Sunday, 22 June 2025
TheStatesTimes

‘อัศวิน ขวัญเมือง’ ไม่สน กมธ.คมนาคม ยันรถไฟฟ้าสายสีเขียวเก็บราคาใหม่ 16 ก.พ.นี้ ย้ำ ราคา 104 บาท ตลอดสาย ไม่ได้แพงเกินไป และรถไฟฟ้าสายอื่นก็เก็บค่าโดยสารไม่ได้ถูกกว่ารถไฟฟ้าสายสีเขียวแต่อย่างใด ท้าถ้าผิดให้ฟ้อง ป.ป.ช.

นายโสภณ ซารัมย์ ประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) การคมนาคม แถลงผลการประชุม กมธ. กรณีการต่อสัมปทานรถไฟฟ้าสายสีเขียวว่า หลังจากที่ กมธ.ได้เชิญส่วนข้าราชการที่เกี่ยวข้องกับเรื่องดังกล่าวมาชี้แจง 2 ครั้ง กมธ.มีมติดังนี้ คือ

1.) ไม่เห็นด้วยกับการต่ออายุสัมปทานครั้งนี้ และ

2.) กมธ.ขอให้ กทม. มีการชะลอการขึ้นค่าโดยสาร 104 บาท ที่จะมีผลในวันที่ 16 ก.พ.64 ออกไปก่อน

วันเดียวกันที่ศาลาว่าการ กทม. พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง ผู้ว่าฯ กทม. เปิดเผยกรณีที่ประชุมคณะกรรมาธิการคมนาคม ที่มีนายโสภณ ซารัมย์ เป็นประธาน มีมติให้ กทม. ชะลอการเก็บค่าโดยสารรถไฟฟ้า สายสีเขียว 104 บาท วันที่ 16 ก.พ.64 นี้ออกไปก่อนนั้นว่า กทม.ยืนยันจะเก็บค่าโดยสารตามที่ประกาศและกำหนดวัน หากจะให้ชะลอมีเพียงกรณีเดียวคือ รัฐบาลสั่งให้ชะลอ

"ส่วนกรณีที่กระทรวงคมนาคมมีหนังสือให้ กทม.ชะลอการเก็บค่าโดยสารออกไปก่อนนั้น เขาก็มีเหตุผลของเขา แต่ กทม.ก็มีเหตุผลเหมือนกัน เพราะถ้าชะลอออกไปอีก จะเอาเงินที่ไหนมาจ่ายให้เอกชน ทั้งนี้ ถ้า ครม.อนุมัติตามที่ กทม.เสนอทุกอย่างก็จบ ส่วน ครม.จะพิจารณาเมื่อไร ตอบไม่ได้ อย่างไรก็ตาม กทม.ยืนยันวันที่ 16 กุมภาพันธ์นี้ จะเก็บค่าโดยสารในอัตราใหม่แน่นอน" พล.ต.อ.อัศวินกล่าว

ผู้ว่าฯกทม.กล่าวว่า สำหรับค่าโดยสารรถไฟฟ้าสายสีเขียว ราคา 104 บาท ตลอดสาย ไม่ได้แพงเกินไป และรถไฟฟ้าสายอื่นก็เก็บค่าโดยสารไม่ได้ถูกกว่ารถไฟฟ้าสายสีเขียวแต่อย่างใด

"สามารถเปรียบเทียบกันได้แบบกิโลเมตรต่อกิโลเมตร (กม.) โดยสายสีน้ำเงิน ค่าโดยสาร 1.62 บาท/กม. ส่วนสายสีเขียว 1.23 บาท/กม. นอกจากนี้ รถไฟฟ้าสายอื่น รัฐบาลออกค่าก่อสร้างให้ทั้งหมดแสนกว่าล้านบาท แต่รถไฟฟ้าสายสีเขียว รัฐบาลไม่ได้ออกค่าก่อสร้างให้แม้แต่สลึงเดียว กทม.ยืนยันว่าค่าโดยสารรถไฟฟ้าสายสีเขียวถูกกว่า และทำถูกต้องตามขั้นตอนพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ร่วมทุนฯ หากไม่ถูกต้องให้ยื่นฟ้องต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ได้เลย" พล.ต.อ.อัศวินกล่าว

ประเทศไหนรีบไปก่อนเลย แต่ออสเตรเลียขอเลือกรอดูผลสัมฤทธิ์ของวัคซีนก่อน ค่อยประกาศฉีดวัคซีนทั่วประเทศ แม้จะมีวัคซีนในสต็อคอยู่จำนวนหนึ่งพร้อมฉีดแล้วก็ตาม

ถึงแม้การตัดสินใจดึงเวลาที่จะเริ่มฉีดวัคซีน COVID -19 ออกไปจนถึงเกือบสิ้นเดือนกุมภาพันธ์ จะทำให้ชาวออสเตรเลียบางส่วนไม่พอใจ แต่นายกรัฐมนตรีออสเตรเลีย สก็อต มอร์ริสัน ตัดสินใจรอดูผลจากประเทศที่ฉีดวัคซีนไปแล้ว เพื่อให้แน่ใจว่าจะไม่มีผลข้างเคียงที่เป็นอันตราย

สก็อต มอร์ริสัน ได้ให้สัมภาษณ์กับสื่อออสเตรเลียว่า ประเทศอื่นที่มีปัญหาเรื่องการควบคุมการระบาด อาจจำเป็นต้องรีบฉีดวัคซีนแม้จะรู้ว่าเสี่ยง แต่ไม่ใช่กับที่ออสเตรเลีย ที่เราควบคุมการแพร่ระบาดได้ เราจึงต้องขอดูผลให้แน่ใจก่อนค่อยฉีด ก็ไม่สายเกินไป

