Sunday, 22 June 2025
TheStatesTimes

สวนดุสิตโพล เผย ‘10 ความสุขยุคโควิด-19’ พบ สิ่งที่คนรู้สึกมีความสุขในช่วงโควิด-19 มากที่สุด คือได้มีเวลาให้ตัวเองมากขึ้น ได้ทำในสิ่งที่อยากทำ รองลงมาคือ ได้อยู่กับครอบครัวพร้อมหน้าพร้อมตาทำกับข้าวกินเอง

สวนดุสิตโพล มหาวิทยาลัยสวนดุสิต สำรวจความคิดเห็นของประชาชนเรื่อง ‘10 ความสุขในยุคโควิด-19’ กลุ่มตัวอย่าง 1,136 คน สำรวจวันที่ 15 – 22 มกราคม 2564 พบว่า สิ่งที่คนรู้สึกมีความสุขในช่วงโควิด-19 มากที่สุด คือ

อันดับ 1 ได้มีเวลาให้ตัวเองมากขึ้น ได้ทำในสิ่งที่อยากทำ 86.92%

อันดับ 2 ได้อยู่กับครอบครัวพร้อมหน้าพร้อมตาทำกับข้าวกินเอง 75.22%

อันดับ 3 ไม่ต้องตื่นเช้า ไม่ต้องเร่งรีบ 56.10%

อันดับ 4 ได้ออกกำลังกายหันมาดูแลสุขภาพของตนเองมากขึ้น 29.81%

อันดับ 5 การปรับตัวเข้าสู่โลกออนไลน์ ได้พัฒนาทักษะเทคโนโลยี 13.46%

อันดับ 6 ยังมีงานทำ ยังไม่ถูกเลิกจ้าง 13.08%

อันดับ 7 รถไม่ค่อยติด เดินทางสะดวก 10.44%

อันดับ 8 บุคลากรทางการแพทย์ของไทยทำงานได้ดี 8.18%

อันดับ 9 ได้เห็นความร่วมมือร่วมใจ การเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ของคนไทย 5.03%

อันดับ 10 ทรัพยากรธรรมชาติได้พัก เป็นการฟื้นฟู 1.89%

จากผลการสำรวจ พบว่า ในความทุกข์ที่เกิดจากโควิด-19 นี้ ประชาชนก็ยังมีความรู้สึกสุขใจอยู่บ้าง โดยเฉพาะในด้านเวลา ทั้งการให้เวลากับตนเอง การให้เวลากับครอบครัว เงื่อนไขเรื่องเวลานี้ทำให้ผู้คนได้มีโอกาสในการคิดพิจารณาและทำสิ่งต่าง ๆ ที่ไม่เคยได้ทำมากขึ้น อีกทั้งยังได้พัฒนาตนเองในด้านการใช้เทคโนโลยีต่าง ๆ เรียกได้ว่าต้องขอบคุณโควิด-19 ที่ทำให้คนไทยได้พลิกวิกฤตเป็นโอกาสในการพัฒนาตนเองมากขึ้น

ในทุกสถานการณ์เลวร้ายที่เกิดขึ้น แม้มีปัญหามีความทุกข์แต่ก็มีสิ่งที่ดี ๆ และมีสิ่งที่เป็นความสุขเกิดขึ้นอยู่ด้วยเสมอ ดังนั้น การปรับทัศนคติ การปรับมุมมองหรือการคิดเชิงบวกจึงเป็นเรื่องสำคัญ อย่ามองที่ปัญหาแต่ให้เลือกมองโอกาสที่เกิดขึ้น จากปัญหานั้น ๆ เช่นเดียวกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ในช่วงนี้ ซึ่งส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตของคนไทยและคนทั้งโลก ซึ่งประเด็นปัญหาและความทุกข์ที่มีอยู่นี้ เราทุกคนรู้และสัมผัสได้อยู่แล้ว

‘บิ๊กตู่’ ขอบคุณและเป็นกำลังให้ บุคลากรการแพทย์-ทุกภาคส่วน ที่เสียสละ ทุ่มเททำงานอย่างหนัก ร่วมยับยั้งการแพร่ระบาดโควิด-19 ระลอกใหม่ ตลอด 1 เดือนที่ผ่านมา

น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ขอบคุณและเป็นกำลังให้คณะแพทย์ เจ้าหน้าที่ บุคลากรสาธารณสุข ฝ่ายปกครอง ทหาร ตำรวจ ตลอดจนอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ในการทำงานอย่างหนักเพื่อป้องกันยับยั้งการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ตลอด 1 เดือนที่ผ่านมา หลังจากเกิดกรณีพบผู้ติดเชื้อโควิด-19 จำนวนมาก ที่ตลาดกลางกุ้ง จังหวัดสมุทรสาคร เมื่อวันที่ 19 ธ.ค.2563 ซึ่งหลายภาคส่วนได้เสียสละทำงานอย่างไม่มีวันหยุด เพื่อควบคุมสถานการณ์ให้ได้โดยเร็ว

