Thursday, 12 June 2025
Politics

‘เอกนัฏ’ ให้คำมั่นรวมไทยสร้างชาติ “ต้องไปต่อ” ยันไม่มีสัญญาณปรับ ครม. - สส. ทุกคนยังอยู่กับพรรค

‘เอกนัฏ’ ให้คำมั่น พรรครวมไทยสร้างชาติ “ต้องไปต่อ” ย้ำไม่มีสัญญาณปรับ ครม.-สส. ทุกคนยังอยู่กับพรรค ชี้สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องปกติทางการเมือง หากใครมีสิ่งใดไม่พอใจมาคุยกันได้

(10 มิ.ย.68) นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เลขาธิการพรรครวมไทยสร้างชาติ เปิดเผยถึงกระแสข่าวที่เกิดขึ้นกับพรรคในขณะนี้ว่า ตนขอแยกออกเป็น 2 ส่วน ส่วนแรก คือ ส่วนของรัฐบาลที่มีกระแสการปรับรัฐมนตรีของพรรคออกจากรัฐบาลหรือคณะรัฐมนตรี(ครม.) ซึ่งส่วนนี้ตนยืนยันว่า จนถึงขณะนี้ยังไม่มีสัญญาณใด ๆ จากนายกรัฐมนตรีเกี่ยวกับการปรับ ครม. และนายกรัฐมนตรี ก็ยังให้การสนับสนุนเป็นอย่างดี ทั้งนี้ตนทราบดีว่าในทางการเมืองไม่มีอะไรแน่นอน ไม่มีใครรู้ว่าวันพรุ่งนี้จะเกิดอะไร หรือมีการปรับสิ่งใดบ้าง จึงไม่เคยอยากจะประเมินว่าจะได้ดำรงตำแหน่งถึงเมื่อใด แต่สิ่งที่ต้องประเมินและเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด คือ การทำหน้าที่ของตนในวันนี้ให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ ซึ่งเป็นสิ่งที่ตนยึดถือปฏิบัติมาเสมอและจะยังคงทำต่อไปในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ที่จะมุ่งมั่นทำงานเพื่อประเทศและคนไทย ตามแนวคิด “ทำทันที ทำทุกวินาที ไม่ยอมจนกว่าจะสำเร็จ”

ทั้งนี้ขอย้ำว่า ตนจะไม่ทำงานหรือบริหารสิ่งใดจากข่าวลือต่าง ๆ แต่จะยึดจากข้อเท็จจริงที่ออกมา พร้อมเชื่อว่าสิ่งที่ตนและนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ ได้ทำมาเป็นสิ่งที่ดีที่สุด เป็นประโยชน์ต่อบ้านเมืองและได้รับการสนับสนุนจากทั้งคนไทยและรัฐบาล

ในส่วนกระแสข่าวของพรรค นายเอกนัฏ กล่าวว่า พรรคมีกลไกของพรรคอยู่แล้วในการจัดการปัญหาภายในต่าง ๆ อย่างไรก็ดีสิ่งสำคัญ คือ การยึดมั่นในอุดมการณ์ที่มีมาตลอดของพรรคให้คงอยู่ต่อไป ส่วนประเด็นข่าวที่ว่า มีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร(สส.) ของพรรคบางคนไม่พอใจผู้ใหญ่ภายในพรรค ทั้งยังมีปัญหาระหว่างกัน ตนมองว่า เรื่องที่เกิดขึ้นมาจากการนำเสนอข่าวของสื่อมวลชน ที่นำเอาภาพเพียงภาพเดียวอันเป็นภาพงานเลี้ยงของ สส. พรรคที่มีแกนนำพรรคที่ไม่พอใจพรรคในปัจจุบันพยายามรวมตัวกลุ่ม สส. ผ่านงานเลี้ยงเพื่อสร้างกระแสข่าว ซึ่งตนย้ำว่า ภาพดังกล่าวมีคนแค่ 15 คน แต่มีการตัดต่อแต่งภาพเพิ่มเติมอีก 8 คน และมีการใส่ข้อมูลที่ไม่ใช่เรื่องจริง โดยเฉพาะการย้ายออกจากพรรครวมไทยสร้างชาติ มาเล่นเป็นประเด็นทางการเมือง ซึ่งการกระทำดังกล่าวไม่ได้มีประโยชน์ต่อประเทศหรือคนไทย แถมยังทำให้ประชาชนเบื่อหน่ายการเมืองมาขึ้นด้วยซ้ำ แต่ตนก็เข้าใจดีว่าเรื่องเช่นนี้เป็นเรื่องปกติทางการเมืองที่ต้องยอมรับ

นายเอกนัฏ กล่าวต่อว่า ในทางกลับกัน ตนได้นัด สส. ของพรรคทานข้าวร่วมกันเกือบทุกสัปดาห์ เพียงแต่ไม่ได้มีการส่งภาพให้สื่อมวลชนหรือนำลงสื่อสังคมออนไลน์ เพราะตนมองว่า ไม่ได้มีนัยสำคัญใด ๆ สิ่งสำคัญ คือ การให้ข่าวตามความเป็นจริงมากกว่า

ส่วนกับนายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ สส.บัญชีรายชื่อและรองหัวหน้าพรรค ที่มีกระแสข่าวย้ายออกไปรวมกับพรรคการเมืองใหม่นั้น ตั้งแต่เกิดเหตุตนก็ไม่ได้คุยกับนายสุชาติ อีกเลย ทั้งที่ก่อนหน้านี้ก็คุยกันตามปกติมาตลอด ตนก็ยังแปลกใจว่าเกิดสิ่งใดขึ้นกับคุณสุชาติ แต่ก็พอเข้าใจได้ว่าอาจมาจากความคิดและแนวทางที่แตกต่างกัน ซึ่งตนก็คงว่าสิ่งใดไม่ได้ เพียงแต่ขอให้ทุกอย่างเป็นไปตามกติกาก็พอ

