Sunday, 22 June 2025
TheStatesTimes

ททท. สำรวจความคิดเห็นผู้ประกอบธุรกิจท่องเที่ยว พบส่วนใหญ่ต้องการให้รัฐออกมาตรการลดต้นทุนค่าใช้จ่ายทั้งค่าน้ำประปา ค่าไฟฟ้า และสนับสนุนเงินเดือนค่าจ้างพนักงาน รองลงมาคือพักชำระหนี้ และสนับสนุนสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ

นายยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เปิดเผยว่า ททท.ได้สำรวจความคิดเห็นผู้ประกอบธุรกิจท่องเที่ยว ทั้งสถานที่พัก บริษัทนำเที่ยว ร้านอาหาร บริการรถเช่า และบริการรถสาธารณะ และอื่นๆ รวม 1,884 รายทั่วประเทศ ระหว่างวันที่ 10-12 ม.ค 64 ทางออนไลน์ ถึงแนวทางการช่วยเหลือที่ผู้ประกอบธุรกิจต้องการจากภาครัฐ

โดยส่วนใหญ่ต้องการให้รัฐออกมาตรการมาลดต้นทุนค่าใช้จ่ายทั้งค่าน้ำประปา ค่าไฟฟ้า และสนับสนุนเงินเดือนค่าจ้างพนักงาน เพื่อรักษาการจ้างงานมากที่สุด เพราะเห็นว่าเรื่องนี้มีความจำเป็นเร่งด่วนจริง ๆ กับการประคองธุรกิจให้อยู่รอดไปได้

ส่วนความต้องการรองลงมา คือ ขอให้ภาครัฐช่วยพิจารณาพักชำระหนี้ โดยจำนวนเดือนที่ต้องการขอพักหนี้มีแตกต่างกันไป โดยส่วนใหญ่กว่า 63% ขอให้พักชำระหนี้ 19-24 เดือน อีก 24% ขอพักชำระหนี้ 7-12 เดือน ส่วน 8% ขอพักชำระหนี้ 1-6 เดือน และสุดท้ายอีก 3% ขอพักชำระหนี้ 13-18 เดือน

พร้อมกันนี้ยังขอให้ภาครัฐช่วยพิจารณาปรับลดอัตราดอกเบี้ย พร้อมทั้งพักชำระเงินต้น ส่วนใหญ่ 36% ต้องการชำระดอกเบี้ยอยู่ที่อัตรา 1-1.99% รองลงมา 24% ต้องการชำระดอกเบี้ยอยู่ที่อัตรา 0-0.5% และอีก 21% ต้องการชำระดอกเบี้ยอยู่ที่อัตรา 2-2.99% เป็นต้น

ขณะเดียวกันผู้ประกอบธุรกิจยังเสนอให้ช่วยสนับสนุนสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ หรือซอฟต์โลน โดยส่วนใหญ่ต้องการวงเงินกู้อยู่ที่ 1-5 ล้านบาท มากที่สุด รองลงมาคือ 500,000 – 1 ล้านบาท และ 100,000 – 500,000 บาท ส่วนอัตราสินทรัพย์ค้ำประกันวงเงินกู้ที่ต้องการ ส่วนใหญ่ขอให้ไม่มีการค้ำประกัน รองลงมาคือ มีการค้ำประกัน 1-5% ของวงเงินกู้ และ 15-20% ของวงเงินกู้ ตามลำดับ

กองทัพบก ส่งกำลังพลลงพื้นที่พ่นฆ่าเชื้อโควิด ทำความสะอาดโรงเรียนในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล พร้อมรับการเปิดเรียนตามปกติในวันที่ 1 ก.พ. 64

ร.อ.หญิง กัญญ์ณณัฐ พรนิพัทธ์กุล ผู้ช่วยโฆษกกองทัพบก เปิดเผยว่า กองทัพบก โดยกองทัพภาคที่ 1, หน่วยบัญชาการป้องกันภัยทางอากาศกองทัพบก และกรมวิทยาศาสตร์ทหารบก ได้ส่งกำลังพลชุดปฏิบัติการล้างสิ่งปนเปื้อน พร้อมอุปกรณ์การฉีดพ่นสารเคมีและยานพาหนะ เข้าทำความสะอาดโรงเรียนในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล ซึ่งอยู่ระหว่างปิดและปรับการเรียนเป็นรูปแบบออนไลน์ตามประกาศกระทรวงศึกษาธิการและมาตรการ ศบค.

โดยมีกำหนดเปิดเรียนตามปกติในวันที่ 1 ก.พ.64 ซึ่งชุดปฏิบัติการฯ ได้ดำเนินการครั้งแรก เมื่อวันที่ 20 ม.ค.64 ณ โรงเรียนสารวิทยา เขตจตุจักร และจะดำเนินการต่อเนื่องไปจนถึงวันที่ 31 ม.ค.64 เพื่อสนับสนุนการเตรียมความพร้อมของสถานศึกษาในด้านสถานที่ ปรับสภาวะแวดล้อมให้เอื้อต่อการเรียนการสอน ให้มีความสะอาด ปลอดภัย ลดการสะสมของเชื้อและควบคุมการแพร่ระบาดของโรค สร้างสุขอนามัยที่ดีให้กับนักเรียน ครูผู้สอนและประชาชน

ทั้งนี้ การดำเนินงานดังกล่าว เป็นไปตามเจตนารมณ์ของ พลเอก ณรงค์พันธ์ จิตต์แก้วแท้ ผู้บัญชาการทหารบก ที่มีข้อห่วงใยต่อประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 มอบให้หน่วยทหารทั่วประเทศเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยเหลือบรรเทาความเดือดร้อน ดำเนินการตามมาตรการของรัฐบาลและสนับสนุนภาคส่วนต่างๆ ในการคลี่คลายสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง

โดยนำทรัพยากรที่มีอยู่ทั้งกำลังพลและยุทโธปกรณ์มาปรับใช้อย่างเหมาะสม อาทิ ภารกิจการสนับสนุนรัฐบาลจัดตั้งสถานกักกันโรคของรัฐ, การสกัดกั้นคัดกรองตามแนวชายแดน, การประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้ให้กับประชาชน, การแจกจ่ายหน้ากากอนามัยและเจลแอลกอฮอล์, บริการ Army Delivery จัดส่งอาหาร ตัดผมและซ่อมแซมเครื่องใช้ไฟฟ้าให้ที่บ้าน, การซื้อพืชผลจากเกษตรกรและสนับสนุนร้านค้าชุมชนเพื่อนำมาประกอบเลี้ยงให้กับกำลังพลภายในหน่วย รวมทั้งการสนับสนุนกำลังพลและอุปกรณ์ให้กับส่วนราชการแต่ละจังหวัดในการจัดตั้งโรงพยาบาลสนาม ซึ่งกองทัพบกพร้อมปฏิบัติทุกภารกิจ ดูแลช่วยเหลือพี่น้องประชาชนข้ามผ่านวิกฤติ ห่างไกลจากโควิด-19 ไปด้วยกัน

‘รมว.แรงงาน’ เผย จ้างล่าม/ผู้ประสานงานด้านภาษา ปฏิบัติงานประจำศูนย์ประสานแรงงานประมง 20 จังหวัด สนับสนุนการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ ในการสื่อสารให้แรงงานต่างด้าวเข้าใจ รับรู้ ขอรับคำปรึกษา รวมถึงการสัมภาษณ์เพื่อคัดกรอง

นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าวว่า รัฐบาลภายใต้การนำของพล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และการกำกับดูแลของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ให้ความสำคัญกับปัญหาการค้ามนุษย์ในรูปแบบแรงงานประมง และมีความพยายามในการแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์มาโดยตลอด จนได้รับการปรับสถานะ จัดอันดับอยู่ในกลุ่มที่ 2(Tier 2) ติดต่อกันเป็นปีที่ 3 โดยปรับขึ้นจากเดิมในกลุ่ม Tier 2 Watch list เมื่อปี 2560

“กระทรวงแรงงาน ดำเนินการตามนโยบายของรัฐบาล ในการสร้างภาพลักษณ์ที่ดีในเวทีการค้าโลก ซึ่งส่งผลดีต่อการส่งออกสินค้าของประเทศไทย ด้วยการจัดระเบียบแรงงานต่างด้าวในกิจการประมงอย่างเป็นระบบ ลดปัญหาขบวนการค้ามนุษย์ในรูปแบบแรงงานประมง เพื่อเข้าสู่ระบบการทำงานอย่างถูกต้อง ส่งเสริมให้มีสภาพการทำงานที่เหมาะสม แรงงานได้รับค่าจ้างและได้รับการคุ้มครองตามกฎหมาย รวมทั้งการสร้างมาตรฐานการทำงานให้เป็นไปตามมาตรฐานสากล ตลอดจนการบรรเทาปัญหาความเดือดร้อนของผู้ประกอบการในการขาดแคลนแรงงาน เพื่อยกระดับประเทศไทยสู่ Tier 1 ให้ได้ในปี 2564” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าว

ด้านนายสุชาติ พรชัยวิเศษกุล อธิบดีกรมการจัดหางาน เปิดเผยว่า กรมการจัดหางาน มีเป้าหมายจ้างเจ้าหน้าที่ตำแหน่งล่าม/ผู้ประสานงานด้านภาษา จำนวน 20 คน เพื่อทำหน้าที่สื่อสารและปฏิบัติงานร่วมกับเจ้าหน้าที่ประจำศูนย์ประสานแรงงานประมง มีระยะเวลาการจ้าง 9 เดือน แบ่งเป็น ล่าม(คนไทย) จำนวน 9 คน ปฏิบัติงาน ณ ศูนย์ประสานแรงงานประมงใน 9 จังหวัด ได้แก่ ระยอง ตราด สงขลา ระนอง สมุทรปราการ จันทบุรี เพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ นครศรีธรรมราช

และเป็นผู้ประสานงานด้านภาษา (คนต่างด้าว) จำนวน 11 คน ปฏิบัติงาน ณ ศูนย์ประสานแรงงานประมงใน 11 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดสมุทรสาคร สตูล ฉะเชิงเทรา กระบี่ ตรัง นราธิวาส ชุมพร ชลบุรี สมุทรสงคราม พังงา และปัตตานี

นายสุชาติฯ กล่าวต่อไปว่า กรมการจัดหางานเป็นหน่วยงานหลักในการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าวให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของกฎหมาย โดยคำนึงถึงความมั่นคงของชาติ โอกาสในการประกอบอาชีพและวิชาชีพของคนไทย ซึ่งในส่วนแรงงานประมงนั้น ประเทศไทยมีปัญหาขาดแคลนแรงงานเรื่อยมา เนื่องจากเป็นงานที่คนไทยไม่นิยมทำ เพราะไม่ต้องการทำงาน 3 ประเภท ที่เรียกว่างานกลุ่ม 3D ได้แก่ Difficult (งานลำบาก) Dirty (งานสกปรก) และ Dangerous (งานอันตราย) เช่น ก่อสร้าง เกษตร ปศุสัตว์ โรงสี โรงน้ำแข็ง เหมืองแร่ งานใต้น้ำ และงานประมง จึงจำเป็นต้องจ้างแรงงานต่างด้าวมาทดแทน