จะเห็นได้ว่า ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา ออสเตรเลียมีผู้ติดเชื้อในประเทศเพียง 10 ราย ล่าสุดเพิ่มขึ้นอีก 9 ราย ซึ่งทั้งหมดเป็นเคสที่เดินทางกลับจากต่างประเทศ ทำให้ยอดรวมผู้ติดเชื้อในออสเตรเลียอยู่ที่ 28,739 ราย เสียชีวิต 909 คน

และรัฐบาลออสเตรเลียก็มีวัคซีนของ AstraZeneca อยู่แน่ ๆ แล้ว 53.8 ล้านโดส กับวัคซีน Pfizer อีก 10 ล้านโดส พร้อมฉีดให้กับบุคลากรแถวหน้า และกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูง และมีเสียงเรียกร้องจากหลายฝ่ายให้เริ่มฉีดวัคซีดให้เร็วที่สุด เพื่อป้องกันการระบาดระลอกใหม่

แต่รัฐบาลยังคงยืนยันว่าต้องการรอดูผลเพื่อความปลอดภัยจนถึงปลายเดือนกุมภาพันธ์ ซึ่งเป็นระยะเวลาที่เลื่อนให้แล้ว เพราะก่อนหน้านั้นตั้งใจจะรอจนถึงเดือนมีนาคมด้วยซ้ำไป

และออสเตรเลียก็ไม่ใช่ชาติเดียว ที่ขอประวิงเวลาในการฉีดวัคซีนออกไปก่อน นิวซีแลนด์ก็เพิ่งประกาศว่าจะเริ่มแผนการฉีดวัคซีน COVID -19 ให้เฉพาะบุคลากรแถวหน้าได้ในเดือนเมษายน ส่วนประชาชนทั่วไปจะเริ่มรับวัคซีนหลังจากกรกฎาคมไปแล้ว

และไม่ใช่ว่านิวซีแลนด์หาวัคซีน COVID -19 ไม่ได้ แต่ได้จองซื้อไว้แล้วถึง 7.6 ล้านโดสจาก AstraZeneca และ 10.72 ล้านโดสจาก Novavax เพียงพอแล้วที่จะฉีดให้กับประชากรนิวซีแลนด์ทั้งประเทศ 5.36 ล้านคน แถมยังแจกให้ฟรีกับประเทศชาวเกาะเพื่อนบ้านได้อีกด้วย เพียงแค่ตอนนี้ขอดูผลข้อสอบจากประเทศอื่นก่อนเท่านั้น

ซึ่งยังมีอีกหลายประเทศที่ขอดูผลข้างเคียงจากประเทศอื่น รวมถึงเกาหลีใต้ และญี่ปุ่น ที่ก็มีวัคซีนพร้อมแล้วจำนวนหนึ่ง แต่ยังไม่ประกาศฉีดทันทีในตอนนี้ แม้จะมีกระแสกดดันจากฝ่ายค้าน และประชาชนบางส่วนในประเทศที่กำลังตื่นตระหนกกับคลื่นการระบาดระลอกใหม่ของ COVID -19 ในประเทศ

ผู้เชี่ยวชาญด้านวัคซีนได้ให้เหตุผลว่า ที่บางประเทศดึงเวลาการฉีดวัคซีน COVID -19 ออกไป เพราะยังไม่แน่ใจถึงประสิทธิภาพ และผลข้างเคียง เนื่องจากเป็นวัคซีนที่ใช้กระบวนการพัฒนาอย่างเร่งด่วนกว่าวัคซีนอื่นๆ และบางบริษัทใช้เทคโนโลยีใหม่ เช่น การใช้ mRNA ที่เป็นการตัดต่อสารพันธุกรรมจากไวรัส COVID -19 ที่ยังไม่อาจคาดเดาผลข้างเคียงเมื่อใช้งานจริงในกลุ่มผู้รับวัคซีนจำนวนมากถึงล้านคน

ดังนั้นหากประเทศใดที่คิดว่ายังสามารถจำกัดการแพร่ระบาดได้ดี ก็ยังพอมีเวลาที่จะศึกษาข้อมูลจากประเทศที่ได้ฉีดไปแล้ว แต่สำหรับบางประเทศที่วิกฤติจนรับมือไม่ไหวแล้ว ผลลัพธ์อาจคุ้มค่ากับความเสี่ยง

จึงเป็นวิจารณญาณของรัฐบาลแต่ละประเทศที่จะตัดสินใจว่าควรจะใช้วัคซีนเมื่อไร จึงเหมาะสม และปลอดภัยสำหรับประชาชน แต่การฉีดวัคซีนก็ไม่ได้หมายความว่าจะคุ้มกันโรคได้ 100% ดังนั้น การระวังตัวเองด้วยการ ใช้หน้ากากอนามัย เว้นระยะห่าง ล้างมือ กันไว้ก่อน น่าจะช่วยลดโอกาสการแพร่ระบาดได้ดีที่สุดที่ทำได้ในเวลานี้


แหล่งข่าว

https://www.straitstimes.com/asia/australianz/australia-delays-vaccine-rollout-to-study-how-other-countries-cope-with-the-jab

https://www.theguardian.com/world/2021/jan/08/why-the-delay-the-nations-waiting-to-see-how-covid-vaccinations-unfold

https://www.aa.com.tr/en/asia-pacific/new-zealand-secures-2-more-covid-19-vaccines/2079683

‘อรรถวิชช์’ ฉะแหลก กรณีขึ้นค่าโดยสาร BTS ชี้เบรกได้เบรกสัมปทานรอบใหม่รถไฟฟ้าสายสีเขียว ย้ำรัฐใคร ‘เขี้ยว’ ให้จำไว้เป็นบทเรียน ตอนประมูลสายสีส้มในอนาคตจะได้ไม่พลาดอีก

