Sunday, 22 June 2025
TheStatesTimes

เกษตรกร มีเฮ ! หลัง ‘รมช.เกษตรฯ’ เผย จีนไฟเขียวให้ไทยใช้แนวทางองค์การอนามัยโลก ส่งออก “ทุเรียน” ยัน ! ไม่สะดุด หลังมีการแพร่ระบาดโควิด-19 ระลอกใหม่

นางสาวมนัญญา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เผยต่อกรณีการส่งออกทุเรียนไทยในช่วงการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ได้มีการสั่งการให้นายพิเชษฐ์ วิริยะพาหะ อธิบดีกรมวิชาการเกษตร หารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกับตัวแทนของประเทศจีนเพื่อสร้างความมั่นใจการส่งออกทุเรียนไปจีนในช่วงที่มีการแพร่ระบาดไวรัส “โควิด-19“ ซึ่งเป็นตลาดใหญ่ของไทย และจะเริ่มมีการเตรียมการส่งออกตั้งแต่เดือน ก.พ. ถึง พ.ค. 2564

ทั้งนี้ให้นำข้อกังวลของนายกสมาคมทุเรียนไทยมาประกอบการหารือเพื่อช่วยกันรักษาตลาดส่งออกทุเรียนของไทย ซึ่งแต่ละปีจะมียอดส่งออกไปจีนมากกว่า 5 หมื่นล้านบาท และมีเกษตรกรรวมถึงผู้ที่อยู่ในระบบธุรกิจจนถึงส่งออกรวมแล้วกว่า 140,000 ครัวเรือน

“กระทรวงเกษตรฯ ตระหนักถึงความเดือดร้อนของเกษตรกรชาวสวน และผู้ประกอบการส่งออกทุเรียน ข้อหารือที่ออกมาคาดว่าจะสามารถช่วยสร้างความเชื่อมั่นสินค้าส่งออกของไทยได้ เพราะได้หารือกับหน่วยงานรับผิดชอบของประเทศผู้นำเข้า ซึ่งไทยยืนยันว่าจะรักษาระบบการผลิตที่ได้มาตรฐานเพื่อรักษาชื่อเสียงของทุเรียนไทย เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับผู้บริโภคจีนทั้งคุณภาพ และความปลอดภัยในทุเรียนของไทย” รมช.เกษตรฯกล่าว

ด้าน นายพิเชษฐ์ วิริยะพาหะ อธิบดีกรมวิชาการเกษตร (กวก.) กล่าวว่า กรมวิชาการเกษตรและสำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ (มกอช.) ได้ร่วมหารือกับผู้แทนของสำนักศุลกากร (GACC) ของจีนเมื่อวันที่ 21 ม.ค. ที่ผ่านมา

ฝ่ายจีนแจ้งว่ารัฐบาลได้ยกระดับมาตรการควบคุมเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ที่ปนเปื้อนในสินค้านำเข้าจากต่างประเทศ โดยจะมีการสุ่มตรวจสินค้าอย่างเข้มงวดและต้องดำเนินมาตรการการฆ่าเชื้อสำหรับอาหารที่ขนส่งโดยควบคุมอุณภูมิ (Cold Chain) ตั้งแต่ด่านศุลกากร การขนส่ง การกระจายสินค้า และการจำหน่าย

ซึ่งการดำเนินการดังกล่าว ฝ่ายจีนดำเนินการกับสินค้านำเข้าจากทุกประเทศ ทั้งนี้จีนชื่นชมระบบการจัดการส่งออกผลไม้ของไทยว่ามีประสิทธิภาพมาก และมีความปลอดภัยสูง โดยตลอดระยะเวลาการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ที่ผ่านมา ไม่เคยตรวจพบการปนเปื้อนของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ในบรรจุภัณฑ์และสินค้าผลไม้จากไทย

ซึ่งทางฝ่ายไทยเน้นย้ำว่าภาครัฐ และภาคเอกชนของไทยได้ร่วมผนึกกำลังที่จะดำเนินมาตรการป้องกันและควบคุมเพื่อให้สินค้าไทยมีความปลอดภัยควบคู่ไปกับคุณภาพที่ดี

ในโอกาสนี้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมวิชาการเกษตร และ มกอช. ได้นำเสนอมาตรการการป้องกันการปนเปื้อนเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ในกระบวนการผลิต และคัดบรรจุผลไม้เพื่อการส่งออกตามแนวทางในการจัดการความปลอดภัยอาหารในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ขององค์การอาหาร และการเกษตรแห่งสหประชาชาติ( FAO ) และองค์การอนามัยโลก(WHO)

ซึ่งเป็นแนวปฏิบัติให้กับหน่วยงานของรัฐ และผู้ประกอบการผลิตอาหารในการจัดการความเสี่ยงด้านความปลอดภัยอาหาร และป้องกันการปนเปื้อนอาหาร เช่น การควบคุมกระบวนการผลิต วิธีการฆ่าเชื้อ และการสร้างความตระหนักให้พนักงานเพื่อป้องกันโรค เป็นต้น ซึ่งแนวทางดังกล่าวเป็นที่ยอมรับของจีน และจีนขอให้ทั้งสองฝ่ายร่วมมือกันอย่างต่อเนื่องเพื่อป้องกันการปนเปื้อนของเชื้อไวรัสโคโรนาในสินค้าผลไม้ต่อไป

อย่างไรก็ตาม ภายในสัปดาห์หน้า ไทยจะมีหนังสือแจ้งมาตรการการป้องกันไวรัสโคโรนา-19 ตามมาตรฐาน FAO และ WHO ที่จะให้โรงคัดบรรจุของไทยปฏิบัติไปยัง GACC เพื่อทราบ รวมถึงแจ้งประชาสัมพันธ์ให้โรงงานผลิตและเกษตรกรและประชาชนผู้บริโภคทั้งไทย และต่างประเทศเพื่อสร้างความเข้าใจ และความเชื่อมั่นทั้งภาษาไทย จีน อังกฤษ

