Saturday, 26 April 2025
Politics

‘สรรเพชญ’ ถาม ‘รัฐบาล’ ผู้กล้าหาญปราบยางเถื่อนหายไปไหน?? เหตุใดราคายางลดฮวบ ลั่น!! ถนัดเคลมผลงานไปเรื่อย โกหกปชช.

(13 ก.ค.67) นายสรรเพชญ บุญญามณี สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดสงขลา พรรคประชาธิปัตย์ ได้ให้ความเห็นกรณีสถานการณ์ราคายางพาราในประเทศที่ลดฮวบ ซึ่งในพื้นที่ท้องถิ่นมีการรับซื้อจริงเหลือประมาณ 57 บาท/กิโลกรัมและน้ำยางลดเหลือ 61 บาท/กิโลกรัม จากเดิมที่ควรจะถึงระดับ 100 บาท/กิโลกรัม โดยในเรื่องนี้นายสรรเพชญกล่าวว่า หากย้อนกลับไปช่วงที่มีการอภิปรายในรัฐสภา ท่านอดีตนายกฯ ชวน หลีกภัย และท่านจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ ได้มีการตั้งข้อสังเกตในเรื่องราคายางไว้ด้วยความเป็นห่วงว่าราคายางจะลดลง เพราะในขณะนั้นราคายางที่พุ่งสูงขึ้นเนื่องจากเป็นไปตามกลไกของตลาดเพราะอยู่ในช่วงฤดูยางพาราผลัดเปลี่ยนใบ ซึ่งชาวสวนยางจะไม่กรีดยาง น้ำยางพาราจึงมีน้อยราคาจึงสูงขึ้น ไม่ใช่ผลงานของรัฐบาลตามที่รัฐบาลกล่าวอ้าง 

แต่รัฐบาลโดยท่านนายกเศรษฐา และท่านรัฐมนตรีเกษตรฯ ร้อยเอกธรรมนัส ก็ต่างพูดกันอย่างเสียงแข็งว่าเป็นเพราะผลงานของรัฐบาลที่เดินหน้าปราบยางเถื่อนทำให้ราคายางเพิ่มสูงขึ้นในรอบ 10 ปี เมื่อมาพิจารณาราคายาง ณ ปัจจุบัน เหตุใดราคายางจึงลดลงเป็นอย่างมากหรือเป็นเพราะรัฐบาลไม่ได้ทำงานจริงจังในเรื่องของการปราบยางเถื่อนแล้วราคาจึงลดฮวบลงแล้วส่งผลกระทบต่อรายได้ของชาวสวนยางเช่นนี้ นายสรรเพชญจึงได้ขอให้รัฐบาลเร่งทำงานให้สมกับที่ได้คุยโวไว้ในสภาว่ารัฐบาลนี้ทำผลงานเรื่องราคายางไว้เป็นประวัติศาสตร์ เพราะหากรัฐบาลนิ่งเฉยหรือไม่ทำอะไร ตนเป็นกังวลว่าจะเป็นการเคลมผลงานโกหกประชาชนไปวัน ๆ เท่านั้น

นอกจากนี้ นายสรรเพชญ ยังขอให้รัฐบาลได้ฟังเสียงของสมาคมสหพันธ์ชาวสวนยางแห่งประเทศไทยที่ได้ทำหนังสือถึงนายกรัฐมนตรีเพื่อให้เรียกประชุมคณะกรรมการนโยบายยางธรรมชาติเพื่อวางมาตรการแก้ไขปัญหาราคายางที่ลดลงอย่างต่อเนื่องอย่างเร่งด่วนในการช่วยเหลือชาวสวนยางต่อไป

'อ.อุ๋ย-ปชป.' ชี้!! เหตุลอบยิง 'ทรัมป์' สะท้อนการเมืองแบบสุดขั้วของสหรัฐฯ ต่างจากการเมืองไทย คนไทยขัดแย้งทางแค่ไหน ก็ไม่ถึงขั้นสูญเสียรุนแรง

(14 ก.ค.67) จากกรณีเหตุลอบสังหาร โดนัลด์ ทรัมป์ อดีตประธานาธิบดีสหรัฐ ฯ และผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐ ฯ ปี 2024 ขณะกำลังปราศรัยหาเสียงที่มลรัฐเพนซิลเวเนีย นั้น นายประพฤติ ฉัตรประภาชัย หรือ 'อาจารย์อุ๋ย' นักวิชาการด้านกฎหมายและอดีตผู้สมัคร สส. กรุงเทพมหานคร เขตบางกะปิ พรรคประชาธิปัตย์ ได้แสดงความเห็นผ่านเฟซบุ๊ก ระบุว่า...

ในสหรัฐอเมริกามีการลอบสังหารและพยายามลอบสังหารประธานาธิบดีและผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีนับสิบครั้ง หากนับตั้งแต่ที่ประธานาธิบดีอับบราฮัม ลินคอล์น ถูกยิงเข้าที่ท้ายทอยขณะชมละครในกรุงวอชิงตัน เมื่อ พ.ศ. 2408 โดยมือปืนเป็นนักแสดงชายที่เป็นผู้สนับสนุนสมาพันธรัฐฝ่ายใต้ ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่อเมริกากำลังแตกแยกระหว่างสงครามกลางเมือง และที่น่าจะเป็นที่จดจำมากที่สุดก็คือการลอบสังหารประธานาธิบดี จอห์ เอฟ เคนเนดี เมื่อ พ.ศ. 2506 ซึ่งเกิดขึ้นในช่วงสงครามเย็น และมีการปะทะทางความคิดอย่างรุนแรงระหว่างขั้วการเมือง    