นายอรรถวิชช์ สุวรรณภักดี เลขาธิการพรรคกล้า โพสต์ข้อความลงเฟสบุ๊กส่วนตัว กรณีเตรียมขึ้นค่าโดยสารรถไฟฟ้าสายสีเขียวตลอดสาย 104 บาท ว่า

“อย่ารีบต่ออายุสัมปทาน BTS รถไฟฟ้าสายสีเขียว วิธีคำนวณค่าโดยสารสุดสาย 104 บาทไม่แฟร์ รัฐยังต่อรองได้ ถ้าบริษัทดังกล่าวเขี้ยวมาก ทดไว้คิดบัญชีตอนเปิดซองประมูลสายสีส้ม เส้นเลือดใหญ่ผ่าใจกลางเมืองเชื่อมกรุงเทพตะวันตก-ตะวันออก”

นอกจากนี้ อรรถวิชช์ ยังได้กล่าวอีกว่า การที่คณะกรรมาธิการการคมนาคม มีมติเอกฉันท์ขอให้ทาง กทม. ชะลอขึ้นค่าโดยสาร เป็นเรื่องที่ถูกต้อง รัฐบาลควรรับฟัง

“ผมเห็นว่า มันเกินไปกับการขึ้นค่าโดยสาร BTS ที่สุดสาย 104 บาท ด้วยหลักคิด ‘วิ่งยาว รถวิ่งไกล ตั๋วยิ่งแพง’ ขนส่งมวลชนคนมากๆ จะมาใช้วิธีแบบแท็กซี่ส่งลูกค้ารายเดียวไม่ได้ ที่ควรจะเป็นคือ ‘วิ่งยาว คนใช้เยอะ ตั๋วต้องยิ่งถูก’ เพราะรัฐใช้เงินแผ่นดินก่อสร้างส่วนต่อขยายให้ เอกชนไม่ได้ลงทุนเองทั้งหมด

“แม้ตัวบริษัทพยายามอธิบายว่าไม่มี ‘ค่าแรกเข้า’ ในส่วนต่อขยายใหม่ แต่คิดเงินเพิ่มตามระยะทาง ‘ที่เขากำหนด’ ผลที่ตามมาขณะนี้คือ ค่าโดยสารเฉลี่ยต่อกิโลเมตรของไทยแพงกว่า ลอนดอน, ฮ่องกง, สิงคโปร์

“ผมอยากเห็นกรุงเทพในอนาคต ใช้รถเมล์ไฟฟ้าวิ่งสั้นๆ ขนคนไปส่งรถไฟฟ้าสายหลัก เพื่อลดจำนวนรถในถนนบรรเทาการจราจร ลดมลพิษฝุ่น PM 2.5 แต่ภาพเหล่านี้คงเกิดยาก ถ้าโครงสร้างราคาตั๋วรถไฟฟ้ายังเป็นแบบเดิม

“สุดท้ายผมเสนอว่าถ้าเจรจาราคาตั๋วไม่ลง บริษัทเขี้ยวลากดินมากหนัก รัฐต้องทดไว้ในใจ เพราะรัฐยังมีไพ่สำคัญในมือคือ ‘รถไฟฟ้าสายสีส้ม’ ที่กำลังประมูลกันในขณะนี้ เพราะโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ถือเป็นอีกตัวแปรสำคัญ เพราะบริษัทเดินรถเอกชนทั้งลอยฟ้าและใต้ดินต่างหมายปอง โดยสายสีส้มจะวิ่งเชื่อมกรุงเทพตะวันตกถึงตะวันออก ผ่ากลางเมือง เกาะรัตนโกสินทร์, ลอดแม่น้ำเจ้าพระยา ผ่านย่านสำคัญๆ เพียบ และเชื่อมโยงกับรถไฟฟ้าสายอื่นครบ”

เรียกว่าใครได้ไป จะเป็นเบอร์ 1 คุมระบบรางการขนส่งมวลชนเมืองหลวงทันที...

“ฉะนั้นการประมูลสายสีส้มต้องดูเทคนิคดีๆ เพราะทั้งเจาะอุโมงค์ลอดแม่น้ำ และมุดใต้ดินผ่านโบราณสถานหลายแห่ง ส่วนราคาก็ต้องระวัง อย่าให้ซุกตัวเลขทำให้ตั๋วราคาแพงในอนาคต

“บทเรียนจากสายสีเขียว คงจะช่วยให้รัฐตัดสินใจกับสายสีส้มได้อย่างถูกต้อง อย่าให้ประชาชนถูกเอาเปรียบ” อรรถวิชช์ ทิ้งท้าย


ที่มา: เฟซบุ๊ก อรรถวิชช์ สุวรรณภักดี

ส.ส.ประชาธิปัตย์ ยำใหญ่ กกต.ส่งรายงานช้าไปสามปี ทำงานไร้ประสิทธิผล ปล่อยโกงเกลื่อนประเทศ ชี้ เลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา เลวร้ายที่สุดในรอบ 30 ปี ทำประชาธิปไตยถดถอย หวังพลิกโฉมการเมือง ให้บัตรเลือกตั้ง มีอำนาจกกว่ากระสุน

ดร.พิมพ์รพี พันธุ์วิชาติกุล ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ ลุกขึ้นอภิปรายในการประชุมสภา ระหว่างการรับทราบรายงานผลการปฏิบัติงาน กกต.ประจำปี 2561 โดยตำหนิว่าเป็นการนำรายงานเข้าสู่สภาที่ล่าช้าเกินไปถึงสามปี จะมีผลกระทบต่อรายงานครั้งถัดไปที่จะช้าออกไปสามปีเช่นเดียวกัน

