Tuesday, 24 June 2025
Politics

‘เอกนัฏ’ อ้างปัญหาปท. รุมเร้า ต้องอยู่ช่วย ‘นายกฯอิ๊งค์’ แก้จนกว่าจะผ่านวิกฤต รับเป็นประสบการณ์แย่ที่สุดทางการเมืองในการตัดสินใจ

(24 มิ.ย. 68) ที่ทำเนียบรัฐบาล นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รมว.อุตสาหกรรม ในฐานะเลขาธิการพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ให้สัมภาษณ์ถึงผลการประชุมคณะกรรมการบริหารพรรค รทสช.เมื่อวันที่ 19 มิ.ย.มติออกมาว่าอย่างไร ว่า ถือเป็นประสบการณ์การเมืองสำหรับตนที่แย่ที่สุด จะตัดสินใจทำอะไรก็ไม่ง่าย ในพรรคก็มีการพูดคุยกันตลอด ตอนนี้รทสช.มีทั้งศึกนอกศึกใน เราต้องคุยกันเพื่อรับฟังสถานการณ์ว่าเป็นยังไง ยอมรับว่าอยู่จุดที่เราตัดสินใจยาก ซึ่งพยายามคุยกับ สส.และหัวหน้าพรรคตลอดเวลา เราต้องเลือกทางที่ดีที่สุด

เมื่อถามว่า กระแสข่าวข้อเสนอให้นายกรัฐมนตรีลาออก ไม่เช่นนั้นรทสช.จะถอนตัวจากรัฐบาล ข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร นายเอกนัฏ ตอบว่า จุดแรกรับเสียงสะท้อนจากผู้สนับสนุนรทสช. ที่ขณะนี้ไม่ใช่ฝั่งเราหมด โดยเรียกร้องให้รทสช.แสดงจุดยืน และความรับผิดชอบ ซึ่งเราก็พูดคุยอยู่ แต่ในสถานการณ์แบบนี้ต้องยอมรับว่าที่ประเทศอยู่ในจุดสั่นคลอน โดยเฉพาะปัญหาชายแดนไทย กัมพูชา ที่กำลังจะสู้รบกันอยู่ และตนก็สนับสนุนเต็มที่ว่ากองทัพต้องเอาจริง สิ่งที่กัมพูชาทำเป็นการเหยียดหยามเกียรติของประเทศไทย เราจึงต้องสนับสนุนให้เขาหน้าที่ของเขาอย่างเต็มที่ รวมถึงปัญหาอื่นๆ เช่นภาษีทรัมป์ และสถานการณ์สู้รบในอิหร่าน 

"สิ่งที่เราอยากทำกับสิ่งที่เราต้องทำมันก็ตัดสินใจไม่ง่ายเลยให้มันผ่านสถานการณ์แบบนี้ไปได้ก่อน ในระหว่างนี้ก็ต้องเป็นอย่างนั้น" นายเอกนัฏ กล่าว

เมื่อถามต่อว่า จะรับมือกับผู้สนับสนุนรทสช.ที่รับไม่ได้ กับการตัดสินใจแบบนี้ และโบกมือลาอย่างไร นายเอกนัฏ กล่าวว่า "เราต้องรับผิดชอบต่อการตัดสินใจ มันเป็นอย่างนั้นแหละ แต่เป็นเรื่องตัดสินใจยาก หากผมเป็นแค่สมาชิกพรรค หรือผู้สนับสนุน ผมก็คงตัดสินใจเช่นนั้น แต่วันนี้ผมเป็นกัปตัน เรือก็กำลังล่องผ่านมรสุม ให้ผมทิ้งตอนนี้คนบนเรือก็ตายกันหมด" 

ถามต่อว่า ยังประคับประคองพรรครทสช.ได้หรือไม่ นายเอกนัฏ กล่าวว่าตนพยายามทำให้ดีที่สุด  ที่ผ่านมาเราทำการเมืองเอาอุดมการณ์เป็นที่ตั้ง แต่ก็ต้องรับสภาพกับสิ่งที่เกิดขึ้นในทางปฏิบัติด้วย 

ถามอีกว่า แล้วสิ่งที่เลือกเช่นนี้ จะสามารถดึงกองเชียร์กลับมาได้หรือไม่ นายเอกนัฏ กล่าวว่า"ไม่มั่นใจ ผมเข้าใจสำหรับทุกคนที่คิดและตัดสินใจ และผมก็ไม่อยากจะหลบ และไม่ปิด อยากจะพูดตรงไปตรงมาได้ "

เมื่อถามว่า จะยืนยันได้หรือไม่ว่า รทสช.จะสนับสนุนรัฐบาลไปจนสุดทาง นายเอกนัฏ กล่าวว่า ทางมันไปทางไหน  เราก็อยู่ประคับประคองให้ผ่านสถานการณ์วิกฤติไปก่อน ซึ่งตอนนี้ไม่มีอะไรแน่นอน เพราะมีเรื่องศาลรัฐธรรมนูญที่จะพิจารณาเกี่ยวกับตัวนายกฯอีกในสัปดาห์หน้า ฉะนั้นเหตุการณ์อะไรก็เกิดขึ้นได้ ทำวันนี้ให้ดีที่สุด