น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ ขอเป็นกำลังใจทุกภาคส่วนได้ทำหน้าที่ต่อไป จนกว่าจะควบสถานการณ์ได้ทั้งหมดและการติดเชื้ออยู่ในเกณฑ์ต่ำ ซึ่งปัจจุบันสามารถควบคุมสถานการณ์ได้แล้วในหลายจังหวัด ทั้งหมดนี้เป็นผลจากการทุ่มเททำงานอย่างหนักของทุกองคาพยพ และความร่วมมือของประชาชน โดยนายกรัฐมนตรี ยังฝากให้ทุกคนทำงานด้วยความระวัดระวัง อย่าประมาท เน้นความปลอดภัยทั้งตนเองและส่วนรวม รัฐบาลพร้อมสนับสนุนปัจจัยด้านต่างๆอย่างเต็มที่ เพื่อความปลอดภัยของประชาชน

น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า รัฐบาลยังต้องขอความร่วมมือประชาชน ช่วยกันลดความเสี่ยงการติดโควิด-19 ไม่ว่าจะเป็น การงดการเดินทางโดยไม่จำเป็น งดเดินทางไปในพื้นที่เสี่ยง งดการรวมกลุ่ม สวมใส่หน้ากากอนามัยเมื่อออกจากบ้าน ล้างมือด้วยเจลแอลกอฮอล์อย่างสม่ำเสมอ ติดตั้งแอปพลิเคชันหมอชนะ ฯลฯ และขอบคุณประชาชนที่ให้ความมือเป็นอย่างดีเสมอมา โดยหลังจากนี้ จะมีการผ่อนปรนมาตรการต่างๆตามลำดับ แต่ต้องไม่ประมาท การ์ดไม่ตก

 

 

การรถไฟแห่งประเทศไทย ประกาศปรับการเดินรถชั่วคราว ให้สอดคล้องตามสถานการณ์โควิด-19 งดเดินรถเส้นทางที่มีผู้ใช้บริการน้อยหรือขบวนรถที่มีความจำเป็นไม่มากต่อประชาชน

นายนิรุฒ มณีพันธ์ ผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ตามที่ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) มีนโยบายขอความร่วมมือให้ประชาชนหลีกเลี่ยง หรือชะลอการเดินทางเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ระลอกใหม่

การรถไฟฯ จึงต้องปรับการให้บริการเดินรถใหม่ให้สอดคล้องกับแนวทางปฏิบัติของ ศบค. โดยมีการงดการให้บริการขบวนรถเชิงสังคม ได้แก่ ขบวนรถธรรมดา ขบวนรถท้องถิ่น และขบวนรถชานเมืองที่ไม่ได้วิ่งให้บริการในชั่วโมงเร่งด่วน จำนวน 57 ขบวน โดยเริ่มตั้งแต่วันที่ 26 มกราคม 2564 เป็นต้นไป

ทั้งนี้ การปรับเปลี่ยนการให้บริการการเดินรถในครั้งนี้ การรถไฟฯได้คำนึงถึงความเหมาะสมในการให้บริการแก่ประชาชน โดยพิจารณางดเดินรถเฉพาะเส้นทางที่มีผู้ใช้บริการน้อย หรือเป็นขบวนรถที่มีความจำเป็นไม่มากต่อประชาชนและไม่ได้วิ่งให้บริการในชั่วโมงเร่งด่วน โดยการรถไฟฯ ยังมีขบวนรถโดยสารให้บริการรองรับการเดินทางของประชาชนในทุกเส้นทางอย่างครบถ้วน

อีกทั้งการรถไฟฯ ยังได้มีการดำเนินการตามมาตรการเฝ้าระวังและป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ตามนโยบายของกระทรวงคมนาคม กรมการขนส่งทางราง และกระทรวงสาธารณสุขอย่างเคร่งครัด โดยกำหนดจุดคัดกรองตรวจวัดอุณหภูมิผู้โดยสารก่อนเข้าในพื้นที่สถานี การตั้งจุดบริการแอลกอฮอล์ล้างมือ ต้องสวมหน้ากากอนามัยตลอดการเดินทาง พร้อมกับให้สแกนแอพพลิเคชันไทยชนะ ก่อนและหลังใช้บริการ แต่หากผู้โดยสารไม่สามารถใช้แอพพลิเคชันไทยชนะ สามารถกรอกข้อมูลการเดินทางแทนได้ สำหรับประชาชนที่ต้องการเดินทางโดยรถไฟ สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ศูนย์บริการลูกค้าสัมพันธ์ หมายเลขโทรศัพท์ 1690 ตลอด 24 ชั่วโมง หรือเฟซบุ๊กแฟนเพจทีมพีอาร์การรถไฟแห่งประเทศไทย