โดยกลุ่มแรงงานต่างด้าวดังกล่าว ส่วนใหญ่ใช้เฉพาะภาษาประจำท้องถิ่นของตนเอง เจ้าหน้าที่ประสานงานด้านภาษา /ล่ามเพื่อการสื่อสาร จึงเป็นผู้มีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ ในการสื่อสารให้แรงงานต่างด้าวเข้าใจ รับรู้ ขอรับคำปรึกษา การแนะนำ อบรมชี้แจง การยื่นคำขอใบอนุญาตทำงาน การประชาสัมพันธ์ เผยแพร่ข้อมูลข่าวสาร และบริการของภาครัฐ รวมถึงการสัมภาษณ์เพื่อคัดกรอง ในกรณีผู้ที่อาจเข้าข่ายเป็นเหยื่อการค้ามนุษย์ ทั้งหมดนี้เพื่อให้คนต่างด้าวเข้าสู่ระบบการทำงานอย่างถูกต้อง มีค่าจ้าง มีสภาพการทำงานที่เหมาะสม และได้รับการคุ้มครองตามกฎหมาย

ทั้งนี้ ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 ที่ผ่านมา (ตุลาคม 2562 – กันยายน 2563) มีการออกใบอนุญาตทำงาน 34,914 คน อบรมนายจ้าง/ลูกจ้าง 3,810 คน ให้คำปรึกษา 85,108 คน รับแจ้งการทำงาน 26,201 คน

‘คมนาคม’ เคาะแล้ว ‘ทางด่วนภูเก็ต’ ให้บูรณาการ 3 เส้นทาง เป็นโครงการเดียวแบบ ‘PPP’ พร้อมมอบกทพ. เป็นเจ้าภาพรับผิดชอบดำเนินการ

‘รมว.คมนาคม’ เคาะบูรณาการ 3 โครงการสร้างทางด่วนในจังหวัดภูเก็ต กะทู้-ป่าตอง, เมืองใหม่-เกาะแก้ว และเกาะแก้ว-กะทู้ รวมเป็นโครงการเดียวกัน แบบเอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ (PPP) มอบการทางพิเศษแห่งประเทศไทย เจ้าภาพหลักดำเนินการ

นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รมว.คมนาคม เปิดเผยภายหลังการประชุมโครงการบูรณาการทางพิเศษ และทางหลวงว่า ที่ประชุมได้ติดตามการดำเนินการบูรณาการและการร่วมมือ เพื่อพัฒนาโครงข่ายทางพิเศษและทางหลวงใน จ.ภูเก็ต ระหว่างการทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) และกรมทางหลวง(ทล.)

โดยที่ประชุมมีมติให้นำ 3 โครงการ ได้แก่ 1.โครงการทางพิเศษ(ทางด่วน) สายกะทู้-ป่าตอง จ.ภูเก็ต ระยะทาง 3.98 กิโลเมตร (กม.) วงเงิน 1.4 หมื่นล้านบาทของ กทพ., 2.โครงการโครงข่ายทางหลวงแนวใหม่ สายเมืองใหม่-เกาะแก้ว ระยะทาง 22.4 กม. วงเงินประมาณ 2 หมื่นล้านบาท ของ ทล. และ 3.โครงการเชื่อมต่อตรงกลางระหว่างโครงการที่ 1 และ 2 (Missing Link) บริเวณเกาะแก้ว-กะทู้ ระยะทางประมาณ 12 กม. มารวมเป็นโครงการเดียวกันในรูปแบบของทางด่วน

อย่างไรก็ตามก่อนหน้านี้หน่วยงานทั้งสองได้มีประการประชุมหารือร่วมกันเมื่อวันที่ 18 ม.ค. 2564 และเสนอให้มีการบูรณาการเส้นทางทั้งสามให้เป็นเส้นทางเดียว โดยให้ กทพ. เป็นหน่วยงานหลักที่รับผิดชอบดำเนินการ เบื้องต้นรูปแบบการลงทุนโครงการจะเป็นแบบเอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ (PPP) โดยได้มอบให้ กทพ. ไปศึกษารายละเอียด และปรับรูปแบบการลงทุน เพราะโครงการสายเมืองใหม่-เกาะแก้ว เดิมจะใช้งบแผ่นดินดำเนินการ พร้อมกันนี้ให้จัดทำแผนปฏิบัติการ และกรอบเวลาต่างๆ ให้ชัดเจน โดยให้เวลา 1 เดือน และกลับมานำเสนอที่ประชุมพิจารณาต่อไป

นอกจากนี้ได้เน้นย้ำไปว่า โครงการดังกล่าวอาจจะแบ่งดำเนินการเป็นตอน ไม่ต้องรอทำทีเดียวพร้อมกันทั้ง 3 ตอน หากตอนใดพร้อมก่อนก็ให้เริ่มดำเนินการก่อน เช่น โครงการทางด่วนกะทู้-ป่าตอง มีความพร้อมที่สุด เตรียมเสนอคณะกรรมการ PPP และครม.เห็นชอบโครงการแล้ว ก็ให้ดำเนินการได้เลย ส่วนตอนที่เหลือก็ให้เร่งรัดดำเนินการให้สามารถก่อสร้างได้อย่างต่อเนื่อง เพราะหากทำเสร็จแค่บางตอนจะแก้ปัญหาการจราจรไม่ได้

นายศักดิ์สยาม กล่าวว่าที่ประชุมยังได้ติดตามโครงการข่ายทางหลวงพิเศษฯ และทางพิเศษในพื้นที่กรุงเทพฯ ปริมณฑล และจังหวัดใกล้เคียง ประกอบด้วย 5 โครงการ แบ่งเป็น ทล. 4 โครงการ และ กทพ. 1 โครงการ โดยในส่วนของ ทล. ได้แก่