สำหรับสาระสำคัญแนวทางการรับมือการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) กับความปลอดภัยสำหรับธุรกิจอาหาร ที่ FAO และ WHO แนะนำนั้น จะเน้นที่ระบบการจัดการความปลอดภัยอาหารเพื่อป้องกันการปนเปื้อนโดยจัดการความเสี่ยง และควบคุมจุดวิกฤตนอกเหนือจากการปฏิบัติตามโปรแกรมพื้นฐานด้านสุขลักษณะ ความเหมาะสมต่อการทำงาน การทำความสะอาด การฆ่าเชื้อ การแยกพื้นที่การผลิต การควบคุมผู้ส่งมอบ การเก็บรักษา และตลอดสายการผลิต

นอกจากนั้น กำหนดให้มีการมอบหมายให้มีผู้รับผิดชอบ หรือทีมที่พิจารณาว่า อาจมีความเสี่ยงหรือต้องมีมาตรการอะไรเพิ่มเติมหรือไม่ โดยขอคำแนะนำจากหน่วยงานที่ดูแลความปลอดภัยด้านอาหาร มีการจัดการสุขลักษณะส่วนบุคคลของผู้ปฏิบัติงาน เพื่อลดความเสี่ยงจากผู้ปฏิบัติงานที่จะนำไวรัสปนเปื้อนสู่อาหาร และบรรจุภัณฑ์ มีการฝึกอบรมพนักงาน การทบทวนการฝึกอบรมพนักงาน กำหนดให้ใช้อุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคล เช่น หน้ากากอนามัย และถุงมืออย่างเหมาะสม มีการเว้นระยะห่าง จำกัดจำนวนพนักงานที่อยู่ในพื้นที่การผลิต

ลดการปฏิสัมพันธ์ และจัดสิ่งอำนวยความสะดวกด้านสุขอนามัยอย่างเพียงพอ รวมถึงการทำความสะอาดพื้นผิวที่มีการสัมผัสบ่อย ๆ ด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ สิ่งสำคัญอีกประการหนึ่งคือ พนักงานหรือผู้ปฏิบัติงานที่เกี่ยวข้องกับอาหารต้องหมั่นสังเกตตัวเอง หากมีอาการบ่งชี้ว่าอาจได้รับเชื้อ ไม่ควรมาทำงาน และดำเนินการตามมาตรการลดความเสี่ยงในการแพร่เชื้อทันที นายพิเชษฐ์ กล่าว

‘รมว.คมนาคม’ สั่งด่วน!! ทางหลวงเร่งตรวจสอบ-ช่วยเหลือผู้บาดเจ็บจากอุบัติเหตุนั่งร้านทรุด ขณะเทคอนกรีตบริเวณโครงการก่อสร้าง ทล.290 วงแหวนรอบเมืองนครราชสีมาด้านเหนือตอน 2 พร้อมกำชับมาตรการความปลอดภัยทุกโครงการก่อสร้าง

จากกรณีเกิดอุบัติเหตุบริเวณพื้นที่โครงการก่อสร้างทางหลวงหมายเลข 290 วงแหวนรอบเมืองนครราชสีมา ด้านเหนือ ตอน 2 ตัดกับทางหลวงหมายเลข 205 ตอน โคกสวาย - แขวงทางหลวงนครราชสีมาที่ 1 ที่ กม.217+500 โดยเกิดเหตุนั่งร้านทรุดตัวขณะกำลังดำเนินการเทคอนกรีตโครงสร้างพื้นส่วนบนของสะพานยกระดับคู่ขนานกับทางสายหลัก ส่วนที่ข้าม ทล.205 มุ่งหน้าโนนไทย ช่วงพื้นสะพานระหว่างคาน RA5-RA6 (1 ช่วง)

กรมทางหลวง โดยสำนักงานทางหลวงที่ 10 (นครราชสีมา) และสำนักก่อสร้างทางที่ 2 ได้ลงพื้นที่เพื่อตรวจสอบหาสาเหตุ โดยสภาพทางจุดตัดทางหลวงหมายเลข 205 และทางหลวงวงแหวนหมายเลข 290 ขนาด 4 ช่องจราจร ผิวจราจรไม่มีหลุมบ่อ มีไฟฟ้าแสงสว่าง และการจราจรสามารถผ่านได้ปกติ เนื่องจากจุดโครงสร้างทรุดตัวไม่ได้อยู่ในช่องทางจราจรทางหลวงหมายเลข 205

และจากการตรวจสอบไม่มีทรัพย์สินของราชการเสียหาย ซึ่งมีผู้ได้รับบาดเจ็บจำนวน 9 คน แบ่งเป็น ผู้ชาย 5 คน ผู้หญิง 4 คน เป็นชาวกัมพูชา 7 คน พม่า 1 คน และคนไทย 1 คน ผู้บาดเจ็บขณะนี้ได้เข้ารับการรักษาตัวที่โรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา และไม่มีผู้เสียชีวิต

สำหรับโครงการฯ 290 ตอน วงแหวนรอบเมืองนครราชสีมา ด้านเหนือ ตอน 2 มีกิจการร่วมค้า สี่แสง – โชคชัยเป็นผู้รับจ้าง เริ่มต้นสัญญาวันที่ 23 มกราคม 2561 ค่างานก่อสร้าง 1,400,998,295 บาท

ทั้งนี้ สาเหตุการเกิดอุบัติเหตุอยู่ระหว่างการสอบสวน สำหรับแนวทางในการดำเนินการแก้ไข ทางโครงการฯ ได้ให้ทางผู้รับจ้างดำเนินการรื้อถอนโครงสร้างนั่งร้าน และเศษวัสดุออกจากจุดเกิดเหตุโดยเร่งด่วน และให้เยียวยาผู้ที่ได้รับการบาดเจ็บ พร้อมทั้งได้ประชุมวิเคราะห์สาเหตุของการเกิดอุบัติเหตุในครั้งนี้

สำหรับในส่วนของแรงงานชาวกัมพูชา และแรงงานชาวพม่า เป็นแรงงานที่เข้ามาทำงานกับทางโครงการฯ อย่างถูกต้องตามกฎหมาย และได้อยู่ในโครงการมาตั้งแต่ปี 2561 ไม่ได้มีการเคลื่อนย้ายแต่อย่างใด อีกทั้งในช่วงที่เกิดสถานการณ์โควิด-19 ทางโครงการยังไม่มีการรับแรงงานต่างด้าวมาเพิ่มเติมแต่อย่างใด

