Tuesday, 3 June 2025
Politics

‘ทักษิณ’ เลิกกั๊กจ้องฮุบ 'มหาดไทย' ยังทำงานไม่เต็มที่ ควรให้ 'เพื่อไทย' เข้าไปทำบ้าง เชื่อ 'ภูมิใจไทย' ไม่ถอนตัวรัฐบาล

(30 พ.ค.68) นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์พิเศษกับทาง 3 บก.เครือเนชั่น โดยนายทักษิณ สวมบทบาทเป็น บก.คนที่ 4 เพื่อวิเคราะห์สถานการณ์การเมือง โดยเฉพาะความเป็นพรรคแกนนำรัฐบาลที่มักต้องคุมกระทรวงสำคัญๆ ไว้ในมือ ทางพรรคเพื่อไทยควรมีคนของตัวเองไปเป็น รมว.มหาดไทย หรือไม่

นายทักษิณ ระบุว่า การนำนโยบายไปถึงประชาชน กระทรวงหลักคือกระทรวงมหาดไทย วันนี้มันไม่ค่อยถึง เพราะว่ากระทรวงมหาดไทยยังไม่ค่อยทำเต็มที่ เวลามันเหลือ 2 ปีแล้ว จำเป็นอย่างยิ่งที่มหาดไทยต้องทำงานให้เต็มที่

เมื่อถามว่านายทักษิณ ผ่านการเมืองมาเยอะ และรู้จักพรรคเพื่อไทยดี วิเคราะห์ในฐานะ บก.คนที่4 รอบนี้ พรรคเพื่อไทยจะกล้ายึดหรือไม่ นายทักษิณ กล่าวว่า ผมยังไม่ได้ถามหัวหน้าพรรค ถ้าให้วิเคราะห์ก็เป็นเรื่องที่คงต้องพูดกันว่าให้พรรคเพื่อไทยเข้าไปทำบ้าง จะได้ทำนโยบายถึงเพื่อประชาชนได้สักที เพราะเวลาเหลือน้อยแล้ว อีก 2 ปีจะเลือกตั้งแล้ว

เมื่อถามว่า แล้วพรรคร่วมรัฐบาลที่มี 69 เสียง เขาจะยอมหรือไม่ ในเมื่อกระทรวงนั้นคือหัวใจหลักคุมอำนาจบริหารและเอาชนะทางการเมือง นายทักษิณ กล่าวว่า คือมันเป็นเรื่องการทำงานเพื่อประชาชน ถ้าอยากทำงานให้ได้ผล พรรคเพื่อไทยต้องตัดสินใจเพื่อให้นโยบายถึงประชาชนจริงๆ ก็ต้องให้กระทรวงมหาดไทยอยู่ในความดูแลของพรรคเพื่อไทย นี่คือหลักการ

เมื่อถามว่านอกจากกระทรวงมหาดไทยแล้ว ยังต้องมีกระทรวงไหนอีกที่สามารถทำให้รัฐบาลทำงานกระฉับกระเฉง และสามารถชนะเลือกตั้งครั้งต่อไป นายทักษิณ กล่าวว่า ก็กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ , กระทรวงพาณิชย์ , กระทรวงการคลัง และกระทรวงคมนาคม ก็เป็นหัวใจ คมนาคมก็เรื่องของรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย พูดไปแล้วต้องทำให้ได้ ถ้าทำไม่ได้ก็ต้องมีเหตุผลบอกกับประชาชน มันเสียนิสัย เพราะมันเคยเป็นพรรคใหญ่มาก่อน

เมื่อถามว่า ถ้าพรรคเพื่อไทยเอากระทรวงมหาดไทยมาได้ คิดในฐานะนักวิเคราะห์ซึ่งมีประสบการณ์ทางการเมือง พรรคภูมิใจไทยเขาจะกล้าถอนตัวจากรัฐบาลหรือไม่ นายทักษิณ กล่าวว่า “คิดว่าน่าจะคุยกันรู้เรื่อง คงไม่ถอนมั้ง เราไม่อยากให้เขาถอนอ่ะ ก็อยู่ด้วยกันมา”

เมื่อถามว่า แต่ถ้าเขาอยู่ไม่ได้ นายทักษิณ กล่าวว่า อันนั้นก็เป็นเรื่องที่เราไม่สามารถควบคุมการตัดสินใจของแต่ละพรรคได้

ถอดรหัส อนาคตการเมือง ‘ภาคใต้’ หลัง!! ‘กล้าธรรม’ ปักธงเขต 8 เมืองคอน

(31 พ.ค. 68) นายเฉลียว คงตุก อดีตบรรณาธิการหนังสือพิมพ์คมชัดลึก เนชั่นทีวี เปิดเผยว่า ได้รับสายโทรศัพท์จำนวนมากสอบถามถึง #อนาคตการเมืองในภาคใต้ จะเป็นอย่างไร ยิ่งหลังพรรคกล้าธรรม ชนะการเลือกตั้งซ่อม เขต 8 นครศรีธรรมราช ยิ่งมีการสอบถามเข้ามามากยิ่งขึ้น

”ลึก ๆ แล้วผมก็ไม่ทราบจริง ๆ ว่าอนาคตการเมืองภาคใต้จะเป็นอย่างไร และทำไมถึงมีคำถามเข้ามามาก ผมก็ตอบไม่ได้ แต่ตอบแบบกลาง ๆ พอได้ จึงมานั่งคิดและหารือกับพรรคพวกว่า ถ้างั้นเราจัดเสวนาดีกว่าเพื่อถอดรหัส และหาคำตอบเรื่องนี้จากผู้รู้ จากคนวงใน

โครงการจัดเสวนา 'ถอดรหัสเลือกตั้งซ่อมเขต 8 นครศรีฯ บิ๊กโอ ปักธงให้พรรคกล้าธรรมกับอนาคตการเมืองภาคใต้' จึงเกิดขึ้นในวันเสาร์ที่ 14 มิถุนายน 2568 โดยเครือข่ายสื่อมวลชนจับตาสังคม ณ ลานเพลิน หนองนกเพา คาเฟ่ ต.เขาพังไกร อ.หัวไทร จ.นครศรีธรรมราช ตั้งแต่เวลา 13.00 น.เป็นต้นไป จนกว่าจะสิ้นกระบวนความ

