถามย้ำว่า การอภิปรายฯครั้งนี้มีหมัดเด็ด หมัดน็อกหรือไม่ นายประเสริฐ กล่าวว่า อยากให้ติดตามดู มีหมัดเด็ดแน่นอน เพราะหลักฐานค่อนข้างชัดเจน นอกจากนี้ ฝ่ายค้านมีการปรับรูปแบบการอภิปรายให้มีรายการเด็ดทุกวันโดยยึดข้อมูลเป็นสำคัญ

การอภิปรายครั้งนี้จะกระชับ เน้นเนื้อหาสำคัญ ๆ โดยจะใช้เวลาอภิปรายนายกฯ อย่างน้อย 1 วัน แต่อาจจะมากกว่านั้น เพราะเรื่องโควิดก็วันหนึ่งแล้ว ส่วนรัฐมนตรีท่านอื่น ๆ จะใช้ผู้อภิปราย 2-3 คน ต่อรัฐมนตรี 1 คน

อย่างไรก็ตาม การอภิปรายครั้งนี้จะไม่มีปัญหาเรื่องการแบ่งเวลาเหมือนครั้งที่แล้ว จะตั้งวอร์รูมเพื่อติดตามเรื่องเวลาการอภิปราย ตัวผู้อภิปราย จะทำงานอย่างเป็นเอกภาพใกล้ชิดกัน ส่วนเรื่องระยะเวลาการอภิปรายนั้น อาจจะมากกว่า 5 วันก็ได้ เพราะมีรัฐมนตรีถูกซักฟอก 10 คน ทุกคนจะต้องถูกอภิปรายทั้งหมด รวมถึงคนที่ขออภิปรายจะต้องได้พูดครบประเด็นหมดทุกครั้ง ดังนั้นเป็นไปได้ที่อาจใช้เวลามากกว่าวันที่ 16-19 ก.พ.ตามที่วางกรอบไว้เบื้องต้น

เมื่อถามว่า มีข้อสงสัยว่าทำไม่มีการอภิปรายรมว.พลังงาน นายประเสริฐ กล่าวว่า เนื่องจากพิจารณาแล้วเห็นว่า ยังมีน้ำหนักหลักฐานไม่เพียงพอจะอภิปรายไม่ไว้วางใจได้ ไม่เกี่ยวกับเรื่องผลประโยชน์ใด ๆ มาเกี่ยวข้อง ส่วนจำนวนผู้ถูกอภิปราย 10 คนที่ถูกวิจารณ์ว่ามากเกินไปนั้น อย่าดูที่ตัวบุคคล ขอให้ดูเนื้อหาการอภิปราย เพราะผู้ถูกอภิปรายล้วนมีประเด็นทั้งสิ้น

ในส่วนพรรคเพื่อไทยวางตัวผู้อภิปรายไว้ 15-16 คน ลดจากครั้งที่แล้วที่วางไว้ 30 กว่าคน ขณะที่การอภิปรายร.อ.ธรรมนัส ที่มีข่าวตอนแรกว่าชื่อจะหลุดจากการอภิปรายนั้น ยืนยันว่าชื่อของร.อ.ธรรมนัสเป็นชื่อแรก ๆ ที่ถูกเสนอ แต่มีผู้คัดค้านว่าจะน้ำหนักเพียงพออภิปรายหรือไม่ ในที่สุดผู้อภิปรายยืนยันว่า มีข้อมูลหนักแน่นเพียงพอ จึงยืนยันที่จะอภิปรายร.อ.ธรรมนัส

เมื่อถามว่า มีข้อมูลที่นำไปสู่การยื่นถอดถอนหรือดำเนินคดีต่อได้หรือไม่ นายประเสริฐ กล่าวว่า ตนคิดว่ามีหลายเรื่อง แค่พูดแย้มไว้ก็มีอย่างน้อย 2-3 เรื่องแล้วที่จะยื่นต่อได้ แม้เสียงในสภาฯมืออาจจะสู้รัฐบาลไม่ได้ แต่หากพี่น้องประชาชนได้ฟังแล้วจะเรียกศรัทธาจากพี่น้องประชาชนได้

ด้านนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล กล่าวเสริมว่า การอภิปรายครั้งนี้ต่างจากปีที่แล้ว เพราะครั้งก่อนมีความบีบคั้นเรื่องของเวลา แต่ครั้งนี้เรามีเอกภาพ ทำงานกันอย่างรอบคอบและละเอียด การอภิปรายครั้งนี้จะเข้มข้น สร้างสรรค์ ชัดเจน และอภิปรายไปในทางเดียวกัน

เมื่อถามว่ามีข้อครหาว่าจะมีมวยล้มต้มคนดู นายพิธา กล่าวว่าเป็นไปไม่ได้ หากท่านสังเกต เมื่อใกล้ช่วงการอภิปรายไม่ไว้วางใจทีไรมักจะมีปฏิบัติการไอโอขึ้นมาว่าฝ่ายค้านยังไม่พร้อมบ้าง ไม่มีเอกภาพบ้าง ตนคิดว่า ไอโอเหล่านี้ควรเอาเวลาไปเตรียมข้อมูลในการแก้ต่างของตัวเองดีกว่า พยายามอย่าเป็นรัฐบาลดื้อแพ่ง ไม่ยอมรับความผิด ทั้งนี้ ทั้งส.ส. และตัวผู้อภิปรายจะพยายามประชุมกันให้บ่อยที่สุด รวมถึงวิปฯของแต่ละพรรคด้วย

“ตราบใดที่ผมเป็นหัวหน้าพรรคก้าวไกล จะไม่มีเหตุการณ์มีปัญหาเรื่องเวลาการอภิปรายเหมือนครั้งที่แล้วอีก” นายพิธากล่าว

