Sunday, 22 June 2025
TheStatesTimes

‘ดร.สามารถ ราชพลสิทธิ์’ เผย ผู้ใช้บริการสายสีส้มเตรียมเฮ หลังรฟม. ส่งสัญญาณหั่นราคาตั๋ว ‘สายสีส้ม’ จาก 17-62 บาท เหลือ 15-45 บาท แต่ยังหวั่นเป็นปมต้องแก้ในอนาคต เหตุราคาไม่ตรงกับเอกสารเลือกเอกชนร่วมลงทุน

ดร.สามารถ ราชพลสิทธิ์ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ โพสต์ข้อความผ่านทางเฟซบุ๊กส่วนตัว ‘ดร.สามารถ ราชพลสิทธิ์ - Dr.Samart Ratchapolsitte’ ถึงกรณีรฟม.ประกาศปรับลดราคาค่าโดยสารรถไฟฟ้าสายสีส้ม ระบุว่า

เป็นเรื่องที่น่ายินดีอย่างยิ่งที่ รฟม.ออกมาประกาศก้องว่าจะลดค่าโดยสารรถไฟฟ้าสายสีส้มจาก 17 - 62 บาท เหลือ 15 - 45 บาท จะทำได้จริงหรือไม่ ต้องติดตาม

หลังจากผมได้เขียนบทความเรื่อง "ว่าแต่เขาอิเหนาเป็นเอง! ค่าตั๋วรถไฟฟ้าสายสีส้มพอๆ กับสายสีเขียวที่ กระทรวงคมนาคมแย้งว่าแพง" ไปเมื่อวันที่ 23 มกราคม 2564 ทำให้การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) ต้องออกมาชี้แจงเมื่อวันที่ 25 มกราคม 2564

เนื้อหาในบทความของผมสรุปได้ว่าจากเอกสารสำหรับคัดเลือกเอกชนเข้าร่วมลงทุน (Request for Proposal หรือ RFP) โครงการรถไฟฟ้าสายสีส้มของ รฟม.ระบุค่าโดยสาร ณ วันที่ 1 มกราคม 2566 ราคา 17 - 62 บาท ซึ่งเป็นอัตราใกล้เคียงกับค่าโดยสารรถไฟฟ้าสายสีเขียว แต่ถูกกระทรวงคมนาคมแย้งว่าค่าโดยสารรถไฟฟ้าสายสีเขียวแพง ดังนั้น ค่าโดยสารรถไฟฟ้าสายสีส้มก็ต้องถือว่าแพงเช่นกัน ผมจึงเรียกร้องให้กระทรวงคมนาคมพิจารณาลดค่าโดยสารลงมา

ในที่สุด รฟม.ในสังกัดกระทรวงคมนาคมได้ออกโรงมาชี้แจงว่าค่าโดยสารที่ระบุไว้ใน RFP ราคา 17-62 บาทนั้น ใช้เฉพาะให้เอกชนยื่นข้อเสนอร่วมลงทุนโดยใช้สมมติฐานค่าโดยสารเดียวกันในการคำนวณรายได้จากค่าโดยสาร แต่เมื่อเปิดใช้งานจริง รฟม.จะลดค่าโดยสาร (ช่วงตะวันออก) ลงเหลือ 15 - 45 บาท การชี้แจงดังกล่าวเป็นไปตามที่ผมเรียกร้องให้หั่นค่าโดยสารลงมา เนื่องจากรถไฟฟ้าสายสีส้มได้รับเงินสนับสนุนด้านงานโยธาจากรัฐบาล ดังนั้น รฟม.จึงสามารถทำให้ค่าโดยสารถูกลงได้

ผมดีใจที่ รฟม.รับปากว่าจะลดค่าโดยสารรถไฟฟ้าสายสีส้ม และเข้าใจดีว่าทำไม รฟม.ต้องออกมาชี้แจงเช่นนั้น

การลดค่าโดยสารให้ต่ำลงจากที่ระบุไว้ใน RFP ถือเป็นครั้งแรกในการประมูลคัดเลือกเอกชนเข้าร่วมลงทุนกับรัฐ การประมูลโครงการอื่นที่ผ่านมาไม่เคยเป็นเช่นนี้ ยกตัวอย่างเช่น การประมูลคัดเลือกเอกชนเข้าร่วมลงทุนในโครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพูและสายสีเหลือง รฟม.ระบุค่าโดยสารใน RFP ราคา 14 - 42 บาท เมื่อเปิดใช้งานจริง รฟม.ก็จะเก็บในอัตรานี้

รฟม.อ้างว่าเหตุที่ระบุค่าโดยสารรถไฟฟ้าสายสีส้มไว้ใน RFP ราคา 17 - 62 บาท แต่ของจริงจะเก็บ 15-45 บาท เป็นเพราะต้องการให้เอกชนยื่นข้อเสนอโดยใช้สมมติฐานเดียวกัน นั่นคือค่าโดยสาร 17 - 62 บาท ถามว่าทำไม รฟม.จึงไม่ระบุให้เอกชนใช้ค่าโดยสารจริงคือ 15 - 45 บาท เป็นบรรทัดฐานเดียวกันในการคำนวณรายได้จากค่าโดยสาร ซึ่งสามารถทำได้ และ รฟม.ได้ทำมาแล้วในการประมูลโครงการรถไฟฟ้าอื่นทุกโครงการ

ผมเห็นด้วยที่ค่าโดยสารรถไฟฟ้าสายสีส้มจะถูกลง แต่การลดค่าโดยสารแบบที่ รฟม.กำลังจะทำ จะก่อให้เกิดปัญหาต่อ รฟม. ดังนี้

1.) เอกชนผู้ชนะการประมูลจะขอลดผลตอบแทนที่เขาจะแบ่งให้ รฟม. เนื่องจากเขาคำนวณผลตอบแทนโดยใช้อัตราค่าโดยสาร 17 - 62 บาท เป็นฐานในการคำนวณ หาก รฟม.ลดค่าโดยสารลง ผลตอบแทนย่อมลดตามลงด้วย ด้วยเหตุนี้ รฟม.พร้อมจะรับผลตอบแทนน้อยลงหรือไม่?