นายเฉลียว กล่าวอีกว่า

การเลือกตั้งซ่อมเขต 8 นครศรีธรรมราช แทน มุกดาวรรณ เลื่องสีนิล จากพรรคภูมิใจไทย โดยก้องเกียรติ์ เกตุสมบัติ จากพรรคกล้าธรรม ชนะคู่แข่งขาดลอย ชนะพ่อตา 'ชินวรณ์ บุณยะเกียรติ' จากพรรคประชาธิปัตย์ ที่ถือว่าพ่ายแพ้อย่างบอบช้ำกับคะแนนที่ได้แค่ 4000 กว่าคะแนน 'Money politic' คือปัจจัยสำคัญที่มีการกล่าวถึงทำให้พรรคกล้าธรรม ปักธงในจังหวัดนครศรีธรรมราชได้กับการเลือกตั้งครั้งแรกใช่หรือไม่ แม้จะมีความพยายามรณรงค์ 'กินเหยื่อไม่กินเบ็ด' หมายถึงรับเงิน แต่ไม่เลือก แต่ก็ไม่ได้ผล เพราะการเมืองนครศรีธรรมราช การเมืองในภาคใต้เปลี่ยนไปแล้ว นักเลือกตั้งผ่านหน้าบ้าน เจ้าของบ้านถามว่า “เท่าไหร่”

เมื่อก่อนถ้าพูดถึงการใช้เงินซื้อเสียง ต้องพูดถึงภาคอีสาน ภาคใต้เขาเลือกกันด้วยอุดมการณ์ แต่สถานการณ์ปัจจุบันไม่ใช่ และเริ่มเป็นมาตั้งแต่การเลือกตั้งปี 62 เรื่อยมา โรคร้อยเอ็ดระบาดหนักเข้าสู่ภาคใต้ในการเลือกตั้งทุกระดับ

คะแนน 39000 กว่าคะแนนของก้องเกียรติ์ น่าสนใจยิ่งว่า มาได้อย่างไร จากผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งตัวเลขกลม ๆ 120,000 คะแนน ถ้ามาใช้สิทธิ์ 70% ก็น่าจะอยู่ที่ 70,000 คะแนน นั้นก็แปลว่า ก้องเกียรติ์ได้ไปเกินกว่าครึ่ง ทิ้งพ่อตาให้คะแนนเรี่ยดิน ทิ้งห่างพรรคประชาชนที่ได้คะแนนมาแค่ 6000 กว่าคะแนน จากการเลือกตั้งครั้งก่อนคะแนนมีอยู่ 11000 กว่าคะแนน กระแสนิยมของพรรคประชาชนถดถอยขนาดนั้นเหรอ ก็ไม่น่าจะใช่ ปัจจัยที่เป็นกระสุนดินดำ จึงน่าจะเป็นตัวชี้วัดที่มาของคะแนน เพราะพรรคกล้าธรรมก็ไม่ได้ฟรีเว่อร์อะไรนักหนา แม้ตัวผู้สมัครจะโดดเด่นในพื้นที่ก็ตาม

การปักธงแรกของพรรคกล้าธรรม จึงน่าถอดรหัสยิ่งว่า จะเป็นแนวทางในการเป็นธงนำในการเลือกตั้งครั้งต่อไป (ปี 70) หรือไม่ ในสถานการณ์ที่พรรคประชาธิปัตย์เจ้าถิ่นก็ป่วยติดเตียง พรรคภูมิใจไทยที่ก้าวคืบเข้าไป ก็เป็นมะเร็งร้าย พรรคประชาชาติ แกนนำหลักก็อ่อนล้าหมดเรี่ยวหมดแรง จะเป็นช่องทางให้พรรคกล้าธรรมรุกคืบไปอย่างฮึกเหิมกับความสำเร็จ หรือไม่

น่าสนใจถอดรหัส กับการเสวนา การปักธงเมืองคอนของบิ๊กโอ จะเป็นก้าวที่ฮึกเหิมของพรรคกล้าธรรมในสนามภาคใต้หรือไม่

พบกับนักการเมือง อดีตนักการเมือง นักวิชาการสายการเมือง สื่อมวลชน นายเฉลียว กล่าวถึงวิทยากรที่จะมาร่วมวงเสวนา ประกอบด้วย
 
-นิพนธ์ บุญญามณี อดีต รมช.มหาดไทย อดีต สส.หลายสมัยของสงขลา
-รศ.ดร.รงค์ บุญสวยขวัญ อดีต สส.นครฯ พรรคพลังประชารัฐ นักวิชาการผู้คร่ำหวอดในแวดวงการเมือง
-อานนท์ มีศรี นักสังเกตการณ์ทางการเมือง
-พุฒิพงศ์ ลุ่ยจิ๋ว ตัวแทนจากพรรคประชาชน
-สส.ชนนพัฒฐ์ นาคสั้ว สส.เขต 4 สงขลา ตัวแทนจากพรรคกล้าธรรม 
-พระครูรัตนสุตากร ดร.
รองเจ้าคณะอำเภอหัวไทร เจ้าอาวาสวัดคลองแดน ต.รามแก้ว อ.หัวไทร
เป็นต้น

วันที่ 14 มิย.เสวนา ณ ลานเพลิน ร้านหนองนกเภาคาเฟ่ (บ้านสวนสจ.ละม้าย เสนขวัญแก้ว) เวลา 13.00 น.เป็นต้นไป และพบกับครับ เรียนเชิญผู้สนใจทุกท่านครับ 

‘ปวิช พรหมทอง’ แต่งตัว!! ลงชิง สส.เขต 2 พัทลุง ‘พรรคกล้าธรรม’

(1 มิ.ย. 68) ผมไล่ดูในเฟซบุ๊กของพรรคพวก @ปวิช พรหมทอง กรรมการในการยางแห่งประเทศไทย พบข้อมูลที่น่าสนใจ

น่าสนใจว่า ปวิช พรหมทอง ลงไปพัทลุงบ่อยครั้งในช่วงปีนี้ น่าจะมีภารกิจพิเศษที่น่าสนใจมากกว่าการลงไปปฏิบัติภารกิจในฐานบอร์ดการยางแห่งประเทศไทย (กยท.)

พบข้อมูลว่า ปวิชลงไปแจกเอกสารประเภทหนึ่งที่เรียกว่า 'โฉนดต้นยาง' บอกตามตรงว่า ไม่รู้จัก เคยรู้ที่ นส.3 /โฉนด/หรือ สค.1 แต่คำว่า โฉนดต้นยาง ยังไม่เคยรู้จักมาก่อน

สืบค้นพบว่า เอกสารโฉนดต้นยางเป็นนโยบายของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์

ขออนุญาตนำเรียนว่าด้วยความไม่รู้จึงไปสืบค้นผ่าน 'ปัญญาประดิษฐ์' หรือ AI ด้วยการเสิร์ชหาผ่าน Chat GPT พบข้อมูลที่น่าจะพออธิบายคำว่า 'โฉนดต้นยาง' ซึ่งแตกต่างจากโฉนดเพื่อการเกษตร ที่แปลงโฉมมาจาก สปก.4-01