พร้อมกันนี้ได้แจ้งให้ทราบบัญชาจากท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ กำชับมาตรการความปลอดภัยระหว่างก่อสร้าง และเข็มงวดเต็มที่ ในทุกโครงการก่อสร้าง และให้ความช่วยเหลือดูแลผู้บาดเจ็บอย่างเต็มที่

ตลาดซื้อขายเงินดิจิทัล ส่อแววแข่งเดือด 3 นักลงทุนไทย ‘สมโภชน์ อาหุนัย’ – ‘ปรีชา ไพรภัทรกุล’ – ‘ชัชวาลย์ เจียรวนนท์’ ร่วมลงขั้น เปิดตัว ‘Upbit Thailand’ บริการเทรดคริปโตฯออนไลน์ เปิดฉากอัดโปรโมชั่นหั่นค่าธรรมเนียมจูงใจ หลังก.ล.ต.ไฟเขียวใบอนุญาต

นายพีรเดช ตันเรืองพร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อัพบิต เอ็กซ์เชนจ์ (ประเทศไทย) จำกัด หรือ Upbit Thailand เปิดเผยว่า Upbit Thailand ได้เปิดให้บริการแล้วตั้งแต่วันที่ 20 ม.ค. 64 ที่ผ่านมาหลังจากที่ผ่านการตรวจสอบขั้นตอนสุดท้ายจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) พร้อมได้รับอนุมัติให้เปิดให้บริการเรียบร้อยแล้ว

โดย Upbit Thailand ได้รับใบอนุญาตประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลทั้งหมด 4 ประเภท ได้แก่ ใบอนุญาตประกอบธุรกิจศูนย์ซื้อขายคริปโตเคอเรนซี , ศูนย์ซื้อขายโทเคนดิจิทัล , นายหน้าซื้อขายคริปโตเคอเรนซี และนายหน้าซื้อขายโทเคนดิจิทัล ซึ่งบริษัทฯให้ความมั่นใจระบบการเทรดที่ปลอดภัยและเสถียร อีกทั้งได้รับใบอนุญาตประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลทั้งหมด 4 ประเภท จะช่วยตอบสนองความต้องการของนักลงทุนที่หลากหลายได้เป็นอย่างดี

“เป็นช่วงเวลาที่น่าตื่นเต้นอย่างมากสำหรับการเติบโตของอุตสาหกรรมคริปโตฯ ทั้งในไทยและในระดับโลก ด้วยความเชี่ยวชาญและชื่อเสียงที่ Upbit ได้รับการยอมรับในระดับโลก เราตั้งใจที่จะมอบประสบการณ์การเทรดที่ดีเยี่ยม เราหวังเป็นอย่างยิ่งว่า ภายใต้การกำกับดูแลการประกอบธุรกิจในประเทศไทย และความร่วมมือกับผู้ให้บริการระดับโลกจะทำให้เราสามารถนำเสนอบริการสินทรัพย์ดิจิทัลที่มีความล้ำสมัย ตอบโจทย์ทุกความต้องการ และอยู่ภายใต้ความรับผิดชอบและกรอบของกฎหมาย”

ทั้งนี้ ผู้ใช้สามารถใช้งาน Upbit Thailand ได้จากทุกแพลตฟอร์ม (เว็บไซต์ PC, Android App และ iOS App) สำหรับแคมเปญเปิดตัว Upbit Thailand เสนอส่วนลดค่าธรรมเนียมแก่ผู้ใช้ที่ลงทะเบียนในช่วงแรกเหลือเพียง 0% สำหรับ makers และ 0.1% สำหรับ takers โดยใช้ได้กับคำสั่งทุกประเภท

สำหรับ Upbit Thailand เกิดจาการร่วมมือระหว่าง Upbit APAC Pte. Ltd. จากเกาหลีใต้ และนักลงทุนชาวไทยซึ่งเป็นผู้บริหารบริษัทใหญ่ ประกอบไปด้วย นายสมโภชน์ อาหุนัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) หรือ EA, นายปรีชา ไพรภัทรกุล ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายบริหาร บริษัท MOL Global จำกัด และนายชัชวาลย์ เจียรวนนท์ เจ้าของ Fortune Magazine

ขณะที่ Upbit ก่อตั้งโดย Dunamu Inc. ในปี 2560 ซึ่งถือว่าหนึ่งในศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลระดับโลกและใหญ่ที่สุดในเอเชีย โดยวัดจาก volume การเทรด ปัจจุบัน Upbit เปิดให้บริการในประเทศเกาหลีใต้ สิงคโปร์ และอินโดนีเซีย

 

 

‘กูเกิล’ ขู่เลิกฟังก์ชันสืบค้นข้อมูลในออสเตรเลีย หากถูกบีบให้จ่ายค่าคอนเทนท์สื่อ หลังรัฐบาลออสเตรเลีย เสนอร่างกฎหมาย Media Code ให้บริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่ จ่ายค่าคอนเทนท์สื่อท้องถิ่น เมื่อเดือนก่อน

บริษัท กูเกิล อิงค์ ประกาศว่า กูเกิลจะยกเลิกฟังก์ชันการสืบค้นข้อมูลในออสเตรเลีย หากรัฐบาลออสเตรเลียบังคับใช้กฎหมาย Media Code ซึ่งเป็นการบีบให้กูเกิลและเฟซบุ๊ก ต้องจ่ายเงินให้กับบรรดาบริษัทสื่อท้องถิ่น เมื่อมีการนำคอนเทนท์ของสื่อเหล่านั้นไปใช้

ขณะนี้ ทางรัฐบาลออสเตรเลียกำลังเร่งอนุมัติกฎหมายหลายฉบับ ซึ่งจะทำให้บริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่ต่างๆ ต้องเจรจาเรื่องการจ่ายเงินให้กับบรรดาสำนักข่าวและสถานีโทรทัศน์ในท้องถิ่นเมื่อมีการนำคอนเทนท์ของสื่อเหล่านั้นไปใช้

ทั้งนี้ หากทั้งสองฝ่ายไม่สามารถบรรลุข้อตกลงร่วมกันได้ คณะอนุญาโตตุลาการของรัฐบาลออสเตรเลียจะเข้ามาเป็นผู้ตัดสินใจเกี่ยวกับการกำหนดราคา