สำหรับขบวนรถเชิงสังคมที่งดให้บริการตั้งแต่วันที่ 26 มกราคม 2564 ประกอบด้วย

สายเหนือ จำนวน 13 ขบวน

  • ขบวนรถธรรมดาที่ 207/208 กรุงเทพ – นครสวรรค์ – กรุงเทพ
  • ขบวนรถธรรมดาที่ 209/210 กรุงเทพ – บ้านตาคลี – กรุงเทพ
  • ขบวนรถธรรมดาที่ 211/212 กรุงเทพ – ตะพานหิน – กรุงเทพ
  • ขบวนรถชานเมืองที่ 303/304 กรุงเทพ – ลพบุรี – กรุงเทพ
  • ขบวนรถชานเมืองที่ 317/318 กรุงเทพ – ลพบุรี – กรุงเทพ
  • ขบวนรถท้องถิ่นที่ 401/402 ลพบุรี – พิษณุโลก – ลพบุรี
  • ขบวนรถท้องถิ่นที่ 409 อยุธยา – ลพบุรี

สายตะวันออกเฉียงเหนือ จำนวน 18 ขบวน

  • ขบวนรถธรรมดาที่ 233/234 กรุงเทพ – สุรินทร์ – กรุงเทพ
  • ขบวนรถชานเมืองที่ 339/340 กรุงเทพ – ชุมทางแก่งคอย – กรุงเทพ
  • ขบวนรถท้องถิ่นที่ 417/416 นครราชสีมา – อุดรธานี – นครราชสีมา
  • ขบวนรถท้องถิ่นที่ 419/420 นครราชสีมา – อุบลราชธานี – ลำชี
  • ขบวนรถท้องถิ่นที่ 423/424 ลำชี – สำโรงทาบ – นครราชสีมา
  • ขบวนรถท้องถิ่นที่ 427/428 นครราชสีมา – อุบลราชธานี – นครราชสีมา
  • ขบวนรถท้องถิ่นที่ 433/434 ชุมทางแก่งคอย – ชุมทางบัวใหญ่ – ชุมทางแก่งคอย
  • ขบวนรถท้องถิ่นที่ 437/438 ชุมทางแก่งคอย – ลำนารายณ์ – ชุมทางแก่งคอย
  • ขบวนรถท้องถิ่นที่ 439/440 ชุมทางแก่งคอย – ชุมทางบัวใหญ่ – ชุมทางแก่งคอย

สายใต้ จำนวน 12 ขบวน

  • ขบวนรถธรรมดาที่ 251/252 ธนบุรี – ประจวบคีรีขันธ์ – ธนบุรี
  • ขบวนรถธรรมดาที่ 259/260 ธนบุรี – น้ำตก – ธนบุรี
  • ขบวนรถธรรมดาที่ 261/262 กรุงเทพ – หัวหิน – กรุงเทพ
  • ขบวนรถท้องถิ่นที่ 455/456 นครศรีธรรมราช – ยะลา – นครศรีธรรมราช
  • ขบวนรถรวมที่ 485/486 ชุมทางหนองปลาดุก – น้ำตก – ชุมทางหนองปลาดุก
  • ขบวนรถรวมที่ 489/490 สุราษฎร์ธานี – คีรีรัฐนิคม – สุราษฎร์ธานี

สายตะวันออก จำนวน 14 ขบวน

  • ขบวนรถธรรมดาที่ 275/276 กรุงเทพ – ด่านพรมแดนบ้านคลองลึก – กรุงเทพ
  • ขบวนรถธรรมดาที่ 277/278 กรุงเทพ – กบินทร์บุรี – กรุงเทพ
  • ขบวนรถธรรมดาที่ 279/280 กรุงเทพ – ด่านพรมแดนบ้านคลองลึก – กรุงเทพ
  • ขบวนรถธรรมดาที่ 281/282 กรุงเทพ – กบินทร์บุรี – กรุงเทพ
  • ขบวนรถชานเมืองที่ 367/368 กรุงเทพ – ชุมทางฉะเชิงเทรา – กรุงเทพ
  • ขบวนรถชานเมืองที่ 379/380 กรุงเทพ – หัวตะเข้ – กรุงเทพ
  • ขบวนรถชานเมืองที่ 389/390 กรุงเทพ – ชุมทางฉะเชิงเทรา – กรุงเทพ

นักลงทุนแห่จองหุ้น OR ปตท.วันแรกท่วมท้น!! ส่งผลแอปฯ - เว็บฯ 3 แบงก์ล่ม ด้าน KTB ยืนยันระบบจองซื้อหุ้น OR ทำงานได้ปกติ แจงเหตุขัดข้อง-ล่าช้า เพราะคนเข้าจองพร้อมกัน แนะทยอยจองวันอื่น ย้ำไม่มียอดจองเต็ม จัดสรรให้นักลงทุนทุกคน

จากการที่บมจ.ปตท.น้ำมันและการค้าปลีก หรือโออาร์ (OR) ได้เปิดให้จองซื้อหุ้นต่อประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) ผ่าน 3 ธนาคารใหญ่  ธนาคารกรุงเทพ ธนาคารกสิกรไทย และธนาคารกรุงไทย ตั้งแต่เวลา 9.00 น. ของวันนี้ (24 ม.ค. 64 ) และจะเปิดให้จองไปจนถึงเวลา 12.00 น.วันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2564 โดยเปิดให้จองซื้อผ่านออนไลน์ได้ด้วย นอกจากสาขาของ 3 ธนาคาร ผ่านเว็บไซต์ K-My Invest  ของธนาคารกสิกรไทย , ผ่านเว็บไซต์ Money Connect ของธนาคารกรุงไทย และผ่านโมบายแอปพลิเคชัน ธนาคารกรุงเทพ