พร้อมตั้งข้อสังเกตถึงการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมาว่า เลวร้ายที่สุดในรอบสามสิบปี ซึ่งตนเชื่อในการเมืองระบอบประชาธิปไตย และการเลือกตั้งที่สุจริต มีนายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎรเป็นต้นแบบ ทั้ง ๆ ที่เราคาดหวังการเลือกตั้งที่ดีขึ้น แต่กลับเลวร้ายลง ประชาธิปไตยถดถอย ประชาชนยากจน ทำให้เกิดการซื้อเสียงง่ายขึ้น หนึ่งหมู่บ้านเลือก 20 คน เป็นแกนนำ 20 คนดูแลคนในครอบครัว 20 คน ซื้อเสียงตามสบาย เพราะไม่มีใครขายครอบครัวตัวเอง 20 คูณ 20 เท่ากับ 400 เสียง เอาแค่ครึ่งเดียว 200 เสียง บางพื้นที่ปรากฏหนึ่งหมู่บ้านได้ 200 เสียงทั้งอำเภอ ไม่สงสัยบ้างหรือว่าเกิดอะไรขึ้น

“ภาคใต้ของดิฉันไม่เคยซื้อสิทธิ ขายเสียง ประชาชนมีความภูมิใจในการสั่งส.ส.ให้ทำงาน แต่วันนี้ก้มหน้าสารภาพบาปมีการซื้อสิทธิ ขายเสียง จนสมเพชตัวเองหมดแล้ว กกต.ทำอะไรอยู่ พัทลุง ซื้อเสียงจนจะยิงกันตายอยู่แล้ว แต่กกต.บอกไม่ผิด ซื้อไก่ กกต.ท้องถิ่นบอกผิด ส่วนกลางบอกไม่ผิด ใช้กฎหมายเล่นเล่ห์ เพทุบาย

กกต.ต้องใช้งบประมาณ เพื่อไม่ให้เกิดการซื้อสิทธิ ขายเสียง ดิฉันเกิดมาซื้อเสียงไม่เป็น ถ้าซื้อคงแพ้ เพราะซื้อไม่เก่ง คนอย่างดิฉันและพรรคประชาธิปัตย์ จะต้องแพ้อีกขนาดไหนเพราะปัญหานี้ กกต.ต้องทำให้บัตรเลือกตั้งมีอำนาจมากกว่ากระสุน ประชาชนไม่เชื่อ เหยียดหยาม กกต. เหมือนที่เหยียดหยาม ส.ส. ปลาเน่าตัวเองเน่าทั้งเข่ง จะอยู่อย่างนี้อีกนานไหม

จะตอบคำถามลูกหลานอย่างไร จะสร้างความเปลี่ยนแปลงการเมืองอย่างไร ให้บัตรเลือกตั้งส่งผลต่อประชาธิปไตย อย่าให้การเมืองเสียหายเพราะการซื้อสิทธิ ขายเสียง จากการคอร์รัปชันบ้านเมือง ฝาก กกต.ชี้แจงให้ชัดแก้อย่างไรในการรายงานต่อสภาครั้งหน้า” ดร.พิมพ์รพีกล่าว

‘จุรินทร์ - นิพนธ์’ อนุมัติแผนงบประมาณกว่า 20,000 ล้านบาท ดัน 650 โครงการ เตรียมพัฒนากลุ่มจังหวัดภาคใต้ กระตุ้นภาคการเกษตร-ท่องเที่ยว ย้ำ พัฒนาเศรษฐกิจจากฐานรากเพื่อสร้างความเข้มแข็ง

ที่อาคารรัฐสภา ได้มีการประชุมคณะอนุกรรมการบูรณาการนโยบายพัฒนาภาคใต้และภาคใต้ชายแดน เป็นการประชุมคณะอนุกรรมการบูรณาการนโยบายพัฒนาภาคใต้และภาคใต้ชายแดน (อ.ก.บ.ภ. ภาคใต้และภาคใต้ชายแดน) ครั้งที่ 1/2564 ที่ห้องประชุม401 โดยมีนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.พาณิชย์ เป็นประธาน พร้อมด้วยนายนิพนธ์ บุญญามณี รมช. มหาดไทยและหัวหน้าคณะทำงานกลั่นกรองแผนงานโครงการ อ.ก.บ.ภ. ภาคใต้และภาคใต้ชายแดน เข้าร่วม

โดยที่ประชุมได้พิจารณาแผนงบประมาณการพัฒนาพื้นที่ภาคใต้ และกลุ่มจังหวัดชายแดนใต้ ซึ่งมีมติเห็นชอบ ประกอบด้วย 1.) แผนงานโครงการของส่วนราชการภายใต้แผนปฏิบัติราชการภาคใต้และแผนปฏิบัติภาคใต้ชายแดน ปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 2.) แผนพัฒนาจังหวัด /กลุ่มจังหวัด (พ.ศ.2561-2565) ฉบับทบทวน ของภาคใต้และภาคใต้ชายแดน 3.) ผลการพิจารณาแผนปฏิบัติราชการของจังหวัดและกลุ่มจังหวัดภาคใต้ และภาคใต้ชายแดน ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2565 4. การเปลี่ยนแปลงโครงการตามแผนปฏิบัติราชการ ของจังหวัดและกลุ่มจังหวัดภาคใต้และภาคใต้ชายแดน ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 (กรณีกระทบต่อกลุ่มเป้าหมายหรือวัตถุประสงค์ของโครงการ)

ทั้งนี้ในส่วนแผนงานของการอนุมัติแผนในที่ประชุมนั้น มีการอนุมัติโครงการทั้งสิ้น 650 โครงการ งบประมาณจำนวนกว่า 19,807.08 ล้านบาท โดยโครงการทั้งหมด ที่ประชุมได้กลั่นกรองเห็นชอบเบื้องต้นเพื่อนำเสนอต่อคณะกรรมการบูรณาการนโยบายพัฒนาภาค (ก.บ.ภ).ที่มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธานเพื่อพิจารณาอนุมัติอีกครั้งในวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2564 นี้