สะท้อนให้เห็นความเป็นจริงของระบอบเสรีประชาธิปไตยแบบสหรัฐอเมริกา ที่พยายามจะทำตัวเป็น 'ต้นแบบ' ของโลกของการปกครองในระบอบประชาธิปไตย แต่จริง ๆ แล้วกลับนิยมใช้ความรุนแรงเป็นทางออก ยังไม่นับเรื่องรัฐธรรมนูญที่เปิดเสรีในการครอบครองอาวุธปืน ซึ่งบางรัฐซื้อปืนง่ายเหมือนซื้อขนมกลับบ้าน 

นอกจากนี้การที่รัฐธรรมนูญและกฎหมายของสหรัฐฯ มอบอำนาจ 'ล้นฟ้า' ให้กับประธานาธิบดีในการชี้เป็นชี้ตายประเทศ เพราะถือว่าได้รับการเลือกตั้งมาจากประชาชนแล้ว แถมยังไปถึงขั้นที่อนุญาตให้ผู้ที่ต้องโทษคดีอาญาลงสมัครได้อีก เพราะถือว่าต้องให้ประชาชนเป็นผู้ตัดสิน รวมทั้งการเอาประธานาธิบดีออกจากตำแหน่ง (Impeachment) ก็ต้องใช้เวลาและขั้นตอนมากมาย ก็ล้วนแล้วแต่เป็นปัจจัยที่ทำให้เกิดการลอบสังหารขึ้นบ่อยเมื่อความขัดแย้งทางการเมืองพุ่งถึงขีดสุด เพราะถือว่า 'ตายแล้วจบ' และยังส่งผลรุนแรงในเชิงสัญลักษณ์ไปทั่วทั้งโลก 

ส่วนประเทศไทยนั้น มีสถาบันหลักคือ ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และประชาชนคนไทยที่มีความสามัคคีกลมเกลียวกันเหมือนพี่น้อง มีวัฒนธรรมประเพณีอันดีงาม มีความโอบอ้อมอารีเป็นที่ตั้ง ทุกความขัดแย้งสามารถคลี่คลายด้วยคำว่า 'เป็นคนไทยด้วยกัน' ซึ่งจะเห็นได้ว่าความขัดแย้งทางการเมืองของประเทศไทย มีน้อยครั้งที่จะเกิดความสูญเสียรุนแรง หากเทียบกับในต่างประเทศ ทั้งในประเทศรอบข้างและประเทศตะวันตก    

"สุดท้ายนี้ผมหวังว่า ประเทศไทยและคนไทย จะไม่เดินตามสหรัฐอเมริกาที่ใช้การปลุกปั่นแบ่งแยกทางความคิดแบบสุดขั้ว จนนำไปสู่การใช้ความรุนแรงเป็นทางออก ไม่ว่าจะในรูปแบบใดก็ตาม ด้วยความปรารถนาดี" อ.อุ๋ย ฝากทิ้งท้าย

ชีวิตการเมือง 'ชลน่าน ศรีแก้ว' สุดท้ายก็ 'เข้าวัด' ปฏิบัติธรรม

'นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว' อดีตหัวหน้าพรรคเพื่อไทย, อดีตรัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุข ผู้ที่นำพาพรรคเพื่อไทย ร่วมเจรจาจัดตั้งรัฐบาลกับพรรคก้าวไกล แต่ไม่สำคัญ สุดท้ายฉีกเอ็มโอยูตามคำสั่งนายใหญ่ 

พรรคเพื่อไทยมาเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาลเอง โดยมี 'เศรษฐา ทวีสิน' เป็นนายกรัฐมนตรี ส่วนตัวของ นพ.ชลน่าน เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขอยู่เพียงไม่นาน ก็ถูกปรับออก ให้ สมศักดิ์ เทพสุทิน ไปนั่งแทน

โดย นพ.ชลน่าน ไม่มีตำแหน่งอะไรในรัฐบาลนี้อีกต่อไป ยังเหลือเพียงเป็น สส.ที่ลดบทบาทตัวเองลงไปมาก ไม่เหมือน นพ.ชลน่าน ครั้งเป็นฝ่ายค้าน

สุดท้ายก็ 'เข้าวัด' ปฏิบัติธรรม!!

นี่เป็นบทเรียนครั้งสำคัญของนักการเมือง ที่ถวายตัวรับใช้ เป็นหนังหน้าไฟให้ 'นาย' อย่างจงรักภักดี พร้อมเดินตามรอยนักการเมืองอีกมากรายในค่ายนี้ ที่หลายคนไปนอนอยู่ในคุกบ้าง เพียงแต่โชคยังดีที่ นพ.ชลน่าน ได้ไปนอนวัด ได้เห็นแสงแห่งธรรม

ว่าแล้ว...สังคมไทยก็กำลังเฝ้าติดตามชะตากรรมของ 'เศรษฐา ทวีสิน' ต่อ...ว่าชีวิตการเมืองจะถูกสังหารลงด้วยวิธีการใด

‘อนุชา-รวมไทยสร้างชาติ’ แนะ!! ตั้ง ‘ศาลจราจร’ เชื่อ!! ช่วยตัดสินคดี-เอาผิดผู้ขับขี่รวดเร็วขึ้น

(16 ก.ค. 67) นายอนุชา บุรพชัยศรี สส.แบบบัญชีรายชื่อ พรรครวมไทยสร้างชาติ แนะตั้งศาลจราจร เพื่อบังคับใช้กฎหมายอย่างมีประสิทธิภาพ โดยระบุว่า ตั้งแต่ปี พ.ศ.2565 เป็นต้นมา ประเทศไทยได้มีการพัฒนา และแก้ไขกฎหมายเพื่อแก้ไขปัญหาอุบัติเหตุทางถนนแล้วหลายฉบับ บางฉบับเพิ่งจะมีผลใช้บังคับเมื่อตุลาคม พ.ศ. 2566 ที่ผ่านมา ทำให้ยังไม่อาจประเมินถึงผลสัมฤทธิ์ของกฎหมายต่าง ๆ ดังกล่าวได้