1.) โครงการทางหลวงพิเศษ(มอเตอร์เวย์) M82 สายบางขุนเทียน-บ้านแพ้ว ช่วงเอกชัย-บ้านแพ้ว ระยะทาง 15 กม. คาดว่าจะเสนอ ครม. และเปิดประกวดราคาได้ไม่เกินกลางปี 64,

2.) โครงการมอเตอร์เวย์ M5 ส่วนต่อขยายทางยกระดับอุตราภิมุข ช่วงรังสิต-บางปะอิน คาดว่าการศึกษารูปแบบการลงทุนจะแล้วเสร็จภายในปี 64, 3.โครงการมอเตอร์เวย์ M7 สายศรีนครินทร์-สุวรรณภูมิ คาดว่าจะสรุปผลการออกแบบ และรูปแบบการลงทุนได้ปี 64 และ 4.โครงการมอเตอร์เวย์ สายวงแหวนกาญจนาภิเษกด้านตะวันตก ช่วงบางขุนเทียน-บางบัวทอง คาดว่าจะสรุปรูปแบบการลงทุนได้ในปี 64

ส่วนโครงการของ กทพ. ได้แก่ โครงการทางพิเศษสายฉลองรัช-นครนายก-สระบุรี มีความคืบหน้าประมาณ 12% อยู่ระหว่างออกแบบรายละเอียดโครงการ และอยู่ระหว่างเตรียมจัดส่งรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อม (อีไอเอ) ให้สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) เพื่อเสนอให้คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ(กก.วล.) พิจารณาต่อไป

23 มกราคม พ.ศ. 2549 ย้อนรอยกรณีตระกูลชินวัตร ขายหุ้นกลุ่มบริษัทชินคอร์ปฯ ให้กับบริษัทเทมาเส็ก โฮลดิ้ง จนกลายเป็นกระแสสังคม นำมาซึ่งการกดดันให้ ทักษิณ ชินวัตร ลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในขณะนั้น

คำว่า ‘เลี่ยงภาษี’ อาจจะเป็นคำที่คนไทยคุ้นเคย แต่หากจะหาว่า ช่วงไหนของเมืองไทยที่กระแสคำว่า ‘เลี่ยงภาษี’ มีความรุนแรงมากๆ ต้องย้อนเวลากลับไป 15 ปีก่อน

วันนี้เมื่อ 15 ปีก่อน หรือ 23 มกราคม พ.ศ. 2549 มีข่าวดังที่สร้างความสนใจกับผู้คนไปทั่วประเทศ เมื่อตระกูลชินวัตรและดามาพงศ์ ขายหุ้นบริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่น ให้กับกองทุนเทมาเส็ก ของประเทศสิงคโปร์ ซึ่งเรื่องนี้ นายทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ถูกโยงเข้ามามีเอี่ยว และเกิดกระแสวิพากษ์วิจารIณ์อย่างหนักว่า นี่เป็นการเลี่ยงภาษีใช่หรือไม่?

ทั้งนี้หุ้นที่มีการซื้อขายกันในตอนนั้น ถือเป็นการขายหุ้นที่มีมูลค่าสูงที่สุดในประเทศไทย เป็นจำนวนกว่า 1,487,740,000 หุ้น (49.595% ของจำนวนหุ้นทั้งหมด) มูลค่าหุ้นละ 49.25 บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 73,271,200,910 บาท

การซื้อขายหุ้นครั้งนี้ ได้รับการวิพากษ์วิจารณ์จากหลายทิศทาง ทั้งจากพรรคการเมืองฝ่ายค้าน องค์กรเอกชน นักวิชาการ รวมทั้งสาธารณชน โดยประเด็นที่พุ่งเป้าสงสัยนั้นมีหลายประการ อาทิ การได้รับยกเว้นภาษี ประเด็นเรื่องจังหวะเวลาที่ขายหุ้นซึ่งเกิดหลังการประกาศใช้ พ.ร.บ. การประกอบกิจการโทรคมนาคม ฉบับใหม่เพียงสองวัน และประเด็นเรื่องการที่กิจการสื่อสารมวลชน ซึ่งเป็นกิจการที่สำคัญต่อความมั่นคงของชาติ ต้องตกไปอยู่ในการบริหารของต่างชาติ

แม้จะมีคำอธิบายจากนายทักษิณ ชินวัตร ในฐานะนายกรัฐมนตรี แต่จากเหตุการณ์ครั้งนี้ ถือเป็นชนวนสำคัญที่ทำให้เกิดการออกมากดดันให้นายกรัฐมนตรีลาออกจากตำแหน่ง กระทั่งนำไปสู่การยุบสภาผู้แทนราษฎร เมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2549

และต่อมาจึงได้มีการเลือกตั้งใหม่ แต่ก็ต้องพบกับปัญหามากมาย ทั้งมีพรรคการเมืองคว่ำบาตรไม่ลงแข่งขันการเลือกตั้ง หรือผลการเลือกตั้งของผู้สมัครมีคะแนนน้อยกว่าบัตรที่ไม่เลือกใคร รวมทั้งปัญหาเรื่องความไม่โปร่งใสของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) จนนำมาซึ่งการเลือกตั้งใหม่อยู่หลายรอบ แต่ก่อนที่จะถึงกำหนดการเลือกตั้งครั้งสุดท้ายในวันที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2549 ก็เกิดการก่อรัฐประหารขึ้นเมื่อวันที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2549 โดยเป็นการยึดอำนาจการปกครองประเทศ จากรัฐบาลภายใต้การรักษาการนายกรัฐมนตรีของนายทักษิณ ชินวัตร นั่นเอง