รัฐบาลออสเตรเลียได้เสนอร่างกฎหมาย Media Code ในเดือนที่แล้ว หลังจากมีการตรวจสอบพบว่า กูเกิลซึ่งเป็นบริษัทลูกของอัลฟาเบท และโซเชียลมีเดียยักษ์ใหญ่อย่างเฟซบุ๊ก มีอำนาจทางการตลาดมากเกินไปในอุตสาหกรรมสื่อ ซึ่งสถานการณ์ดังกล่าวอาจเป็นภัยคุกคามต่อระบอบประชาธิปไตยที่เป็นไปด้วยดีในออสเตรเลีย

แน่นอนว่า ความเคลื่อนไหวล่าสุดของกูเกิลครั้งนี้ สะท้อนให้เห็นถึงข้อพิพาทที่มีแนวโน้มรุนแรงขึ้น นับตั้งแต่มีรายงานว่า รัฐบาลออสเตรเลียเตรียมออกกฎหมายที่จะบังคับให้เฟซบุ๊กและกูเกิลจ่ายค่าคอนเทนต์ข่าวให้กับธุรกิจสื่อ ซึ่งนับเป็นครั้งแรกของโลกที่รัฐบาลมีคำสั่งในลักษณะดังกล่าว

‘ศรีสุวรรณ’ เตรียมบุกทำเนียบรัฐบาล ทวงถาม ‘บิ๊กป้อม’ ส่ง ส.ส.-หัวหน้าพรรคร่วมรัฐบาล ไปตีกินโครงการเจาะบ่อบาดาลพลังงานแสงอาทิตย์หรือไม่ หลังพบเรียกรับค่าคอมมิสชัน 30% ของมูลค่าโครงการไปแล้ว แต่กลับไม่ได้งานแต่อย่างใด

นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย เปิดเผยว่า สมาคมฯได้รับการร้องเรียนจากผู้รับเหมาหลายจังหวัดในพื้นที่ภาคอีสาน ว่า มีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) ซึ่งเป็นหัวหน้าพรรคการเมืองร่วมรัฐบาลพรรคหนึ่ง ส่งทีมงานไปเจรจาชักชวนให้ร่วมรับงานเหมาขุดเจาะบ่อบาดาลในโครงการประปาบาดาลด้วยระบบพลังงานแสงอาทิตย์เพื่อการเกษตรในพื้นที่เสี่ยงขาดแคลนน้ำ และโครงการสนับสนุนสร้างบ่อบาดาลประปาโซล่าเชลล์พลังงานแสงอาทิตย์ ในราคาบ่อละ 500,000 บาท โดยอ้างว่าสามารถดึงโครงการดังกล่าวมาให้ทำได้ เพราะใกล้ชิดกับพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นผู้ดูแลโครงการดังกล่าว

ด้วยความเชื่อถือในชื่อเสียงของพล.อ.ประวิตร ผู้รับเหมาต่างๆ จึงได้ร่วมพูดคุยตกลงรับข้อเสนอของทีมงานของ ส.ส.หัวหน้าพรรคร่วมรัฐบาลคนดังกล่าวที่ที่ทำการพรรคฯ จ.อำนาจเจริญว่าจะนำงานดังกล่าวมาให้ดำเนินการอย่างน้อย 70 บ่อ แต่มีข้อตกลงว่า เมื่อทำสัญญาว่าจ้างแล้วจะต้องจ่ายค่าคอมมิสชันเป็นเงินสดให้ 30% ของมูลค่างานในโครงการฯ โดยมีการเรียกรับเงินล่วงหน้าไปก่อนจำนวน 450,000 บาท ตั้งแต่วันที่ 13 พ.ค.2563 และมีการขอให้โอนเพิ่มเติมอีก 3 งวดรวม 50,000 บาท ซึ่งการโอนเงินดังกล่าวจะเข้าบัญชีธนาคารของทีมงาน ส.ส.หัวหน้าพรรคดังกล่าวโดยตรง

หลังจากนั้น ผู้รับเหมาได้พยายามติดตาม สอบถามถึงงานที่จะต้องดำเนินการ ก็ได้รับการบ่ายเบี่ยงมาโดยตลอด โดยอ้างว่าต้องรอให้หัวหน้าพรรคฯประสานกับพล.อ.ประวิตรในรายละเอียดกันเสียก่อน ส่วนเงินที่รับมาและที่โอนมาให้ได้ส่งต่อไปยังหัวหน้าพรรคฯทั้งหมดเพื่อนำไปเคลียร์กับผู้หลักผู้ใหญ่แล้ว กระทั้งบัดนี้การดำเนินงานดังกล่าวก็ยังไม่มีคำตอบแต่อย่างใด จึงเชื่อว่าถูกนักการเมือง และคนของนักการเมืองหลอกลวง ต้มตุ๋นเสียแล้ว จึงนำความมาร้องเรียนต่อสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย เพื่อประสานงานเรียกร้องขอความเป็นธรรม และดำเนินการทางกฎหมายให้

ด้วยเหตุดังกล่าว สมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทยจะนำความดังกล่าว ไปสอบถาม พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีว่าได้มอบหมายให้หัวหน้าพรรคการเมืองร่วมรัฐบาลรายดังกล่าวไปวิ่งเต้นเจรจาชักชวนให้ผู้รับเหมาในแต่ละจังหวัดมารับงานโครงการดังกล่าวแบบลับ ๆ หรือไม่ หากใช่ มีการเปิดประมูลกันตามกฎหมายหรือไม่ หากไม่ใช่จะได้ดำเนินการเอาผิดทางกฎหมายต่อหัวหน้าพรรคร่วมรัฐบาลดังกล่าว พร้อมทีมงานทุกคนอย่างไร โดยจะเดินทางไปยื่นคำร้องสอบถามในวันจันทร์ที่ 25 ม.ค.64 เวลา 10.00 น. ที่ศูนย์รับเรื่องร้องเรียนฯ ทำเนียบรัฐบาล