2.) เอกชนผู้แพ้การประมูลจะร้องขอความเป็นธรรมจาก รฟม. เขาอาจอ้างว่าเขาสามารถเพิ่มผลตอบแทนแก่ รฟม. ให้สูงกว่าผลตอบแทนของผู้ชนะการประมูลที่ลดลงมาแล้วก็ได้ เพื่อทำให้เขาเป็นผู้ชนะการประมูล

หาก รฟม.ระบุอัตราค่าโดยสารใน RFP ให้ตรงกับความเป็นจริงที่จะใช้เมื่อเปิดเดินรถไฟฟ้า ปัญหาดังกล่าวก็จะไม่เกิดขึ้น

การออกมาชี้แจงเรื่องค่าโดยสารรถไฟฟ้าสายสีส้มถือว่าเป็นการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าของ รฟม.หรือไม่? แต่ปัญหาที่จะเกิดตามมาและรออยู่ข้างหน้า รฟม.จะทำอย่างไร? รวมถึงกรณีที่มีการแก้หลักเกณฑ์การประเมินคัดเลือกเอกชนเข้าร่วมลงทุนในโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้มหลังจากปิดการขาย RFP แล้ว ซึ่งอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลปกครองสูงสุด ปัญหาเหล่านี้จะสร้างความยุ่งยากให้แก่ รฟม.ในภายหลังอย่างแน่นอน

ผมดีใจล่วงหน้าแทนผู้โดยสารรถไฟฟ้าที่จะจ่ายค่าโดยสารถูกลง แต่ก็เห็นใจ รฟม.จริงๆ ที่ต้องออกมาชี้แจงเช่นนี้

ข้อสงสัยและข้อสังเกตดังกล่าวข้างต้นจึงเป็นข้อกังขาที่ผมและประชาชนทุกคนชอบที่จะต้องขอคำชี้แจงให้สิ้นสงสัยจากหน่วยงานที่รับผิดชอบโดยตรง ทั้งนี้ก็เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชน ด้วยเจตนาที่จะให้ประชาชนได้รับประโยชน์จากโครงการนี้อย่างเต็มที่ โดยปราศจากข้อสงสัยใด ๆ ทั้งสิ้นเท่านั้นเอง


ที่มา: https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=2270173689794188&id=232025966942314

‘เจิ้งต้ากรุ๊ป’ เครือ ‘ซีพี’ ออกโรง!! แจง!! โรงงานไก่ซีพีในจีน @เมืองฮาร์บิน มณฑลเฮยหลง ติดโควิด!! ‘ไม่เกี่ยว’ จังหวัด – ภูมิภาค - และประเทศอื่นๆ

ก่อนหน้านี้ทาง The States Times ได้รับข้อมูลจากทางแหล่งข่าวในเมืองจีน และได้มีการนำเสนอหัวข้อข่าว...

'ไก่ซีพี' (จีน) มีเชื้อโควิด!!

โรงงานเนื้อแปรรูป 'ซีพี' ในจีนงานเข้า!!

พบเชื้อโควิดใน 'คนงาน – ไก่ - บรรจุภัณฑ์' ทางการจีนสั่งเก็บด่วน!!

โดยอ้างอิงแหล่งข่าวจาก

https://www.globaltimes.cn/page/202101/1213832.shtml

https://www.globaltimes.cn/page/202101/1213595.shtml

https://www.thestandard.com.hk/breaking-news/section/3/164075/China-says-10-infected-with-coronavirus-in-Harbin-at-Thai-Chinese-joint-venture-meat-plant

อย่างไรก็ตาม ข้อมูลข่าวดังกล่าวได้รับการชี้แจงตรงจากทาง ‘เจิ้งต้ากรุ๊ป’ (เครือซีพี) โดยเฉพาะในท่อนที่ว่า...

>>รัฐบาลเฮย์หลงเจียง ออกคำสั่งให้เรียกเก็บสินค้าของโรงงาน CP ที่ผลิตออกสู่ตลาดตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2021 เป็นต้นมา ออกจากชั้นวางสินค้าทุกแห่งทันที ซึ่งสินค้าส่วนใหญ่เป็นเนื้อไก่แปรรูป และชิ้นส่วนไก่ถูกปล่อยออกสู่ตลาดไปแล้วกว่า 2,434 กิโลกรัม ในเมือง ฉีฉีฮาร์, ต้าชิ่ง, เฮย์เหอ และ สุยฮว่า และมีบางส่วนได้ขายออกไปแล้ว ทางการกำลังประสานงานเรียกเก็บสินค้าอยู่<<

โดยทาง เจิ้งต้ากรุ๊ป หรือเครือซีพี ในประเทศจีน ได้มีแถลงการณ์เพื่อสร้างความเข้าใจที่ชัดเจนล่าสุดในวันอังคารที่ 26 มกราคม ว่าเนื้อไก่แปรรูป และชิ้นส่วนไก่ที่อยู่ในบรรจุภัณฑ์ มิได้ติดเชื้อโควิดแต่อย่างใด แต่ถึงกระนั้นก็ได้มีการเก็บบรรจุภัณฑ์ทั้งหมดพ้นจากตลาดแล้ว

สำหรับคำแถลงเกี่ยวกับการรับมือต่อการแพร่ระบาดของโรค Covid-19 จาก ‘เจิ้งต้ากรุ๊ป’ หรือ Heilongjiang Zhengda Industrial Co., Ltd. (https://mp.weixin.qq.com/s/76ewZBzFYCjWT-bewHDkcw) มีรายละเอียดดังนี้