ทั้งนี้ ตั้งแต่เริ่มเปิดจองในเวลา 09.00 น.ที่ผ่านมา ทั้งเว็บไซต์ที่ให้ทำการจองซื้อหุ้น OR กับแอปพลิเคชันของ 3 ธนาคารดังกล่าว พบว่าไม่สามารถให้บริการได้ มีความล่าช้าในการใช้บริการ และบางช่วงติดขัดไม่สามารถทำรายการใด ๆ ได้ เนื่องจากมีผู้สนใจจองซื้อหุ้น OR เป็นจำนวนมาก

สำหรับการจัดสรรหุ้นให้แก่ผู้จองซื้อรายย่อยนั้น ทั้ง 3 ธนาคารแนะนำให้ทำรายการในช่วงระหว่างวันที่ 26-28 มกราคม 2564 เพื่อหลีกเลี่ยงความหนาแน่นในช่วงแรก และช่วงท้ายของระยะเวลาการจองซื้อ

ทางด้านธนาคารกรุงไทย (KTB) ได้ออกมาชี้แจงว่า ระบบ Money Connect by Krungthai สามารถจองซื้อหุ้น OR ได้ตามปกติ เนื่องจากธนาคารได้เตรียมความพร้อมในการจองซื้อไว้ล่วงหน้า จึงยกระบบการบริการและเพิ่มระบบงานไอทีให้รองรับธุรกรรมการจองซื้อครั้งนี้

อย่างไรก็ตาม เนื่องจากเช้าวันที่ 24 มกราคม 2564 เวลา 9.00 น. (เวลาเริ่มเปิดจองซื้อ) มีผู้ที่สนใจเข้ามาจองซื้อหุ้น OR ผ่านช่องทาง Money Connect by Krungthai พร้อมกันเป็นจำนวนมาก นอกจากนี้ยังมีนักลงทุนรายใหม่ ที่เพิ่งเข้ามาใช้บริการครั้งแรกจำนวนไม่น้อย ซึ่งต้องกรอกข้อมูลตั้งต้นสำหรับการจองซื้อหลักทรัพย์ เช่น ชื่อ ที่อยู่ วิธิการรับหลักทรัพย์ กรอกข้อมูลการลงทุนและแบบประเมินความเสี่ยงการลงทุนในระบบ ทำให้ใช้เวลาอยู่ในระบบนาน จึงอาจส่งผลให้ระบบมีความล่าช้า ทำให้ลูกค้าบางท่านไม่สามารถทำรายการได้

ทั้งนี้ จึงขอแนะนำให้ผู้ใช้บริการกด refresh และลองใหม่อีกครั้ง หรือทยอยทำรายการจองซื้อหุ้น OR ในวันอื่นๆ โดยไม่จำเป็นต้องเข้ามาจองซื้อในวันนี้ เนื่องจากสามารถจองซื้อหุ้น OR ได้ตลอด 24 ชั่วโมง ผ่าน https://moneyconnect.krungthai.com

และจองผ่านสาขากรุงไทยทั่วประเทศ ได้จนถึงเวลา 12.00 น. ของวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2564 โดยไม่ปิดการจองซื้อก่อนกำหนด และไม่มียอดจองซื้อเต็ม ทุกคนมีสิทธิได้รับการจัดสรรหุ้น เพราะใช้วิธิ Small Lot First โดยจะเป็นการจัดสรรหุ้นแก่นักลงทุนที่ต้องการอย่างทั่วถึงที่สุด

 

‘ธนกร’ มั่นใจ ‘บิ๊กตู่’ รับมืออภิปรายไม่ไว้วางใจได้สบาย ติงฝ่ายค้าน อาจไม่ใช่เวลาที่เหมาะสม เพราะประชาชนกำลังเดือดร้อนจากโควิด-19 เชื่อชาวบ้านสนใจให้รัฐช่วยแก้ปัญหาปากท้องมากกว่า พร้อมดักคออย่าฉายหนังม้วนเก่า

นายธนกร วังบุญคงชนะ เลขานุการรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า สำหรับการยื่นอภิปรายไม่วางใจของพรรคร่วมฝ่ายค้านนั้น รัฐบาลไม่ได้วิตกกังวลอะไร เพราะที่ผ่านมามั่นใจว่ารัฐบาลบริหารงานด้วยความโปร่งใส ตรวจสอบได้ โดยเฉพาะพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม มีความตั้งใจที่จะทำงานให้กับประเทศด้วยความซื่อสัตย์สุจริต มีผลงานเป็นที่ประจักษ์มากมาย เป็นรูปธรรมชัดเจนประชาชนจับต้องได้

การที่พรรคร่วมฝ่ายค้านยื่นอภิปรายในครั้งนี้ส่วนตัวมองว่าอาจจะเป็นเวลาที่ไม่ค่อยจะเหมาะสมนัก เนื่องจากขณะนี้ประเทศกำลังประสบปัญหาวิกฤตโควิด ประชาชนได้รับความเดือดร้อนในหลายๆ ด้าน รัฐบาลกำลังเร่งดำเนินการแก้ไขอย่างเต็มที่เพื่อให้ประเทศผ่านวิกฤติในครั้งนี้