นายเอกนัฏ ย้ำด้วยว่า ที่ผ่านมาตนรับฟังความเห็นของ สส. ทุกคนมาตลอด ทั้งยังเปิดโอกาสให้สอบถาม ร่วมเสนอแนะและบอกเล่าปัญหาต่าง ๆ ทั้งผ่านจากการนัดกินข้าวประจำสัปดาห์ของตน และจากการนัดประชุมพรรคต่าง ๆ พร้อมกล่าวว่า หากตนบกพร่องสิ่งใดก็ให้มาพูดคุยกันได้ เพื่อปรับเปลี่ยนทุกอย่างให้ดีขึ้น แต่ถ้านำมาเล่นเป็นเกมการเมืองหรือต่อรองเพื่อผลประโยชน์ส่วนตน ตนมองว่าไม่ใช่เรื่องดีและไม่ควรทำ

ส่วนสถานการณ์จำนวน สส. ของพรรคในปัจจุบัน นายเอกนัฏ ย้ำว่า พรรคยังมี สส. อยู่ครบ 36 คน และ สส.ทุกคนยังยืนยันว่าจะอยู่กับพรรค ไม่ย้ายไปที่ใด ทั้งนี้ตนไม่อยากนำประเด็นนี้มาเป็นประเด็นหลัก เพราะปัจจุบันปัญหาของประเทศก็มีให้แก้ไขมากมายอยู่แล้ว ทั้งเรื่องสงครามการค้า, เรื่องปัญหาด้านอุตสาหกรรม ตนจึงไม่ต้องการนำเรื่องเหล่านี้มาทำให้ปวดหัว แต่ย้ำว่า สส. ทุกคนสามารถมาพูดคุยกับตนได้เหมือนเดิม

“สุดท้ายนี้ตนขอให้คำมั่นกับคณะผู้บริหาร สส. และสมาชิกพรรครวมไทยสร้างชาติทุกคนว่า พรรครวมไทยสร้างชาติ จะเดินหน้าไปต่อด้วยอุดมการณ์เดิมอันมั่นคงที่แน่นอนของพรรค ไม่ว่าจะเกิดอุปสรรคหรือสิ่งใด ๆ พรรคก็จะเดินหน้าต่อไป เพื่อประเทศชาติและคนไทยทุกคนจนกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้จะสำเร็จลุล่วงในที่สุด” นายเอกนัฏ กล่าวทิ้งท้าย

อ.ไชยันต์ ชี้ ปัญญาชนบางกลุ่มปฏิเสธชาตินิยมที่ขับเคลื่อนโดยชนชั้นนำในอดีต โดยเฉพาะอย่างยิ่งพระราชา

(10 มิ.ย.68) ศ.ดร.ไชยันต์ ไชยพร อาจารย์ประจำภาควิชาการปกครอง คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้โพสต์ข้อความลงบนเฟซบุ๊ก Chaiyan Chaiyaporn ระบุว่า “จากราชาชาตินิยม ถึง ปัญญาชน-ชาตินิยมผูกขาด” 

เรื่องชาตินิยมนี้ ปัญญาชนบางกลุ่มปฏิเสธชาตินิยมที่ขับเคลื่อนโดยชนชั้นนำในอดีต โดยเฉพาะอย่างยิ่งพระราชา เพราะชาตินิยมที่ยอมรับได้สำหรับพวกเขา คือ ชาตินิยมของมหาชน ที่จะต้องมีปัญญาชนอย่างพวกเขาเป็นผู้นำทางความคิดจิตวิญญาณเท่านั้น

3 สส. ชุมพร ยันยังอยู่กับ รทสช. เหตุฐานเสียงหนุน พีระพันธุ์-เอกนัฏ แจงที่มาลายเซ็นเป็นการลงชื่อเข้าร่วมประชุม ไม่ได้เซ็นให้ ปรับ ครม.

(11 มิ.ย.68) นายวิชัย สุดสวาสดิ์ สส.ชุมพร พรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) กล่าวภายหลังที่ก่อนหน้านี้ออกมาปฏิเสธกรณีมีลายเซ็นตนเองรวมอยู่ในรายชื่อ 21 สส.รทสช. ที่เสนอนายกรัฐมนตรีปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) ในสัดส่วนของพรรค ลายเซ็นดังกล่าวมาได้อย่างไรว่า ปกติการเซ็นชื่อในพรรคจะมีการเซ็นเป็นปกติ เช่น เซ็นชื่อเข้าร่วมการประชุม หรือเซ็นชื่อรับของต่าง ๆ จากพรรค อย่างเช่นปฏิทิน ยืนยันตนไม่ได้เซ็นชื่อเสนอปรับครม. เพราะไม่ใช่หน้าที่ของตน และจะทำอะไรต้องถามประชาชนในพื้นที่ก่อน เพราะตนเป็นตัวแทนของประชาชน ไม่สามารถทำอะไรขัดกับประชาชนได้ ส่วนการเสนอปรับครม.เป็นหน้าที่ดำเนินการของหัวหน้าพรรค เลขาธิการพรรค และอำนาจตัดสินใจสูงสุดอยู่ที่นายกรัฐมนตรี และตนขอตั้งข้อสังเกตว่าทำไมเอกสารเสนอปรับ ครม.ถึงมี 2 ฉบับ ทำไมต้องมีชื่อแนบ ทำไมไม่อยู่ในฉบับเดียวกัน ขอยืนยันอีกครั้งตนไม่ได้เซ็นชื่อเสนอปรับครม. และตนยังอยู่กับพรรค รทสช.ไม่ไหวแน่นอน 