‘บิ๊กตู่’ ไฟเขียว เอกชนนำเข้าวัคซีนโควิด-19 แต่ต้องขึ้นทะเบียนกับ อย. ให้ถูกต้องก่อน ชี้ต้องผ่านเกณฑ์ 3 ด้าน ‘คุณภาพ -ความปลอดภัย – ประสิทธิผล’ เล็งระดมผู้เชี่ยวชาญร่วมพิจารณา เพื่ออนุมัติวัคซีนเร็วที่สุด

นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม มีนโยบายให้เอกชนสามารถนำเข้าวัคซีนโควิด-19 ได้ โดยขอให้ยื่นเอกสารขอขึ้นทะเบียนวัคซีนกับทางสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ให้ถูกต้อง

ทั้งนี้ อย. จะพิจารณาตรวจสอบวัคซีนที่จะขอนำเข้ามาใช้ในประเทศไทย ซึ่งจะต้องได้รับการประเมินก่อนนำไปใช้จริง โดยทาง อย.จะประเมินทั้งในด้านคุณภาพ ด้านความปลอดภัย และด้านประสิทธิผลของวัคซีน ว่าเหมาะสมกับคนไทย โดยผู้ที่ต้องการขึ้นทะเบียนจะต้องแสดงข้อมูลเอกสารหลักฐานเพื่อประเมินคุณสมบัติของวัคซีนทั้ง 3 ด้านดังกล่าว

นายอนุชา กล่าวว่า โดย อย. ได้ปรับการทำงานเพื่ออำนวยความสะดวกในการขึ้นทะเบียนวัคซีนโควิด-19 อย่างเต็มที่ ด้วยการระดมเพิ่มผู้เชี่ยวชาญทั้งภายในและภายนอกมาร่วมพิจารณา เพื่อให้สามารถอนุมัติวัคซีนได้โดยเร็วที่สุด แต่ยังคงไม่สามารถผ่อนคลายกฎเกณฑ์หรือลดหย่อนการกำกับดูแล เนื่องจากเป็นผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับชีวิตของประชาชน

“การจัดหาวัคซีนป้องกันโควิด-19 นี้ ต้องดำเนินการอย่างรอบคอบ ภายใต้สถานการณ์ที่มีความต้องการใช้สูงทั่วโลก อีกทั้งวัคซีนที่มีอยู่ เพิ่งเสร็จจากงานวิจัยเข้าสู่กระบวนการผลิตของแต่ละบริษัท ดังนั้น การนำเข้าวัคซีนต้องมั่นใจว่าเป็นวัคซีนที่มีความปลอดภัย มีคุณภาพมาตรฐาน และมีประสิทธิผล เนื่องจากวัคซีนที่ อย. รับขึ้นทะเบียนเป็นวัคซีนที่ได้รับอนุญาตให้ใช้ในภาวะฉุกเฉิน ที่จะต้องมีระบบการกำกับติดตาม เฝ้าระวังความปลอดภัยจากการใช้อย่างต่อเนื่อง” นายอนุชา กล่าว

'อนุทิน' เมินเปิดเผยสัญญาแอสตร้าเซนเนกา กับ สยามไบโอไซเอนซ์ เพราะเป็นเรื่องระหว่างเอกชนกับเอกชน นอกเหนืออำนาจรัฐ อัด ข้อมูล 'ธนาธร' บิดเบือน ไร้ความจริง พร้อมยืนยันไม่หวั่นถูกซักฟอกปมโควิด เชื่อเป็นโอกาสดีได้ชี้แจง

นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวถึงข้อกล่าวหาการจัดซื้อวัคซีนป้องกันไวรัสโควิด-19 โดยยืนยัน การดำเนินการไม่ได้ล่าช้ากว่าประเทศอื่น แต่ต้องยึดหลักความปลอดภัย และคุณภาพของวัคซีน ซึ่งการจัดซื้อมีขั้นตอน ไม่ใช่สั่งซื้อแล้วจะได้ของทันที อีกทั้งการจัดซื้อวัคซีนยังติดเงื่อนไขของพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) จัดซื้อจัดจ้าง ที่การจ่ายเงินซื้อจะต้องมีสินค้าอยู่จริงซึ่งแตกต่างกับบางประเทศที่ยอมเสี่ยงจ่ายเงินไปก่อน โดยยังไม่ทราบว่าจะประสบความสำเร็จหรือไม่ เพราะหากเกิดความเสียหายเงินที่จ่ายไปก็จะสูญเปล่า

ส่วนกรณีที่นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า เรียกร้องให้เปิดสัญญาการจัดซื้อวัคซีน ที่ทำกับบริษัท แอสตร้าเซนเนกา จำกัด กับ สยามไบโอไซเอนซ์ นั้น เห็นว่า ไม่สามารถทำได้เนื่องจากคู่สัญญาเป็นเอกชนทั้งคู่ และอยู่เหนือการควบคุมของรัฐ ยืนยันไม่ใช่วัคซีนผูกขาด เพราะมีการเจรจาซื้อหลายบริษัท ซึ่งเรื่องวัคซีนคนที่รู้ดีที่สุดคือหมอและ คณะกรรมการวิชาการที่ตั้งขึ้นมาศึกษาการใช้วัคซีนโดยเฉพาะ รัฐมนตรีมีหน้าที่เห็นชอบตามที่คณะกรรมการวิชาการเสนอเรื่องมา ซึ่งข้อมูลที่นายธนาธรนำมาเปิดเผยปราศจากข้อเท็จจริง

นายอนุทิน ยังเปิดเผยถึงกรณีที่ไม่มีบริษัทผลิตวัคซีนอื่นมาขอจดทะเบียนกับองค์การอาหารและยา (อย.) ไทย ว่า เราไม่ได้ปิดกั้นแต่ การจดทะเบียนช่วงนี้การใช้ตามสถานการณ์ฉุกเฉิน หรือ อียูเอ ไม่ใช่การจดทะเบียนเพื่อใช้ในเชิงพาณิชย์ พร้อมย้ำถึงนโยบายของนายกรัฐมนตรีที่ต้องการให้ฉีดวัคซีนให้กับประชาชนทั้งประเทศ ไม่ใช่แค่เพียงกลุ่มเสี่ยงเท่านั้น