อธิบายความอย่างนี้จากข้อมูลผ่าน Chat GPT พบว่า คำว่า 'โฉนดต้นยาง' อาจหมายถึงเอกสารสิทธิ์ที่เกี่ยวข้องกับ ต้นยางพารา หรือ ที่ดินที่ปลูกต้นยาง แต่ในกฎหมายไทย ไม่มีเอกสารชื่อว่า 'โฉนดต้นยาง' โดยตรง ดังนั้นคำนี้อาจมีความหมายในบริบทใดบริบทหนึ่งต่อไปนี้:

1. โฉนดที่ดินที่ปลูกต้นยางพารา
• เป็นโฉนดที่ดิน (น.ส.4) ที่เจ้าของใช้ปลูกสวนยาง
• ใช้เป็นหลักฐานกรรมสิทธิ์ในที่ดินที่ปลูกต้นยาง
• สามารถนำไปใช้ค้ำประกันกู้เงินจากธนาคารหรือกองทุนต่าง ๆ ได้

2. ทะเบียนต้นยางพารา (เอกสารขึ้นทะเบียนสวนยาง)
• เอกสารที่กรมส่งเสริมการเกษตร หรือการยางแห่งประเทศไทย ออกให้เมื่อเกษตรกรไปแจ้งขึ้นทะเบียนต้นยาง
• ใช้ประกอบการขอรับเงินสนับสนุน หรือเงินช่วยเหลือจากรัฐ เช่น โครงการประกันรายได้
• ไม่ใช่โฉนด แต่เป็นหลักฐานแสดงการครอบครองและดูแลต้นยาง

3. ใบรับรองหรือสัญญาซื้อขายต้นยาง
• หากเป็นกรณีซื้อขายต้นยางโดยเฉพาะ เช่น ขายยางก้อนถ้วยหรือขายต้นยางที่ตัดแล้ว อาจมีใบสัญญาหรือใบรับรองแยกต่างหาก
• เอกสารเหล่านี้ใช้ในการค้ายางหรือขอสินเชื่อในรูปแบบที่เกี่ยวกับสินค้าเกษตร

แต่ข้อมูลที่พบปรากฏว่า ปวิช พรหมทอง เดินทางไปแจก โฉนดต้นยาง ในจังหวัดพัทลุง โซนเหนือแบบถี่ยิบ ผิดสังเกต เช็กข้อมูลพบว่า ปวิช กับ รอ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ที่มีบทบาทสำคัญในกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ น่าจะร่วมกันผลักดันนโยบายโฉนดต้นยาง เพื่อให้เกษตรกรใช้เอกสารนี้เข้าถึงแหล่งทุน

ฟังดูแล้วน่าจะยังพื้น ๆ แต่เช็คลงไปในเชิงลึกพบว่า พรรคกล้าธรรม ที่มี รอ.ธรรมนัส พรหมเผ่า เป็นประธานที่ปรึกษา กำลังเปิดเกมรุกในภาคใต้ หลัง บิ๊กโอ-ก้องเกียรติ์ เกตุสมบัติ ปักธงให้กล้าธรรม ในการเลือกตั้งซ่อม เขต 8 นครศรีธรรมราช

ปวิช พรหมทอง ถูกวางตัวให้ลงสมัคร สส.พัทลุง เขต 2 ในนามพรรคกล้าธรรมในการเลือกตั้งครั้งหน้า จึงไม่แปลกที่ปวิช ปรากฏตัวในจังหวัดพัทลุงบ่อยครั้งหนึ่งในช่วง 3-4 เดือนมานี้

ปวิช เป็นคนพัทลุง เคยเป็นสมาชิกสภาเขต ในย่านห้วยขวาง เขาก็มีฐานเสียงอยู่ไม่น้อยย่านป่าพะยอม ควนขนุน เขามีประวัติที่น่าสนใจไม่น้อยกับการแทรกตัวเข้าไปในสนามการเมืองระดับชาติ

'พีระพันธุ์' เตรียมจับมือกับกระทรวงอุตสาหกรรม พร้อมเตรียมออกกฎหมายควบคุมกิจการน้ำมัน

(31 พ.ค. 68) นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ได้กล่าวในการประชุมสภาผู้แทนราษฎรสมัยวิสามัญ เพื่อพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 วาระแรก โดยได้ชี้แจงเกี่ยวกับราคาน้ำมันปาล์มตกต่ำว่า การกำหนดราคาน้ำมันปาล์มไม่ได้อยู่ในความรับผิดชอบหลักของกระทรวงพลังงาน แต่ที่ผ่านมา กระทรวงพลังงานได้ให้การช่วยเหลือในยามที่ราคาน้ำมันปาล์มตกต่ำ โดยการนำน้ำมันปาล์มมาผสมในน้ำมันดีเซลเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรชาวสวนปาล์ม ซึ่งกระทรวงพลังงานก็ได้ดำเนินการช่วยเหลือมาโดยตลอด และเตรียมหารือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อหาเจ้าภาพในการแก้ไขปัญหาราคาน้ำมันปาล์มตกต่ำในรูปแบบเดียวกับอ้อยและน้ำตาล นอกจากนั้น เร็วๆ นี้ กระทรวงพลังงานได้เตรียมเสนอกฎหมายควบคุมกิจการน้ำมัน เพื่อให้ราคาน้ำมันขายปลีกอยู่ในราคาที่เหมาะสม สะท้อนต้นทุนที่แท้จริง และเป็นธรรมกับทุกฝ่าย

ในส่วนของการส่งเสริมการใช้พลังงานแสงอาทิตย์ กระทรวงพลังงานได้เร่งประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการลดขั้นตอนการติดตั้งโซลาร์เซลล์ตามบ้านอยู่อาศัยและอาคารสำนักงาน และเตรียมจัดหาอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องกับการผลิตไฟฟ้าด้วยพลังงานแสงอาทิตย์ โดยเฉพาะ Inverter ซึ่งเป็นอุปกรณ์สำคัญและมีราคาสูง กระทรวงพลังงานก็จะเตรียมประสานกับผู้ผลิตให้สามารถจำหน่ายให้กับประชาชนในราคาที่ถูกกว่าท้องตลาด และในส่วนของเกษตรกร กระทรวงพลังงานจะใช้กลไกกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ให้เตรียมงบประมาณเพื่อส่งเสริมให้เกษตรกรได้เข้าถึงการใช้โซลาร์เซลล์กับเครื่องสูบน้ำทางเกษตรเพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายต้นทุนในการทำการเกษตร เพื่อให้เกษตรกรมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น

และในเรื่องสุดท้าย แม้กระทรวงพลังงานจะไม่มียุทธศาสตร์ด้านสิ่งแวดล้อม แต่ในทางปฏิบัติ กระทรวงพลังงานก็พร้อมดำเนินมาตรการต่างๆ เพื่อให้การดำเนินงานภาคพลังงานตอบสนองกับนโยบาย Carbon Neutrality และ Net Zero ซึ่งเป็นเป้าหมายสำคัญด้านสิ่งแวดล้อมของประเทศและของโลก

เอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวชี้แจงในการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 31 พ.ค. 68

เมื่อวานนี้ (31 พ.ค. 68) นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ได้กล่าวชี้แจงในการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 ว่า

ตนเห็นตรงกับข้อเสนอแนะของทุกท่านว่า กากอุตสาหกรรมคือปัญหาใหญ่ และเป็นปัญหาสำคัญของประเทศชาติ ซึ่งเรากำลังพูดถึงการปฏิรูปการสร้างอุตสาหกรรมเศรษฐกิจยุคใหม่ ต้อนรับนักลงทุนดีๆ เข้ามาลงทุนในประเทศไทย แต่สิ่งที่เราพบเห็น และที่สะเทือนต่อภาพลักษณ์ของประเทศไทย และสังคมโลก คือภาพของกองขยะขนาดมหึมา ที่เป็นอนุสรณ์สถานทิ้งไว้เตือนใจให้กับคนไทย ตั้งแต่ตอนที่ตนเข้ามารับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม

ผู้ที่ไม่หวังดีต่อประเทศ ทั้งทุนต่างด้าว และกลุ่มนักธุรกิจที่เป็นคนไทย และกลุ่มเจ้าหน้าที่ที่ร่วมขบวนการนี้อ้างตัวว่า เป็นคนรักโลก ทำธุรกิจคัดแยกจัดการขยะของเสีย หรือแปลงสภาพรีไซเคิลกลับมาเป็นของดี แต่สิ่งที่ตนและ น.ส.พิมพ์ภัทรา วิชัยกุล อดีต รมว.อุตสาหกรรม เห็นเช่นเดียวกันคือ ธุรกิจเหล่านี้ไม่ได้ดำเนินการตามธุรกิจอย่างที่ตนเองสร้างภาพลักษณ์ที่ดีไว้ 

อีกทั้ง ตนเองเดินทางไปที่บริษัท วิน โพรเสส จำกัด ในพื้นที่อ.บ้านค่าย ซึ่งเราไปด้วยกันพบว่า บริษัทที่ควรจะทำประโยชน์ให้กับประเทศ แต่สภาพความเป็นจริงไม่เคยนำของเสียไปแปลงสภาพหรือบำบัดเลย กลับทิ้งไว้สร้างปัญหา และมลภาวะ ส่งผลกระทบต่อชีวิตของประชาชนในบริเวณใกล้เคียง และบริษัท วิน โพรเสส เป็นอนุสรณ์สถานที่ใหญ่ที่สุดที่หนึ่งในประเทศไทย

นอกจากนี้ ปัญหาเหล่านี้ไม่ได้เกิดขึ้นเพียงจุดนี้จุดเดียว ยังมีที่จังหวัดอยุธยา และราชบุรี ซึ่งตนให้ความสำคัญมาก และคิดจะทำอุตสาหกรรมยุคใหม่ สร้างการลงทุนที่เป็นเม็ดเงินการลงทุนในธุรกิจดีๆ เข้ามา เราต้องกำจัดพิษ และไล่พิษ เพื่อกำจัดธุรกิจเหล่านี้ที่สร้างภาพลักษณ์ที่ไม่ดีกับประเทศไทยออกไป และเคลียร์สภาพปัญหาเหล่านี้ออกไปก่อน ให้พี่น้องประชาชนเชื่อมั่นว่า การทำธุรกิจประกอบอุตสาหกรรมต้องไม่ส่งผลกระทบต่อขีวิต และทรัพย์สินของประชาชน พร้อมกล่าวขอบคุณเพื่อนสมาชิกที่ยกเรื่องดังกล่าวขึ้นมา เพราะถ้าไม่พูดก็คงไม่เห็นปัญหาเหล่านี้ งบประมาณก็คงไม่ได้ เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นก็น่ารันทดจริงๆ

“ผมสงสารประเทศ ผมสงสารกระทรวง บางทีผมก็สงสารตัวเอง ย้อนกลับไปดูตลอด 3-4 ปีที่ผ่านมา เมื่อปี 2566 เราไม่เคยจัดสรรงบประมาณสำหรับจัดการสิ่งเหล่านี้ไว้เลย จนกระทั่งมาปี 67 ยุคท่านรัฐมนตรีพิมพ์ภัทรา ก็ได้เริ่มเห็นความสำคัญ ตั้งงบไว้ 15 ล้านเท่านั้นเอง ซึ่งมูลค่าของปัญหาหลายขนาดรวมกันมูลค่าเป็นพันล้าน ก็ยังดีกว่าไม่ได้อะไรเลย มาปี 68 เราก็เพิ่มจาก 15 ล้านเป็น 18 ล้าน เพิ่มมาอีก 3 ล้านน่าดีใจมาก” นายเอกนัฏ กล่าว

ต้องขอขอบคุณนายกรัฐมนตรี และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่ให้ความสำคัญในเรื่องนี้ เพราะตนสู้เรื่องนี้มาตลอด ไปแถลงการณ์ต่อคณะกรรมการสิ่งแวดล้อม ตนก็ใช้โอกาส ใช้ทุกวินาที ทุกเวทีในการพูดเรื่องนี้ ให้สาธารณะ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเห็นปัญหาถึง และความสำคัญของเรื่องนี้ จนกระทั่งปีงบประมาณปี 69 เราได้งบประมาณเพิ่มเติมให้กับกรมโรงงานเพิ่มขึ้นเกือบ 10 เท่า จาก 17 ล้านบาท เป็น 140 ล้านบาท และมีการผูกพันงบประมาณไปในปีหน้าอีกกว่า 400 ล้านบาท จึงขอให้สบายใจว่า งบประมาณมีเพิ่มขึ้น และมีผูกพันไปถึงอนาคต และปัญหาที่เราพบจะได้รับการแก้ไข

นายเอกนัฏ ยืนยันว่า ที่มาของเงิน ไม่ได้มาจากงบประมาณประจำปีเท่านั้น เพราะก่อนหน้าเราไม่มีเงิน เราก็แปลงงบประมาณมาช่วยประชาชนในพื้นที่ก่อนด้วยวิธีต่างๆ และตั้งงบประมาณในการแก้ปัญหาท้้งปีนี้ และปีหน้าจึงขอให้มั่นใจว่าเราเคลียร์ได้ทั้งหมด รวมถึงของบกลางอีกกว่า 40 ล้านบาทในการเข้าจัดการถังสารเคมีเหล่านั้น และอีก 70 ล้านบาทที่จะจัดการปัญหาที่ จ.อยุธยาอีกด้วย 