ทั้งนี้มีรายงานข่าวว่า จากกรณีปรากฏภาพ 3 สส.ชุมพร ไปดื่มกาแฟกับ นายสุชาติ ชมกลิ่น รมช.พาณิชย์ ในฐานะรองหัวหน้าพรรค รทสช. และนางพิชชารัตน์ เลาหพงศ์ชนะ สส.บัญชีรายชื่อ นั้น เป็นการไปพูดคุยเรื่องราคาปาล์มและราคายาง เนื่องจากนายสุชาติเป็น รมช.พาณิชย์ รายงานข่าวยืนยันว่า สส.ชุมพรทั้ง 3 คน ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับความขัดแย้งภายในพรรค ซึ่งทั้ง 3 คน ยังยืนยันอยู่กับ นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รมว.อุตสาหกรรม ในฐานะเลขาธิการพรรค รทสช. อีกทั้งฐานเสียงในพื้นที่ยังให้การสนับสนุนนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกฯและรมว.พลังงาน ในฐานะหัวหน้าพรรค และนายเอกนัฏด้วย จึงทำให้ไม่สามารถเข้าร่วมกลุ่มของนายสุชาติได้ เพราะจะทำให้คะแนนเสียงที่จะใช้ในการเลือกตั้งครั้งหน้าหายไป ส่วนการเซ็นชื่อ เป็นการเซ็นชื่อเพื่อเข้าร่วมประชุม ไม่ได้มีเอกสารเสนอนายกรัฐมนตรีปรับ ครม. แนบท้ายในการเซ็นชื่อดังกล่าวแต่อย่างใด

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับสส.ชุมพร 3 คนประกอบด้วย นายวิชัย สุดสวาสดิ์ สส.เขต 1 , นายสันต์ แซ่ตั้ง สส.เขต2  และนายสุพล จุลใส สส.เขต 3 ซึ่งทั้ง 3 คนยืนยันอยู่กับพรรค รทสช. ทำให้กลุ่มสส.ในรายชื่อ 21 คน เหลือเพียง 18 คน

สวนคนละหมัด!! ‘เอกนัฏ’ โต้กลับ ‘สุชาติ’ ปมกล่าวหา ชวนล้มหัวหน้าพีระพันธุ์ ทั้งที่ตัวเองเป็นคนยื่นข้อเสนอ แต่ ‘เอกนัฏ’ ไม่เล่นด้วย พร้อมยืนยันทีมสุดซอยทำงานโปร่งใสท้าพิสูจน์ได้

จากกรณีปรากฏเอกสาร 21 สส.พรรครวมไทยสร้างชาติถึงนายกรัฐมนตรีเพื่อขอให้ 'ปรับรัฐมนตรี' ในสัดส่วนของพรรค พร้อมแนบรายชื่อและลายมือชื่อของ 21 สส.มาด้วย ก่อนที่จะมีสส.ที่มีชื่อในนั้นออกมาปฏิเสธว่าไม่ได้ลงลายมือชื่อด้วยตัวเอง ต่อมา นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ เลขาธิการ พรรครวมไทยสร้างชาติ ได้ให้สัมภาษณ์ถึงประเด็นดังกล่าว ทั้งยังท้า นายสุชาติ ชมกลิ่น รมช.พาณิชย์ ในฐานะรองหัวหน้าพรรคว่า โทรไปไม่รับสายใช่ไหม ขอท้าเลยว่าเมื่อไหร่ก็เมื่อนั้น ให้เปิดอกคุยแบบลูกผู้ชาย ลั่นรู้หมด ใครอยู่เบื้องหลัง 21 สส. ตามที่มีการนำเสนอข่าวไปแล้วนั้น

ล่าสุด (11 มิ.ย.68) นายสุชาติ ชมกลิ่น รมช.พาณิชย์ ในฐานะรองหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ ได้ให้สัมภาษณ์ในรายการ เจาะลึกทั่วไทย Inside Thailand ถึงกรณีดังกล่าวโดยเผยถึงเรื่องไม่รับสาย นายเอกนัฏว่า เป็นสายที่เข้ามาเมื่อวันอังคาร ที่ 3 มิ.ย. (ไม่ได้โทรมาวันจันทร์) โทรมาจริง แต่ว่าตอนโทรมาคือเหตุการณ์ต่างๆ ไปไกลแล้ว ทำให้ตนงงว่า ตนยังสามารถคุยกับคนแบบนี้ได้หรือเปล่า ข้อแรกนะ เพราะผมไม่ไว้ใจใคร คือตนก็คิดว่าตนเจอสัมภาษณ์ตั้งแต่ที่สนามหลวงวันนั้น ก็บอกแล้วว่าจากกันด้วยดี เราไม่มีอะไรกัน เราอยู่ได้ก็อยู่ ๆ ไม่ได้ก็ปล่อยเราออกมา อย่าลืมว่าต้องย้อนหลังกลับไป “วันที่ตั้งพรรครวมไทยสร้างชาติ” พรรคมาจากใครเราก็รู้ เราวางตัวใครมาเราก็รู้ ผมก็ไม่อยากพูดย้อนกลับไปในอดีต เพราะมันเป็นเรื่องภายในบ้านมันก็ควรจะจบในบ้าน ไม่ใช่มาพูดให้ประชาชนเขามีความรู้สึกว่า นักการเมืองทะเลาะกันออกอากาศ มันอายชาวบ้าน ผมบอกตรง ๆ

นายสุชาติ กล่าวว่า ที่มาให้สัมภาษณ์ ก็เพราะต้องการแก้ข้อกล่าวหาตนก็ลูกผู้ชาย ตนถามกลับว่าเลขาขิง โทรหาผมทำไม เขาก็บอกให้รับสาย แล้วจะรับได้ยังไง เพราะเป็นความคิดที่รับไม่ได้ เพื่อนบอกว่า นายเอกนัฏ ขอให้จับมือกัน ช่วยกันขับหัวหน้าพรรคออกไปแล้วเขาจะเป็นหัวหน้าพรรคเอง อย่างนี้มันแรงไป จึงไม่รับสาย