พร้อมกันนี้ นายอนุทิน ยังได้กล่าวถึงกระแสข่าวมีชื่อถูกยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจว่า ยืนยันไม่รู้สึกกังวลใจ เพราะเป็นเรื่องปกติที่สถานการณ์โควิด - 19 จะต้องมีรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องเข้าไปอยู่ในโผรายชื่อที่จะถูกอภิปราย แต่เห็นว่าเป็นเรื่องดีที่จะได้มีโอกาสชี้แจง และบางประเด็นอาจช่วยเสริมคำชี้แจงของรัฐบาลได้ด้วย

ส่วนแนวทางการโหวตของพรรคภูมิใจไทย หากฝ่ายค้านหยิบยกประเด็นโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวขึ้นมาอภิปราย พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ซึ่งแนวทางของพรรคภูมิใจไทย ไม่เห็นด้วยกับการต่อสัญญาสัมปทาน30 ปี ซึ่งตรงกันกับฝ่ายค้าน หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ระบุว่า โครงการนี้ ยังไม่ได้ถูกผลักดันเข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) จึงยังไม่มีการดำเนินการใดๆเกิดขึ้น จึงมองว่าไม่ใช่ประเด็นที่จะนำมาสู่การอภิปรายไม่ไว้วางใจได้

 

‘ขนส่งทางบก’ ขานรับนโยบาย รมว.คมนาคม คุมเข้ม!!! รถบรรทุกและรถโดยสารควันดำ แก้ไขปัญหาฝุ่น PM2.5 ชี้หากพบค่าควันดำเกินกฎหมายกำหนด ปรับสูงสุด 5,000 บาท ห้ามใช้รถจนกว่าจะแก้ไขและนำเข้าตรวจสภาพ เดินหน้าสนับสนุนการใช้รถพลังงานสะอาดและรถพลังงานไฟฟ้า

นายจิรุตม์ วิศาลจิตร อธิบดีกรมการขนส่งทางบก เปิดเผยว่า ตามที่นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม มีนโยบายให้หน่วยงานในสังกัดเร่งดำเนินการลดปริมาณค่าฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 เกินมาตรฐาน พร้อมให้ติดตามผลการดำเนินการแก้ไขตามข้อสั่งการที่ประชุมคณะรัฐมนตรีของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี อย่างใกล้ชิดเพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อสุขภาพและการใช้ชีวิตของประชาชน กรมการขนส่งทางบก ได้ดำเนินการตามมาตรการเพื่อแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 ตามแผนที่กำหนดไว้อย่างต่อเนื่อง

พร้อมทั้งเข้มงวดการตรวจสภาพรถบรรทุกและรถโดยสาร ณ กรมการขนส่งทางบก และสำนักงานขนส่งทั่วประเทศ ตามมาตรฐานการตรวจสภาพรถที่กำหนดไว้ และออกตรวจวัดควันดำรถโดยสารและรถบรรทุก ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร จำนวน 20 จุด และบนถนนสายหลักและสายรองที่เข้าสู่กรุงเทพมหานคร พร้อมทั้งบูรณาการความร่วมมือกับกรมควบคุมมลพิษ และกองบังคับการตำรวจจราจร ตรวจสอบควันดำรถโดยสารประจำทางขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) ณ เขตการเดินรถ และบริเวณที่มีค่าฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 สูง โดยบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด

หากพบรถโดยสารหรือรถบรรทุกที่มีค่าควันดำเกินกำหนด เปรียบเทียบปรับสูงสุด 5,000 บาท และสั่งห้ามใช้รถทันที จนกว่าจะดำเนินการแก้ไขและผ่านการตรวจสภาพกับสำนักงานขนส่ง จึงจะนำรถกลับไปใช้งานได้ สำหรับผลดำเนินการตรวจสอบควันดำรถโดยสารและรถบรรทุก ตั้งแต่ปีงบประมาณ 2562 จนถึงปัจจุบัน (21 มกราคม 2564) ตรวจรถแล้วจำนวนทั้งสิ้น 689,333 คัน พบรถที่มีค่าควันดำเกินกำหนดและพ่นห้ามใช้ จำนวน 8,762 คัน สำหรับรถที่ค่าควันดำไม่เกินกำหนด แต่อยู่ในระดับสูง จะออกหนังสือแนะนำให้หมั่นตรวจสอบดูแลสภาพรถไม่ให้เกิดควันดำ หากตรวจพบบนท้องถนนจะลงโทษอย่างเด็ดขาดต่อไป

นอกจากนี้ กรมการขนส่งทางบกได้ขยายการให้บริการตรวจสภาพรถพร้อมรับชำระภาษีรถประจำปี สำหรับรถโดยสารและรถบรรทุกตามพระราชบัญญัติการขนส่งทางบก พ.ศ. 2522 ณ สถานีขนส่งสินค้าชานเมือง (พุทธมณฑล ร่มเกล้า และคลองหลวง) เพื่อลดจำนวนรถบรรทุกและรถโดยสารเข้าเขตกรุงเทพมหานครชั้นใน

อธิบดีกรมการขนส่งทางบก กล่าวต่อไปว่า เพื่อให้การแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 ที่เกิดจากภาคขนส่งมีความยั่งยืน กรมการขนส่งทางบกได้เพิ่มมาตรการเข้มงวดการตรวจสภาพรถยนต์ของสถานตรวจสภาพรถเอกชน (ตรอ.) โดยควบคุมการดำเนินงานแบบเรียลไทม์ผ่านกล้อง CCTV เพื่อให้เป็นไปตามกฎระเบียบที่ทางราชการกำหนด และมีแผนที่จะยกระดับเครื่องมือตรวจวัดควันดำของสถานตรวจสภาพรถเอกชนให้มีคุณภาพสูงยิ่งขึ้น เปิดช่องทางให้ประชาชนแจ้งเบาะแสรถบรรทุกและรถโดยสารควันดำทางสายด่วน 1584 ตลอด 24 ชั่วโมง, Line@: @1584DLT Facebook: 1584 ร้องเรียนรถโดยสารสาธารณะ https://www.facebook.com/dlt1584/ แอปพลิเคชัน DLT GPS