นายนิพนธ์ กล่าวว่า "ในฐานะที่ตนเป็นประธานคณะทำงานช่วยอำนวยการพิจารณากลั่นกรองแผนงานโครงการ อ.ก.บ.ภ. ภาคใต้และภาคใต้ชายแดน นั้น ได้ไปติดตามการประชุมพิจารณากลั่นกรองแผนปฏิบัติราชการประจำปีจังหวัดและกลุ่มจังหวัดภาคใต้ทุกกลุ่มด้วยตนเอง ทั้งภาคใต้ชายแดน ภาคใต้ฝั่งอ่าวไทย ภาคใต้ฝั่งอันดามัน

ซึ่งเป็นการไปดำเนินการตามแผนงานร่วมกับทุกภาคส่วนในพื้นที่เพื่อการจัดทำโครงการขอรับการสนับสนุนงบประมาณประจำปี พ.ศ.2565 โดยวางหลักในเรื่องการพัฒนาเศรษฐกิจฐานราก การสร้างงานสร้างรายได้ให้แก่พี่น้องประชาชนที่สอดคล้องกับบริบทของแต่ละพื้นที่ ทั้งภาคการเกษตร ภาคการท่องเที่ยว เพื่อให้ระบบเศรษฐกิจของประเทศเกิดความเข้มแข็งจากระดับล่าง ประชาชนพึ่งพาตนเองได้"

‘บิ๊กบี้’ ตรวจเยี่ยมกำลังพล บริจาคโลหิตให้สภากาชาดไทย ได้รับผลกระทบ 'โควิด' ระบาด ทำขาดแคลนเลือด ย้ำแนวคิดให้ทหารบริจาคโลหิตอย่างต่อเนื่องทุก 3 เดือน ตามวงรอบของตัวเอง เพื่อให้มีโลหิตสำรอง

พล.อ.ณรงค์พันธ์ จิตต์แก้วแท้ ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ตรวจเยี่ยมให้กำลังใจกำลังพลและจิตอาสา ที่ร่วมบริจาคโลหิต ตามโครงการ "จิตอาสาร่วมบริจาคโลหิตเพื่อชาติ" เพื่อสำรองไว้ช่วยเหลือประชาชนในเหตุฉุกเฉิน และภาวะขาดแคลนโลหิตจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด19

ผู้บัญชาการทหารบก กล่าวว่า ตลอดช่วงเวลา ที่เปิดโครงการตั้งแต่วันที่ 11 มกราคมที่ผ่านมา มีกำลังพลและจิตอาสาส่วนกลางและภูมิภาคบริจาคโลหิต กว่า 1 หมื่นนาย ล่าสุดจนถึงเมื่อวานนี้ได้โลหิตมากกว่า 2,600,000 ซีซี

ผู้บัญชาการทหารบก กล่าวอีกว่า ที่ผ่านมาทหารบริจาคโลหิตอย่างตลอด แต่เนื่องจากมีวิกฤต จึงมีแนวคิดให้ทหารบริจาคโลหิตอย่างต่อเนื่อง ทุก 3 เดือน ตามวงรอบของตัวเอง เพื่อให้มีโลหิตสำรองอย่างต่อเนื่อง

ทั้งนี้ที่ผ่านมาประชาชนได้ร่วมบริจาคโลหิตอยู่แล้ว แต่เนื่องจากติดปัญหาความไม่สะดวกจากภาวะโควิด 19 ซึ่งถือเป็นเรื่องที่ดีที่คนไทยช่วยกัน

พล.อ.ณรงค์พันธ์ กล่าวว่า ถือเป็นภารกิจสำคัญของกองทัพในการสนับสนุนและช่วยเหลือภัยพิบัติโควิด 19 โดยกำลังพลจะทำงานต่อเนื่อง ด้วยความทุ่มเทและเสียสละ ทั้งกำลังพลที่อยู่ใน state quarantine จุดคัดกรองชั้นใน ตามแนวชายแดนทหารช่าง สร้างโรงพยาบาลสนาม รวมทั้งในหน่วยทหารเอง ก็พร้อมรองรับเป็นโรงพยาบาลสนามหากเหตุการณ์วิกฤตขั้น 2 และ 3 รวมทั้งสนับสนุนภารกิจตามนโยบายของรัฐบาลทุกอย่าง จนกว่าสถานการณ์จะดีขึ้น

ผู้ใช้เฟซบุ๊ก Cameron Reiser แชร์ประสบการณ์ การช่วยเหลือจากรัฐบาลสหรัฐอเมริกา ซึ่งมีชาวเน็ตแสดงความคิดเห็นและแชร์ออกไปจำนวนมาก โดยข้อความระบุว่า “แชร์ประสบการณ์สวัสดิการช่วยเหลือจากรัฐบาลสหรัฐฯ”

วันนี้ผมพึ่งได้รับเช็คจากการช่วยเหลือของรัฐบาล เป็นครั้งที่สอง ซึ่งครั้งนี้รัฐบาลจ่ายให้จำนวน $600 ต่อคน (18,000 บาท)

ผมกับแบรนดอนได้มาคนละใบ = $1200 (36,000 บาท)

ถ้ารวมครั้งแรกที่รัฐบาลเคยจ่ายให้ คนละ $1200 ผมได้มาสองคนเท่ากับ $2400 (72,000 บาท) และหลังจากประธานาธิบดีไบเดนได้รับตำแหน่งแล้ว มีการประกาศแล้วว่าจะจ่ายให้อีกคนละ $1400 (42,000)