“เราต้องระมัดระวัง ไม่ให้การนำงบประมาณภาษีของประชาชน นำไปใช้ที่เหมือนเป็นการอุดหนุนจุนเจือกับกลุ่มธุรกิจสีเทาเหล่านี้ เพราะกลายเป็นว่าแทนที่เราจะนำเงินไปอุดหนุนเกษตรกร ถ้าเขาทำตัวไม่มีความรับผิดชอบ และเอาเงินพี่น้องประชาชนยากลำบากจากภาษีของประชาชนไปให้เขา โดยที่เขาไม่จัดการกับปัญหาของเขาเอง เท่ากับเป็นการไปจุนเจืออุดหนุนกลุ่มธุรกิจเหล่านี้ ฉะนั้นผมให้ความสำคัญกับการจับกุมปราบปรามกลุ่มสีเทาเหล่านี้มาก” นายเอกนัฏ กล่าว

ตนขอให้มั่นใจว่า ต้องการการจับกุมไปจนถึงการดำเนินคดี เราไม่มีการปล่อยปละละเลย ถ้ามีข้อมูลเพิ่มเติม เราก็ขยายผลต่อ และไม่เคยละเลยต่อข้อมูลที่ทุกท่านให้มา เมื่อคืนได้ให้อุตสาหกรรมจังหวัดได้ไปแจ้งความเรียบร้อยแล้ว เมื่อเวลา 23.00 น. กับรถยนต์ที่ขนกากอุตสาหกรรมเมื่อวาน และจะนำสำนวนส่งให้กับ DSI ด้วย

ใครก็ตามที่เป็นศัตรูกับผู้กระทำผิดกฎหมายไทย เรามีศัตรูคนเดียวกัน และผมชวนท่านด้วยไม่ต้องไปกลัวใคร ผมทำงานตรงนี้ผมไม่เคยกลัวใคร ถึงจะถูกกดดันจากภายนอกภายในขนาดไหนผมมีภารกิจ มีหน้าที่ที่ต้องทำ ถ้าท่านมีข้อมูลเพิ่มเติมส่งมาได้เลยครับ ไม่ต้องเป็นตัวอักษรย่อ ส. ศ. หรือ ซ. บอกชื่อมาเลยว่ามันผู้นั้นเป็นใคร ใครที่อยู่เบื้องหลังขบวนการเหล่านี้ ตนจะจับให้หมด

นายเอกนัฏ กล่าวทิ้งท้ายว่า กลุ่มธุรกิจเหล่านี้ตนก็ไม่ได้ปล่อยปะละเลย ไม่ใช่เอางบประมาณมาเททิ้ง ที่เป็นลักษณะการไปอุดหนุนจุนเจือธุรกิจเหล่านี้ ใบอนุญาตที่ออกไป และถูกนำไปกระทำผิด ตนจะระงับทั้งหมด ปิดประตูซะ ใครที่ทำผิดก็ต้องออกตรวจออกจับทั้งหมด ถ้าท่านยังทำผิดอยู่ หากท่านมีเงินมากขนาดไหน ท่านก็สามารถใช้เงินของท่านได้ในคุก อย่างบริษัทหนึ่งเข้าไปในคุกตายในคุก ก็ไปใช้เงินในนรก เพราะท่านกำลังทำธุรกิจ ที่เป็นพิษ และทำร้ายชีวิตของพี่น้องประชาชนคนไทย ตนไม่ปล่อยปะละเลยไว้แน่

ส่วนไหนที่จะต้องใช้เงินเข้าไปจุนเจือตนก็ใช้ และใช้ด้วยความระมัดระวัง และบังคับใช้กฎหมายด้วย ตรงไหนที่ต้องแก้ก็ต้องแก้ จนไปถึงการแก้กฎหมาย พ.ร.บ.จัดการกากอุตสาหกรรม ที่จะเป็นกฎหมายฉบับแรกของประเทศไทยในการแก้ไขปัญหาจากอุตสาหกรรมในประเทศไทยอย่างเข้มงวด และถ้าเรามาช่วยกันก็จะสามารถขจัดพิษเหล่านี้ออกจากร่างกายของประเทศไทยไปได้ และในที่สุดเราก็สามารถต้อนรับกลุ่มธุรกิจนักลงทุนดีๆ เข้าสู่ประเทศ เพื่อทำประโยชน์ให้กับสิทธิของประเทศ และประชาชนคนไทยได้

'สุชาติ' เปิดใจผ่าน!! 'เนชั่นทีวี' รับจ่อขน สส. ซบ 'พรรคโอกาสใหม่'

(1 มิ.ย. 68) นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ และสส.บัญชีรายชื่อ พรรครวมไทยสร้างชาติ ให้สัมภาษณ์เปิดใจผ่านรายการทันข่าวเที่ยง ทางช่องเนชั่นทีวี ถึงการนำ 23 สส. พรรครวมไทยสร้างชาติ เข้าสังกัดพรรคโอกาสใหม่ ว่า ยอมรับว่าเป็นการพูดคุยกันและหารือถึงอนาคตทางการเมือง โดยมีกลุ่มเพื่อนของตนประมาณ 10 คน และมีกลุ่มของ นางพิชชารัตน์ เลาหพงศ์ชนะ สส.บัญชีรายชื่อ พรรครวมไทยสร้างชาติ เพราะขณะนี้ผ่านมาครึ่งเทอม ทั้งนี้ในความชัดเจนนั้น ไม่ใช่ทั้งหมดที่จะไปพร้อมกันหรืออยู่พร้อมกัน เพราะยังไม่เป็นอุดมการณ์เดียวกันทั้งหมด

“ภาพที่ปรากฏออกมา ไม่ได้มาจากผม และภาพที่มีสส.ปรากฏนั้น ยอมรับว่ายังไม่ครบ ซึ่งการคุยกัน คือ ขณะนี้เหลืออีกครึ่งเทอม ในทางการเมืองคิดว่าอยู่ที่เดิมใครไม่มีความสุข ซึ่งผมต้องดีไซน์แนวทางการเมืองกันใหม่ ทั้งนี้โดยมารยาท ผมขอโทษผู้บริหารพรรครวมไทยสร้างชาติ หากทางการเมืองไม่ชัดเจน ผมจะไม่พูด แต่ขณะนี้ผมโฟกัสไปที่กลุ่มของพรรคโอกาสใหม่ เพราะเป็นพรรคที่ก่อตั้งขึ้นมาใหม่ น้ำยังไม่เต็มแก้ว เติมได้ หากน้ำเต็มแก้ว เติมไม่ได้ เท่ากับว่าไปอาศัยเขาอยู่” นายสุชาติ กล่าว

