Monday, 28 April 2025
Politics

วัดปรอท 18 มิ.ย. การเมืองเดือดทะลุ 112 'ก้าวไกลร่อแร่-ทักษิณจนมุม-เศรษฐา 50/50'

(15 มิ.ย. 67) ไม่ได้เป็นโลกาวินาศอะไรที่ไหนหรอก!! แต่เป็นวันที่จะบอกถึงทิศทาง (การเมือง) ประเทศไทยได้ในระดับพอสมควร...

'เล็ก เลียบด่วน' ขอเลาะเลียบล้วงลึกบ้างไม่ลึกบ้างมาเล่าสู่กันฟัง พอเป็นสังเขป ถึงทิศทาง 4 คดีในวันอังคารที่ 18 มิ.ย.ดังต่อไปนี้...

1) คดีเลือกสมาชิกวุฒิสภา - ศาลรัฐธรรมนูญจะลงมติวินิจฉัยว่า มาตรา 36,40,41 และ 42 ว่าด้วยการแนะนำตัว และการเลือกสว.3ระดับ (อำเภอ-จังหวัด-ประเทศ) ที่ระบุว่า “โดยจะลงคะแนนเลือกตนเองด้วยก็ได้” ขัดกับรัฐธรรมนูญมาตรา 107 ที่ว่าด้วยการเลือก-การได้มาซึ่งสว.หรือไม่  เพราะผู้ร้องเห็นว่าการเขียนว่า “โดยจะลงคะแนนเลือกตนเองก็ได้” น่าจะเป็นการเปิดทางให้มีการสมยอมหรือฮั้วกัน...

เมื่อนั่งทางในประสานทางนอกแล้ว...ความน่าจะเป็นไป ดูเหมือนทุกอย่างไปต่อได้...แต่ต้องขอบอกว่าสุดท้ายแล้วการเลือกสว.จะไปต่อถึงจุดหมายปลายทางได้แบบฟ้าจรดทราย แฮปปี้ เอ็นดิ้งหรือไม่นั้น...ยังบ่แน่ดอกนาย เพราะเนื้อในมันเละตุ้มเป๊ะ...

2) คดียุบพรรคก้าวไกล - มีการเม้าท์มอยกันไม่น้อยว่า พรรคก้าวไกลอาจชนะฟาวล์รอดยุบพรรค เพราะ กกต.บกพร่องข้ามขั้นตอนการสอบสวน ดังที่พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ จัดชุดใหญ่เมื่อ 9 มิ.ย. งานนี้ต้องขอบอกว่า น่าจะเป็นการประเมินและสำคัญผิด การที่ศาลรธน. ขอให้กกต.ส่งพยานข้อมูลเพิ่มเติมไปเมื่อ 12 มิ.ย.นั้น ก็เพื่อความสมบูรณ์ตามวิธีพิจารณาคดี...

ต้องย้ำเหมือนที่ท่าน กกต. 'ปกรณ์ มหรรณพ' ย้ำนั่นล่ะว่า การร้องยุบก้าวไกลหนนี้เป็นไปตามมาตรา 92 ของพรป.การเมืองคือ 'กรรมการ' กกต.ร้องเอง ไม่ใช่ตามมาตรา 93 ที่ 'นายทะเบียน' (เลขาธิการกกต.) พบเห็นต้องไปสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐานนำเสนอกรรมการกกต.

รายการนี้พรรคก้าวไกลก็จะรู้ชะตาตัวเองว่าไปไม่รอด...แต่ที่กำลังต่อสู้อยู่นั้นเป็นยุทธวิธี 'โลกล้อมประเทศ' เอาสังคมกดดัน กกต.ตามสูตรเดิมๆ แต่สุดท้ายก็พ่ายแพ้ความจริง..!!

3) คดีนายกฯ เศรษฐา - วันที่ 18 มิ.ย.ก็จะมีการพิจารณา และกำหนดรายละเอียดการไต่สวน...จากนั้นคาดว่าเดือนส.ค. ก็จะมีคำตอบว่า...เศรษฐา ทวีสิน กระทำผิด/ฝ่าฝืนจริยธรรมร้ายแรง จนสิ้นคุณสมบัติรัฐมนตรีเป็นการเฉพาะตัวหรือไม่...มีเวลาที่จะเจาะลึกกันต่อ...วันนี้ตรวจสอบอาการไข้แล้วโอกาสรอด/ไม่รอด..50/50 ครับ..

4) คดีทักษิณ ชินวัตร – กรณีข้อหาความผิดม.112 คดีนี้ล่าสุดเมื่อ 4 มิ.ย.ทีมทนายทักษิณขอความเป็นธรรมครั้งที่สอง หลังอัยการสูงสุด(อสส.)สั่งฟ้องเมื่อ 29 พ.ค.และนัดวันที่ 18 มิ.ย.นำตัวส่งฟ้องศาล ทางรอดทักษิณที่จะไม่ต้องไปศาลมีสองทางคือ อสส.ยอมทบทวนคดี หรือทักษิณป่วยจริง ๆ แล้วขอเลื่อน...