แต่ตนไม่อยากบอกว่าเพื่อนตนเป็นใคร ไม่อยากให้เอาเพื่อนมาขาย ตนยืนยันพูดความจริงทุกเรื่อง แต่มาทำตัวเองหล่อคนเดียวอย่างนี้ไม่ถูก

นายสุชาติ ระบุว่า เพื่อนตนบอกว่าให้ตนรับสายเลขาขิง บอกว่าถ้าไม่ได้ ก็ช่วยกันจับมือเอาหัวหน้าพรรคออกเถอะ แล้วผมจะคุยทำไม เพราะผมมาไกลแล้ว เป็นเหตุการณ์เมื่อวันอังคารนี้เอง เขามาขอเสียงให้ช่วยกันโหวตขับหัวหน้าพรรคกันหน่อย

“พวกผมไม่เคยอัดเสียงใคร มันไม่ใช่ลูกผู้ชาย ถ้าผมวางแผน อัดเสียงไว้ ก็มีอะไรยืนยัน แต่ที่ไม่รับสาย เพราะผมเป็นลูกผู้ชายพอ ทำอย่างนั้นไม่ได้ แล้วผมจะรับสายเหรอ ถ้าเขาอัดเทปผมล่ะ อย่างนี้ผมจะคบได้เหรอ”

นายสุชาติ กล่าวว่า วันที่มีรูปกินข้าวกับกลุ่มชุมพร ก็ชัดเจนแล้วว่าเกือบทุกคนมาร่วมอุดมการณ์กับผม จะเหลือใครล่ะ

เมื่อถามว่า 21 รายชื่อของจริงไหม นายสุชาติ กล่าวว่า 21 สส. ก็ยืนยันว่าเซ็นจริง เป็นสส.มันโกหกไม่ได้ คนที่บอกไม่เซ็น ก็ต้องไปตอบคำถามกันเอง 18 คน บอกเซ็น รูปก็มี เราก็ต้องตอบคำถามในบ้านเรา ไม่ใช่ไปบอกข้างนอก

เมื่อถามว่าทำไม 3 ใน 21 ถึงปฏิเสธทันควัน นายสุชาติ กล่าวว่า แล้วรูปไปกินกาแฟ เขามาหาผมพร้อมกันไหม เขาก็รู้ว่ารูปออกสื่อ มากินข้าวอีกรอบวันที่ 6 มิ.ย. ที่เซ็นชื่อ ก็มีรูปว่าเขานั่งอยู่ด้วย ก็กินข้าวด้วยกัน ส่วนจะปฏิเสธทำไม ก็คงมีเหตุผลบางอย่าง แต่ผมไม่ก้าวล่วง ไม่บังคับใคร

“พวกผมเป็นสส. 36 คน มีสิทธิ์มีเสียงอะไรบ้าง ทุกอย่างต้องผ่าน 9 อรหันต์ บางคนสอบตกด้วย จะมาตัดสินใจแทนได้ยังไง แก้ข้อบังคับ ก็ไม่มีสส. รู้ แล้วโครงสร้างแบบนี้อนาคตจะไปยังไง วันนี้เรามาอาศัยบ้านเขาอยู่ วันนี้จะมาคล้องกุญแจ ไม่ให้เราออก แล้วจะทำยังไง ที่ผ่านมาเราสงบไปแล้วรอบนึง สุดท้ายก็เอาระเบียบพรรคมาขับเราออกก็ได้ จะได้ไปสร้างบ้านที่เราจะทำให้ประเทศ” นายสุชาติ กล่าว

นายสุชาติ กล่าวว่า ที่มากล่าวหาว่ามาดีเบตไหมว่าไม่มีผลงาน ตนเป็นรมช. ก็ต้องทำตามรมว. ตอนโควิด ตนเป็นว่าการ ก็ทำงานเขียนหนังสือได้เป็นเล่ม ๆ แต่ตอนนี้เขามีทีมอะไร อ้างมีคนลงขัน มันของปลอมทั้งนั้น ชุดที่เขาตั้ง ชุดสุดซอย มันคือชุดอะไร อ้างไปเหยียบตาปลา กระทบใคร ภาพมันก็ดูดี แต่รู้ไหมมันมีชุดสุดซอย แล้วมีชุดตามเก็บอีกชุด

ผู้สื่อข่าวถามว่า แสดงว่ามีชุดสุดซอยตีเมืองขึ้น แล้วมีคนตามเก็บอีกเหรอ นายสุชาติ กล่าวว่า ต่อไปมันก็จะออกมาหมด ว่าอะไรเป็นอะไร ตนไม่ได้โทษใคร แต่อีกไม่นาน ก็เห็นหมดทุกเรื่อง เรามาพูดเรื่องในบ้าน ก็ไม่ควรให้สังคมปวดหัวกับเราด้วย แต่นี่มาดิสเครดิตกัน

เมื่อถามว่า ชุดเก็บนี่เก็บอะไร นายสุชาติ กล่าวว่า เดี๋ยวรอคนถูกกระทำออกมาพูดดีกว่า ตนไม่ได้ใส่ร้ายใคร แต่นี่เป็นคนพื้นที่ รับไม่ได้ เขาก็มาด่าตน

เมื่อถามว่าเปิดเผยภาพวันที่ 6 มิ.ย. ที่เซ็นชื่อ 21 สส.ได้หรือไม่ นายสุชาติ กล่าวว่า เดี๋ยวคงมีออกมา วันนั้นเราถ่ายไว้ว่าทุกคนมีแนวคิดเดียวกัน สุดท้ายคืนนั้นทั้งคืน มีผู้ใหญ่ของพรรค โทรหา 21 สส. ก็ถ่ายวิดีโอไว้ บางคนเป็นสส.เขตก็ไม่อยากออกตัว เขาเซ็นจริง ไม่งั้นก็ออกมาฟ้องตนแล้ว แถมยังมาบอกให้โพสต์สนับสนุนหัวหน้า