เมื่อถามถึงเหตุผลลึกๆที่จะย้ายไปคืออะไร นายสุชาติ กล่าวย้ำว่า “ผมขอโทษผู้บริหารพรรคที่ผมสังกัด ผมไม่ได้ทะเลาะไม่ได้มีปัญหา แต่ทางการเมืองมีทั้งคนเข้าและคนออก วันนี้ต้องมาพูดเรื่องย้ายพรรค นักการเมืองทุกคนต้องเตรียมพร้อมทุกวินาทีทุกเรื่อง”

นายสุชาติ กล่าวย้ำว่า การเมืองไม่มีสัญญาณอะไร แต่พรรคที่ตนสังกัดเดินมาครึ่งปีแล้ว จะครบสมัย จะไปต่อหรือไม่ โดยที่ไม่มีปัญหากัน แต่เป็นเรื่อง เช่น กรรมการบริหารพรรค ที่มีอำนาจมีบทบาทตามระเบียบของพรรค ซึ่งทั้ง 9 คน ตนไม่รู้จักเลย แต่อนาคตทุกอย่างต้องผ่านการตัดสินใจของกรรมการบริหารพรรคที่มีน้ำหนักมากที่สุด

“ไม่มีความขัดแย้ง ผมเป็นสส. บ้านนอก ติดดิน ต่างจังหวัด มีช่องว่างเพราะกรรมการบริหารพรรคไม่ได้เป็น สส. ไม่ได้เป็นผู้แทนจึงไม่รู้ปัญหา ทั้งนี้ผมไม่มีอะไรกับหัวหน้าพรรค แต่ทางการเมืองมีคนออกคนเข้า เมื่อผมออกย่อมมีคนเข้า อุดมการณ์ทางการเมืองมีชอบไม่ชอบ ผมไม่ชอบในโครงสร้างมากกว่า สส.ทุกคนเคยอยู่แบบติดดิน ต้องมีคุยกัน ภาษาเดียวกัน ผมบอกเพื่อนสส.ว่า ผมเป็นรัฐมนตรีได้เพราะคนยกมือให้ ผมเป็นคนตัวเล็กที่สุด ไม่ใช่กล้ามโต เพราะเพื่อนสนับสนุนให้โอกาส พวกผมต้องการแบบนี้”นายสุชาติ กล่าว

เมื่อถามว่าหากย้ายพรรคจะยังสนับสนุนรัฐบาลหรือไม่ นายสุชาติ กล่าวตอบทันทีว่า แน่นอน เราทำการเมือง เพื่อประชาชน เพื่อประเทศ ดังนั้นพรรคที่ตนจะสังกัดนโยบายและแนวทางพรรคต้องตรงกันเพื่อประเทศบ้านเมือง สถาบันพระมหากษัตริย์ อะไรที่ผิดแปลกไปจากนี้อยู่ด้วยกันไม่ได้

เมื่อถามถึงจำนวนสส.ที่มีโอกาสย้ายไปด้วย นายสุชาติ กล่าวว่า “ผมมี 10 คน ที่เติมมา มาจากกลุ่มของ สส.พิชชารัตน์ คือ เป็นการหารือกัน ชวนมาคุยกัน 3-4 ขั้ว ถึงออกมาแบบนี้ ทั้งนี้ที่คุยกันหากเอ่ยไปเขาอาจไม่สบายใจ เพราะเขายังไม่ชัดเจน แต่มีแนวคิคล้ายกัน บางคนเป็นผู้ใหญ่ทางการเมืองมากกว่าผม”

เมื่อถามถึงประเมินสถานการณ์การเมือง เสถียรภาพรัฐบาล และการปรับครม. อย่างไร นายสุชาติ กล่าวว่า ปรับครม. เป็นอำนานและสิ่งที่ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกฯ เป็นผู้ตัสินใจ ตนก้าวล่วงไม่ได อย่างไรก็ดีไม่ว่าตนอยู่ตรงไหนพร้อมสนับสนุนรัฐบาล ล้านเปอร์เซ็นต์ ขณะที่เสถียรภาพรัฐบาล ตนมองว่ามีเสถียรภาพสูงมาก การบริหารประเทศตอนนี้ถือว่าดีที่สุด หากเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน ดังนั้นตนเชื่อว่าเสถรียรภาพรัฐาลเข้มแข็งและอยู่ครบเทอม 

เมื่อถามย้ำว่ามองว่ากระทรวงไหนตอบโจทย์การทำงานของกลุ่ม นายสุชาติ กล่าวว่า “ผมคิดไปไกลไม่ได้ มองได้แค่ที่ผ่านมาต้องทำอย่างไร ขยับอย่างไร พวกผมเป็นนักการเมืองต้องปรับและดูสถานการณ์การเมือง เหมือนเป็นพนักงานบริษัทอยู่ได้ก็อยู่ หากอยู่ไม่ได้ต้องสรางบริษัทเอง พวกผมระลึกถึงประเทศเป็นหลัก และพร้อมสนับสนุนรัฐบาลทำงานเพื่อประชาชนต่อไป”

‘หมอตุลย์’ ปลุก!! ‘แพทยสภา’ 12 มิ.ย. รักษาเกียรติภูมิ ยืนมติ!! ลงโทษ 3 หมอ

(1 มิ.ย. 68) นพ.ตุลย์ สทธิสมวงศ์ สมาชิกแพทยสภา ว. 13796 ทำหนังสือเปิดผนึกถึงกรรมการแพทยสภา สื่อมวลชน และประชาชนที่เคารพ ระบุว่า ในวันที่ 12 มิ.ย. 68 ที่จะถึงนี้ มีการประชุมของแพทยสภาครั้งสำคัญ เพื่อยืนยันมติเดิมเมื่อวันที่ 8 พ.ค. 68 ที่ถูกนายสมศักดิ์ เทพสุทิน ใช้อำนาจสภานายกพิเศษยับยั้ง ซึ่งหากจะลงมติยืนยันต้องใช้เสียง 2ใน 3 ของสมาชิกทั้งหมด คือ 47 เสียง ฝ่ายที่ต้องการล้มมติคือฝ่ายทักษิณ ชินวัตร (ซึ่งไม่ใช่แพทย์ที่ถูกลงโทษ) จึงมีความพยายามใช้อำนาจที่มี กดดันกรรมการแพทยสภาโดยตำแหน่ง ไม่ให้ราวมประชุม ไม่ให้ส่งผู้แทน หรือเข้าประชุม แต่ไม่เห็นชอบกับมติเดิม เพื่อไม่ให้เสียงเห็นชอบถึงจำนวนที่กำหนด

ในกรณีมีเหตุจำเป็นกรรมการแพทยสภาที่มาจากการเลือกตั้งไม่สามารถส่งตัวแทนเข้าประชุมได้ แต่กรรมการแพทยสภาโดยตำแหน่ง ประกอบด้วยจาก ก.สาธารณาสุข 3 ตำแหน่ง และ ก.กลาโหม 4 ตำแหน่ง (เจ้ากรมแพทย์ 3 และผอ.วิทยาลัยแพทย์พระมงกุฏเกล้า 1) และ คณบดีคณะแพทย์ทั่วประเทศอีก 28 ท่าน สามารถส่งตัวแทนเข้าประชุมได้