อย่างไรก็ดี กฎหมายต่าง ๆ ที่เพิ่งได้รับการพัฒนาขึ้นนั้น เป็นเพียงต้นน้ำ และกลางน้ำในการแก้ไขปัญหา แต่ในส่วนของปลายน้ำซึ่งเป็นการบังคับใช้กฎหมายโดย ฝ่ายตุลาการ หากรัฐยังใช้กลไกในการพิจารณาคดีเช่นเดิมย่อมทำให้กฎหมายใหม่ที่มีหลักการที่ดีไม่อาจบังคับใช้ได้เต็มประสิทธิภาพ

ดังนั้น จึงได้มีข้อเสนอแนะให้มีกลไกในการบังคับใช้กฎหมายที่มีประสิทธิภาพ และสร้างการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมอย่างเป็นรูปธรรม โดยการเพิ่มเติมระบบศาลชำนาญพิเศษที่บุคลากรมีความชำนาญเฉพาะด้าน จัดตั้งเป็นศาลจราจรแยกออกเป็นศาลพิเศษต่างหาก มีเขตอำนาจพิจารณาพิพากษาครอบคลุมถึงคดีจราจรทุกคดี ไม่ว่าจะเป็นความผิดทางวินัย หรือเป็นความผิดอาญา เพื่อทำให้การพิจารณาพิพากษาคดีจราจรเป็นไปอย่างรวดเร็ว และมีเอกภาพในการกำหนดโทษ อันจะส่งผลให้ผู้ขับขี่เกรงกลัวต่อการกระทำความผิดกฎหมายมากขึ้น

ไขข้อข้องใจ!! ทำไมชาวนายี้ ‘ปุ๋ยคนละครึ่ง’ ชี้!! ‘แจกไร่ละพัน’ ยุคลุงตู่ดูตอบโจทย์กว่า

(16 ก.ค. 67) นายชัชวาลย์ แพทยาไทย สส. จังหวัดร้อยเอ็ด และเลขาธิการพรรคไทยสร้างไทย ให้สัมภาษณ์ผ่านระบบ Zoom กับรายการ ‘สีสันการเมือง แบบ เด้งเด้ง’ ทางช่องยูทูบแนวหน้าออนไลน์ ในประเด็นโครงการ ‘ปุ๋ยคนละครึ่ง’ ว่า เป็นเรื่องน่าดีใจที่รัฐบาลยอมถอยโครงการดังกล่าว เพราะแม้ปุ๋ยคนละครึ่งจะเป็นโครงการที่ตั้งอยู่บนหลักคิดที่ดี แต่แนวปฏิบัติและห้วงเวลาที่เปิดตัวนโยบายออกมายังไม่เหมาะสม จึงทำให้เกษตรกรกังวลและส่งเสียงไปถึงรัฐบาล และยังดีที่รัฐบาลฟังและคิดทบทวน

ส่วนกรณีที่ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ออกมาบอกว่าโครงการมีปัญหาส่วนหนึ่งเกิดจากการเมืองท้องถิ่นและผลประโยชน์ ตนมองว่าไม่น่าจะจริง เพราะปุ๋ยคนละครึ่งเป็นโครงการที่เริ่มต้นเป็นปีแรก จึงยังมองไม่เห็นว่าใครจะเสียผลประโยชน์ แต่หากมองย้อนไปในปีก่อน ๆ ที่รัฐบาลมีโครงการช่วยเหลือเกษตรกร เช่น โครงการช่วยเหลือไร่ละ 1,000 บาท ไม่เกิน 20 ไร่ เป็นการมอบเงินโดยตรงถึงเกษตรกรเพื่อลดต้นทุนการผลิต ไม่ใช่โครงการจัดซื้อ-จัดหา จึงไม่น่าจะมีผลประโยชน์ต่างตอบแทน มีแต่ชาวบ้านจะได้ประโยชน์

“ทีนี้พอกลับมาถึงปีนี้ ซึ่งตอนต้นแว่วว่าโครงการไร่ละ 1,000 อาจจะไม่มีถ้ามีโครงการปุ๋ยคนละครึ่ง ฉะนั้นคำพูดที่บอกว่าถ้ามีปุ๋ยคนละครึ่งแล้วจะทำให้อีกฝ่ายหนึ่งที่ได้รับประโยชน์เสียประโยชน์ ผมว่าคงไม่มีกลุ่มการเมืองที่ไหนที่ได้หรือเสีย มีแต่ชาวนาที่ได้เต็ม ๆ” นายชัชวาลย์ กล่าว

นายชัชวาลย์ กล่าวต่อไปว่า ต้องยอมรับว่ามาตรการช่วยเหลือเกษตรกรที่ชาวนาพอใจมากที่สุดในห้วงที่ผ่านมาคือโครงการไร่ละ 1,000 บาท ที่รัฐบาลก่อนหน้านี้เขาเคยช่วยเหลือมาน่าจะสัก 4 หรือ 5 ปี ซึ่งการอุดหนุนไร่ละ 1,000 บาท เป็นโครงการที่ช่วยเหลือเกษตรได้มาก เพราะต้นทุนของเกษตรกรไม่ได้มีเฉพาะค่าปุ๋ย เช่น หากเป็นการทำนาหว่าน จะมีทั้งค่าไถ ค่าเมล็ดพันธุ์ ค่าเคมีภัณฑ์ ค่าเกี่ยว ค่าปุ๋ย ค่าขนส่ง ยังไม่รวมค่าแรงของเจ้าของนา ดังนั้นการทำนาหว่าน ต้นทุนต่อไร่ถือว่าสูงมาก การเน้นไปแต่เรื่องปุ๋ยอย่างเดียวจึงไม่ตอบโจทย์เท่าใดนัก