เมื่อถามว่า ทำไมนายเอกนัฏไม่ลาออก แล้วไปทำในสิ่งที่ใจต้องการ นายเอกนัฏ ย้อนถามว่า "แล้วประเทศได้อะไร ผมเข้าใจ แต่ถ้าวันนี้ไม่มีรัฐบาล ในการแก้ปัญหาต่างๆ แล้วมันใช่หรือ สำหรับผมเราต้องมีความรับผิดชอบตรงนี้อยู่"  

เมื่อถามต่อว่า ตอนนี้ได้พูดคุยกับนายวิทยา แก้วภราดัย และนายจุติ ไกรฤกษ์ รองหัวหน้ารทสช.ที่ออกตัวว่าถ้านายกฯไม่ลาออก จะถอนตัวเอง แล้วหรือไม่ นายเอกนัฏ กล่าวว่า ตนไม่ทราบ แต่ได้เจอนายจุติที่จังหวัดพิษณุโลกเมื่อ 1-2 วันที่ผ่านมาก็ไม่ได้คุยเรื่องนี้

เมื่อถามว่า การจัดสรรรัฐมนตรีในโควตารทสช.ลงตัวแล้วยัง นายเอกนัฏ ตอบว่า ในหัวตนไม่มีเรื่องเหล่านี้อยู่ในใจ ที่ผ่านมาการตัดสินใจคือว่าจะอยู่หรือใครจะไป เรื่องตำแหน่งไม่มีอยู่ในหัวเลย ถ้าอยากได้ตำแหน่งของตน ก็เอาไปได้เลย ไม่ได้ยึดติดอะไร ตนอายุแค่นี้เอง เป็นไปได้ก็อยากทำการเมืองต่อไป แต่ต้องอยู่ในหลักการที่ถูกต้อง แต่ตอนนี้อำนาจหน้าที่ ความรับผิดชอบเราอยู่ตรงนี้ ตนคิดอยู่ในใจว่าทำไมต้องเป็นเราด้วย เหมือนดวงไม่ดี ก็ไม่เป็นไร จะทำให้ดีที่สุด

ถามต่ออีกว่า ได้รับแจ้งนายกฯหรือไม่ ว่าจะได้เก้าอี้เพิ่ม นายเอกนัฏ กล่าวว่า ตนยังไม่มีโอกาสคุยกันนายกฯเลย พูดจริงนะ ไม่เอา

เมื่อซักต่อว่า แสดงว่าพอใจเก้าอี้ที่มีอยู่ใช่หรือไม่ นายเอกนัฏ ตอบว่า "จะอยู่หรือเปล่ายังอีกเรื่องนึง จะไปขออะไรมาเพิ่ม เพื่ออะไร ไม่ขอเพิ่ม ถ้าอยู่ก็อยู่ทำงานต่อไป"

‘พิธา’ เปิดใจย้ำคำเดิม ทหารมีไว้เพื่อปกป้องไม่ใช่ปกครอง ชี้ฝั่งตรงข้ามอัปเกรดสงครามข่าวสาร จนเราสู้ไม่ได้

เมื่อวันที่ (23 มิ.ย.68) นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ อดีตหัวหน้าพรรคก้าวไกล แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ผ่านรายการกรรมกรข่าว คุยนอกจอ ถึงคำวิจารณ์ที่เคยหาเสียงว่าทหารมีไว้ทำไม ว่า กรณีดังกล่าวเป็น Code Minding ยกมาแค่บางประโยค ซึ่งในทางการเมืองทำเป็นประจำอยู่แล้ว ตนชี้แจงไปว่าทหารมีไว้ปกป้องไม่ใช่ปกครอง ต้องป้องกันความคุกคามจากต่างประเทศ แต่ไม่ยุ่งกับการเมืองภายในประเทศ ซึ่งมีการนำมา Code โดยที่ไม่ดูบริบท

“วันนั้นเป็นการปราศรัยที่กาญจนบุรี ที่นั่นเป็นเขตทหารเยอะ ประชาชนจะโมโหมากเรื่องมาแย่งที่ดินเรื่องบ่อขยะ การมีสิทธิมนุษยชนในค่ายทหาร จึงเป็นบริบทที่ไปทางนั้น ทหารมีไว้ระมัดระวังภัยทุกรูปแบบจากนอกประเทศ แต่ไม่ยุ่งกับการเมืองภายในประเทศ ผมขอเคลียร์แบบนี้ เราเป็นประชาธิปไตย ต้องเป็นพลเรือนก่อนทหาร ต้องมองภาพใหญ่และให้เห็นว่าเรามีเครื่องมือในการต่อสู้อย่างไรบ้าง” นายพิธา กล่าว