รวมทั้งหมดที่รัฐบาลสหรัฐฯจ่ายให้ต่อคน 3 ครั้ง = $3200 หรือ 96,000 บาทโดยที่ไม่ต้องลงทะเบียน ไม่ต้องยื่นอะไรทั้งนั้น รวยจนจ่ายเท่ากันหมด ได้รับเป็นเช็คที่สามารถขึ้นเงินได้ทันที และรัฐบาลจ่ายให้กับทุกคนที่มีเลขเสียภาษี ซึ่งประชากรเกือบทุกคนจะมีเลขเสียภาษีติดตัวอยู่แล้ว

รัฐบาลที่นี่เค้ามองว่าการที่ได้ช่วยเหลือประชาชน ก็ยังได้ช่วยเหลือเศรษฐกิจในประเทศด้วย เพราะเงินที่ประชาชนนำไปใช้ ก็ต้องมีการชำระภาษีมูลค่าเพิ่มวนกลับมาให้รัฐบาลได้อีกอยู่ดี

ทั้งๆ ที่ประชากรอเมริกันมีมากถึง 328 ล้านคน รัฐบาลจ่ายให้แทบทุกคนโดยไม่มีข้อแม้ ไม่ต้องจ่ายคนละครึ่ง ไม่ต้องแย่งกันลงทะเบียนแต่เช้า

นี่แหละครับวิธีที่จะช่วยเหลือพลเมืองของชาติได้อย่างแท้จริง แถมยังพ่วงด้วยการกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศได้อย่างเต็มที่มากๆ

มองกลับไปที่บ้านเรา ผมสงสารหลายๆ คนที่ได้รับสวัสดิการเช่นนั้น ทั้งที่ประชากรก็อยู่ในเกณฑ์ที่รัฐบาลสามารถจ่ายให้ได้แทบทุกคน

อย่างไรก็ตาม ชาวเน็ตบางส่วนที่เข้าไปติดตาม ก็มีการแย้งว่า "เสียภาษีเท่าโรฮิงยา แต่อยากได้การเยียวยาเท่าสวิสฯ...ประเทศแถวเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ประเทศหนึ่ง" รวมถึงยังกล่าวอีกว่า "การเก็บภาษีในไทยกับสหรัฐฯ ต่างกัน การเยียวยา จึงไม่มีทางได้เช่นเดียวกัน"


ที่มา/ภาพ: เฟซบุ๊ก Cameron Reise

‘แรมโบ้’ ซัด ‘ธนาธร’ เลิกทำตัวเป็นลูกคุณหนู นรกมีจริงไม่ต้องรอชาติหน้า รับผลกรรมในชาตินี้แน่นอน ยืนยันการจัดหาวัคซีนโควิด นายกฯ ย้ำต้องทั่วถึงปลอดภัย ทำถูกต้องตามขั้นตอน ยันแจ้งความเอาผิด ม.112 ทำในนามส่วนตัวไม่เกี่ยวข้อง ’บิ๊กตู่’

นายสุภรณ์ อัตถาวงศ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า ออกมาวิพากษ์วิจารณ์การจัดซื้อวัคซีนโควิด โดยอ้างไม่ได้หวังผลประโยชน์ และระบุว่ารัฐบาลแจ้งความ ม.112 เพื่อปิดปากนั้น ว่า ไม่มั่นใจที่นายธนาธรออกมาพูดนั้นเป็นการทำเพื่อประโยชน์ของประชาชนอย่างแท้จริง เพราะสวนทางกับพฤติกรรมที่ผ่านมาซึ่งล้วนแต่ทำไปเพื่อหวังผลประโยชน์ทางการเมืองของตนเองเท่านั้น

และบางอย่างอาจนำไปสู่ความขัดแย้งในสังคม โดยไม่สนใจว่าแท้จริงแล้วประเทศต้องการความร่วมมือในการให้ความช่วยเหลือประชาชน ซึ่งหากนายธนาธร อยากทำประโยชน์เพื่อประชาชนอย่างแท้จริงก็ไม่ควรออกมาสร้างความวุ่นวายสนับสนุนม็อบ ออกมาลงถนนตั้งแต่แรก

นายสุภรณ์ กล่าวว่า ส่วนที่นายธนาธรออกมาวิพากษ์วิจารณ์การจัดหาวัคซีนของไทยนั้น พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ย้ำเสมอว่าคนไทยทุกคนต้องได้รับการฉีดวัคซีน และต้องปลอดภัยสูงสุด เพราะนายกฯ และรัฐบาล ได้ให้ความสำคัญกับประชาชนเป็นอันดับแรก นอกจากนี้กระทรวงสาธารณสุขได้ออกมาชี้แจงแล้ว รวมทั้งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ก็ยืนยันการจัดหาวัคซีนโควิด เป็นไปตามขั้นตอนของมติคณะรัฐมนตรีและยังสามารถไปค้นดูจากมติคณะรัฐมนตรีทุกอย่างเป็นไปตามขั้นตอน โปร่งใส 100%

“การที่นายธนาธรระบุว่าการแจ้งความมาตรา 112 และ พ.ร.บ. คอมพิวเตอร์ เป็นการทำเพื่อผลทางการเมืองนั้น ขอยืนยันว่าการที่ตนเองและคณะไปแจ้งความดำเนินคดีกับนายธนาธร ไม่ได้เป็นการสั่งการจากนายกฯที่ให้ไปแจ้งความในนามรัฐบาล นายกฯไม่ได้มอบให้ไปแจ้งความดำเนินคดี แต่พวกตนเองทำไปในนามส่วนตัวและถือว่าเป็นหน้าที่