ดังนั้นการมอบเงินโดยตรงเพื่ออุดหนุนชาวนาไร่ละ 1,000 บาท แต่ไม่เกิน 20 ไร่ รวมแล้วคือ 2 หมื่นบาท เกษตรกรสามารถนำเงินไปใช้จ่ายด้านต้นทุนต่าง ๆ ที่กล่าวมาได้ทั้งหมด แต่โครงการปุ๋ยคนละครึ่ง รัฐบาลกำหนดเงื่อนไขช่วยเหลือเกษตรกรไร่ละ 500 บาท ไม่เกิน 20 ไร่ หรือรวมแล้วคือ 1 หมื่นบาท และช่วยเฉพาะค่าปุ๋ยเท่านั้น อีกทั้งเกษตรกรต้องหาเงินอีกครึ่งหนึ่งมาสมทบเข้าบัญชีและผ่านแอปพลิเคชั่น จึงจะสามารถสั่งซื้อปุ๋ยได้ นั่นทำให้เกษตรกรตั้งคำถามว่าแล้วจะไปเอาเงินจากไหนมาสมทบ

ส่วนที่บอกว่าโครงการนี้มาไม่ถูกช่วงเวลา เพราะในเดือนกรกฎาคม เกษตรกรที่นำนาปีบางคนเขาหว่านปุ๋ยไปแล้ว 2 รอบ และรอบที่ 3 ที่เรียกว่าหว่านรับรวง จะอยู่ประมาณเดือนกันยายน-ตุลาคม แต่โครงการปุ๋ยคนละครึ่งก็ยังไม่สะเด็ดน้ำ กำหนดการยังไม่ชัดเจนว่าจะออกมาตอนไหน ดังนั้นเกษตรกรบางส่วนจึงมองว่าต่อให้โครงการออกมาก็ไม่สามารถนำปู๋ยไปใช้ได้อย่างเต็มที่ ยังมีประเด็นข้อจำกัดเรื่องยี่ห้อปุ๋ยซึ่งเกษตรกรไม่สามารถเลือกได้ หากเกษตรกรเคยใช้ยี่ห้อที่ขายในท้องตลาดแล้วไม่มี ก็ต้องใช้ยี่ห้อที่รัฐบาลกำหนด

“สูตรปุ๋ยเลือกได้ แต่บางทีก็ต้องยอมรับว่าความมั่นใจในเรื่องของแบรนด์สินค้า อย่าลืมว่าครึ่งหนึ่งเป็นเงินของเขา เป็นเงินของชาวบ้าน แล้วรัฐบาลให้อีกครึ่งเดียว อีกครึ่งเขาหามา เขาไม่ได้มีสิทธิ์เลือกเลย ไม่มีสิทธิ์เลือกปุ๋ยยี่ห้ออะไร ยี่ห้อที่เขาเคยใช้มา เขามาใช้ยี่ห้อที่กรมวิชาการเกษตรรับรอง กรมการข้าวรับรอง ทั้ง ๆ เป็นยี่ห้อเกิดใหม่ เขาก็ไม่มีความมั่นใจ” นายชัชวาลย์ ระบุ

นายชัชวาลย์ ยังกล่าวอีกว่า ส่วนที่รัฐบาลบอกว่ามีผู้ประกอบการจำหน่ายปุ๋ยให้เลือกมาก 40-50 เจ้า ตนอธิบายว่า เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับสูตรปุ๋ย แต่เท่าที่ถามเกษตรกร ส่วนใหญ่หากเคยใช้ยี่ห้อใดก็จะใช้ยี่ห้อนั้นต่อไป เกษตรกรจึงหนักใจว่ายี่ห้อใหม่ที่จะเข้ามาคือยี่ห้ออะไร ยี่ห้อที่ไม่เคยพบเคยเห็นหรือเปล่า อีกทั้งปัจจุบันก็ยังไม่มีการเปิดเผยยี่ห้อของปุ๋ยต่อสาธารณะ ขณะที่อีกเหตุผลหนึ่งที่รัฐบาลบอกว่าโครงการนี้จะช่วยเพิ่มผลผลิตด้วยการยิงตรงอย่างแม่นยำ ตนก็ต้องบอกว่า การเพิ่มผลผลิตไม่ได้ขึ้นอยู่กับปุ๋ยเพียงอย่างเดียว

โดยการทำนามีปัจจัยสำคัญคือ 1.น้ำ แต่พื้นที่ที่ระบบชลประทานเข้าไม่ถึง ตนคาดว่าอยู่ที่ร้อยละ 60-70 ของประเทศ อย่างบริเวณที่ตนอยู่ คือทุ่งกุลาร้องไห้ ทำเกษตรโดยใช้น้ำฝนเพียงอย่างเดียว 2.ดิน 3.เมล็ดพันธุ์ ในขณะที่ปุ๋ยเป็นปัจจัยลำดับที่ 4 และต้องไม่ลืมว่าทางเลือกของเกษตรกรไม่ได้มีแต่ปุ๋ยเคมี ปุ๋ยคอกจากมูลสัตว์ก็มีเกษตรกรที่ใช้อยู่แล้วเพื่อลดต้นทุน โดยนำมาใช้รองพื้น ขณะที่ปุ๋ยเคมีนำมาใช้เสริมในช่วงรับรวง 

ส่วนเรื่องเกษตรแม่นยำ ตนต้องถามรัฐบาลว่า ณ เวลานี้ หน่วยงานที่ถูกอ้างถึงบ่อย ๆ คือหมอดิน ที่เป็นอาสาสมัครในแต่ละพื้นที่ระดับหมู่บ้านหรือตำบล คนกลุ่มนี้มีความรู้และเครื่องมือเพียงพอมาก-น้อยเพียงใด อย่างเครื่องวัดค่ากรด-ด่าง (PH) ของดิน ซึ่งเป็นค่าที่เกษตรกรต้องรู้ก่อนตัดสินใจเลือกใช้ปุ๋ย เพื่อให้สูตรปุ๋ยที่ใช้เหมาะสมกับดินในแปลงของตนเอง หากอ้างเรื่องเกษตรแม่นยำ แต่คนในฟันเฟืองที่มีหน้าที่ผลักดันยังไม่มีเครื่องมือ ตนจึงมองว่าเรื่องนี้เป็นการกล่าวอ้างที่เกินไป