ที่มา : https://th.wikipedia.org/wiki

กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน ออกแนวปฏิบัติให้องค์กรแรงงานดำเนินกิจกรรมที่มีความจำเป็น อาทิ การจัดประชุมใหญ่ การเลือกตั้งคณะกรรมการ เพื่อให้สอดคล้องกับข้อบังคับ และไม่ขัดต่อกฎหมายแรงงานสัมพันธ์ในช่วงสถานการณ์ฉุกเฉินของการแพร่ระบาด COVID-19

นายอภิญญา สุจริตตานันท์ อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (กสร.) เปิดเผยว่า องค์กรแรงงาน เป็นองค์กรที่จัดตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518 อันจะเป็นประโยชน์ต่อทั้งนายจ้างและลูกจ้าง เพื่อสร้างสรรค์ความสัมพันธ์อันดี ที่จะนำไปสู่ความเข้าใจ ร่วมมือ ร่วมแรง แบ่งปันผลประโยชน์ร่วมกัน เช่น สหภาพแรงงาน สหพันธ์แรงงาน สภาองค์กรลูกจ้าง เป็นต้น ซึ่งจะต้องขึ้นทะเบียนกับกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน และจัดทำข้อบังคับขององค์กรแรงงาน โดยมีกิจกรรมที่จำเป็นต้องดำเนินการ อาทิ การจัดประชุมใหญ่ การเลือกตั้งคณะกรรมการแทนคณะกรรมการที่พ้นวาระ

ทั้งนี้ ปัจจุบันสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรค COVID–19 ระลอกใหม่อาจจะเป็นอุปสรรคในการดำเนินการในกิจกรรมข้างต้นได้ ด้วยมีประกาศห้ามจัดกิจกรรมที่มีความเสี่ยงต่อการแพร่โรค ห้ามการจัดกิจกรรมในเขตพื้นที่สถานการณ์ที่กำหนดเป็นพื้นที่ควบคุม ซึ่งมีผู้เข้าร่วมเป็นจำนวนมาก และมีโอกาสติดต่อสัมผัสกันได้โดยง่าย เช่น การประชุม การสัมมนา

ดังนั้น กรมจึงได้ออกแนวปฏิบัติองค์กรแรงงานตามพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518 และพระราชบัญญัติแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ พ.ศ. 2543 ในสถานการณ์ฉุกเฉินขึ้น เพื่อให้องค์กรแรงงานดำเนินกิจกรรมได้อย่างเหมาะสม ถูกต้อง ครบถ้วน สอดคล้องกับข้อบังคับ และไม่ขัดต่อกฎหมายแรงงานสัมพันธ์

อธิบดี กสร. กล่าวเพิ่มเติมว่า แนวปฏิบัติดังกล่าวมีสาระสำคัญ ดังนี้

1.) องค์กรแรงงานที่ดำเนินการจัดประชุมใหญ่ต้องดำเนินการให้เป็นไปตามข้อกำหนดโดยมีมาตรการทางสาธารณสุขรองรับ และการบังคับใช้มาตรการป้องกันโรค หรืออาจใช้วิธีการประชุมผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ (กรณีข้อบังคับองค์กรแรงงานกำหนดให้กระทำได้)

2.) กรณีองค์กรแรงงานไม่อาจจัดประชุมใหญ่ได้ให้แจ้งกำหนดการจัดประชุมใหญ่ให้นายทะเบียนทราบล่วงหน้า โดยมิชักช้าเมื่อสามารถดำเนินการได้หรือสถานการณ์ผ่อนคลาย และประกาศแจ้งให้สมาชิกองค์กรแรงงานทราบด้วย

3.) คณะกรรมการองค์กรแรงงาน ที่พ้นวาระการดำรงตำแหน่งในระหว่างที่ยังไม่อาจดำเนินการจัดประชุมใหญ่ เพื่อเลือกตั้งคณะกรรมการทดแทนให้ผู้ดำรงตำแหน่งอยู่ก่อนพ้นวาระปฏิบัติหน้าที่แทน เพื่อจัดให้มีการประชุมใหญ่และดำเนินกิจการขององค์กรแรงงานเท่าที่จำเป็นตามที่กำหนดในข้อบังคับเท่านั้น อย่างไรก็ตาม เมื่อการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID - 19) สิ้นสุดลง หรือภาครัฐยกเลิกข้อกำหนดการห้ามจัดกิจกรรมที่มีความเสี่ยงต่อการแพร่โรคแล้ว องค์กรแรงงานควรเร่งรัดดำเนินการจัดประชุมใหญ่ตามข้อบังคับ ต่อไป

‘เทพไท’ ยัน พรรคประชาธิปัตย์ส่งสมัครผู้ว่าฯ กทม.ชัวร์ เรียกร้องทุกพรรค ส่งผู้สมัคร ดีกว่าลงสมัครในนามกลุ่มหรือตัวบุคคล หวั่นเกิดความผิดพลาดในการบริหาร จะไม่มีองค์กรใดแสดงความรับผิดชอบ

นายเทพไท เสนพงศ์ ส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึง ความคืบหน้าการเตรียมยื่นข้อเสนอให้คณะกรรมการบริหารพรรคประชาธิปัตย์มีมติส่งผู้สมัครผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) ในนามพรรคว่า