การแพร่ระบาดของ Covid-19 ที่เกิดขึ้นในเมืองฮาร์บิน มณฑลเฮยหลงเจียง เมื่อวันที่ 18 มกราคม ได้แพร่กระจายไปยังโรงงานอาหารของ Heilongjiang Zhengda Industrial Co. , Ltd. ซึ่งเป็น บริษัทย่อยภายในเครือ

หลังจากได้รับแจ้งจากรัฐบาลท้องถิ่น Heilongjiang Zhengda Industrial Co. , Ltd. ได้ตอบสนองอย่างเต็มที่ และให้ความร่วมมืออย่างแข็งขัน ปฏิบัติตามกฎหมาย ข้อบังคับ และยึดถือแนวปฏิบัติตามแผนฉุกเฉินสำหรับการแพร่ระบาดของ Covid-19 โดยเร็วที่สุด การผลิตและการทำงานถูกระงับทันทีและพนักงานทุกคนเข้ารับการกักตัว มีการตรวจหาเชื้อด้วยวิธีการทดสอบกรดนิวคลีอิก โรงงานได้คัดแยกและตรวจสอบผลิตภัณฑ์ในคลังสินค้าอย่างทั่วถึง มีการควบคุมสภาพแวดล้อม ส่วนสินค้าที่อยู่ในท้องตลาด ได้รับการนำกลับและคัดแยกตามระเบียบของทางการ และได้รับการตรวจสอบหาเชื้ออย่างครบถ้วน

ตามประกาศของศูนย์บัญชาการการควบคุมโรค Covid-19 ประจำเมืองฮาร์บิน หน่วยงานกำกับดูแลตลาดในพื้นที่ได้ดำเนินมาตรการต่างๆ เช่น การกำจัดและการจัดเก็บผลิตภัณฑ์ชั่วคราวจากโรงงานอาหารของ Heilongjiang Zhengda Industrial Co., Ltd. ที่ผลิตตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2564 และจะร่วมมือกับหน่วยงานสาธารณสุข ดำเนินการสุ่มตัวอย่างการทดสอบกรดนิวคลีอิกในผลิตภัณฑ์ที่เก็บไว้นอกชั้นวางชั่วคราว

เมื่อเวลา 8:00 น. วันที่ 25 มกราคม มีการสุ่มตัวอย่างทั้งหมด 92,786 ตัวอย่างและได้รับผลการทดสอบ 91,696 ตัวอย่าง...

>> ไม่พบผลลัพธ์ที่เป็นบวกบนอาหารและบรรจุภัณฑ์ด้านใน <<

อย่างไรก็ตาม พบว่าตัวอย่างบรรจุภัณฑ์ด้านนอกจำนวน 9 ตัวอย่างพบว่าเป็นบวก ทั้งหมดอยู่ในเมือง Heihe จังหวัด Heilongjiang 8 แห่งใน Sunwu County และ 1 แห่งใน Lanxi County เมือง Suihua

หลังจากการตรวจสอบข้อมูลการจัดส่งสินค้า พบว่าผลิตภัณฑ์ที่อยู่ในล็อตเดียวกันกับตัวอย่างที่พบผลเชื้อเป็นบวกบนบรรจุภัณฑ์ด้านนอก ได้ถูกนำส่งไปยังจุดจำหน่าย 4 แห่งใน Neiqihar, Daqing, Heihe และ Suihua ในมณฑลเฮยหลงเจียงเมื่อวันที่ 11, 12 และ 16 ผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องได้ถูกนำออกจากชั้นวางและคัดแยกไว้ ในขณะนี้ ยังมีผลิตภัณฑ์ปริมาณ 240 กิโลกรัมที่ขายให้กับเมือง Daqing อยู่ในกระบวนการตรวจสอบ

Heilongjiang Zhengda Industrial Co., Ltd. เป็นโรงงานผลิตอาหารเพียงแห่งเดียวในเครือของเราในมณฑลเฮยหลงเจียง ตั้งอยู่ในเขตพัฒนาเศรษฐกิจและเทคโนโลยี Limin เมืองฮาร์บิน มณฑลเฮยหลงเจียง โรงงานแห่งนี้ผลิตผลิตภัณฑ์ไก่ดิบและผลิตภัณฑ์จากไก่ปรุงสุก

บริษัทขอยืนยันว่าโรงงานผลิตอาหารทั้งหมดในจังหวัดและภูมิภาคอื่นๆ ในเครือเจริญโภคภัณฑ์ ไม่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดครั้งนี้ การผลิตและการดำเนินงานของโรงงานเหล่านี้ยึดหลักปฏิบัติและกฎระเบียบอย่างเคร่งครัด และมีมาตรการป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดเพื่อความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์และผู้บริโภค

บริษัทขอขอบคุณทุกภาคส่วนของสังคมที่ห่วงใยและให้การสนับสนุน

จึงเรียนมาเพื่อโปรดทราบ

เจิ้งต้ากรุ๊ป

26 มกราคม 2564


ทาง The States Times ต้องกราบขอบพระคุณข้อมูลดังกล่าวจากทาง ‘เจิ้งต้ากรุ๊ป’ และขออภัยอย่างสูงที่สร้างความตระหนกต่อประชาชนที่เข้าใจว่าเนื้อไก่ซีพีติดเชื้อโควิดมา ณ โอกาสนี้

ร้านเค้ก ‘Castella Taiwan’ โพสต์แจงกรณีตั้งป้าย ‘ขออนุญาตไม่รับธนบัตรที่ระลึก’ หลังถูกชาวเน็ตโจมตีผ่านโซเชียลอย่างหนัก ระบุ หวั่นเกิดเหตุซ้ำรอย พนักงานทอนเงินผิด รับแบงก์ 100 บาท คิดว่าเป็นแบงก์ 1,000 บาท