‘สมชัย’ แฉ!! กระบวนการปั้นดีกรี 'ดร.-ศ.-รศ.' เพื่อบรรดาผู้มีสตางค์ แต่ไร้วุฒิ เปิดบริษัทตั้งชื่อเหมือนมหาวิทยาลัยดัง ทำให้ทุกอย่าง เหมาจ่ายไม่ถึงล้าน

(16 ก.ค.67) นายสมชัย ศรีสุทธิยากร อดีตกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก 'ปั่นไปไหน - สมชัย ศรีสุทธิยากร' ใจความดังนี้...

เรื่องมันมีอยู่ว่า บรรดาคนมีสตางค์ แต่ไม่มีวุฒิ อยากมี ดร. นำหน้า หรือ มี ศ. รศ. นำ ยิ่งเท่

บังเอิญมีบริษัทรับเทียบโอนวุฒิในอเมริกา ตั้งชื่อเหมือนมหาวิทยาลัย เปิดบริการรับเทียบโอนวุฒิ  เช่น เธอส่งใบปริญญามาฉันก็เทียบวุฒิให้ แต่หน้าตาใบเทียบวุฒิดูเผิน ๆ จะเหมือนใบปริญญา

บริษัทนั้นยังเปิดโอกาสว่า ถ้าเธอมีประสบการณ์อะไรก็ส่งหลักฐานมา ฉันเทียบโอนตำแหน่งวิชาการให้ 3 ชิ้นเป็น รศ. หากจะเป็น ศ. ขอ 5 ชิ้น

เรื่องเดินต่อว่า มี อ.ที่ไม่สังกัดมหาวิทยาลัย เห็นว่า เป็นช่องทางสร้างคนสร้างรายได้ เลยชักชวนแบบบอกต่อ ใครสนใจบ้าง   

ทำวิจัยไม่เป็นเดี๋ยวสอน สอนแล้วยังทำไม่เป็นหาคนช่วยทำ ทำแล้วเขียนไม่ถูกหาคนช่วยเขียน  แปลไม่ได้ช่วยแปล หาที่ลงวารสารต่างประเทศไม่ได้เดี๋ยวจัดให้ แต่มีค่าใช้จ่าย รวม ๆ ยังไงก็ไม่ถึงล้าน ดีกว่าบินไปเรียน 5 ปี 10 ล้าน ยังอาจไม่จบ

ผู้มีสตางค์ที่อยากได้ปริญญา อยากได้ ดร. อยากได้ ศ. รศ. เลย เห็นว่านี่คือ ทางลัด ประหยัด ไม่เหนื่อยแรง แต่ไม่รู้ว่า สิ่งนี้ ไม่ได้รับการยอมรับจากหน่วยงานที่มีมาตรฐาน

ลงเฟซ ลงติ๊กต๊อก สร้างภาพสวย ๆ ไม่น่าจะมีปัญหา คนเห็นก็กดไลก์ กดหัวใจให้ ยิ่งปลื้มกันใหญ่ แต่พอเอามาใช้กับอะไรที่เป็นทางการมาก ๆ น่าจะเรื่องยาว

เพื่อนผมที่เป็นหมอบอกว่า นี่คือ อาการ Pathological Lair คือ โกหกในสิ่งที่ตัวเองไม่รู้ตัวว่าโกหก

ปัญหาคือ หากยังดึงดันและฟ้องกราดปิดปากใครต่อใคร เรื่องถึงศาล ฝ่ายถูกฟ้องเขาขอให้ศาลเรียกเอกสารวิชาการทุกชิ้นมาตรวจสอบ

อาการหนาวจะยิ่งกว่าทวีปอาร์กติก

สัญญาณชัด!! ชี้ชะตา 7 สิงหา 'พิธา-ชัยธวัช-หมออ๋อง' ต้องลาโรง

มาตรา 92 เมื่อคณะกรรมการมีหลักฐานอันควรเชื่อได้ว่าพรรคการเมืองใดกระทำการอย่างใดอย่างหนึ่งดังต่อไปนี้ ให้ยื่นศาลรัฐธรรมนูญเพื่อสั่งยุบพรรคการเมืองนั้น

(1) กระทำการล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข หรือเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจการปกครองประเทศโดยวิธีการซึ่งมิได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ

(2) กระทำการอันเป็นปฏิปักษ์ต่อการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข

ยกมาตรา 92 วรรคแรก (1) และ (2) ของพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ.2560 มาให้อ่านกัน เพราะนี่คือมาตราที่เป็นหัวใจหลักที่คณะกรรมการ (การเลือกตั้ง) มีหลักฐานอันควรเชื่อได้ว่า...ได้มีมติเอกฉันท์เมื่อ 12 มี.ค. 2567 ยื่นเรื่องต่อศาลรัฐธรรมนูญให้ยุบพรรคก้าวไกล...

อันเป็นกรณีต่อเนื่องจากคดีล้มล้างฯ ที่ศาลรธน.วินิจฉัยให้ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ และพรรคก้าวไกลหยุดการกระทำอันเป็นการเซาะกร่อนบ่อนทำลายฯ...ใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตาม รธน.มาตรา 49...