นายธนกร กล่าวอีกว่า การใช้เวทีสภาฯ ตรวจสอบรัฐบาลเป็นสิ่งที่ถูกต้องตามครรลองประชาธิปไตย ซึ่งตนเห็นด้วยอย่างยิ่ง แต่จะเป็นเวลาที่เหมาะสมหรือไม่ประชาชนก็เฝ้ามองอยู่ เพราะเท่าที่ตนทราบการอภิปรายในครั้งนี้ไม่ได้มีข้อมูลใหม่อะไร เท่าที่โหมโรงมาก็เป็นเรื่องเก่า เกรงว่าประชาชนจะเบื่อหน่าย ยิ่งถ้าเอาเรื่องความล้มเหลวของการบริหารโควิด-19มาอภิปรายก็คงไม่ใช่ เพราะรัฐบาลบริหารจัดการได้ดีจนทั่วโลกชื่นชม

ส่วนการระบาดระลอกใหม่ พล.อ.ประยุทธ์ก็บริหารจัดการจนสถานการณ์ผ่อนคลายลงเรื่อย ๆ และประชาชนชื่นชมที่ไม่ได้ล็อกดาวน์ อย่างน้อยก็สามารถผ่อนคลายความเดือดร้อนไปได้บ้าง เศรษฐกิจก็ไม่ได้แย่มาก อย่างไรก็ตาม เห็นพรรคร่วมฝ่ายค้านจุดพลุว่าดุเดือดเลือดพล่าน แต่คงเหมือนฉายหนังเก่า ประชาชนเดาได้ว่าตอนจบไม่มีอะไรใหม่ ระวังพระเอกตายตอนจบ

ทั้งนี้ ตนมั่นใจว่าพล.อ.ประยุทธ์สามารถชี้แจงได้ทุกเรื่องเพราะรัฐบาลไม่ได้ทำอะไรผิด บริหารงานโดยใช้หลักธรรมาภิบาล จึงไม่กลัวการตรวจสอบ แต่ไม่อยากให้ฝ่ายค้านใช้วาทกรรมหรือข้อมูลเท็จโจมตีรัฐบาล เพราะประชาชนไม่ได้ประโยชน์ อยากให้อภิปรายอย่างสร้างสรรค์

พรรคประชาธิปัตย์ ระดม ส.ส.- อดีต ส.ส. เตรียมความพร้อมการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. บ่ายพรุ่งนี้ โวมีผู้สนใจสมัคร ส.ก.ในนามพรรคฯ จำนวนมาก

นายราเมศ รัตนะเชวง โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ได้กล่าวถึงความเคลื่อนไหวเตรียมจัดทำนโยบายกรุงเทพมหานคร ว่า วันพรุ่งนี้ (25 ม.ค.) เวลา 14.00 น นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ รองหัวหน้าพรรค กรุงเทพมหานคร ได้นัดประชุมร่วมกันระหว่าง ส.ส. อดีต ส.ส. อดีตผู้สมัคร  เพื่อหารือ ระดมความคิดเห็น ในเรื่องนโยบายกรุงเทพมหานคร เพื่อใช้ในการเลือกตั้ง ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร และสมาชิกสภากรุงเทพมหานคร (ส.ก.) การเตรียมความพร้อมในเรื่องนโยบายซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญในการจะเข้าไปทำงานไม่ว่าจะในส่วนของ บุคคลที่จะไปทำหน้าที่ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ในฐานะเป็นผู้บริหาร และในส่วนของสมาชิกสภากรุงเทพมหานคร ส.ก.ซึ่งจะเข้าไปทำหน้าที่เป็นฝ่ายนิติบัญญัติ

ทั้งสองส่วน มีความสำคัญที่จะต้องมีนโยบายเป็นหลักการทำงานพื้นฐานที่สำคัญ การระดมความคิดเห็นทุกนโยบายที่เกี่ยวข้องกับชีวิตความเป็นอยู่ของพี่น้องชาวกรุงเทพมหานคร ซึ่งมีหลายเรื่องที่จำต้องมีนโยบายใหม่เพื่อแก้ปัญหาให้ตรงจุด มีหลายเรื่องที่ต้องปรับปรุงแก้ไขให้ดีขึ้น และเรื่องใดที่เป็นของเดิมที่ดีอยู่แล้วก็จะมีการสานต่อและทำให้ดียิ่งขึ้น เพื่อนำเสนอนโยบายที่ดี ในการทำงานให้กับพี่น้องชาว กทม ต่อไป