จากกรณีกระแสดราม่า ร้านเค้ก ‘Castella Taiwan’ ตั้งป้าย ‘ขออนุญาตไม่รับธนบัตรที่ระลึก’ จนถูกชาวเน็ตโจมตีผ่านโซเชียลอย่างหนัก ล่าสุดทางร้าน ได้ออกมาชี้แจงผ่าน เฟซบุ๊ก Castella Taiwan - คาสเทลล่า ไต้หวัน โดยระบุว่า

จากเหตุการณ์ดังกล่าว มีลูกค้าที่ไม่พอใจจำนวนมาก ทางบริษัทต้องขออภัยอย่างสุดซึ้ง และน้อมรับคำติชม และคำตักเตือนจากลูกค้าทุกท่าน

เนื่องจากช่วงแรก ๆ ที่ธนบัตรที่ระลึกออกมา มีพนักงานของเรา รับธนบัตร 100 บาทมา แต่คิดว่าเป็นแบงค์พันและทอนผิดให้ลูกค้าไป และพนักงานคนดังกล่าวจะต้องรับผิดชอบเงินทอนทั้งหมด ซึ่งเป็นความผิดพลาดของพนักงานของเราเองครับ

บริษัทจึงออกคำสั่ง ว่าขออนุญาตงดรับธนบัตรที่ระลึก "แต่" หากลูกค้าไม่สะดวก หรือต้องการที่จะใช้ธนบัตรทางร้านก็จะรับธนบัตรปกติเลยนะครับ ตอนนี้ทางบริษัท ได้มีคำสั่งให้นำป้ายที่งดรับธนบัตรที่ระลึกออกตั้งแต่ได้รับความคิดเห็นจากลูกค้าท่านแรกแล้วครับ

ตอนนี้หากลูกค้าต้องการที่จะใช้ธนบัตรที่ระลึกซื้อสินค้าของทางร้าน ลูกค้าสามารถใช้ได้ตามปกติเลยครับ ทางบริษัทหวังเป็นอย่างยิ่งว่า จะได้รับการสนับสนุนจากลูกค้าทุกท่านต่อไปนะครับ


ที่มา : Castella Taiwan - คาสเทลล่า ไต้หวัน

https://www.facebook.com/castellataiwanofficial

สถานการณ์ COVID-19 ประเทศไทยและอาเซียน (26 มกราคม พ.ศ. 2564)

ศูนย์ข้อมูล COVID-19 รายงานสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ประจำวัน โดยประเทศไทยพบจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่ม 959 ราย ทำให้ยอดผู้ป่วยยืนยันสะสมอยู่ที่ 14,646 ราย รวมยอดผู้เสียชีวิต 75 ราย รักษาหายเพิ่ม 230 ราย รวมผู้ป่วยที่รักษาหายแล้ว 10,892 ราย ยังคงรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล 3,676 ราย

ทั้งนี้ ผู้ป่วยรายใหม่ 959 ราย เป็นผู้เดินทางมาจากต่างประเทศ และเข้าพักสถานที่กักกันที่รัฐจัดให้ จากอินโดนีเซีย 1 ราย ,อินเดีย 2 ราย ,เมียนมา 3 ราย ,ซูดาน 2 ราย ,ปากีสถาน 1 ราย ,สหราชอาณาจักร 6 ราย ,เนปาล 1 ราย ,จีน 1 ราย ,สหรัฐอเมริกา 3 ราย ,เดนมาร์ก 1 ราย ,รัสเซีย 1 ราย

ผู้ป่วยรายใหม่ จากระบบเฝ้าระวังและระบบบริการฯ จำนวน 89 ราย

ค้นหาผู้ติดเชื้อเชิงรุกในชุมชน 848 ราย

ขณะเดียวกันสถานการณ์ COVID-19 ของประเทศในกลุ่มอาเซียนมีการอัพเดทดังนี้

ประเทศบรูไน ดารุสซาลาม ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 175 ราย รักษาหายแล้ว 169 ราย เสียชีวิต 3 ราย

ประเทศกัมพูชา ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 460 ราย รักษาหายแล้ว 412 ราย ไม่มียอดผู้เสียชีวิต

ประเทศอินโดนีเซีย ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 9.99 แสน ราย รักษาหายแล้ว 8.09 แสน เสียชีวิต 28,132 ราย

ประเทศลาว ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 44 ราย รักษาหายแล้ว 41 ราย ไม่มียอดผู้เสียชีวิต

ประเทศมาเลเซีย ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 1.87 แสน ราย รักษาหายแล้ว 1.45 แสน ราย เสียชีวิต 689 ราย

ประเทศพม่า ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 1.38 แสน ราย รักษาหายแล้ว 1.22 แสน ราย เสียชีวิต 3,069 ราย

ประเทศฟิลิปปินส์ ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 5.15 แสน ราย รักษาหายแล้ว 4.75 แสน ราย เสียชีวิต 10,292 ราย

ประเทศสิงคโปร์ ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 59,352 ราย รักษาหายแล้ว 59,066 ราย เสียชีวิต 29 ราย

ประเทศเวียดนาม ยอดรวมติดเชื้อ 1,549 ราย รักษาหายแล้ว 1,425 ราย เสียชีวิต 35 ราย

อามู ฮาจิ ชายชาวอิหร่านวัย 83 ปีถูกขนานนามว่าเป็นชายที่สกปรกที่สุดในโลก อามู เขาไม่ได้อาบน้ำเลยในช่วง 65 ปีที่ผ่านมา

เขากลัวน้ำและนี่คือสาเหตุที่เขาไม่อาบน้ำในช่วง 65 ปีที่ผ่านมา อามูเชื่อว่าเขาจะล้มป่วยหากอาบน้ำและนี่คือเหตุผลที่เขาไม่ได้อาบน้ำมานานกว่าหกทศวรรษ