นายพิธา ตั้งคำถามว่าสงครามมีกี่ประเภท มีกี่สมรภูมิ ถ้าเป็นสงครามแบบเดิมก็เป็นสงครามแบบที่เราเข้าใจ ตอนนี้มีสงครามเกี่ยวกับจิตประสาท จิตวิทยา สงครามเรื่องเล่า สงครามข่าวสาร สงครามทางเศรษฐกิจ ถ้าเป็นสงครามที่มาจากการทหารที่ใช้กำลังแบบเดิม ตนก็คิดว่าดูน้ำหนักทางทหาร จำนวนเรือรบ จรวด เครื่องบิน เราก็ไม่แพ้ แต่ที่เราแพ้กับกัมพูชาอยู่ตอนนี้เป็นเรื่องข่าวสาร

“คุณตัดคลิปสั้น ผมปราศรัย 40 นาที แล้วยังไม่ได้ดูบริบท ทุกครั้งที่ผมดีเบตผมต้องการให้ทหารเป็นมืออาชีพ ลดจำนวนทหารลง เพื่อจะได้มียุทโธปกรณ์เพื่อต่อสู้กับภัยความมั่นคง ที่ไม่ใช่สงครามแบบเดิม ถ้าเป็นสงครามแบบเดิม รบกับประเทศเพื่อนบ้านใครก็รู้ว่าเราชนะ เราแพ้ที่การทูต” นายพิธา กล่าว

นายพิธา ระบุว่า ถ้าดูบริบทก็จะเข้าใจ แต่ถ้าตัดเป็น Code ก็จะเอาตนมาเป็นส่วนหนึ่งในการขัดแย้ง ซึ่งตนไม่ปรารถนาและไม่ได้อยากให้รู้สึกเป็นน้ำผึ้งหยดเดียวที่จะเกิดปัญหาต่างๆ กลายเป็นกระแสชาตินิยมแบบที่ไม่เป็นคุณกับประเทศ

“มันไม่ใช่มีแค่เบ่งกล้าม เพราะปัญหาที่ช่วงนี้ประเทศไทยเจอมันคือสงครามการค้า เป็นเรื่องราคาน้ำมัน เป็นเรื่องราคาข้าวโพดจากยูเครน ไม่ใช่เป็นเรื่องที่จะต้องเอาเรือรบไปรบ ในขณะเดียวกัน ฝั่งเขาอาจจะอัปเกรดเทคโนโลยีใหม่ๆ ผ่านสงครามจิตวิทยา สงครามข่าวสาร ในการใช้เศรษฐกิจมัดมือเรา แน่นอนว่าเรื่องการทหารเป็น 1 ใน 4 กล่องที่เราจะต้องใช้ระหว่างประเทศ แต่มันต้องสมาร์ทขึ้น ใช้คนให้น้อยลง ใช้เครื่องมือให้เข้มแข็งขึ้น และเครื่องมือที่ใช้ต้องให้พี่น้องทหารได้ใช้ยุทโธปกรณ์ที่ทันสมัยและปลอดภัย ไม่ใช่เครื่องบินตกโดรนตก เรือรบล่ม” นายพิธา กล่าว

นายพิธา กล่าวว่า การเลือกตั้งที่ผ่านมาในเขตทหาร พี่น้องทหารก็ไว้วางใจตน ถ้าไม่ได้ปั่นกัน เวลาสมัยก่อน ตนหาเสียงกับพี่น้องทหารโดยเฉพาะทหารชั้นผู้น้อย ชั้นกลาง เท่าที่คุยกัน เขาก็เข้าใจในสิ่งที่ตนต้องการ ว่าต้องการให้ทหารมีอาชีพที่เหมาะสม มีรายได้ที่มากขึ้น สามารถเป็นทหารมืออาชีพได้อย่างเต็มที่ ไม่ต้องทำอาชีพอื่นและมียุทโธปกรณ์ที่เหมาะสม ในการปกป้องชีวิต ได้ดูแลลูกเมียได้

ช่วงเวลาแบบนี้ละเอียดอ่อนและเปราะบาง ไม่อยากต่อความยาวสาวความยืดกัน ทำให้เกิดความเป็นชาตินิยมแบบที่มันไม่ถูกต้อง มันยิ่งไปกันใหญ่ พอเป็นอย่างนั้น คนเป็นผู้นำ นายกรัฐมนตรีเวลาจะไปดีลกับเขาก็มีข้างหลังคอยถล่มอยู่ มันก็จะเจรจาไม่จบสักที เราอยากจะให้ดึงสติกลับมาเป็นเพื่อนบ้านฉันมิตรกันเหมือนเดิม การค้าชายแดนตั้งแสนกว่าล้าน พวกนี้ถ้าทำงานด้วยกันอยู่ธุรกิจไทยอยู่ในนั้นตั้งเยอะ ต้องทำให้อาเซียนเข้มแข็งในช่วงที่มหาอำนาจบังคับให้เราเลือกข้าง

“ถ้านิยามว่าคนอื่นขายชาติหมด อันนี้อันตราย ชาตินิยมคือความหลากหลายที่สามารถดูแลคนในชาติได้ และกระบวนการในการบริหารจัดการ มีเร็วช้าหนักเบา ไม่ฉะนั้น จะอันตรายกับประเทศ ทหารก็ต้องทำหน้าที่เขา เขาก็เลยต้องออกอย่างเดียว” นายพิธา กล่าว


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top