ที่ผ่านมาพรรคก้าวไกลได้ขอขยายเวลาแบบเต็มแม็ก และแถลงข่าวชุดใหญ่ไฟกะพริบมาแล้วสองสามรอบ ต่อมายิ่งฮึกเหิมเหมือนได้โด๊ปยาดี เมื่อ ศ.ดร.สุรพล นิติไกรพจน์ นายกสภามธ., ที่ปรึกษากฎหมายกกต. และอดีตอธิการบดีมธ. ยอมเป็นพยานปากเอก เขียนเอกสาร 20 กว่าหน้าให้...

โดยนอกเหนือจากคัดค้านการยุบพรรคการเมืองโดยอ้างหลักสากลแล้ว ดร.สุรพล ยังช่วยบดขยี้ประเด็นที่ว่ากกต.ผิดพลาดในกระบวนการสอบสวนข้อเท็จจริง และแยกขาดการดำเนินการมาตรา 92 และ 93 ของ พ.ร.ป.พรรคการเมืองออกจากกัน...

วันที่ 16 ก.ค.ที่ผ่านมา 'เดอะต๋อม' ชัยธวัช ตุลาธน หัวหน้าพรรคฮึกห้าว แถลงก่อนศาลรธน.ประชุมหนึ่งวัน เป้าหมายเพื่อให้ศาลรธน.รับหลักการเปิด การไต่สวนพยานปากสำคัญ (ดร.สุรพล)...

แต่เหมือนกับสายฟ้าฟาด...วันที่ 17 ก.ค. ศาลรธน.ประชุมพิจารณาตามปกติในวันพุธ แต่มีมติยุติการไต่สวน เพราะหลักฐานเพียงพอแล้ว หากคู่กรณีประสงค์จะแถลงการณ์ปิดคดีให้ยื่นเป็นหนังสือภายในวันที่ 24 ก.ค. โดยศาลจะประชุมหารือและลงมติวินิจฉัยในวันพุธที่ 7 ส.ค.

ดูเหมือนว่าสัญญาณวันที่ 17 ก.ค. จากศาลรธน.พอจะเห็นเค้าลางชัดเจนแล้วว่า...ก้าวไกลกำลังใกล้เกม...ความพยายามที่จะพลิกเกมโดยขอไต่สวนพยานบุคคลและให้เรียกเอกสารเพิ่มเติมเพื่อขยี้ประเด็นกกต.ไม่ได้ทำตามขั้นตอนกฎหมาย...หวังจะให้กกต.แพ้ฟาวล์...ปิดฉากลงเกือบสนิท

มองไปข้างหน้ากรณีหากยุบพรรค สส.ทุกชีวิตไปหาพรรคใหม่สังกัดได้ใน 30 วัน แต่กรณีกรรมการบริหารพรรคโดนตัดสิทธิ์ 10 ปี ตามมาตรา 94 วรรคสองนั้น...คนที่จะจบข่าวจบชีวิตชั่วคราวไปด้วยคือ 3 กรรมการบริหารพรรคคนดังชุดก่อนคือ พิธา ลิ้มเจริญรัตน์, ชัยธวัช ตุลาธน และท่านรองหมูกระทะ...ปดิพัทธ์ สันติภาดา...รวมทั้งเบญจา แสงจันทร์ และสุเทพ อู๋อ้น   

พร้อม ๆ กันนั้น การเมืองหลายประเด็นก็คงจะพลิกเปลี่ยนกันไม่น้อย...เอวัง!!

‘ชัยธวัช’ ลั่น!! อย่าเพิ่งด่วนสรุป ‘ยุบก้าวไกล’ เหตุยิ่งสู้ยิ่งมั่นใจขึ้น ย้ำ!! ถ้ายุบจริง ตกผลึกหมดแล้ว ไม่ต้องเตรียมอะไรทั้งสิ้น

(17 ก.ค. 67) ที่รัฐสภา นายชัยธวัช ตุลาธน สส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคก้าวไกล แถลงความคืบหน้ากรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญนัดวินิจฉัยคดียุบพรรคก้าวไกล ในวันที่ 7 ส.ค.นี้ โดยไม่มีการไต่สวน ว่า คดีนี้เหลือประเด็นที่ต้องพิจารณาเป็นปัญหาทางข้อกฎหมายเท่านั้น ส่วนข้อเท็จจริงมีพยานหลักฐานเพียงพอ อย่างไรก็ตาม ศาลมีความเห็นให้ผนวกเอาคำร้องคู่กรณีอยู่ในสำนวนด้วย

ซึ่งน่าจะหมายถึงคำร้องของพยาน คือ นายสุรพล นิติไกรพจน์ นายกสภามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ รวมถึงคำร้องที่พรรคได้ยื่นเป็นข้อโต้แย้งทั้งที่เป็นพยานหลักฐานของ คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) และศาลรัฐธรรมนูญด้วย แต่อย่างน้อยแม้ไม่มีการไต่สวน แต่เรามีพยานเพิ่มเติม และมีการสรุปข้อเท็จจริงเข้าไปด้วย

นายชัยธวัช กล่าวว่า เราเสียดายที่ไม่มีการไต่สวน ซึ่งในมุมมองเราเห็นว่าข้อเท็จจริงยังมีอยู่ควรไต่สวนให้ถึงที่สุดก่อน ส่วนข้อกฎหมายเรามั่นใจในข้อกฎหมายที่เราสู้ไป ไม่ว่าจะเป็นประเด็นกระบวนการยื่นคำร้องของกกต. ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย เราอาศัยเอกสารหลักฐานของ กกต.เอง เพื่อมาเพิ่มน้ำหนักว่ากระบวนการยื่นคำร้องยุบพรรคไม่ชอบด้วยกฎหมายอย่างไร

ส่วนข้อกฎหมายอื่น ๆ เราก็มั่นใจว่าการกระทำของพรรคก้าวไกลไม่ใช่การล้มล้างหรือเป็นปฏิปักษ์ต่อการปกครอง อย่างไรก็ตาม หลังจากนี้พรรคก้าวไกลเตรียมทำคำแถลงปิดคดีภายในวันที่ 24 ก.ค.นี้ โดยจะส่งเป็นเอกสารเนื่องจากไม่มีการไต่สวนหน้าบัลลังก์