จากการที่ตนได้แสดงความเห็น เรื่องการส่งผู้สมัครรับเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.ในนามพรรคประชาธิปัตย์ และได้เสนอรายชื่อผู้เหมาะสมจำนวน 4 คน คือนายองอาจ คล้ามไพบูลย์,ดร.สามารถ ราชพลสิทธิ์,นายพนิต วิกิตเศรษฐ์ และนายปริญญ์ พานิชภักดิ์ ปรากฎว่ามีเสียงตอบรับจากประชาชนเป็นอย่างดี และส่วนใหญ่สนับสนุนให้พรรคประชาธิปัตย์ ส่งผู้สมัครลงแข่งขันในตำแหน่งผู้ว่าฯ กทม.ด้วย

ซึ่งในที่ประชุม ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา(19 ม.ค.) ตนได้ลุกขึ้นวิเคราะห์สถานการณ์การเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม.ให้ที่ประชุมได้รับฟัง และขอความชัดเจนจากคณะกรรมการบริหารพรรคในเรื่องนี้ ซึ่งนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ได้กล่าวยืนยันกับที่ประชุมว่า พรรคมีจุดยืนอย่างชัดเจน และพูดมาหลายครั้งแล้วว่า จะส่งผู้สมัครผู้ว่าฯกทม.ในนามพรรคประชาธิปัตย์อย่างแน่นอน

ขณะนี้ได้มีรายชื่อผู้เหมาะสมเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เพียงแต่รอจังหวะการเปิดตัวอย่างเป็นทางการ เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม แต่ไม่ได้หมายความว่า จะเปิดตัวในวันเปิดรับสมัครเลือกตั้งเลย รวมถึงผู้สมัครสมาชิกสภากรุงเทพมหานคร(สก.) ก็มีตัวผู้สมัครครบทุกเขตแล้ว ซึ่งได้เตรียมความพร้อม และทำงานประสานกับนายองอาจ คล้ามไพบูลย์ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ที่รับผิดชอบพื้นที่กรุงเทพมหานคร มาโดยตลอด

ส่วนตัวสนับสนุนให้พรรคการเมืองทุกพรรคส่งตัวแทนลงสมัครรับเลือกตั้งในตำแหน่งผู้ว่าฯกทม. เพื่อเป็นการสนับสนุนการเมืองระดับท้องถิ่นขนาดใหญ่ ให้มีผู้บริหารที่สังกัดพรรคการเมือง เพราะสามารถนำนโยบายของพรรคไปปฏิบัติได้ และพรรคการเมืองจะต้องรับผิดชอบ ต่อการบริหารงานของผู้ว่าฯกทม. ในสังกัดพรรคด้วย เพราะถ้าหากลงสมัครในนามกลุ่ม หรือตัวบุคคล ถ้าหากเกิดความผิดพลาดในการบริหาร ก็จะไม่มีองค์กรใดแสดงความรับผิดชอบ ซึ่งจะทำให้ประชาชนคนกรุงเทพฯ ไม่สามารถทวงถามความรับผิดชอบทางการเมืองได้

ตนจึงขอเรียนต่อสมาชิกพรรค ผู้สนับสนุนพรรค พี่น้องประชาชนทั่วไป ให้มีความสบายใจ และมั่นใจได้ว่า พรรคประชาธิปัตย์จะส่งผู้สมัครรับเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม.ในนามพรรคอย่างแน่นอน ขอให้เตรียมพร้อมหาเสียงให้กับพรรคได้ จะไม่มีการหลีกทางให้แก่ บุคคล กลุ่มการเมือง หรือพรรคการเมืองใด จนเกิดภาพการฮั้วทางการเมืองอย่างเด็ดขาด ไม่ว่าสถานการณ์ทางการเมืองในวันข้างหน้าจะเป็นอย่างไรก็ตาม พรรคจะรักษาสัจจะที่ให้กับประชาชน ตามคำขวัญของพรรคที่มีมา 75 ปี คือ “สัจจัง เว อมตา วาจา ความจริงเป็นสิ่งไม่ตาย”

24 มกราคม พ.ศ. 2543 เกิดเหตุระทึกขวัญ กองกำลังก๊อดอาร์มี่ บุกยึดศูนย์โรงพยาบาลราชบุรี จับแพทย์ พยาบาล และผู้ป่วยเป็นตัวประกันนับพันคน เหตุการณ์ตรึงเครียดกว่า 20 ชั่วโมง ก่อนที่เจ้าหน้าที่จะยุติเรื่องราวลงได้

วันนี้เมื่อ 21 ปีก่อน เกิดเหตุการณ์ระทึกขวัญ เรียกว่าเป็นข่าวใหญ่ที่ประชาชนคนไทยต่างติดตามกันทั้งประเทศ เมื่อมีรายงานข่าวด่วนว่า มีกองกำลังก๊อดอาร์มี่ จำนวน 10 คน ได้ก่อเหตุบุกยึดโรงพยาบาลที่จังหวัดราชบุรี

สืบย้อนกลับไปก่อนเกิดเหตุการณ์หนนี้ กองกำลังทหารกะเหรี่ยงกลุ่มนี้ เคยเข้าบุกยึดสถานทูตพม่ามาครั้งหนึ่งแล้ว ก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์ซ้ำสอง แต่คราวนี้มีเป้าหมายที่โรงพยาบาล โดยกลุ่มผู้ก่อการทั้งหมดปลอมตัวเป็นผู้โดยสารนั่งรถประจำทางสายสวนผึ้ง-ราชบุรี แล้วใช้ปืนเอ็ม-16 จี้คนขับให้ไปยังโรงพยาบาลศูนย์ราชบุรี ก่อนที่จะทำการบุกยึดโรงพยาบาล จับแพทย์ พยาบาล และผู้ป่วยพับพันชีวิตเป็นตัวประกัน