เมื่อถามว่าสรุปเลขาขิงโทรมาเมื่อไหร่กันแน่ นายสุชาติ กล่าวว่า โทรมาเมื่อวันอังคารที่ 3 มิ.ย. หลังมีรูปที่ตนไปกินกาแฟกับกลุ่มชุมพร แต่เมื่ออังคารที่ 10 มิ.ย. หลัง 21 สส.ลงชื่อแล้ว ไม่มีใครโทรมา เอาโทรศัพท์ตนไปเช็กก็ได้

นายสุชาติ กล่าวว่า คืนวันที่ 9 มิ.ย. ที่กลุ่มชุมพรโพสต์ว่าไม่ได้เซ็น ตนก็โทรหาเลย เขาบอกว่าเขาลำบากเป็นสส.เขต ชาวบ้านจะไปหาว่ารับตังมา ให้กลับข้าง ก็ด่าไปว่าจะบ้าเหรอ ไปทำแบบนี้มันเสียเครดิตเพื่อนทั้งกลุ่ม แล้วต่อไปใครจะคบกับพวกคุณ ตนก็ไม่ว่าใคร ก็ไปแก้ตัวกันเอง แต่คนเขารู้ว่าใครเซ็น ไม่เซ็น

เมื่อถามว่าหนังสือดังกล่าวส่งให้นายกฯแล้วหรือไม่ นายสุชาติ กล่าวว่า น.ส.พิชชารัตน์ เลาหพงษ์ชนะ ไปกับสส.อีก 3 คน ทราบว่ายื่นแล้วจริง ๆ

อย่างไรก็ตาม ล่าสุดนายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม และเลขาธิการพรรครวมไทยสร้างชาติ ได้ให้สัมภาษณ์ตอบกลับ ผ่าน pptv เรื่องการกล่าวหาทีมสุดซอย โดยขอพูดตรง ๆ ว่า "ทุเรศ"!!!!

"ไม่ต้องคลุมเครือ ถ้าตัวใหญ่ ใจใหญ่จริง ๆ พูดตรง ๆ เลย พูดให้ชัดเลย ใครเป็นผู้มีอิทธิพลใน eec แล้วไปตบทรัพย์นักธุรกิจ ใครไปตั้งตัวเป็นนายหน้าเพื่อเรียกรับผลประโยชน์ เพื่ออำนวยความสะดวกธุรกิจเถื่อน ๆ พูดเลยสิครับเอาเลย เชิญเลยครับ!!!

ผมยืนยัน นั่งยัน เอาหัวเป็นประกัน เราไม่เคยทำแบบนั้น  คนกำลังหวังกับสิ่งที่เราทำ และผมก็มุ่งมั่นในการกวาดล้างธุรกิจศูนย์เหรียญ ธุรกิจเถื่อน ผมทำอย่างเปิดเผยทุกครั้ง ไม่เคยแอบจับไม่เคยต่อรอง" เลขาขิงโต้เดือด

พิธีกรได้ถามต่อว่า เป็นเพราะหลายคนชื่นชมผลงาน แบบนี้เลยเป็นการดิสเครดิตใช่หรือไม่?

"ต้องดูที่เจตนาครับ ถ้าเขาอยากได้เก้าอี้ผม ถ้าผมทำงานดีเข้าตาประชาชน ก็เป็นสิ่งที่ขวางทางเขาอยู่ ผมว่า ประชาชนจับได้ และรับรู้นะว่าเจตนาคืออะไร พูดน่ะอะไรก็ได้ แต่ต้องวัดกันที่การกระทำ"

‘วินท์ - พลัฏฐ์’ เผยตัวตน ‘หัวหน้าพีระพันธุ์’ ที่ได้สัมผัส การันตี เป็นคนสุดสมถะ แต่ทำงานจริงจังเพื่อชาติ - ปชช.

(11 มิ.ย. 68) นายวินท์ สุธีรชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เดอะ สตีล จำกัด (มหาชน) และกรรมการปรับปรุงและยกร่างกฎหมาย กระทรวงพลังงาน โพสต์เฟซบุ๊ก ว่า หัวหน้าพีระพันธุ์จากที่ผมสัมผัส

ท่านเป็นรองนายกและรัฐมนตรีพลังงานที่ทำงานเพื่อประเทศชาติอย่างจริงจังเสมอ ไม่มีข้อสงสัยเรื่องทุจริตคอร์รัปชั่น ใช้ชีวิตอย่างสมถะ ไม่เคยมีรถนำขบวน ทานอาหารแบบเรียบง่าย หากมีคนที่จะมาช่วยชาติด้วยกันท่านก็เปิดใจรับ ไม่จำเป็นว่าต้องมีเส้นสายมาจากไหน

การที่ท่านต่อสู้เพื่อลดค่าครองชีพให้คนไทยจากการลดค่าไฟฟ้า/ค่าแก๊ส/ค่าน้ำมัน กลับกลายเป็นต้องถูกโจมตีทางการเมือง

ถึงช่วยอะไรท่านไม่ได้มาก แต่ก็ขอเป็นกำลังใจให้ “พี่ตุ๋ย” สู้เพื่อชาติต่อไป ลดค่าครองชีพคนไทย ให้คนไทยมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ให้สำเร็จให้ได้นะครับ

ขณะเดียวกันทางด้านนายพลัฏฐ์ ศิริกุลพิสุทธิ์ อดีตผู้สมัคร สส. กรุงเทพมหานคร เขต 1 พรรครวมไทยสร้างชาติ ได้โพสต์ข้อความระบุว่า …หัวหน้าเป็นคนดีมาก ไม่เคยมีประวัติโกง หรือ หาผลประโยชน์ มีแต่ช่วยคนอื่น 

มี หลายท่าน ให้กำลังใจ และห่วงใย พรรค หัวหน้า และเลขา ต้องกราบขอบพระคุณ ทุกท่านทุกช่องทาง
หลายคนถามว่าทำไม ท่านหัวหน้าไม่ออกมาพูดอะไรบ้าง.