ส่วนพล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย กล่าวว่า ยืนยันไม่มีมวยล้มการอภิปราย ในครั้งที่แล้วก็ไม่มีมวยล้ม ฝ่ายค้านทำงานกันเต็มที่ แต่ขอให้ประธานที่ประชุมวางตัวเป็นกลาง อย่าเอนเอียงเข้าข้างรัฐบาล

กระทรวงการคลัง เตรียมเปิดจำหน่ายพันธบัตรออมทรัพย์พิเศษรุ่น “เราชนะ” ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 วงเงิน 6 หมื่นล้านบาท ให้กับประชาชนทั่วไปและนิติบุคคลไม่แสวงหากำไร ดีเดย์ เริ่มขายผ่านแอปฯ ‘เป๋าตัง’ 1 ก.พ. นี้

นางแพตริเซีย มงคลวนิช ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) แถลงข่าวการจำหน่ายพันธบัตรออมทรัพย์พิเศษรุ่น “เราชนะ” (We Win) ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 โดยมีวัตถุประสงค์ในการระดมทุนเพื่อบรรเทาผลกระทบที่เกิดขึ้นกับประชาชน และพลิกฟื้นเศรษฐกิจที่ได้รับผลกระทบการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ตามแผนงานโครงการของรัฐบาล ซึ่งพันธบัตรออมทรัพย์เป็นตราสารหนี้ที่มีความมั่นคงให้ผลตอบแทนที่ดีในช่วงที่ตลาดการเงินมีความเสี่ยงจากความผันผวนทางเศรษฐกิจ

และเป็นหนึ่งในนโยบายของรัฐเพื่อการดูแลประชาชน ทุกกลุ่ม พันธบัตรออมทรัพย์พิเศษรุ่น “เราชนะ” จะเริ่มจำหน่ายบนวอลเล็ต สบม. บนแอปพลิเคชันเป๋าตังเป็นที่แรกในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2564 และจำหน่ายผ่านธนาคารตัวแทนจำหน่ายในวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2564 เป็นต้นไป ซึ่งผู้ลงทุนสามารถเลือกลงทุนได้ตามความสะดวก ดังนี้

1.) รุ่นเราชนะบนวอลเล็ต สบม. วงเงินจำหน่าย 5,000 ล้านบาท รุ่นอายุ 5 ปี อัตราดอกเบี้ยแบบขั้นบันได (Step-up) เฉลี่ยร้อยละ 2.00 ต่อปี โดยเริ่มลงทุนได้ตั้งแต่ 100 บาท จนถึง 5 ล้านบาท ซึ่งในทุกขั้นตอนผู้ลงทุนไม่จำเป็นต้องไปธนาคาร ผู้ลงทุนสามารถดาวน์โหลดแอปพลิเคชันเป๋าตังเพื่อลงทะเบียนและเตรียมโอนเงินเข้าวอลเล็ต สบม. ได้ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป จำหน่ายตั้งแต่วันที่ 1 - 19 กุมภาพันธ์ 2564

2.) รุ่นเราชนะ วงเงินจำหน่าย 55,000 ล้านบาท โดยเป็นการจำหน่ายให้กับประชาชนทั่วไปและนิติบุคคลไม่แสวงหากำไรผ่าน 4 ธนาคารตัวแทนจำหน่าย ได้แก่ ธนาคารกรุงไทย ธนาคารกรุงเทพ ธนาคารกสิกรไทย และธนาคารไทยพาณิชย์ แบบไม่จำกัดวงเงินซื้อ ตั้งแต่วันที่ 5 – 19 กุมภาพันธ์ 2564 แบ่งการจำหน่ายเป็น 2 ช่วง ดังนี้

(1) วันที่ 5-15 กุมภาพันธ์ 2564 จำหน่ายให้กับประชาชนทั่วไป อัตราดอกเบี้ยแบบขั้นบันได (Step Up) โดยรุ่นอายุ 5 ปี อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ยร้อยละ 2.00 ต่อปี และรุ่นอายุ 10 ปี อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ยร้อยละ 2.50 ต่อปี

(2) วันที่ 16-19 กุมภาพันธ์ 2564 จำหน่ายให้กับนิติบุคคลที่ไม่แสวงหากำไรตามที่กระทรวง การคลังกำหนด รุ่นอายุ 15 ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่ร้อยละ 1.80 ต่อปี

ทั้งนี้ วงเงินรุ่นเราชนะที่จำหน่ายบนวอลเล็ต สบม. และธนาคารตัวแทนจำหน่ายไม่นับรวมกัน ผู้ลงทุนจึงสามารถลงทุนได้ทั้ง 2 ช่องทาง

อย่างไรก็ตาม สบน. ตระหนักถึงความสำคัญของสุขภาพผู้ลงทุนและการควบคุมการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 จึงได้แจ้งให้ธนาคารตัวแทนจำหน่ายปรับวิธีการจองซื้อพันธบัตรออมทรัพย์ให้เหมาะสมกับสถานการณ์และมาตรการการป้องกันการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ของรัฐบาล เพื่อให้ผู้ลงทุนสามารถทำธุรกรรมได้อย่างปลอดภัย ซึ่งผู้ลงทุนสามารถติดต่อสอบถามรายละเอียดเกี่ยวกับเงื่อนไขและวิธีการซื้อพันธบัตรออมทรัพย์ผ่านช่องทางต่างๆ ของธนาคารตัวแทนจำหน่ายทั้ง 4 แห่ง สำหรับวอลเล็ต สบม. ผู้สนใจสามารถสอบถามข้อมูลการใช้งานได้ที่ Call Center โทร. 02-111-1111 หรือที่ธนาคารกรุงไทยทุกสาขา


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top