อามู อาศัยอยู่คนเดียวในทะเลทรายอิหร่านแต่เขากำลังมองหาความรัก อาหารโปรดของเขาคือเนื้อเม่นที่เน่าเปื่อย อามู ชอบกินอาหารที่ไม่ใช่ผักแต่เขาไม่ชอบอาหารปรุงเองที่บ้าน อามูอ้างว่าเขามีชีวิตรอดมานานโดยการทำตัวสกปรก อามู ไม่ได้เป็นเจ้าของบ้านและอาศัยอยู่ในหลุมที่สร้างขึ้นในทะเลทรายนอกหมู่บ้าน ชาวบ้านได้สร้างกระท่อมสำหรับอามู แต่เขาตัดสินใจที่จะไม่อาศัยอยู่ที่นั่น

เป็นที่น่าแปลกใจที่ อามู ไม่ติดเชื้อแม้ว่าเขาจะยังสกปรกอยู่ก็ตาม อามู ดื่มน้ำห้าลิตรจากกระป๋องน้ำมันสนิมทุกวัน

เป็นที่น่าสังเกตว่า อามู ชอบสูบบุหรี่มาก อามู สูบบุหรี่ที่ชาวบ้านมอบให้เขาเสร็จแล้วเขาก็สูบมูลสัตว์แห้งแทนยาสูบ ต่อ อามูอ้างว่าหลังจากละทิ้งความสุขทั้งหมดของโลกแล้วเขาก็มีความสุขมากกับชีวิตที่เป็นอยู่ตามคำบอกเล่าของคนในท้องถิ่น


ที่มา: World Forum ข่าวสารต่างประเทศ

https://www.facebook.com/story.php?story_fbid=238486524482265&id=109509790713273

รองหัวหน้าพรรคกล้า ‘พงศ์พรหม ยามะรัต’ สุดทน พฤติกรรม ‘เพนกวิน’ หลังพาพรรคพวกบุกสำนักงาน ‘สยามไบโอไซแอนซ์’ ระบุ เป็นพวก ขี้แพ้ - ขี้ขลาด ถ่วงความเจริญของชาติ ไร้ความคิด ชี้แค่หาเรื่องโจมตีสถาบันไปวัน ๆ

นายพงศ์พรหม ยามะรัต รองหัวหน้าพรรคกล้า โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊คส่วนตัว ‘Pongprom Yamarat’ ถึงกรณีที่นายพริษฐ์ ชิวารักษ์ พร้อมพรรคพวกกลุ่มราษฎร บุกอาคารศรีจุลทรัพย์ เกี่ยวกับ ‘สยามไบโอไซแอนซ์’ ที่ได้รับเลือกเป็นตัวแทนผลิตวัคซีนโควิด-19 ว่า

ขออภัยหาโพสต์นี้รบกวนเวลาทำงานตอนเช้าที่แสนมีค่าของทุกคนนะครับ

ผมเห็นภาพคุณเพนกวินไปยืนด่า บ.สยามไบโอไซเอนซ์ แล้วรู้สึกว่านับวันคุณภาพตัวคุณเพนกวินตกต่ำมากกว่าที่ผมเข้าใจ

อยากจะฝากคุณเพนกวินว่าถ้าคุณรักประชาธิปไตยจริง อย่าเอาเวลาหายใจของคุณไปเสียกับการกุเรื่องด่าเจ้า

ในประเทศไทยมีแล็บ 3 แห่งที่ถูกส่งให้อังกฤษพิจารณา

แถมไทยก็ไม่ใช่ประเทศเดียว ประเทศอื่นในอาเซียนก็ส่ง แต่อังกฤษเลือกสยามไบโอไซเอนซ์เอง

ผมว่าเรื่องมันจบตั้งแต่ตรงนั้น แต่ไม่ใช่พยายามปั้นเรื่องเท็จ นี่ไปขนาดสาวกชังชาติเริ่มไปด่าอังกฤษเป็นสลิ่ม สมคบคิดกับเจ้าอะไรไปกันใหญ่ นี่จะลามไปเป็นความสัมพันธ์ระหว่างประเทศแล้ว

พวกคุณใช้หัวอะไรคิดกันอยู่ ที่ผมมอง มันไม่ใช่หัวศีรษะแน่ ๆ

แทนที่คุณจะเอาเวลาไปเสียกับอะไรแบบนี้นะคุณเพนกวิน คุณควรจะเอาเวลาไปเห็นหัวประชาชนคนไทยให้มากกว่านี้หน่อยก็ดี

คุณเอาเวลาไปต่อว่า สส.พรรคก้าวไกลก็ได้ ไหน ๆ พวกคุณก็สนิทกัน ให้ สส.พรรคก้าวไกลเมื่อมาเป็น สส.เขตแล้ว ก็ไม่ใช่ให้ประชาชนในเขตคุณต้องหนีมาพึ่งสมาชิกพรรคกล้าแบบนี้

ทางเข้าชุมชนใหญ่แค่ให้หมาลอด

ฝนมา น้ำก็ท่วม

PM2.5 มา ก็ไม่มีหน้าไหนมาเยี่ยม มาช่วยให้ความรู้ มาดูแลคนแก่ และเด็กที่ป่วย

สส.พรรคก้าวไกลไปอยู่ไหนหมด เห็นหัวประชาชนบ้างมั้ย ไหนว่ามาทำเพื่อประชาชน?