เมื่อถามว่า วันที่ 7 ส.ค. พรรคก้าวไกลจะเดินทาง ไปที่ศาลหรือส่งทนายไป นายชัยธวัช กล่าวว่า ยังไม่ได้คุยกันว่าจะทำอย่างไร เพราะวันที่ 7 ส.ค. ตรงกับวันพุธซึ่งเป็นวันประชุมสภาฯ

เมื่อถามว่า มีความกังวลหรือไม่ นายชัยธวัช กล่าวว่า หากมีการเปิดไต่สวนจะทำให้เรามีโอกาสต่อสู้ทั้งข้อกฎหมาย และข้อเท็จจริง ให้ได้สัดส่วนของข้อกล่าวหา และโทษในคดีนี้ แต่อย่างน้อยตอนนี้ได้รวบรวมคำร้องเพิ่มเติม ก็น่าจะเพิ่มน้ำหนักในการต่อสู้ของเราได้ จึงยังไม่กังวลอะไร และเรายังมั่นใจการต่อสู้ทางข้อกฎหมายอยู่

เมื่อถามว่า การที่ศาลไม่เปิดไต่สวนมองว่าเป็นการเร่งรัดหรือไม่ นายชัยธวัชกล่าวว่า อยู่ที่ดุลพินิจของศาล เราก้าวล่วงไม่ได้ เพียงแต่เสียดายโอกาส เรามองในแง่ดีของทุกฝ่ายด้วยว่าหากเปิดไต่สวนเพื่อให้คู่กรณีได้มีการต่อสู้กันอย่างเต็มที่ ก็จะเป็นผลดีต่อการยอมรับคำวินิจฉัยด้วย

เมื่อถามว่า มีการเตรียมพร้อมที่จะรับผลหากออกมาทางลบหรือไม่ นายชัยธวัชกล่าวว่า ยังไม่เตรียมอะไร ต้องหารือในพรรคก่อนว่าวันที่ 7 ส.ค.นี้ ซึ่งเป็นวันฟังคำวินิจฉัยจะทำอย่างไร แต่ไม่มีใครหวั่นไหว เพราะระยะเวลานานแล้ว คดีนี้ใช้เวลาหลายเดือนแล้ว ทุกคนนิ่งหมดแล้ว จึงไม่ได้เตรียมใจยอมรับอะไร ยังเตรียมมาทำงานในวันที่ 8 ส.ค.อยู่

“ขณะนี้ทุกอย่างภายในพรรคนิ่ง แม้ว่าศาลจะวินิจฉัยเฉพาะข้อกฎหมาย และยิ่งใครได้เห็นเอกสารหลักฐานที่ทางพรรคได้ทำไปเมื่อวานนี้ (16 ก.ค.) ก็จะยิ่งมั่นใจ อย่าเพิ่งสรุปว่าจะเป็นอย่างไร เพราะยิ่งสู้คดีเรายิ่งมั่นใจมากขึ้น” นายชัยธวัชกล่าว

เมื่อถามว่า มีการเตรียมตั้งพรรคใหม่เอาไว้หรือไม่ นายชัยธวัช กล่าวว่า ยังไม่ถึงเวลาที่จะคุยกันเรื่องนี้ ขอรอคำวินิจฉัยของศาลก่อน ตอนนี้ยังมีโอกาสอยู่ ยิ่งต่อสู้ก็ยิ่งมีโอกาส และถ้ายุบจริงเราตกผลึกหมดแล้ว ไม่ต้องเตรียมอะไรทั้งสิ้น เราเตรียมทำงานอย่างเดียว

‘สส.รวมไทยสร้างชาติ’ จี้!! กทม. เร่งแก้ปัญหา ‘คลองช่องนนทรี’ หลังปล่อย ‘เน่า-รก-ร้าง’ ไม่สมเป็นสวนแลนด์มาร์กกลางกรุง

(17 ก.ค.67) นายเกรียงยศ สุดลาภา สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อ พรรครวมไทยสร้างชาติ และอดีตรองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ตามที่ตนได้ลงพื้นที่สวนสาธารณะคลองช่องนนทรี โดยการลงพื้นที่ในครั้งนี้มาจากการรับข้อร้องเรียนจากประชาชน ผู้ประกอบการในพื้นที่ ประกอบกับสื่อต่าง ๆ ได้มีการเผยแพร่ข่าวเกี่ยวกับการขาดการบำรุงรักษาของคลองช่องนนทรี 

โดย นายเกรียงยศ เปิดเผยว่า ในการพัฒนาคลองช่องนนทรีมีเป้าหมายในการพัฒนาให้เป็นแลนด์มาร์กสำคัญของกรุงเทพมหานคร เป็นจุดหมายสำคัญของนักท่องเที่ยวทั้งในประเทศและต่างประเทศ นอกจากนี้ยังมีศักยภาพเป็นจุดถ่ายทำภาพยนตร์ โดยมีโมเดลจากคลองชองกเยชอน กรุงโซล ประเทศเกาหลีใต้ ที่ฟื้นฟูจากคลองที่ถูกเมินเป็นแลนด์มาร์กของเมือง 

ทั้งนี้ จากการลงพื้นที่ พบว่าคลองช่องนนทรีขาดการดูแลรักษาหลาย ๆ ประการ อาทิ น้ำเน่าเสียซึ่งปรากฏการเผยแพร่ผ่านสื่ออย่างต่อเนื่องตั้งแต่ช่วงเดือนมีนาคมที่ผ่านมา การปรับปรุงภูมิทัศน์ผ่านต้นไม้ต่าง ๆ ถูกปล่อยรกร้าง ขาดการดูแลรักษาทำให้พืชบางส่วนแห้งตาย มีหญ้าและวัชพืชขึ้นรก เห็นได้ชัดว่าขาดการดูแลความสะอาดของพื้นที่ในภาพรวม