กลุ่มผู้ก่อเหตุยังได้วางระเบิดเอาไว้หลายจุด โดยเป็นทางเจ้าหน้าที่ของไทย พยายามเจรจาช่วยเหลือตัวประกัน และต่อมาก็ได้รู้ความต้องการของกลุ่มผู้ก่อเหตุว่า ต้องการนำตัวแพทย์ และพยาบาล ไปรักษาทหารกะเหรี่ยงที่ได้รับบาดเจ็บจากการถูกทหารรัฐบาลพม่าปราบปรามอย่างหนัก

เวลาผ่านไปกว่า 20 ชั่วโมง กลุ่มก๊อดอาร์มี่ได้ร้องขอเครื่องมือสื่อสารและเฮลิคอปเตอร์ 2 ลำ เพื่อให้พากลับไปส่งยังชายแดน ที่อำเภอสวนผึ้ง เจ้าหน้าที่พยายามต่อรองเพื่อถ่วงเวลาให้ผู้ก่อเหตุอ่อนล้า กระทั่งเวลา 04.00 น. กองกำลังผสมของเจ้าหน้าที่จำนวนกว่า 50 นาย ได้บุกเข้าช่วยเหลือตัวประกัน ควบคู่ไปกับการจัดการขั้นเด็ดขาด โดยใช้เวลาเพียงไม่ถึง 20 นาที สามารถช่วยเหลือตัวประกันไว้ได้อย่างปลอดภัยทั้งหมด ส่วนกลุ่มผู้ก่อเหตุทั้งหมด เสียชีวิตทั้ง 10 คน

นับเป็นอีกหนึ่งเหตุการณ์ระทึกขวัญและมีประชาชนติดตามตลอดข้ามคืนข้ามวัน ก่อนที่สถานการณ์ทุกอย่างจะคลี่คลาย ซึ่งต่อมากลุ่มกองกำลังก๊อดอาร์มี่ที่เหลือเพิ่มเติม ได้เข้ามอบตัวต่อทางการไทย ก่อนจะถูกส่งตัวไปยังค่ายผู้อพยพและดำเนินตามขั้นตอนหลักสากลต่อไป

‘โฆษกเพื่อไทย’ เปรียบ ‘บิ๊กตู่’ อยู่ 7 ปี ประสิทธิภาพการทำงานต่ำกว่า ‘ไบเดน’ ที่ทำงาน 1 วัน เชื่อหากวิสัยทัศน์ผู้นำไม่มี ประเทศไทยจะพ้นจากกับดักรายได้ปานกลางไปสู่ประเทศยากจน

นางสาวอรุณี กาสยานนท์ โฆษกพรรคเพื่อไทย  กล่าวว่า ภายหลังการเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐของนายโจ ไบเดน เพียงในเวลาไม่ถึง 24 ชั่วโมง นายไบเดนได้เซ็นคำสั่งพิเศษ 10 ฉบับ เพื่อรับมือกับการจัดการโรคโควิด-19 โดยให้ความสำคัญเร่งด่วนเทียบเท่ากับแผนรับมือสถานการณ์ในภาวะสงคราม

สิ่งที่ไบเดนให้ความสำคัญเป็นอย่างแรกคือการเร่งหาวัคซีน และการเยียวยาความเดือดร้อนให้ประชากรในประเทศ  ในขณะที่ประเทศไทยซึ่งติดเชื้อโควิดครบรอบ 1 ปี  สิ่งที่ได้เห็นจากรัฐบาลคือการตั้งคณะทำงานเกือบ 10 ชุด สวนทางกับคณะทำงานแก้ปัญหาโรคโควิด-19 ระดับโลกจะมอบอำนาจให้ผู้เชี่ยวชาญ หน่วยงานในกระทรวงสาธารณสุขดูแล

แต่ของไทยทำงานข้ามหัวรัฐมนตรี ไปรายงานและขออนุมัติโดยตรงที่พล.อ.ประยุทธ์ ซึ่งผูกขาดคำสั่งการไว้เพียงผู้เดียวในฐานะหัวหน้า ศบค. ซ้ำยังปล่อยให้เจ้าหน้าที่ด้านความมั่นคงซึ่งเป็นต้นตอของการแพร่ระบาดระลอก 2 มาควบคุมสถานการณ์และออกมาตรการ โครงสร้างแบบนี้ต่อให้มีนายกรัฐมนตรีเป็นร้อยคนก็ไม่สามารถแก้ปัญหาได้ 

นอกจากนี้ในด้านแก้ปัญหาเศรษฐกิจยังล้มเหลว  เวลานี้ธนาคารพาณิชย์ทยอยประกาศผลประกอบการ เกือบทุกแห่ง 'กำไรลดลง'​ แต่แบงค์ยังคงมีกำไรเพียงแค่ลดลงจากที่เคยได้  แต่ประชาชนและเอสเอ็มอี ซึ่งเป็นลูกค้าของธนาคารกำลังจะอดตาย พล.อ. ประยุทธ์ หัวหน้าทีมเศรษฐกิจทำอะไรได้บ้างนอกจากให้กู้ ขณะที่นายไบเดนประกาศพักหนี้-ดอกเบี้ย 3 เดือน  ทั้งหมดอยู่ที่วิสัยทัศน์ของผู้นำที่มองประชาชนเป็นนาย ไม่ใช่ผู้รับใช้

"ผู้นำไทยด้อยความสามารถ ทำทุกอย่างสวนทางผู้นำโลก หากยังคงทำหน้าที่ต่อไปประเทศไทยจะหลุดพ้นจากกับดักรายได้ปานกลาง ไปสู่ประเทศยากจนอย่างเต็มตัว แล้วอาจจะกลายเป็นประเทศด้อยพัฒนาในที่สุด" นางสาวอรุณี กล่าว