ในฐานะที่เป็นผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี ตนถือเป็นประชาชนคนหนึ่งที่ทนไม่ได้กับพฤติกรรมของนายธนาธร ที่มีการพูดจาบจ้วงสถาบัน พยายามดึงสถาบันมาเกี่ยวข้องกับเรื่องการเมือง ไม่หยุด ทำผิดกฎหมายมาตรา112 ที่เป็นการละเมิดกฎหมายอย่างชัดเจน อีกทั้งยังปั้นแต่งเรื่องโจมตีนายกฯและรัฐบาล เพียงเพราะความอิจฉา อาฆาตแค้นส่วนตัว”นายสุภรณ์กล่าว

นายสุภรณ์ กล่าวว่า ขอนายธนาธรอย่าทำตัวเป็นลูกคุณหนูเอาแต่ใจตัวเอง เพราะโตเป็นผู้ใหญ่แล้วต้องมีความคิด ไม่ใช่ทำอะไรไม่ได้ดั่งใจก็โทษคนอื่น โทษการเมือง แต่ไม่ย้อนดูตัวเองว่าได้ทำผิดกฎหมายอะไรไปบ้าง อย่าใช้แต่อารมณ์ ความฐิติอาฆาตมาดร้ายมาทำลายประเทศชาติ ประชาชน ที่กำลังต้องการความช่วยเหลือจากทุกภาคส่วน และอยากบอกนายธนาธรที่มีฐานะร่ำรวยว่า ไม่มีวันที่จะเข้าใจประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนอย่างแท้จริง เพราะนายธนาธรไม่เคยใส่ใจเรื่องของประชาชนเลย ยกเว้นเรื่องของตนเองและครอบครัว

อีกทั้งการที่จะออกมาวิพากษ์วิจารณ์ในเรื่องใดนั้น ก็ควรคิดถึงหัวอกของประชาชนด้วย รวมถึงการที่นายธนาธรออกมาจาบจ้วงสถาบัน สนับสนุนอยู่เบื้องหลังผู้ที่ทำการจาบจ้วงสถาบัน ถือเป็นการทำร้ายจิตใจประชาชนคนไทยที่จงรักภักดี นายธนาธรเป็นคนเนรคุณแผ่นดินเกิดของตัวเอง ไม่สำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ ก็ไม่สมควรอยู่ในประเทศนี้อีกต่อไปและมั่นใจว่าคนไทยส่วนใหญ่ก็คิดเช่นเดียวกัน

“ขอร้องอย่าเอาเรื่องของวัคซีนที่รัฐบาลเอามารักษาชีวิตประชาชน มาโยงใยเล่นตีกินทางการเมืองและทำลายสถาบัน เพราะประชาชนคนไทยจะสาปแช่งให้วิบัติมีอันเป็นไป ซึ่งไม่ผลเป็นดีต่อครอบครัวของนายธนาธร แผ่นดินไทยสิ่งศักดิ์สิทธิ์มีจริงใครคิดร้ายต่อแผ่นดินและบ้านเมือง บาปกรรมมีจริงนรกมีจริง ไม่ต้องไปรอรับกรรมในชาติหน้า แต่จะได้รับผลกรรมตามทันในชาตินี้อย่างแน่นอน ไม่เชื่อรอดู" นายสุภรณ์กล่าว

สถานการณ์ COVID-19 ประเทศไทยและอาเซียน (22 มกราคม พ.ศ. 2564)

ศูนย์ข้อมูล COVID-19 รายงานสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ประจำวัน โดยประเทศไทยพบจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่ม 309 ราย ทำให้ยอดผู้ป่วยยืนยันสะสมอยู่ที่ 13,104 ราย รวมยอดผู้เสียชีวิต 71 ราย รักษาหายเพิ่ม 382 ราย รวมผู้ป่วยที่รักษาหายแล้ว 10,224 ราย ยังคงรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล 2,809 ราย

ทั้งนี้ ผู้ป่วยรายใหม่ 309 ราย เป็นผู้เดินทางมาจากต่างประเทศ และเข้าพักสถานที่กักกันที่รัฐจัดให้ จากเลบานอน 1 ราย ,สหราชอาณาจักร 2 ราย ,เอสโตเนีย 1 ราย ,สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ 1 ราย ,อิตาลี 2 ราย ,ซูดาน 2 ราย ,สวิตเซอร์แลนด์ 1 ราย ,ศรีลังกา 1 ราย ,เยอรมนี 1 ราย

ผู้ป่วยรายใหม่ จากระบบเฝ้าระวังและระบบบริการฯ จำนวน 80 ราย

ค้นหาผู้ติดเชื้อเชิงรุกในชุมชน 217 ราย

ขณะเดียวกันสถานการณ์ COVID-19 ของประเทศในกลุ่มอาเซียนมีการอัพเดทดังนี้

ประเทศบรูไน ดารุสซาลาม ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 174 ราย รักษาหายแล้ว 169 ราย เสียชีวิต 3 ราย

ประเทศกัมพูชา ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 456 ราย รักษาหายแล้ว 399 ราย ไม่มียอดผู้เสียชีวิต

ประเทศอินโดนีเซีย ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 9.52 แสน ราย รักษาหายแล้ว 7.73 แสน เสียชีวิต 27,203 ราย

ประเทศลาว ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 41 ราย รักษาหายแล้ว 41 ราย ไม่มียอดผู้เสียชีวิต

ประเทศมาเลเซีย ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 1.73 แสน ราย รักษาหายแล้ว 1.3 แสน ราย เสียชีวิต 642 ราย

ประเทศพม่า ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 1.36 แสน ราย รักษาหายแล้ว 1.2 ราย เสียชีวิต 3,013 ราย

ประเทศฟิลิปปินส์ ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 5.08 แสน ราย รักษาหายแล้ว 4.67 แสน ราย เสียชีวิต 10,116 ราย

ประเทศสิงคโปร์ ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 59,235 ราย รักษาหายแล้ว 58,959 ราย เสียชีวิต 29 ราย

ประเทศเวียดนาม ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 1,546 ราย รักษาหายแล้ว1,411 ราย เสียชีวิต 35 ราย

นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม ประธานไทยภักดี และรักษาการหัวหน้าพรรคไทยภักดี โพสต์อธิบายข้อเท็จจริงๆ เกี่ยวกับหลักการจัดหาและใช้งานวัคซีนโควิด-19 ของประเทศไทยถึง นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้าว่า...