พวกคุณเชื่อผม

อย่าเอาแต่เรื่องการเมืองมาเป็นประเด็นห้ำหั่นกัน

อย่ามัวแต่เสียเวลาไปกุเรื่องล้มเจ้า

ถ้าจะไปโจมตีการปฏิรูปการศึกษาที่ล้มเหลว โจมตีการปฏิรูปการเกษตรที่ล้มเหลว โจมตีโครงข่ายส่วยพนัน โครงข่ายค้าแรงงานเถื่อน คุณไปเลยครับ

ไอ้เ…หี้ยนี่แหละคือมะเร็งชาติ คุณเพนกวิน ผมสนับสนุนด้วย

แต่ไอ้เ…หี้ย นี่พวกคุณกำลังเผาอนาคตชาติอยู่

ประชาชนกำลังลำบาก คุณก็จะกลั่นแกล้งให้กระบวนการวัคซีนมีอุปสรรค

แทนที่จะมาร่วมติเพื่อก่อในประเด็นอีกมากมายที่ผมพูดไป

ผมถึงบอกว่าคุณตกต่ำกว่าที่ผมคิด ผมไม่เห็นคุณทำอะไรเพื่อประชาชน คุณก็แค่หาเรื่องด่าเจ้า ด่าคนที่คิดไม่ตรงกับคุณ และพวกคุณไปวันๆ

แปลว่ารักชาติก็ไม่ใช่ รักประชาชนก็ไม่ใช่ รักประชาธิปไตยก็ไม่ใช่ กล้าขุดคุ้ยเครือข่ายพนัน ก็ไม่กล้าอีก

ตอนนี้คุณตกต่ำเหมือนพวกขี้ขลาด ขี้แพ้เลยครับ


ที่มา : เพจ Pongprom Yamarat ( https://www.facebook.com/pongprom.yamarat )

หน้ากากอนามัยใช้แล้ว ทิ้งที่ไหน? ทำลายที่ใด? ล่าสุด กทม. ออกจุดวางถังขยะเพื่อรองรับการทิ้งหน้ากากอนามัยกว่า 5,000 จุด จุดไหนใกล้ไกลลองเช็กกันดู แล้วรวบรวมไปทิ้งกันให้เป็นที่ เพื่อความปลอดภัยของทุกคน

‘หน้ากากอนามัย’ คล้ายปัจจัยที่ 5 ของคนไทยในเวลานี้ (หรืออาจจะของคนทั้งโลก) ที่ผ่านมา เรารณรงค์ว่าต้องสวมใส่ เพื่อความปลอดภัย แต่อาจหลงลืมไปว่า ตอนที่ทิ้งให้กลายเป็นขยะนั้น ควรทิ้งอย่างไร ให้ปลอดภัยทั้งต่อตัวเรา ต่อผู้อื่น และต่อคนเก็บ(ขยะ)

ล่าสุด ทาง กทม. มีบริการจัดวาง ‘ถังขยะรองรับหน้ากากอนามัยใช้แล้ว’ กว่า 5,000 จุด ตามสถานที่ต่างๆ ทั่ว กทม. เพราะฉะนั้น รู้อย่างนี้แล้ว ควรช่วยคนละไม้ละมือ จัดการทิ้งขยะหน้ากากอนามัยให้เป็นที่และเป็นทาง เพื่อความปลอดภัยร่วมกัน...นะจ๊ะ

27 มกราคม พ.ศ. 2482 วันนี้เมื่อ 82 ปีก่อน ‘แบงค์สยามกัมมาจล’ ธนาคารพาณิชย์แห่งแรกในประเทศไทย ได้เปลี่ยนชื่อมาเป็น ‘ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด’ และใช้ชื่อดังกล่าวมาจนปัจจุบัน

หลายคนทราบว่า ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) คือธนาคารพาณิชย์แห่งแรกของประเทศไทย แต่หากสืบย้อนกลับไปถึงที่มา เริ่มต้นเมื่อวันที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2447 กิจการของธนาคารเริ่มต้นในชื่อ บุคคลัภย์ (Book Club) ก่อตั้งโดยพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหมื่นมหิศราชหฤทัย ที่ทรงเล็งเห็นว่าประเทศจำเป็นต้องมีระบบการเงินธนาคารเพื่อรองรับการเติบโตของประเทศ

หลังจากบุคคลัภย์ขยายตัวทางธุรกิจมากขึ้น จึงมีการเปิดตัวเป็นธนาคารอย่างเต็มตัว โดยกราบบังคมทูลขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตเป็นพิเศษ จัดตั้งเป็น ‘บริษัท แบงค์สยามกัมมาจล ทุนจำกัด’ ดำเนินการเป็นธุรกิจธนาคารพาณิชย์แห่งแรกของประเทศไทย เมื่อวันที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2449

เมื่อกิจการขยายตัว ทำให้ต้องมีการขยายออฟฟิศ จึงย้ายที่ตั้งของธนาคารไปอยู่ที่ย่านตลาดน้อย เพราะมีทำเลดี ติดแม่น้ำเจ้าพระยา อยู่ใกล้แหล่งค้าขายใหญ่ ๆ อาทิ เยาวราช และสำเพ็ง กระทั่งกิจการดำเนินผ่านมาอีกหลายปี จนเมื่อวันที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2482 บริษัท แบงค์สยามกัมมาจล ทุนจำกัด ก็ได้ทำการเปลี่ยนชื่ออีกครั้ง เป็น ‘ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด’ ด้วยเหตุผลส่วนหนึ่งคือ มีการเปลี่ยนแปลงชื่อประเทศ จาก ‘สยาม’ เป็น ‘ไทย’ และยกเลิกคำว่า กัมมาจล ซึ่งแปลว่า การกระทำไม่เคลื่อนไหว อันไม่ตรงกับลักษณะของธนาคารที่มีการหมุนเวียนตลอดเวลา

นับจากนั้นเป็นต้นมากว่า 82 ปี ธนาคารก็ได้ใช้ชื่อนี้มาโดยตลอด เพียงแต่มีการเพิ่มเติมคำว่า มหาชน พ่วงท้ายเข้าไป หลังจากธนาคารได้มีการจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เมื่อปี พ.ศ. 2519 ทำให้มีชื่อเรียกเพิ่มเติมว่า ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)