1. เรื่องที่ถูกร้อง ท่านจะไปตอบหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เมื่อตอบแล้วจะได้ความกระจ่างเอง การร้องก็จะยุติไป
2.เรื่องในพรรค ที่มีข่าวทางสื่อมวลชน
2.1 หัวหน้ามีเวลาให้ เพื่อนเสมอ ท่าน สส จะได้พบเมื่อมีการประชุมพรรค ส่วนมากทุกสัปดาห์ น้อยครั้งที่ท่านจะติดภาระกิจ ท่านที่อยากพบส่วนตัว สามารถนัดหมาย หรือ ขอพบหลังประชุมได้ตลอด ข่าวที่ท่านพบยากไม่เป็นความจริง ยกเว้นท่านไม่มาประชุม 

2.2ข่าวอื่นๆที่มีการส่งผ่านทางสื่อ และ Social หากท่านออกมาตอบ ก็จะเป็นการตอบกันไปมา ความจริงจะปรากฏเมื่อถึงเวลา ท่านใช้เวลาทำงานมากกว่าตอบรายวัน การที่ท่านไม่ตอบโต้ ท่านให้เกียรติทุกคน ขอให้เชื่อมั่นเมื่อเวลามาถึง ทุกอย่างก็ชัดเจน ให้เวลากับความจริงทำงานครับ

'เอกนัฏ' เปิดภาพร่วมโต๊ะ ‘พีระพันธุ์-อัครเดช’ สร้างความเชื่อมั่น ‘รวมไทยสร้างชาติ’ ต้องไปต่อ

'เอกนัฏ' เปิดภาพทานอาหารเที่ยง ร่วม ‘พีระพันธุ์-อัครเดช’ เพิ่มความเชื่อมั่นรวมไทยสร้างชาติ ย้ำ ‘พีระพันธุ์’ นั่งหัวหน้า ‘เอกนัฏ’ เลขา ‘อัครเดช’ โฆษก เหมือนเดิม

(11 มิ.ย.68) นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ เลขาธิการพรรครวมไทยสร้างชาติ เปิดเผยภาพทานอาหารเที่ยงร่วมกับ นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ และนายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ สส.ราชบุรี เขต 4 และโฆษกพรรครวมไทยสร้างชาติ  ผ่านเฟซบุ๊ก เอกนัฏ พร้อมพันธุ์ (ขิง) ว่า

"ดีลใหม่ แต่ไม่ลับ ก๋วยเตี๋ยว ลูกชิ้น ของหัวหน้าฯ
เบอร์เกอร์ ของเลขาฯ #รทสช ไปต่อ
หัวหน้าฯชื่อ พีระพันธุ์
เลขาฯชื่อ เอกนัฏ
โฆษกฯชื่อ อัครเดช
เหมือนเดิมครับ
#รวมไทยสร้างชาติ #เลขาขิง"

พปชร.เชื่อมั่นแพทยสภาคงมติตามเดิม รักเกียรติภูมิ ความตรงไปตรงมา ถือหลักการ มาตรฐานวิชาชีพ และประโยชน์ส่วนรวมเป็นหลัก มากกว่าประโยชน์ของคนบางคน วอน ปชช.ประณามการเมืองแทรกแซง องค์กรวิชาชีพ

(12 มิ.ย.68) พล.ต.ท.ปิยะ ต๊ะวิชัย โฆษกพรรคพลังประชารัฐ  กล่าวว่า “วันนี้ (12 มิ.ย. 68) แพทยสภาจะมีการลงมติผลการสอบสวนจริยธรรมทางวิชาชีพเวชกรรมของแพทย์โรงพยาบาลราชทัณฑ์และแพทย์โรงพยาบาลตำรวจ เกี่ยวกับการพักรักษาตัวของ นายทักษิณ ชินวัตร ที่ชั้น 14 รพ.ตำรวจ โดยให้ลงโทษแพทย์ 3 ราย ในกรณีประกอบวิชาชีพเวชกรรมไม่ได้มาตรฐาน และพักใช้ใบอนญาตประกอบวิชาชีพเวชกรรม กรณีให้ข้อมูลหรือเอกสารทางการแพทย์อันไม่ตรงกับความเป็นจริงและนายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ในฐานะสภานายกพิเศษ ได้วีโต้ผลการพิจารณาและส่งมาให้ที่ประชุมพิจารณาอีกครั้ง ตาม ม.25 พ.ร.บ. วิชาชีพเวชกรรม พ.ศ. 2525 วรรคสี่  และแพทยสภาได้พิจารณาและอนุญาตให้นายสมศักดิ์ เทพสุทิน ในฐานะสภานายกพิเศษเข้าร่วมประชุมได้15นาทีในวันนี้นั้น

ในส่วนตัวเชื่อมั่นว่า มติที่ประชุมใหญ่ คงเป็นไปตามเดิม เพราะข้อโต้แย้งของ รมว.ในฐานะสภานายกพิเศษ ไม่มีเหตุผลหรือสาระสำคัญที่จะทำให้มติแพทยสภาเปลี่ยนไป  เหตุผลส่วนใหญ่แย้งเป็นเหตุผลทางธุรการซึ่งกรณีดังกล่าวทางแพทยสภาได้ส่งข้อมูลตอบกลับไปยังสภานายกพิเศษเรียบร้อยแล้ว แม้ว่า นายสมศักดิ์ฯจะขอใช้อำนาจตาม มาตรา 24 เพื่อขอเข้าร่วมประชุมในวันนี้ก็ตาม  ยังเชื่อมั่นว่า มติที่ประชุมใหญ่คงไปตามแนวทางเดิม  ทั้งนี้ เนื่องจาก มาตรา 14 พ.ร.บ. วิชาชีพเวชกรรม พ.ศ. 2525 ระบุ คณะกรรมการแพทยสภาประกอบด้วย  ปลัดกระทรวงสาธารณสุข อธิบดีกรมการแพทย์ อธิบดีกรมอนามัย เจ้ากรมแพทย์ทหารบก เจ้ากรมแพทย์ทหารเรือ เจ้ากรมแพทย์ทหารอากาศ นายแพทย์ใหญ่ กรมตำรวจ คณบดีคณะแพทยศาสตร์ในมหาวิทยาลัย ผู้อำนวยการวิทยาลัยแพทยศาสตร์ เป็นกรรมการโดยตำแหน่ง และกรรมการซึ่งได้รับเลือกตั้งโดยสมาชิกอีกจำนวนเท่ากับจำนวน