‘ทิพานัน’ อบรมโฆษกเพื่อไทย อย่านั่งเทียนมโนดิสเครดิต ‘บิ๊กตู่’ ยันนายกฯไม่รวบอำนาจศบค.- มีรมต. ทุกกระทรวง และรับฟังรอบด้าน ชี้แนวโน้มรัฐบาลคุมโควิดดีขึ้น ยันไทยไม่กลายเป็นประเทศยากจน

น.ส.ทิพานัน ศิริชนะ อดีตผู้สมัครส.ส.กทม.เขตจอมทอง-ธนบุรี อดีตรองโฆษกพรรคพลังประชารัฐ กล่าวถึงกรณีที่น.ส.อรุณี กาสยานนท์ โฆษกพรรคเพื่อไทย วิจารณ์การทำงานของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีว่าผูกขาดคำสั่งการใน ศบค.ไว้เพียงผู้เดียวว่า

เป็นการแสดงความเห็นของนักการเมือง ควรอยู่บนพื้นฐานของข้อมูล ข้อเท็จจริง ไม่ใช่การมโน เนื่องจากโครงสร้างของศบค.นั้น มีรัฐมนตรีเจ้ากระทรวงร่วมอยู่ด้วย จะผูกขาดได้อย่างไร ที่สำคัญ ศบค. ยังกระจายอำนาจในการตัดสินใจ จากประกาศคำสั่งนายกรัฐมตรี 39/2563 ได้มีการปรับปรุงเพิ่มศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 กระทรวงมหาดไทย ที่มีปลัดกระทรวงมหาดไทยเป็นหัวหน้าศูนย์ เพื่อช่วยในการบริหารจัดการ โดยให้ผู้ว่าราชการจังหวัดควบคุมพื้นที่จังหวัดของตัวเอง มีอำนาจสั่งการต่างๆในพื้นที่คล่องตัวขึ้น

จะเห็นได้ว่า การดำรงตำแหน่ง ผอ.ศบค.ของพล.อ.ประยุทธ์ เป็นไปเพื่อความคล่องตัว เนื่องจากนายกฯมีอำนาจสูงสุด สามารถตัดสินใจในเรื่องเร่งด่วน ฉุกเฉินได้ ซึ่งเป็นผลดีกับคนทำงาน ทำให้สามารถควบคุมสถานการณ์ได้เป็นอย่างดี โดยจะเห็นว่า ตัวเลขผู้ติดเชื้อโควิด-19 เริ่มทรงตัว ในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมาอยู่ในระดับ 300 กว่ารายบวกลบ จึงมีแนวโน้มที่ดีขึ้น เห็นได้จากการที่กรุงเทพมหานคร เริ่มผ่อนปรนมาตรการใน 13 กิจการและกิจกรรมแล้ว

"โฆษกพรรคเพื่อไทยจึงไม่ควรนั่งเทียนมโนสร้างข่าวเพื่อดิสเครดิตพล.อ.ประยุทธ์อย่างไม่ตรวจสอบข้อมูล หรือเห็นว่าแนวโน้มการจัดการโควิดเริ่มดีขึ้น จึงกังวลว่า จะถูกประชาชนลืม อาจต้องสร้างข่าวขึ้นมา การจะทำให้ประชาชนจดจำ คือผลงานที่ทำ นักการเมืองควรทุ่มเทให้ความช่วยเหลือประชาชนมากกว่า ใช้วาทะกรรมป้ายสี" น.ส.ทิพานัน กล่าว

น.ส.ทิพานัน กล่าวว่า การทำงานที่ผ่านมาของพล.อ.ประยุทธ์ ยังรับฟังความเห็นรอบด้าน เห็นได้จากการรับฟังข้อเรียกร้องของสมาคมภัตตาคารไทย ซึ่งเป็นการสร้างสมดุลระหว่างมาตรการที่เข้มข้นกับการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ประกอบกับมาตรการในการช่วยเหลือต่างๆ กำลังเข้ามาเสริมสภาพคล่องให้กับระบบเศรษฐกิจไทย

ไม่ว่าจะเป็นมาตรการพักชำระหนี้ การให้สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ และการค้ำประกันสินเชื่อ เพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการและประชาชน ไม่ว่าจะเป็นการพักชำระหนี้เงินต้น และดอกเบี้ย เงินกู้ลูกค้า ที่ได้รับผลกระทบ โครงการ "ชำระดีมีคืน" และการลดภาระหนี้สำหรับลูกหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ อีกทั้งโครงการ "เราชนะ" ที่จะให้ความช่วยเหลือลดภาระค่าครองชีพของพี่น้องประชาชน 3,500 บาทต่อเดือนเป็นเวลา 2 เดือนคือ มกราคม-กุมภาพันธ์ ซึ่งเมื่อเม็ดเงินกระจายลงไปก็จะกระตุ้นเศรษฐกิจให้ขับเคลื่อนไปได้ นี่คือข้อมูลเบื้องต้น ที่โฆษกพรรคเพื่อไทยควรหาข้อมูลก่อนวิจารณ์

"เราไม่ไปสู่ประเทศที่ยากจนอย่างที่โฆษกพรรคเพื่อไทยกังวลอย่างแน่นอน ขนาดเราต้องสูญเสียงบประมาณไปมหาศาลหลายแสนล้านกับการทุจริตโครงการรับจำนำข้าว ประเทศไทยเรายังแข็งแกร่ง และประเทศไทยเราไม่จำเป็นต้องเดินตามชาติใด เพราะเราเคยชนะสงครามโควิดมาแล้วในรอบแรก จนเป็นตัวอย่างให้ประเทศทั่วโลกให้การยอมรับ และเชื่อมั่นว่าเราจะชนะอีกรอบ "น.ส.ทิพานัน กล่าว


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top