ผมขอเรียนต่อทุกท่าน ณ ที่นี้ว่าแพทยสภามีหน้าที่โดยชอบธรรมที่จะรักษามาตรฐานการรักษาและจริยธรรมของแพทย์ผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมทุกราย การประชุมในวันที่ 12 มิ.ย. 68 ที่จะถึงนี้ จึงมีความสำคัญยิ่ง กรรมการแพทยสภาทุกท่านควรเดินทางมาเข้าร่วมประชุม สำหรับกรรมการโดยตำแหน่ง หากไม่สามารถเข้าประชุมได้ ควรส่งตัวแทนเข้าร่วมประชุม ผมและเพื่อนแพทย์ขอสนับสนุนให้ที่ประชุมมีมติเป็นเอกฉันท์ยืนยันมติเดิม เพื่อแสดงถึงความเป็นอันหนึ่งเดียวกัน ในการรักษามาตรฐานของวิชาชีพแพทย์ และความน่าเชื่อถือของแพทยสภา อย่าปล่อยให้อำนาจภายนอกมาขัดขวางทำลายความน่าเชื่อถือและเกียรติภูมิของวิชาชีพแพทย์

ผมขอให้สื่อมวลชน และปชช.ทั้งหลายได้โปรดติดตาม และขัดขวางไม่ให้ผู้มีอำนาจ ใช้อำนาจจของตน ขัดขวางการทำหน้าที่ของกรรมการแพทยสภา  และได้โปรดส่งเสียงสนับสนุนให้แพทยสภาทำกน้าที่ของตนให้เสร็จสมบูรณ์ให้จงได้ โดยไม่หวั่นไหวต่ออำนาจมืดใดๆ

ปล. แพทยสภา ดูแลควบคุมการประกอบวิชาชีพเวชกรรมของสมาชิกแพทยสภา คือแพทย์ทุกคนเท่านั้น ส่วนทักษิณจะติดคุกหรือไม่ เป็นเรื่องของศาลเป็นผู้พิจารณา แพทยสภาไม่เกี่ยว

‘อ.เจษฎา’ ย้อน!! คำทำนายของตัวเอง เมื่อ 2 ปีก่อน ‘รวมไทยสร้างชาติ’ จะแตก!! สุดท้าย ‘สุชาติ’ ก็ไป

(1 มิ.ย. 68) รศ.ดร.เจษฎา เด่นดวงบริพันธ์ อาจารย์ประจำภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาฯ และนักสื่อสารวิทยาศาสตร์ ได้โพสต์เฟซบุ๊ก ระบุว่า …

โพสต์ทำนายเรื่อง "พรรครวมไทยสร้างชาติ" จะแตก ไว้ตั้งแต่ 2 ปีก่อนครับ 

ในที่สุด ก็เรียบร้อย ไปอีกพรรค 

(ป.ล. ที่ในโพสต์ มีพูดถึงภูมิใจไทย เพราะตอนนั้น มีคอมเมนต์กันว่า ถ้ากลายเป็นฝ่ายค้าน พรรคคงแตกแน่)

‘ดร.หิมาลัย’ ย้ำชัด ‘พรรครวมไทยสร้างชาติ’ ยึดมั่นแนวทางการทำงานเพื่อผลประโยชน์ชาติและประชาชน ชี้ สส. จะย้ายพรรคต้องยึดหลักกฎกติกามารยาท

(2 มิถุนายน 2568) ดร.หิมาลัย ผิวพรรณ ผู้อำนวยการพรรครวมไทยสร้างชาติ โพสต์เฟซบุ๊กว่า ...จากภาพข่าว การร่วมรับประทานอาหารของ สส. พรรครวมไทยสร้างชาติ จำนวนหนึ่ง นำโดยท่านสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ในโควตาของพรรครวมไทยสร้างชาติ และมีการแถลงข่าวตามสื่อต่างๆในโอกาสต่อมา ว่าเป็นการพูดคุยหาความชัดเจน ในแนวทาง ทางการเมืองของกลุ่ม สส. ดังกล่าว ซึ่งท่านสุชาติฯ พูดไว้ในหลายประเด็น ผมในฐานะผู้น้อยขออนุญาตกราบเรียนท่านในฐานะรองหัวหน้าพรรค และเป็นผู้ใหญ่ของพรรค ดังนี้ครับ 

1. แนวทางการทำงานและอุดมการณ์ของพรรค ท่านพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค หัวหน้าพรรค ยังมุ่งเน้นในเรื่องการทำงานเพื่อผลประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชน โดยเฉพาะจากการทำงานดังกล่าวมีผลงานเป็นที่ประจักษ์ การดูแลราคาน้ำมันให้มีเหตุผลมากขึ้น การปรับลดค่าไฟฟ้า ทำให้สามารถประหยัดค่าไฟฟ้าให้ประชาชนในภาพรวมได้ประมาณ 275,000,000,000 บาท (สองแสนเจ็ดหมื่นห้าพันล้านบาท) การเดินหน้าปลดล็อกโซลาร์เซลล์และแสวงหาอุปกรณ์ราคาถูกสำหรับประชาชน การเดินหน้าร่างกฎหมายพลังงานเพื่อความมั่นคงในราคายุติธรรม การดำเนินงานของกระทรวงอุตสาหกรรมภายใต้การกำกับดูแลของท่าน เอกณัฏ พร้อมพันธุ์ เลขาธิการพรรค ในเรื่องมาตรฐานสินค้าอุตสาหกรรมตลอดจนการตรวจสอบมลพิษและสิ่งแวดล้อมของโรงงานอุตสาหกรรมทั่วประเทศ การลงพื้นที่ช่วยเหลือประชาชนเมื่อมีภัยพิบัติและอยู่ดูแลจนพ้นวิกฤตตามคำสั่งรัฐบาล ของ พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ รมช.กลาโหม ทุกอย่างย่อมเป็นที่ประจักษ์ว่าการทำงานของพรรคตามแนวทางของท่านพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค ยังดำเนินการไปเพื่อผลประโยชน์ของประชาชนและประเทศชาติ ไม่เปลี่ยนแปลง

2. กรรมการบริหารพรรค จำนวน 9 ท่าน เป็นคนที่ท่านรู้จักดี โดยเฉพาะในรูปที่รับประทานอาหารวันนั้น ก็มีกรรมการบริหารพรรคอยู่ด้วย 1 ท่าน กรรมการบริหารพรรคที่เหลือเป็น สส. 4 ท่าน เป็นพ่อ สส. 1 ท่าน เป็นลูก สส. 1 ท่าน รวมหัวหน้าพรรค อีก 1 ท่าน ดังนั้น 8 ท่านนี้ ท่านรู้จักแน่นอนครับ ท่านอาจจะลืมไปครับ เลยให้สัมภาษณ์ว่าไม่รู้จัก