กรรมการโดยตำแหน่งใน ขณะเลือกตั้งแต่ละวาระ และให้เลขาธิการเป็นกรรมการ  ซึ่งในมาตรา 14 บอกไว้ชัดเจนว่าคณะกรรมการแพทยสภาประกอบด้วยใครบ้าง  และที่สำคัญคือไม่มี รมว. เป็นคณะกรรมการแต่อย่างใด  ดังนั้น  ท่านไม่มีสิทธิ์ลงคะแนนหรือออกเสียงเพราะท่านไม่ได้เป็นคณะกรรมการ   

และในกรณีที่ท่าน รมว.เข้าร่วมประชุมและชี้แจงในครั้งนี้  ทางแพทย์และพี่น้องประชาชนเข้าใจดีว่าท่านมีวัตถุประสงค์อะไร  และไม่เคยมีรัฐมนตรีท่านใดมีพฤติกรรมเช่นนี้มาก่อน ส่วนข้ออ้างว่าจะไปอธิบายสาเหตุที่วีโต้มติแพทยสภานั้น อันนี้ทางแพทยสภา เห็นหนังสือของท่านและเข้าใจดีอยู่แล้ว เรื่องนี้เป็นการผิดมารยาทอย่างมากเพราะที่ผ่านมาไม่เคยมีนักการเมืองเข้ามาแทรกแซงองค์กรวิชาชีพเช่นนี้ มาก่อน“

พล.ต.ท.ปิยะฯกล่าว “หากแพทยสภายืนยันตามผลการพิจารณาเดิม ก็จะส่งผลในการพิจารณาของ ปปช. และศาลฯ ในวันที่ 13 หรือ 23 มิถุนายนที่จะถึงนี้อย่างแน่นอนเพราะ หากมติแพทยสภามีผลครบถ้วนตามกฏหมาย แสดงให้เห็นว่า การออกมาจากเรือนจำของนายทักษิณ ชินวัตร เพื่อทำการตรวจรักษามีลักษณะ“ป่วยทิพย์” หรือเป็นไปโดยทุจริต และมิชอบด้วยกฎหมาย เนื่องจากออกมาตรวจรักษาจำนวน 180 วัน ไม่มีการป่วยจริงในภาวะวิกฤต ที่อาจจะทำให้ถึงแก่ชีวิตได้  กรณีนี้ ศาลฎีกาแผนกคดีอาญา ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง จึงมีเหตุจำเป็นจะต้องสั่งให้นายทักษิณ ชินวัตร  กลับไปรับโทษตามกฎหมายตามกำหนดเสียก่อน     

ดังนั้น การอ้างว่าถูกควบคุมตัว หรือรับโทษมาแล้ว 180 วัน หรือ 1 ใน 3 ของโทษที่เหลือนั้น หากไม่เกิดขึ้นจริงหรือเป็นไปโดยผิดขั้นตอนและระเบียบกฎหมาย  จะส่งผลให้นายทักษิณฯขาดคุณสมบัติหรือเป็นเหตุให้ไม่สามารถขอพระราชทานอภัยโทษในโทษที่เหลือ 1 ปีนั้นได้  เมื่อนายทักษิณฯขาดคุณสมบัติในการขอพระราชทานอภัยโทษ  การขอพระราชทานอภัยโทษจึงเป็นการกระทำที่ฝ่าฝืนบัญญัติของกฎหมาย จึงจำเป็นต้องกลับไปรับโทษที่เหลือ 1 ปีตามเดิม

นอกจากนี้ ผู้ป่วยภาวะวิกฤติ ที่จะอันตรายถึงแก่ชีวิต ต่อมาเมื่อภาวะวิกฤติที่จะอันตรายถึงแก่ชีวิตหมดไป  ก็ถือว่า ความจำเป็นที่จะต้องพักรักษาตัวภายนอกเรือนจำก็จะหมดไปด้วย เป็นหน้าที่ราชทัณฑ์จะต้องตรวจสอบและนำตัวผู้ป่วยที่มีอาการดีขึ้นกลับไปยัง โรงพยาบาลในเรือนจำหรือเข้าควบคุมในเรือนจำตามแต่อาการที่ปรากฎ ไม่ใช่ปล่อยให้พักอยู่ รพ. ภายนอกเรือนจำจนหายปกติ แข็งแรง ตีกอล์ฟ เต้นระบำ นวดหน้า ขึ้นเวทีปราศรัย ด่าใครต่อใครได้

อีกประการหนึ่ง กระบวนการการตรวจรักษาภายนอกเรือนจำ กรณีนี้ เป็นการควบคุม ตัวตามคำพิพากษาศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง การออกไปรับการตรวจรักษาภายนอกเรือนจำ จะขออนุญาตศาลฯก่อน หากเป็นกรณีเร่งด่วนไม่สามารถขออนุญาตศาลเพื่อส่งตัว มาทำการตรวจรักษาภายนอกเรือนจำได้ในทันที ก็ต้องรายงานเพื่อขออนุญาตศาลฯส่งตัวไปตรวจรักษาเพื่อทุเลาโดยเร็วที่สุด ซึ่งในกรณีนี้  ก็ไม่มีการขออนุญาตต่อศาลฎีกา แผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองตามกฏหมายแต่อย่างใด  