คดีอื้อฉาวสะเทือนวงการกีฬาเกาหลีใต้ที่เป็นวิพากษ์วิจารณ์อย่างร้อนแรงทั่วประเทศ เมื่อซิม ซุก-ฮี นักสเก็ตน้ำแข็งดาวรุ่งสาวเกาหลีใต้ ดีกรีระดับแชมป์เหรียญทองโอลิมปิกฤดูหนาวถึง 2 สมัย ได้ออกมาเปิดเผยเรื่องราวดำมืดในค่ายฝึกซ้อมว่า เธอถูกอดีตโค้ชประจำตัวขืนใจ

คดีอื้อฉาวสะเทือนวงการกีฬาเกาหลีใต้ที่เป็นวิพากษ์วิจารณ์อย่างร้อนแรงทั่วประเทศ เมื่อซิม ซุก-ฮี นักสเก็ตน้ำแข็งดาวรุ่งสาวเกาหลีใต้ ดีกรีระดับแชมป์เหรียญทองโอลิมปิกฤดูหนาวถึง 2 สมัย ได้ออกมาเปิดเผยเรื่องราวดำมืดในค่ายฝึกซ้อมว่า เธอถูกอดีตโค้ชประจำตัวข่มขืน และทำร้ายร่างกายนานถึง 3 ปีตั้งแต่เธออายุเพียง 17 ปี

โค้ชทีมชาติที่ถูกกล่าวหา คือ นาย โช แจ-บอม วัย 39 ปี โดย ซิม ซุก-ฮี กล่าวหาว่าเขาทำร้ายร่างกาย และล่วงละเมิดทางเพศเธอมาตั้งแต่ปี 2014 ในสมัยที่เธอยังเป็นเพียงนักเรียนมัธยม และต้องเข้าโปรแกรมฝึกนักกีฬาทีมชาติเพื่อลงแข่งกีฬาสเก็ตน้ำแข็งประเภท ความเร็วระยะสั้น ในกีฬาโอลิมปิกฤดูหนาวที่เมืองพย็องชังในปี 2018 ที่เกาหลีใต้เป็นเจ้าภาพ เป็นเวลานานถึง 3 ปี

หลังจากผ่านเหตุการณ์อันขมขื่นมานานนับปี ซิม ซุก-ฮี ตัดสินใจออกมาพูด และดำเนินคดี โช แจ-บอม อดีตโค้ชทีมชาติของเธอตอนปี 2019 ที่กำลังมีกระแส #MeToo เพื่อเรียกร้องให้ผู้หญิงที่ถูกกระทำทางเพศออกมาเปิดเผยตัวเพื่อเรียกร้องสิทธิ์ และความยุติธรรม

เรื่องราวของ ซิม ซุก-ฮี กลายเป็นสิ่งที่ตบหน้าสังคมอนุรักษ์นิยมในเกาหลีใต้อย่างรุนแรง ด้วยวัฒนธรรมเกาหลีใต้ที่ยังถือว่าผู้ชายมีสถานะเหนือกว่าผู้หญิง ยิ่งเป็นถึงโค้ชระดับทีมชาติ ยิ่งมีสิทธิ์อย่างเต็มที่ในการลงโทษนักกีฬาทั้งทางร่างกาย และจิตใจ รวมถึงการตัดสินใจให้นักกีฬาในทีมคนไหนติดทีม หรือถูกตัดสิทธิ์ โดยที่นักกีฬามักไม่มีสิทธิ์เรียกร้อง มิฉะนั้น จะถูกมองว่าไม่มีความอดทน ไร้ความมุ่งมั่น ที่มักเป็นข้ออ้างในการถูกตัดสิทธิ์ออกจากทีมชาติ

ซึ่ง ซิม ซุก-ฮี ถูกกระทำในสภาพเดียวกัน โดยที่เธอไม่กล้าเอ่ยปากเรียกร้องความเป็นธรรม เพราะอนาคตทีมชาติของเธอขึ้นอยู่กับโค้ช โช แจ-บอม จึงใช้อำนาจสิทธิ์ความเป็นโค้ชย่ำยีเธอ

เมื่อมีข่าวฉาวออกมา โค้ช โช แจ-บอม ออกมาปฏิเสธว่าไม่ได้ทำร้ายร่างกาย ซิม ซุก-ฮี เพราะเหตุผลทางชู้สาว แต่เป็นการทำโทษตามระเบียบวินัยต่างหาก ซึ่งนั่นเท่ากับว่าเขายอมรับว่ามีการทำร้ายร่างกายจริง จึงทำให้โค้ช โช แจ-บอม ถูกตัดสินจำคุกนาน 18 เดือนจากโทษฐานความผิดในกระทงแรก

แต่ในวันนี้ ศาลอาญาเมืองซูวอน เกาหลีใต้ได้ตัดสินคดีของ ซิม ซุก-ฮี เพิ่มเติ่มในข้อหาล่วงละเมิดทางเพศเยาวชนอายุต่ำกว่า 18 ปีที่เป็นคดีร้ายแรง และศาลลงความเห็นว่าเป็นการกระทำที่สมควรถูกประณามเป็นอย่างยิ่ง จึงได้ตัดสินให้จำคุกอดีตโค้ช โช แจ-บอม นาน 10.5 ปี หากรวมกับคดีทำร้ายร่างกายก่อนหน้านี้ ก็เท่ากับว่าโค้ชโชต้องเข้าคุกนานเกือบ 12 ปี

ถึงแม้ว่า ทนายฝ่ายของ ซิม ซุก-ฮี พอใจกับผลคำตัดสิน แต่มีชาวเกาหลีใต้ไม่น้อยเห็นว่าลงโทษน้อยเกินไป สำหรับความผิดของโค้ชฉาว ควรต้องโทษจำคุกถึง 20 ปี ถึงจะสาสม