"วันนี้ปฏิเสธไม่ได้ว่ามีหลายประเทศจัดหาวัคซีนได้มากกว่าจำนวนประชากร โดยบางประเทศได้ถึง 200-300 เปอร์เซ็นต์ของจำนวนประชากร ขณะที่ประเทศไทยเราแค่ 21.5 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น"

นี่คือข้อความที่นายธนาธรแถลง เรื่องวัคซีนโควิด และถือว่าบิดเบือนจากความเป็นจริง อาจจะไม่เข้าใจเรื่องทางการแพทย์ ซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะตัวที่เห็นคนอื่นทำในสิ่งที่ดีกว่าตนเองไม่ได้ ต้องพยายามนำเสนอว่าตนเองนั้น มีอะไรที่เหนือกว่า

ถ้าจำกันได้ ตั้งแต่เริ่มเป็นนักการเมือง เขาให้แสดงความโปร่งใส แต่ตนเองใช้ไบลด์ทรัสต์ เขาจะทำรถไฟความเร็วสูง แต่ตนเองจะทำไฮเปอร์ลูป เขาแจก 5,000 บาท แต่ตนเอง 3,500 บาทถ้วนหน้าโดยไม่พิสูจน์ความจน มาถึงเรื่องวัคซีนโควิด ก็พยายามสื่อสารว่า มีบางประเทศจัดหาได้ถึง 200-300 เปอร์เซ็นต์ของประชากร เพื่อมาเกทับประเทศไทย

ตัวเลขตัวเลข 200-300% ที่นายธนาธรเสนอ ก็แสดงให้เห็นว่ารับรู้ไม่จริงและบิดเบือน ด้วยหลักการฉีดวัคซีน ในเชิงวิชาการของโรคระบาด ไม่มีใครฉีด 100% ของประชากร เขาฉีดประมาณ 60-80% ของประชากร เพราะจะ 'เกิดภูมิคุ้มกันหมู่' ตามมา การที่บอกว่าบางประเทศจัดหา 200-300% ของประชากร จึงพูดแบบมั่วๆ

ที่สำคัญคุณควรต้องศึกษาด้วยว่า ขณะนี้วัคซีนโควิด ยังไม่มีการทดลองในเด็ก จึงยังไม่มีประเทศไหนในโลกนี้ฉีดในเด็ก แม้แต่ไฟเซอร์ เพิ่งจะเริ่มงานวิจัยไม่นาน ที่จะทดลองฉีดในเด็กอายุ 12 ปี และวิจัยในเด็กอายุ 15-16 ปี ในปัจจุบันเขาจึงห้ามฉีดในเด็กอายุ ต่ำกว่า 16 ปี

ที่สำคัญถ้าคุณไม่อคติจนเกินไป ได้พูดกับอาจารย์แพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ประเทศเรามีประชากรประมาณ 66 ล้านคน ถ้าตัดเด็กอายุ 16 ปีลงมา จะเหลือประมาณ 55 ล้านคน หลักการฉีดวัคซีน และให้เกิดภูมิคุ้มกันหมู่ คิดที่ 60% เท่ากับว่าเราจะฉีด 33 ล้านคน ขณะนี้เราสั่งวัคซีนแล้ว ของแอสตร้า เซเนก้า 26 ล้านโด๊ส ของซิโนแวค 2 ล้านโด๊ส

ที่สำคัญการฉีดให้คนหลายสิบล้านคน ไม่ใช่ใช้เวลาแค่เดือนสองเดือน แต่ต้องใช้เวลาหลายเดือนกว่านั้นมาก ส่วนเข็มที่สองห่างจากเข็มแรกประมาณเกือบหนึ่งเดือน ดังนั้น ในทางวิชาการ จึงไม่ใช่เลวร้ายอย่างที่นายธนาธรนำเสนอ ให้ประชาชนเข้าใจผิด

ที่สำคัญวัคซีนนั้นเป็นตัวเพิ่มภูมิต้านทานให้แก่ร่างกาย แต่ก็ยังอาจป่วยได้ แต่ไม่รุนแรง เมื่อเทียบสัดส่วนประชากรที่ป่วยกับจำนวนประชากร ในวงการแพทย์ถือว่า การที่ประชาชนไทยระมัดระวังตัวเอง การวางแผนเรื่องการฉีดวัคซีนนี้ จึงยังไม่เป็นปัญหา

ถ้านายธนาธรจะลดความอคติ ชิงชัง หาความรู้ทางวิชาการเพิ่มอีกสักหน่อยจะดีกว่านี้ ไม่ใช่เมื่อเจอความจริง ก็จะหันเหด้วยการจะดูเอกสารสัญญา

ช่วงนี้นายธนาธรน่าจะทำตามผลโพลที่ประชาชนต้องการนั่นคือ ประชาชนร้อยละ 96.6 แนะนำให้นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ออกมาเคลียร์ปมที่ประชาชนเคลือบแคลงสงสัย เช่น การบุกรุกป่าของมารดาของนายธนาธรฯ ภาษีเรือยอร์ช การปลดพนักงาน แรงงานของบริษัทฯ เงินบริจาคช่วยเหยื่อโควิดที่แจกไม่หมดนำไปใช้จ่ายอย่างอื่น น่าจะดูดีกว่า


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top