นายราเมศ กล่าวต่อว่า หลังจากที่เปิดให้ผู้ที่สนใจสมัครเข้าร่วมงานกับพรรคประชาธิปัตย์ในส่วนของการเลือกตั้ง ส.ก.ได้มีผู้ที่ให้ความสนใจเป็นจำนวนมาก หลายคนเป็นคนมีศักยภาพ อยู่ใกล้ชิดทำงานให้กับพี่น้องประชาชนอยู่แล้ว มีส่วนของคนรุ่นใหม่ที่ตั้งใจเข้ามาอาสารับใช้ประชาชนก็มีหลายคนความเป็นสถาบันทางการเมืองของพรรค การดำเนินการมีการดำเนินการรอบคอบ ผ่านการคิดที่ให้ทุกคนมีส่วนร่วม นโยบายที่จะนำไปใช้ต้องก่อให้เกิดประโยชน์ต่อพี่น้องชาวกรุงเทพมหานครอย่างแท้จริง

 

‘เพื่อไทย’ อัดกลับ ‘แรมโบ้’ ชี้ ‘บิ๊กตู่’ คนเดียวก่อหนี้มากกว่า 28 นายกฯในอดีต ซัดเลิกโทษรัฐบาลอื่น กลบเกลื่อนผลงานไร้ประสิทธิภาพตลอด 7 ปีที่ผ่านมา  

นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีนายสุภรณ์ อัตถาวงศ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ออกมาพาดพิง รัฐบาลนายทักษิณ ชินวัตร และรัฐบาลน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี สร้างหนี้ให้รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชาตามใช้ว่า ความจริงประเด็นที่ถกแถลงกัน คือ พล.อ.ประยุทธ์อยู่ 7 ปีไร้ประสิทธิภาพ สู้โจ ไบเดนที่ทำงาน 1 วันไม่ได้นั้นจริงหรือไม่ ก็เป็นสิทธิที่แต่ละฝ่ายจะให้ความเห็นที่แตกต่างกันกับประชาชนได้ แต่ไม่เห็นประโยชน์ที่เครือข่ายระบอบประยุทธ์ จ้องแต่จะโยนความไร้ประสิทธิภาพทั้งหมดใน 7 ปีของระบอบประยุทธ์ ว่า เป็นเพราะ 2 อดีตนายกฯ อยู่ร่ำไป พล.อ.ประยุทธ์ กำลังจะใช้งบประมาณแผ่นดินครบ 20,824,000 ล้านบาทในปีงบประมาณ 2564 นับจากวันที่ยึดอำนาจและเข้าบริหารประเทศตั้งแต่ปี 2557 และได้จัดทำงบประมาณแผ่นดินมา 7 ปี แต่น่าแปลกใจที่เงินจำนวนมหาศาลนั้นขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยได้น้อยมาก เพียง 3 ล้านล้านบาทเท่านั้น

นายอนุสรณ์ กล่าวต่อว่า พล.อ.ประยุทธ์คนเดียวก่อหนี้มากกว่า 28 นายกฯ และอาจต้องใช้เวลายาวนานถึง 70 ปี จึงชำระหนี้ที่รัฐบาลประยุทธ์ก่อไว้ในช่วง 7 ปีคืนได้หมด เวลา 7 ปีนานเกินกว่าที่พล.อ.ประยุทธ์ จะหันหลังกลับไปโทษรัฐบาลใดได้ เครือข่ายระบอบประยุทธ์จะอธิบายว่าไม่ไร้ประสิทธิภาพอย่างไร ก็สื่อสารกับประชาชนไป แต่การโยนความล้มเหลวไร้ประสิทธิภาพทุกเรื่องว่าเป็นเพราะรัฐบาลเก่า ที่มิได้มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ กับการบริหารราชการแผ่นดินมา 7 ปี ฟังไม่ได้ ถือเป็นการอธิบายเกินจากกรอบของเรื่องไปมาก

“นายสุภรณ์มักใช้วิธีด่านายเก่า เพื่อเอาใจนายใหม่ ให้ตัวเองได้ดิบได้ดี มีความมั่นคงในหน้าที่การงาน แต่ขอให้รับรู้ว่าเป็นพฤติกรรมที่คนไทยรับไม่ได้ ถ้าพล.อ.ประยุทธ์ใช้ผ้าขี้ริ้วสกปรกมาถูพื้น จะหวังให้พื้นสะอาดได้อย่างไร อย่าขจัดคราบสกปรก ด้วยสิ่งปฏิกูล มีข้อเท็จจริงอะไรก็สื่อสารกับประชาชนไป แต่การใช้คนต้นทุนติดลบมาอยู่ใกล้ตัว คอยแก้ต่างให้ มีแต่จะทำให้ตัวพล.อ.ประยุทธ์มอมแมมไปด้วย" นายอนุสรณ์ กล่าว

 

ฝืนต่อไม่ไหว!!  ‘เซ็นทรัล’ ประกาศปิด ‘เซ็นทรัลป่าตอง’ ชั่วคราว ตั้งแต่ 1 ก.พ.นี้ จนกว่าสถานการณ์จะดีขึ้น หลังเจอพิษโควิด กระหน่ำการท่องเที่ยวภูเก็ตชะลอตัวอย่างต่อเนื่อง

เมื่อวันที่ 22 มกราคมที่ผ่านมา บริษัท สรรพสินค้าเซ็นทรัล จำกัด ผู้บริหารห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล ได้ทยอยส่งจดหมายถึงผู้เช่าพื้นที่และผู้เกี่ยวข้อง โดยหนังสือดังกล่าวมีเนื้อหา เป็นการแจ้ง การปิดห้างเซ็นทรัลป่าตอง ชั่วคราว