จากกระบวนการการสอบสวนของแพทยสภา ปรากฏหลักฐานชัดเจนว่า ทำให้เห็นว่า นายทักษิณฯ ไม่ได้ป่วยเป็นเส้นเอ็นเปื่อยยุ่ย หรือเจ็บป่วยในภาวะวิกฤติที่อันอาจจะเกิดอันตรายแก่ชีวิต เอกสารการตรวจทางการแพทย์ มีเหตุและข้อควรสงสัยว่า ไม่ตรงความจริง  จึงได้ลงมติเป็นเอกฉันท์ให้ลงโทษดังกล่าว“

พล.ต.ท.ปิยะฯ กล่าว “แม้จะมีการพยายามอ้างกฏหมาย ระเบียบ ข้อบังคับของราชทัณฑ์ หรือกฎหมายของหน่วยงานอื่น ซึ่งเป็นอนุกฏหมาย ไม่อาจมาหักล้างหรือ เทียบเท่ากฎหมายรัฐธรรมนูญ หรือกฎหมายที่ออกโดยบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญได้  อีกทั้งการปฏิบัติตามกฏหมายย่อย ก็ยังปฏิบัติได้ไม่ครบถ้วน แสดงถึงข้อพิรุธที่เกิดขึ้นอย่างมากมาย ไม่ว่าจะ เป็นการส่งตัวคนไข้ออกจากเรือนจำโดยแพทย์ผู้รับผิดชอบยังไม่ได้ทำการตรวจคนไข้โดยตรง เพียงแค่สอบถามอาการจากพยาบาลเวรทางโทรศัพท์ เท่านั้น ตลอดจนหลักฐานทางเวชระเบียนพยาบาลที่ปรากฎในคอมพิวเตอร์ และรายการจ่ายค่ารักษาพยาบาลก็ไม่ได้มีรายละเอียดยืนยันการผ่าตัดใหญ่จากเจ็บป่วยร้ายแรง ที่ต้องรับการตรวจรักษาภาวะวิกฤตินานถึง 180 วัน หากกระทรวงยุติธรรม และกรมราชทัณฑ์ มีอำนาจเหนือศาล คำพิพากษาของศาลจะศักดิ์สิทธิ์ลงโทษผู้กระทำผิดตามโทษานุโทษได้อย่างไร เพราะเมื่อถึงขั้นการบังคับให้เป็นไปตามคำพิพากษากลับมาการเบี่ยงเบนไปเช่นนี้ ระบบนิติรัฐของประเทศก็จะสูญเสียไป“

‘อนุทิน’ แจ้ง ‘รมว.แรงงาน’ เร่งจัดการตามผลสอบมท. หลังชี้ชัดตึก SKYY9 แค่ 3 พันล้าน แต่ ‘ประกันสังคม‘ ซื้อ 7 พันล้าน

จากกรณี นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้แต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบการใช้งบประมาณของสำนักงานประกันสังคม (สปส.) ลงทุนซื้ออาคาร SKYY9 มูลค่า 3 พันล้านบาทในราคา 7 พันล้านบาท โดยมีนายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ ปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นประธาน

ล่าสุด คณะกรรมการฯ ชุดนี้ ได้จัดทำรายงานผลตรวจสอบการใช้งบประมาณของสำนักงานประกันสังคม (สปส.) ลงทุนซื้ออาคาร SKYY9 เสร็จสิ้นแล้ว โดยมีข้อสรุปผลการศึกษาและวิเคราะห์ราคาอาคาร SKYY9 เห็นว่า มูลค่าตลาดของอาคาร SKYY9 ในขณะที่ทำการซื้อขายควรมีค่าในช่วงประมาณ 3,428,000,000-3,863,000,000 บาท

ต่อมาปลัดกระทรวงมหาดไทย ได้ทำหนังสือด่วนที่สุด เมื่อวันที่ 30 พค.68 เพื่อรายงานผลการพิจารณาของคณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริงเรียน รองนายกรัฐมนตรี (นายอนุทิน ชาญวีรกูล) ให้รับทราบ

จากนั้น นายอนุทิน เขียนคำสั่งด้วยลายมือ แจ้งให้ นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รมว.แรงงาน เพื่อทราบและให้ดำเนินการตามระเบียบและกฎหมายอย่างเคร่งครัด

พร้อมขอให้รมว.แรงงาน รายงานความคืบหน้าของการดำเนินการต่อรองนายกรัฐมนตรี(อนุทิน) ทุกขั้นตอน และให้ได้ข้อสรุปโดยเร็วที่สุด และคำนึงถึง และรักษาประโยชน์ของราชการเป็นสำคัญ

อย่างไรก็ดี  ก่อนหน้านี้ นางสาวรักชนก ศรีนอก สส.กทม. พรรคประชาชน โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กเมื่อวันที่ 10 มิย. ระบุว่า สุดท้ายผลสอบก็จะออกมายืนยันสิ่งที่ไอซ์ พูดมาตลอด ว่าราคาซื้อขายของตึกควรอยู่ที่ 3,000 ล้าน แต่ประกันสังคม ทุ่มเงิน 7,000 ล้าน ซื้อของราคา 3,000ล้าน

พร้อมเรียกร้องถึงนายอนุทิน ดำเนินการเรื่องต่อไปให้เด็ดขาด และอย่าให้ใครครหาว่าทำเป็นเล่นขายของ

“ถ้าท่านเอาจริงไม่มีอะไรเกินอำนาจบารมีที่ท่านจะจัดการได้ แล้วดิฉัน รักชนก ศรีนอก จะจดจำคุณอนุทิน ชาญวีรกูล ในฐานะคนจริงที่น่านับถือ” นางสาวรักชนก โพสต์เรียกร้อง


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top