คดีของ ซิม ซุก-ฮี ถือเป็นคดีใหญ่ที่เปิดโปงด้านมืดในวงการกีฬาของเกาหลีใต้ก็จริง แต่เป็นเพียงแค่ยอดภูเขาน้ำแข็งที่คนทั่วไปได้เห็นเท่านั้น และยังมีนักกีฬาอีกมากมายที่โดนทำร้ายร่างกายในค่ายเก็บตัว ที่มีตั้งแต่การกลั่นแกล้งภายในทีม จนกระทั่งถึงขั้นการทำร้ายร่างกาย ล่วงละเมิดทางเพศ และทารุณกรรม

ดังเช่นกรณีของ เช ซุก-ฮยอน นักไตรกีฬาหญิงที่เป็นหนึ่งในเยาวชนทีมชาติ ตัดสินใจกระโดดตึกฆ่าตัวตายจากหอพักนักกีฬาในเมืองปูซาน เมื่อเดือนมิถุนายนปี 2020 จบอนาคตอันสดใสของเธอเพียงแค่วัย 22 ปี ที่ภายหลังเปิดเผยว่าเธอถูกรุ่นพี่ และโค้ชกลั่นแกล้งอย่างรุนแรงตลอดช่วงเวลาที่เธอเก็บตัวเพื่อเป็นตัวแทนทีมชาติ จนทำให้เธอกลายเป็นโรคซึมเศร้า หมดความหวังในการมีชีวิตอยู่

และเธอได้บันทึกเรื่องราวการถูกบูลลี่ของเธอทั้งหมดส่งไปให้แม่ก่อนวันที่เธอจะฆ่าตัวตาย ซึ่งกลายเป็นหลักฐานมัดตัวรุ่นพี่ และโค้ช ที่ร่วมกันกระทำทารุณกรรมจิตใจนักกีฬา และถูกลงโทษแบนจากการแข่งขันนานถึง 10 ปี

ถึงแม้ว่าคดีของ ซิม ซุก-ฮี อาจไม่ใช่คดีสุดท้ายที่เกิดขึ้นกับนักกีฬาเกาหลีใต้ แต่ก็เป็นเสียงเรียกร้องให้แวดวงกีฬาเกาหลีใต้ได้ตระหนักรู้ว่า การเป็นนักกีฬาที่ดีไม่ควรต้องแลกกับศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์


อ้างอิง:

https://www.scmp.com/week-asia/health-environment/article/3118784/south-korea-jails-former-olympic-coach-sexual-assault

https://www.bbc.com/news/world-asia-55746565

https://www.firstpost.com/sports/south-koreas-ex-olympic-coach-cho-jae-beom-jailed-for-10-5-years-for-sexually-assaulting-athlete-9224741.html

https://en.wikipedia.org/wiki/Shim_Suk-hee

ส.ส.พรรคพลังประชารัฐ แจง กลุ่มเฟมินิสม์ และเครือข่ายรณรงค์เพื่อสิทธิ์ทำแท้งปลอดภัย หลังออกมาเรียกร้องกให้ยกเลิก ม.301 กฎหมายทำแท้งฉบับใหม่ ระบุบางเรื่องต้องใช้เวลา พร้อมผลักดันเป็นขั้นตอน

น.ส.ธณิกานต์ พรพงษาโรจน์ ส.ส.กทม.เขตบางซื่อ-ดุสิต และประธานกรรมการนโยบายสตรี พรรคพลังประชารัฐ กล่าวถึงกรณีที่กลุ่มเฟมินิสม์ปลดแอก ก และเครือข่ายรณรงค์เพื่อสิทธิ์ทำแท้งปลอดภัย เรียกร้องให้ยกเลิก ม.301 ของกฎหมายทำแท้งฉบับใหม่ เพราะยังกำหนดความผิดของผู้หญิงที่ทำแท้งหากอายุครรภ์เกิน 12 สัปดาห์ ว่า ตามบทบัญญัติของกฎหมายที่ผ่านความเห็นชอบของสภาผู้แทนฯและวุฒิสภา สามารถทำแท้งได้เลยหากอายุครรภ์ไม่เกิน 12 สัปดาห์ และหลังจาก 12 สัปดาห์

สามารถทำได้ใน 4 กรณี โดยไม่มีความผิดทางกฎหมาย คือ 1. เป็นภัยต่อสุขภาพกายและจิตใจของหญิงผู้ตั้งครรภ์ 2. มีความเสี่ยงทารกพิการ 3. ตั้งครรภ์จากมีการกระทำผิดทางเพศ และ 4. อายุครรภ์มากกว่า 12 สัปดาห์แต่ไม่เกิน 20 สัปดาห์ โดยสามารถเข้ารับคำปรึกษาทางเลือกและยืนยันจะยุติการตั้งครรภ์

น.ส.ธณิกานต์ ระบุว่า ทุกการเปลี่ยนแปลงข้อกฎหมายในสังคมเกิดจากมีผู้ได้รับผลกระทบจากข้อกฎหมายนั้นๆ และยังต้องคำนึงถึงผลกระทบส่วนอื่นๆ โดยรอบ ทางออกบางอย่างต้องใช้เวลาในการทำความเข้าใจและเห็นด้วย จึงขอให้เห็นใจคณะทำงานที่ต้องคิด กลั่นกรอง และต้องผ่านความเห็นชอบจากหลายฝ่าย จึงต้องค่อยๆผลักดันเป็นขั้นตอนๆไป ซึ่งส่วนตัวก็ขออวยพรให้ทุกความคิดเห็นได้รับการรับฟัง และตอบสนองอย่างเป็นรูปธรรม ทุกข้อ


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top