พร้อมระบุสาเหตุว่าเป็นผลจากภาวะเศรษฐกิจและสถานการณ์โควิด-19 กระทบต่อธุรกิจท่องเที่ยวของจังหวัดภูเก็ตจนชะลอตัวอย่างต่อเนื่อง และส่งผลกระทบโดยตรงต่อบริษัท ฝ่ายบริหารจึงมีความเห็นให้ปิดกิจการชั่วคราว ตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2564 จนกว่าสถานการณ์จะดีขึ้น

 

 

‘สุริยะ’ สั่งการ กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม ออกมาตรการเยียวยาลูกหนี้เงินทุนกว่า 2,300 กิจการ ลูกหนี้ชั้นดีพักชำระได้สูงสุด 12 เดือน สร้างสภาพคล่องให้กับผู้ประกอบการ ให้ผ่านพ้นภาวะวิกฤต

นายณัฐพล รังสิตพล อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ได้ตระหนักและห่วงใยผู้ประกอบการธุรกิจภาคอุตสาหกรรม จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 หรือ โรคโควิด-19 ระลอกใหม่ จึงได้สั่งการให้กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม (กสอ.) เร่งออกมาตรการเยียวยาผู้ที่ได้ผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19  ซึ่งเป็นผู้ประกอบการเอสเอ็มอีทั่วประเทศ

รวมถึงผู้ประกอบการที่เป็นลูกหนี้เงินทุนหมุนเวียนเพื่อการส่งเสริมอาชีพอุตสาหกรรมในครอบครัวและหัตถกรรมไทยใน 7 กลุ่มอุตสาหกรรม ได้แก่ 1.อาหาร 2.เครื่องดื่ม 3. ผ้าและเครื่องแต่งกาย 4. ของใช้และเครื่องประดับตกแต่ง 5. ศิลปะประดิษฐ์และของที่ระลึกที่สะท้อนวิถีชีวิตภูมิปัญญาและวัฒนธรรมท้องถิ่น 6. สมุนไพรที่ไม่ใช่ยาและอาหาร และ 7. อุตสาหกรรมอื่น ๆ ที่สนับสนุนเกื้อกูลกลุ่มวิสาหกิจชุมชน หรือ SMEs ซึ่งมีจำนวนกว่า 2,300 กิจการ ผ่าน 3 มาตรการ ประกอบด้วย

  • พักชำระหนี้สำหรับลูกหนี้รายเดิมที่ชำระเงินปกติ โดยให้สิทธิ์พักชำระเงินต้นไม่เกิน 12 เดือนโดยชำระเฉพาะดอกเบี้ย และมีสิทธิ์ขอขยายระยะเวลาผ่อนชำระหนี้ไม่เกิน 12 เดือน
  • พักชำระหนี้สำหรับลูกหนี้รายเดิมที่มีหนี้ค้างชำระไม่เกิน 6 งวด โดยให้สิทธิ์พักชำระเงินต้นไม่เกิน 6 เดือน โดยชำระเฉพาะดอกเบี้ย และมีสิทธิ์ขอขยายระยะเวลาผ่อนชำระหนี้ไม่เกิน 6 เดือน
  • สินเชื่อสำหรับผู้ขอกู้รายใหม่ วงเงินตั้งแต่ 100,000 บาทขึ้นไป ต่อราย/กิจการ ได้รับสิทธิ์พักชำระเงินต้นไม่เกิน 6 เดือน (ชำระเฉพาะดอกเบี้ย) โดยคิดอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 4 ต่อปี

สำหรับมาตรการทางการเงิน ถือเป็นหนึ่งในวัคซีนเอสเอ็มอีที่เป็นเครื่องมือที่ กสอ. ใช้ในการช่วยเหลือผู้ประกอบการในภาวการณ์ต่าง ๆ โดยในส่วนของเงินทุนฯ ได้มีการเตรียมความพร้อมผู้ประกอบการด้านการเงินในการเริ่มต้นธุรกิจใหม่ (Financial Literacy) ประกอบด้วย

1. สำหรับผู้ต้องการขอสินเชื่อ เป็นการเตรียมตัวก่อนขอสินเชื่อ รู้จักข้อมูลบัญชี ภาษี การวิเคราะห์และวางแผนทางการเงิน และธุรกิจ

2. สำหรับผู้ประกอบการที่ต้องการแก้ปัญหาหนี้ค้างชำระ โดยการตรวจสภาพการเงิน วางแผนชำระหนี้ ปรับโครงสร้างหนี้ และการจัดการธุรกิจในภาวะวิกฤต ซึ่งเงินทุนนั้น นอกจากการช่วยเหลือในเรื่องดอกเบี้ยและสินเชื่อแล้ว กสอ. ยังทำหน้าที่เชื่อมโยงผู้ประกอบการที่มีต้นทุนทางแนวคิดในการประกอบธุรกิจให้สามารถเข้าถึงนักลงทุนที่มีศักยภาพ เพื่อการต่อยอดอุตสาหกรรมอย่างมั่นคง ทั้งยังส่งเสริมการสร้างเครือข่าย ทั้งในระดับท้องที่และระดับของอุตสาหกรรม เพื่อให้เกิดการช่วยเหลือ แลกเปลี่ยนองค์ความรู้ สร้างนิเวศอุตสาหกรรมที่เข้มแข็งเพื่อก้าวข้ามภาวะวิกฤตได้อีกทางหนึ่ง