นอกจากนี้ กรมการขนส่งทางบก ยังได้รณรงค์ประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนมีส่วนร่วมป้องกันและแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 ด้วยการตรวจสอบสภาพรถเบื้องต้นด้วยตัวเองเพื่อให้รถอยู่ในสภาพสมบูรณ์และไม่มีควันดำ รวมถึงสนับสนุนให้หันมาใช้รถยนต์พลังงานสะอาดและไม่ก่อมลพิษเพิ่มมากขึ้น เช่น รถยนต์ไฟฟ้า หรือเครื่องยนต์ NGV ซึ่งตามพระราชบัญญัติรถยนต์ พ.ศ. 2522 ได้ลดอัตราภาษีรถประจำปี ต่ำกว่า รถยนต์ที่ใช้น้ำมันเชื้อเพลิง เพื่อร่วมสนับสนุนลดมลพิษทางอากาศ ลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ช่วยลดฝุ่นละออง PM 2.5

‘แรมโบ้’ ซัดกลับ ‘โฆษกเพื่อไทย’ กรณีวิจารณ์ ‘บิ๊กตู่’ บริหารประเทศ 7 ปี สู้ ประธานาธิบดีไบเดน ทำวันเดียวไม่ได้ ชี้วิจารณ์ไม่ดูวีรกรรม ‘ทักษิณ-ยิ่งลักษณ์’ ที่ได้ชื่อว่าเป็นนายกฯ โคตรโกง สร้างความเสียหายให้ประเทศมูลค่าหลายล้านล้านบาท

นายสุภรณ์ อัตถาวงศ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่ ดร.อรุณี กายานนท์ โฆษกพรรคเพื่อไทย วิจารณ์การทำงานของนายกรัฐมนตรี 7ปี สู้ โจ ไบเดน ผู้นำสหรัฐ ทำวันเดียวไม่ได้ ว่า อยากให้พรรคเพื่อไทย ย้อนกลับไปว่า นับตั้งแต่ รัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เข้ามาเป็นนายกรัฐมนตรี ทำอะไรบ้าง

"อย่าว่าแต่แค่คำสั่งที่มิชอบที่ทักษิณ-ยิ่งลักษณ์ เคยทำเอาไว้เลย พล.อ.ประยุทธ์ มาล้างโครงการโคตรโกงที่รัฐบาล 2 พี่น้องเคยทำเอาไว้มากมาย และยังมีผลงานโปรเจคในรัฐบาลนี้เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องมากมาย  แต่ไม่เคยมีข่าวทุจริตเรื่องการเรียกเก็บสินบนใต้โต๊ะเหมือนในสมัยรัฐบาลของพรรคเพื่อไทย เหมือนในอดีตยุคของทักษิณ-ยิ่งลักษณ์ ที่ปล่อยให้ เจ้ ด.เข้ามาสั่งการทุกเรื่อง"

“พล.อ.ประยุทธ์ต้องใช้ความสามารถหาเงินใช้หนี้แทนหลายโครงการ อาทิ โครงการจำนำข้าว ที่ต้องหาเงินมาช่วยชาวนาหลังจากเจ๊ ด. หอบเงินแสนล้านหนีไปสมทบพี่ชาย น้องสาวในต่างประเทศ ไปเสวยสุขกันที่นั่น ปล่อยให้ลิ่วล้อติดคุกติดตะราง กันจนทุกวันนี้ คนไทยไม่มีวันลืมได้ลง และเจ็บปวดหัวใจที่สุด"

นายสุภรณ์ ยังกล่าวอีกว่า "ยังไม่หมดเท่านี้ โครงการโคตรโกงที่ศาลตัดสินแล้ว คิดเป็นมูลค่าความเสียหายมากมายมหาศาล โฆษกพรรคเพื่อไทย ยังจะมีหน้ามาพูดอีกว่า รัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ 7 ปีไม่มีผลงาน และไม่ได้ทำอะไร หัดใช้สมองไตร่ตรองดูหน่อย ถ้าทำดีไม่โกง จะหนีหัวซุกหัวซุนไปทำไม แผ่นดินนี้ศักดิ์สิทธิ์ ใครทำไม่ดีพระสยามเทวาธิราชจะลงโทษ จะไม่มีแผ่นดินอยู่ จะถูกคนไทยตราหน้าว่าทรราชย์ หากพรรคเพื่อไทยยังสนับสนุนทรราชย์ ก็จะได้ชื่อว่าเป็นสมุนของทรราชย์ เช่นเดียวกัน"

“ถ้าคิดจะเอาการแก้ปัญหาโควิด-19 มาโจมตีพล.อ.ประยุทธ์ ขอบอกเลยว่าคิดผิด เพราะทั้งโลกเขายกย่อง องค์การอนามัยโลก ก็ยกย่องประเทศไทย ในการเอาชนะโควิด ฉะนั้นพรรคเพื่อไทย กรุณาตรวจสอบข่าวด้วยอย่าพูดพล่อยๆ พูดมั่วๆ “

 "โฆษกพรรคเพื่อไทย ยังอ่อนหัดพรรษาทางการเมือง จะพูดจาอะไรระวังเข้าตัว พรรคจะเสียหาย เอาสมองส่วนไหนมามาคิด หน้าก็ดูสวยดี แต่สมองกลับบูดเบี้ยวตรงกันข้ามกับใบหน้ามาก เอาอะไรมาพูด ประธานาธิบดีโจไบเดนเพิ่งเข้ามา 1 วันจะมีผลงานมากกว่าได้อย่างไร เป็นคำพูดเปรียบเปรยที่ทุเรศไร้สาระมาก ๆ ความคิดต่ำกว่าเด็กอนุบาลเสียอีก"

"พล.อ.ประยุทธ์ทำงานมา7ปี ไม่เคยมีประวัติด่างพร้อย เรื่องการโกง หรือทุจริตคอร์รัปชัน เหมือนกับคู่อดีตนายกฯสองพี่น้องของพรรคเพื่อไทย ที่เป็นผู้นำเพื่อกอบโกยผลประโยชน์ จากเงินภาษีของพี่น้องประชาชนคนไทย จนร่ำรวย สุดท้ายหอบเงินหนีไปใช้ชีวิตอย่างสุขสบายอยู่ต่างประเทศ เห็นแก่ตัวเอาเปรียบคนไทยที่สุด อย่างนี้เรียกว่า มีผลงานขี้โกงใช่ไหม ทำไมโฆษกสมองเด็กอนุบาลเช่นน.ส.อรุณี ไม่นำมาเปิดเผยให้ประชาชนทราบบ้าง" นายสุภรณ์ กล่าว

 

อุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน เผยภาพถ่ายจระเข้ขนาดใหญ่ ขึ้นมานอนอาบแดดบริเวณต้นแม่น้ำเพชรบุรี คาดเป็นจระเข้น้ำจืดหายากใกล้สูญพันธุ์ของไทย เตรียมส่งเจ้าหน้าที่ดูแลอารักขา เพราะเป็นพันธุ์ที่หายากและกำลังจะสูญพันธุ์

ช่วงเวลาดีๆ ของธรรมชาติ!!