3. ในจำนวน สส.หลายท่าน ผมได้รับข่าวยืนยันกลับมาว่าเป็นการไปร่วมรับประทานอาหารตามคำเชิญ แต่การตัดสินใจย้ายพรรคหรือไม่นั้น หลายท่านแจ้งว่ายังไม่ถึงเวลาตัดสินใจครับ ดังนั้นจำนวนคงไม่อาจนับได้ในเวลานี้ครับ

4. สส.ที่ไป มี 2 ประเภท คือ 
4.1 แบบเขตเลือกตั้ง ซึ่งแบบนี้คะแนนที่เลือกมีทั้งส่วนตัวและของพรรคร่วมกันอยู่ สส.ในแบบนี้จึงมีภาระผูกพันอยู่กับพรรค เพราะตอนเสนอตัวให้ประชาชนเลือก ท่านเสนอตัวในนามพรรครวมไทยสร้างชาติ ท่านจึงควรเคารพมติพรรคและอยู่ในกติกาของพรรคอย่างมีมารยาท หากเมื่อถึงเวลาแล้ว ย่อมเป็นสิทธิของท่านที่จะพิจารณาหาพรรคที่เหมาะสมกับจริตของท่านต่อไป

4.2 แบบบัญชีรายชื่อ แบบนี้คะแนนเสียงที่เลือก เป็นคะแนนของพรรค เพราะประชาชนเลือกที่พรรคไม่ใช่ตัวบุคคล และบัญชีรายชื่อที่พรรคเสนอ มีลำดับที่ชัดเจน สส.แบบนี้ หากเห็นว่า พรรคที่สังกัดไม่ตรงกับความต้องการของตัวเองแล้ว ควรจะลาออกจากสมาชิกพรรคในทันที เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้มีรายชื่อถัดไปได้มีโอกาสมาทำงานตามนโยบายพรรคต่อไป

5. การเข้าพบหัวหน้าพรรค ไม่ได้เป็นเรื่องยาก หากท่านเข้าประชุมพรรค ท่านจะพบว่าท่านสามารถเสนอความคิดเห็นได้อย่างอิสระ และหลังจากประชุมแล้ว ท่าน สส.ก็สามารถเข้าพบท่านหัวหน้าพรรคที่ห้องได้ตลอดเวลา รวมถึงงานเลี้ยงสังสรรค์หลังประชุม ถ้าท่านหัวหน้าไม่ติดภารกิจสำคัญก็จะไปร่วมงานเลี้ยงด้วยเสมอ ร่วมสนทนาพูดคุยอย่างสนุกสนานและเป็นกันเอง หากท่านมีภารกิจสำคัญที่ไม่สามารถไปร่วมได้ ก็จะมอบท่านเลขาฯให้ไปดูแลแทน

ผมขออนุญาตกราบเรียนข้อเท็จจริงมายังท่านสุชาติ ชมกลิ่น ด้วยความเคารพครับ หากท่านต้องการทราบข้อเท็จจริงเพิ่มเติม ผมในฐานะ ผู้อำนวยการพรรค ยินดีเข้าพบและนำเรียนครับ 

และในโอกาสนี้ขอกราบเรียนพ่อแม่พี่น้องประชาชนให้มั่นใจในพรรครวมไทยสร้างชาติภายใต้การนำของท่านพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค ว่าประเทศชาติและประชาชนต้องมาก่อน กราบขอบพระคุณทุกท่านครับ

‘ดร.หิมาลัย’ โต้ ‘แรมโบ้ เสกสกล’ ปมทวงพรรครวมไทยสร้างชาติคืน ชี้ พรรคเป็นของประชาชนผู้สนับสนุนพรรค ไม่ใช่ของส่วนตัวผู้ใด

(2 มิถุนายน 2568) ดร.หิมาลัย ผิวพรรณ ผู้อำนวยการพรรครวมไทยสร้างชาติ โพสต์เพซบุ๊กว่า ...

ตามหาพรรคให้พี่แรมโบ้อยู่ครับ...

เรียน พี่แรมโบ้ เสกสกล ที่รักและเคารพ 
ผมได้รับทราบ จากสื่อต่างๆ ว่าพี่ออกมาทวงพรรครวมไทยสร้างชาติ คืนจากท่านพีรพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค ผมในฐานะ ผอ.พรรค ซึ่งมีความสนิทสนมคุ้นเคยกับพี่ จึงได้รีบดำเนินการตรวจสอบเพื่อนำเสนอท่านหัวหน้าพรรคตามความต้องการของพี่ ผลการตรวจสอบปรากฎดังนี้ครับ

1. พี่ได้ลาออกจากสมาชิกพรรคไปเรียบร้อยแล้ว ปัจจุบันจึงไม่มีสถานภาพเป็นสมาชิกของพรรค 

2. ท่านพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค ดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรคจากการเลือกตั้งอย่างถูกต้อง ตามข้อบังคับพรรคและระเบียบ กกต. ในการประชุมใหญ่วิสามัญ ครั้งที่ 1/2565 เมื่อ 3 ส.ค.65

3. วัตถุประสงค์ของการจัดตั้งพรรคการเมือง เพื่อให้พรรคเป็นตัวแทนของสมาชิกพรรคในการเสนอนโยบายและแนวทางบริหาร ต่อพี่น้องประชาชนทั่วไป ในปัจจุบัน พรรคมีสมาชิกพรรคถึง 40,000 กว่าคน ได้รับเสียงสนับสนุนในการเลือกตั้งครั้งหลังสุดถึงสี่ล้านกว่าเสียง ได้รับเงินบริจาคอุดหนุนผ่าน กกต.ในห้วงปีที่ผ่านมากที่สุด

จากการตรวจสอบพบข้อเท็จจริงทั้ง 3 ข้อข้างต้น ผมจึงเข้าใจได้ว่าพรรครวมไทยสร้างชาติเป็นของประชาชนผู้สนับสนุนพรรค ไม่ใช่ของส่วนตัวของผู้ใด ผมจึงไม่สามารถหาข้อมูลหรือเหตุผลที่จะนำเสนอท่านหัวหน้าพรรค เพื่อคืนพรรคให้พี่ได้ หากพี่มีหลักฐานอื่นใดที่แสดงว่าพรรครวมไทยสร้างชาติเป็นของพี่ กรุณาส่งหลักฐานเพิ่มเติมให้ผมได้ที่พรรค เพื่อจะได้ประมวลเรื่องนำเรียนท่านหัวหน้าพรรคตามขั้นตอนต่อไป 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top