โดยผู้ประกอบการที่สนใจสามารถขอรับสิทธิ์ได้ที่ กลุ่มบริหารเงินทุนฯ สำนักงานเลขานุการกรม กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม โทรศัพท์ 0 2202 4409-10 หรือที่ศูนย์ส่งเสริมอุตสาหกรรมภาคทั้ง 11 แห่ง ตั้งแต่วันนี้ จนถึง วันที่ 31 มีนาคม 2564 หรือ สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ กลุ่มงานประชาสัมพันธ์ สำนักงานเลขานุการกรม กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม โทรศัพท์ 0 2202 4414-18 หรือ เข้าไปที่ www.dip.go.th  

ซูเปอร์โพล ชี้ ประชาชน 97% เห็นด้วย ‘พุทธิพงษ์’ แจ้งความเอาผิด ‘ธนาธร’ ม.112 ระบุเพื่อปกป้องรักษาเสาหลักของชาติ พร้อมยับยั้งขบวนการสร้างข้อมูลเท็จหวังทำลายสถาบัน

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.นพดล กรรณิกา ผู้อำนวยการสำนักวิจัยซูเปอร์โพล (SUPER POLL) สถาบันวิจัยความสุขชุมชนและความเป็นผู้นำ นำเสนอผลสำรวจภาคสนาม เรื่อง กระทรวงดีอีเอส กับ ม.112 กรณี ศึกษาประชาชนทุกสาขาอาชีพทั่วประเทศ โดยดำเนินโครงการทั้งการวิจัยเชิงปริมาณ (Quantitative Research) และการวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) จำนวน 1,807 ตัวอย่าง ดำเนินโครงการระหว่างวันที่ 21 – 24 มกราคม 2564 ที่ผ่านมา

เมื่อถามถึงความเห็นต่อ กรณีกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม แจ้งความดำเนินคดี นายธนาธรฯ และคนอื่นๆ ในขบวนการ ตามประมวลกฎหมายอาญา ม.112 พบว่า ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 97.4 เห็นด้วย ในขณะที่ร้อยละ 2.6 ไม่เห็นด้วย

นอกจากนี้ เมื่อสอบถามถึงการบังคับใช้กฎหมายตาม ม.112 เป็นเรื่องที่แต่ละคนต้องใช้สิทธิตามกฎหมายบ้านเมืองเพื่อความสงบสุขของประเทศและประชาชน ไม่ใช่เรื่องการเมือง พบว่า ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 93.0 เห็นด้วยว่า เป็นเรื่องสิทธิของแต่ละคนตามกฎหมายบ้านเมืองเพื่อความสงบสุขของประเทศและประชาชนมากกว่า ไม่ใช่เรื่องการเมือง ในขณะที่เพียงร้อยละ 7.0 ไม่เห็นด้วย

ที่น่าสนใจคือ หลังจากที่ นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รมว.กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ดำเนินการบังคับใช้กฎหมายตาม ม.112 พบว่า ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 97.7 พอใจ นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รมว.กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ในขณะที่ร้อยละ 2.3 ไม่พอใจ นอกจากนี้ ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 98.4 สนับสนุนนายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รมว.กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม จัดการกวาดให้เรียบ ขบวนการจาบจ้วง ล่วงละเมิดคุกคามในหลวงและทุกพระองค์ในสถาบันหลักของชาติ ในขณะที่เพียงร้อยละ 1.6 ไม่สนับสนุน

ที่น่าเป็นห่วง คือ ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 75.0 ระบุเป็นไปได้ค่อนข้างมาก ถึง มากที่สุดที่คนในชาติจะแตกแยกมากขึ้น ถ้าปล่อยให้มีการล่วงละเมิด จาบจ้วง คุกคามในหลวงและทุกพระองค์ ในสถาบันหลักของชาติ ในขณะที่ ร้อยละ 14.3 ระบุเป็นไปได้ปานกลาง และร้อยละ 10.7 ระบุเป็นไปได้ค่อนข้างน้อยถึงเป็นไปไม่ได้เลย

ผอ.ซูเปอร์โพล กล่าวว่า “กระทรวงดีอีเอส กับ ม.112” ในผลโพลครั้งนี้ ชี้ให้เห็นว่า กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม โดยนายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รมว.กระทรวงฯ กำลังทำตามความคาดหวังและการสนับสนุนของประชาชนในการออกมาปกป้องรักษาเสาหลักของชาติ เพื่อยับยั้งขบวนการที่ใช้ข้อมูลเท็จหวังทำลายสถาบันหลักของชาติหรือทำให้สั่นคลอนและสร้างความแตกแยกของคนในชาติ


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top