“เมื่อสภาพภูมิทัศน์โดยรวมของสวนสาธารณะคลองช่องนนทรีขาดเสน่ห์ จึงไม่มีผู้เข้ามาใช้งาน ดังนั้น หากไม่มีการแก้ปัญหาย่อมจะทำให้สวนสาธารณะคลองช่องนนทรีกลายเป็นสวนสาธารณะที่ไม่เป็นสาธารณะเพราะไม่มีผู้ใช้งาน จึงขอฝากไปยังกรุงเทพมหานครให้บำรุงรักษาโครงการต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้งบประมาณจากภาษีประชาชนที่ใช้ไปในโครงการต่าง ๆ อย่างคุ้มค่า โดยตนจะนำปัญหาที่เกิดขึ้นตั้งกระทู้ถามในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร เพื่อติดตามความคืบหน้าในการดำเนินการแก้ไขปัญหา”

ทั้งนี้ สวนสาธารณะคลองช่องนนทรีได้มีการศึกษาและเริ่มทำสัญญาในสมัยที่ พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง ดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร โดยมีเจตนารมณ์ทำให้พื้นที่คลองช่องนนทรีเป็นอีกหนึ่งแลนด์มาร์กกลางเมืองไม่แพ้คลองชองกเยชอนของเกาหลีใต้

‘อัครเดช รวมไทยสร้างชาติ’ หนุน ‘ร่าง พ.ร.บ.งบเพิ่มเติม 67’ แนะรัฐใช้ข้อมูลยุคลุงตู่ ช่วยเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายแม่นยำ-รวดเร็ว

(17 ก.ค.67) นายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ สส.ราชบุรี ในฐานะโฆษกรวมไทยสร้างชาติ อภิปรายสนับสนุนร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติม พ.ศ. 2567 วงเงิน 1.22 แสนล้านบาท ว่า มีความสำคัญที่จะแก้ปัญหาเศรษฐกิจและความเดือดร้อนให้กับประชาชน เพราะเป็นเงินที่รัฐบาลจะต้องจัดสรร ส่งตรงไปประชาชนที่เดือดร้อน เพื่อเป็นเครื่องมือในการกระตุ้นเศรษฐกิจ 

ประกอบกับที่ผ่านมางบประมาณรายจ่ายปี 2567 ก็เกิดความล่าช้าไป 6 เดือน ทำให้ระบบเศรษฐกิจมีปัญหา เกิดวิกฤติเศรษฐกิจ และปัญหาปากท้องของพี่น้องประชาชน เพราะเศรษฐกิจของประเทศส่วนหนึ่งมาจากการใช้จ่ายของภาครัฐ เมื่องบประมาณล่าช้าเงินขาดหายไปจากระบบ และกว่าเงินงบประมาณจะได้ใช้ และกว่าเศรษฐกิจฟื้นก็ต้องใช้เวลา รัฐบาลจึงจำเป็นต้องทำให้เม็ดเงินเติมเข้าไปในระบบให้เร็วที่สุด เพื่อเร่งให้เศรษฐกิจฟื้น

“ระบบเศรษฐกิจที่ไม่ฟื้นก็เปรียบเหมือนกับต้นไม้ ที่เมื่อขาดน้ำ ขาดปุ๋ย ก็ไม่ได้เฉาตายทีเดียว แต่จะค่อย ๆ เฉาไปเรื่อย ๆ จนตายในที่สุด ถ้ารัฐบาลไม่เร่งใช้จ่ายเงินงบประมาณที่ล่าช้าจากงบประมาณปี 67 และถึงแม้ว่าจะมีการใช้จ่ายของภาครัฐจากเงินงบประมาณมาแล้ว แต่กว่าจะผ่านบริษัทผู้รับเหมา ลงไปยังร้านค้า ไปยังภาคการผลิตและภาคแรงงานรวมไปถึงการหมุนไปสู่มือพี่น้องประชาชนต้องใช้เวลาหลายเดือนกว่าเงินจะหมุนเข้าเต็มระบบ รัฐบาลจึงต้องมีการกระตุ้นให้เม็ดเงินไปถึงมือประชาชนผู้บริโภคให้รวดเร็วและแม่นยำ ดังนั้นเงินจากพรบ.งบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมนี้จึงมีความสำคัญ“ นายอัครเดช กล่าว 

นายอัครเดช ยังได้ฝากไปถึงรัฐบาล ว่า จะต้องกำหนดวิธีการในการใช้งบประมาณให้ตรงกลุ่มเป้าหมายอย่างแม่นยำและรวดเร็ว ไม่ใช่ใช้วิธีการแจกแบบหว่านแห หรือแจกปูพรม เพราะหากแจกจ่ายไปยังประชาชนที่มีฐานะอยู่แล้วเขาก็จะไม่ได้มีการใช้เงินเพราะจะเป็นเงินเก็บ ทำให้เงินไม่หมุนเวียน ดังนั้นอยากแนะนำให้รัฐบาลลองไปดูฐานข้อมูลเดิมของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่เคยทำในส่วนของบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ หรือ บัตรคนจน ฐานข้อมูลจากโครงการประกันรายได้เกษตรกร รวมไปถึงโครงการคนละครึ่ง เพื่อให้เงินงบประมาณนี้ไปถึงมือประชาชนผู้บริโภคได้ตรงกลุ่มเป้าหมาย รวดเร็ว และแม่นยำ เพื่อจะได้ทำให้เศรษฐกิจฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว ดังนั้นในนามพรรครวมไทยสร้างชาติจึงขอสนับสนุนร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติม ปี 2567 ฉบับนี้


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top