แม้ว่าประเทศไทยจะยังอยู่ท่ามกลางวิกฤตโควิดระบาด แต่ทว่าธรรมชาติเริ่มกลับมาสมบูรณ์ ล่าสุดเพจเฟสบุ๊กอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน - Kaeng Krachan National Park ได้เปิดเผยภาพจากกล้องดักถ่ายสัตว์ป่า (Camera Trap) ในพื้นที่ของอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน พบจระเข้น้ำจืดสายพันธุ์ไทย (Crocodylus siamensis) ขึ้นมานอนอาบแดด

ซึ่งนับว่าเป็นข่าวดีที่พบเจอสัตว์ป่าที่หายากมากในธรรมชาติและกำลังจะสูญพันธุ์ไปจากธรรมชาติ คือ จระเข้สายพันธุ์ไทยดั้งเดิม นั่นเพราะจระเข้พันธุ์นี้หลงเหลืออยู่ในธรรมชาติประมาณ 20 ตัวเท่านั้น

สำหรับจุดที่พบ อยู่บริเวณต้นน้ำของแม่น้ำเพชรบุรี เหนือบ้านโป่งลึกและบ้านบางกลอย ยืนยันสถานะภาพ ยังคงอยู่ได้ ไม่ได้พบภาพใหม่มานานและยืนยันได้มากกว่าหนึ่งตัว ที่บันทึกภาพได้ จากที่เฝ้าติดตามมาตลอดหลายปีที่ผ่านมา

ทั้งนี้ ทางเพจฯ ได้ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า จระเข้น้ำจืด, จระเข้บึง, จระเข้สยาม หรือ จระเข้น้ำจืดสายพันธุ์ไทย (Crocodylus siamensis) มีถิ่นกำเนิดในบริเวณประเทศไทย ลาว กัมพูชา เวียดนาม กาลีมันตัน ชวา และสุมาตรา จัดเป็นจระเข้ขนาดปานกลางค่อนมาทางใหญ่ (3–4 เมตร) มีเกล็ดท้ายทอด มีช่วงวัยเจริญพันธุ์เมื่ออายุ 10–12 ปี จระเข้ชนิดนี้วางไข่ครั้งละ 20–48 ฟอง โดยมีระยะเวลาฟักไข่นาน 68-85 วัน เริ่มวางไข่ในช่วงต้นฤดูฝนประมาณเดือนพฤษภาคม โดยขุดหลุมในหาดทรายริมแม่น้ำ ใช้เวลาเฉลี่ยราว 80 วัน ชอบอยู่และหากินเดี่ยว

โดยปกติจระเข้น้ำจืดจะกินปลาและสัตว์อื่นที่เล็กกว่าเป็นอาหาร จะไม่ทำร้ายมนุษย์หากไม่ถูกรบกวนหรือมีอาหารเพียงพอ ในอดีตในประเทศไทยเคยพบชุกชุมในแหล่งน้ำทั่วทุกภาคของประเทศ โดยเฉพาะในแถบที่ราบลุ่มภาคกลาง เช่น บึงบอระเพ็ด จังหวัดนครสวรรค์ ได้ชื่อว่าเป็นสถานที่จระเข้ชุม เคยมีรายงานว่าพบจระเข้ถึง 200 ตัว หรือในวรรณกรรมพื้นบ้านเรื่องต่าง ๆ เช่น ไกรทอง ของจังหวัดพิจิตร เป็นต้น แต่ปัจจุบันได้สูญหายไปจนหมดแล้ว

แต่ในต่างประเทศยังคงพบอยู่เช่นที่ทะเลสาบเขมร ประเทศกัมพูชา โดยเฉพาะทิวเขาพนมกระวาน ซึ่งช่วงแรกค้นพบเพียง 3 ตัว จนนำไปสู่การค้นพบจระเข้นับร้อยตัวที่อาศัยโดยไม่พึ่งพาอาศัยมนุษย์ แต่ที่นี่ก็ประสบปัญหาการจับจระเข้ไปขายฟาร์มจำนวนมาก[2] สถานะในอนุสัญญาของไซเตสได้ขึ้นบัญชีจระเข้น้ำจืดไว้อยู่ในบัญชีหมายเลข 1 (Appendix 1)

ปัจจุบัน จระเข้สายพันธุ์นี้แท้ ๆ ก็ยังหายากในสถานที่เลี้ยง เนื่องจากถูกผสมสายพันธุ์กับจระเข้สายพันธุ์อื่นจนเสียสายพันธุ์แท้ไปด้วยจากเหตุผลทางด้านเศรษฐกิจ

ด้านนายพิชัย วัชรวงษ์ไพบูลย์ ผู้อำนวยการสำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 3 (สบอ.3) สาขาเพชรบุรี กล่าวว่า ชุดลาดตระเวนของอุทยานออกลาดตระเวนบริเวณต้นแม่น้ำเพชรบุรีและแม่น้ำบางกลอย พบร่องรอยจระเข้ จึงทำการติดตั้งกล้องไว้กว่าเดือน พอย้อนกลับไปตรวจสอบภาพดู ปรากฏว่าเจอจระเข้น้ำจืดกำลังขึ้นมาอาบแดด เป็นขนาดใหญ่สมบูรณ์มาก นอกจากนี้ยังเตรียมส่งกำลังเจ้าหน้าที่ติดตามดูแลอารักขา เนื่องจากเป็นชนิดพันธุ์ที่หายากและกำลังจะสูญพันธุ์

ที่มา : เพจ อุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน - Kaeng Krachan National Park

 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top