ถ้าให้ฟันธงอสส. (อำนาจ เจตน์เจริญรักษ์) คงไม่ทบทวนคำสั่งฟ้อง...และทักษิณที่กำลังจ้อแจ้วเดินสายจีบบ้านใหญ่อยู่ในยามนี้ ก็ไม่น่าจะป่วยฉุกเฉินหรือหนีกลับดูไบ...น่าจะไปศาลและคงได้รับประกันตัว ต่อสู้คดี รอ อภินิหารทางกฎหมาย รอยุคเปลี่ยนแผ่นดินที่สำนักอัยการสูงสุดในเดือนต.ค...ในอดีตคดีธรรมะชโยคดีอยู่ในศาลยังมีการถอนออกมาแล้ว...

ส่วนกระแสข่าวกรณีถุงขนมภาค 2 ที่จะจ่ายผ่านเครือข่ายสแตนลีย์ โฮ เจ้าพ่อคาสิโน ฮ่องกงผู้ล่วงลับนั้น ก็ว่ากันไป ข่าวว่าตอนนี้กำลังสอบกันนัวว่าจริงหรือไม่ เพราะฝ่ายแฉบอกว่ารู้วันเดินทางไปกลับฮ่องกงของอธิบดีฝ่ายตุลาการบางคน...(ไป 24 กลับ 27 พ.ค.)...ก็สอบกันไป..

ครับ ขออนุญาตมองโลกสวยสักวัน...18 มิ.ย.ไม่โลกาวินาศ...กระบวนการยุติธรรมไทยที่ถูกใครบางคนปู้ยี่ปู้ยำมาร่วมปี ยังพอจะเป็นที่พึ่งที่พาได้...!!

'บก.ลายจุด' วิจารณ์ Breaking the Cycle  เหมาะสำหรับคนเชียร์ 'อนาคตใหม่-ก้าวไกล'

(16 มิ.ย.67) นายสมบัติ บุญงามอนงค์ หรือ บก.ลายจุด โพสต์ X โดยมีเนื้อหาว่าระบุว่า 

บ่ายวานนี้ได้แวะไปดูสารคดี Breaking the Cycle จึงขอแสดงความเห็นดังต่อไปนี้

1.เป็นสารคดีที่ไม่มีความลึก เป็นการตัดตอนการเมืองจากอดีตมาเริ่มต้นที่เกิดพรรคอนาคตใหม่เลย แม้จะแตะเรื่องการรัฐประหารบ้างแต่ไม่ปูพื้นความโกลาหนทางการเมืองไทยที่ซับซ้อนเลย ทำให้หนังเรื่องนี้เป็นหนังที่เชิดชูตัวบุคคล ผมเข้าใจว่าผู้กำกับหนังเรื่องนี้เป็น FC ตัวยงคนหนึ่งของธนาธรและอนาคตใหม่ ทำให้หนังเรื่องนี้เล่าผ่านสายตาที่เต็มไปด้วยความชื่นชม แทบไม่มีความหลากหลายต่อมุมมองของเรื่องหลักเลย ทำให้ขาดมิติความเป็นสารคดีไปมากทีเดียว

2.จากข้อแรกทำให้หนังเรื่องนี้ไม่เหมาะกับผู้ชมที่ไม่ใช่ผู้สนับสนุนพรรคอนาคตใหม่ เพราะดูแล้วแทบไม่ได้อะไรและคงไม่อินไปด้วย แต่ถ้าเป็น FC พรรคนี่เป็นชิ้นงานที่ทำเอาน้ำหูน้ำตาซึมได้เลย ใครที่เป็น FC พรรคอนาคตใหม่ พรรคก้าวไกล ควรไปดูเรื่องนี้

3.แม้จะรู้อยู่แล้วว่าธนาธรเป็นคนที่สำคัญที่สุดในพรรคอนาคตใหม่ แต่การที่หนังนำภาพชีวิตส่วนตัวของธนาธรออกมาสู่สายตาคนดูแม้จะเล็กน้อยแต่มันสร้างแรงสะเทือนใจได้ดีมาก ผมรู้สึกตัวสั่นเพื่อเห็นลูกๆและภรรยาของเขาอยู่ท่ามกลางการเคลื่อนไหวทางการเมืองที่แหลมคม ฉากที่ลูกชายเรียกพ่อไปเล่นด้วยในขณะที่ธนาธรอยู่ข้างหลังเวทีการปราศรัยใหญ่แล้วเขาเดินตามลูกไป นี่เป็นสิ่งที่หนังพาผมไปไกลมากในความซับซ้อนของตัวละครเอกอย่างธนาธร คนที่สังคมมองว่าเขาเป็นผู้นำที่เด็ดเดี่ยว แต่ต้องไม่ลืมว่าเขาเป็นมนุษย์คนหนึ่งและเขาปรารถนาที่จะมีชีวิตเช่นคนธรรมดาทั่วไป และฝันที่จะมีชีวิตกับครอบครัวของเขาในพื้นที่ๆเป็นธรรมชาติ เอาจริงๆธนาธรเป็นมีโลกส่วนตัวสูงมาก

4.ผมเดาว่า Footage ที่ผู้กำกับถ่ายไว้มีไม่พอ อาจไม่ได้เฝ้าติดตามแบบเกาะติดตลอด หรือไม่ก็ไม่ชอบเล่าเรื่องในแบบชีวิตหลังฉากซึ่งผมคาดหวังจะได้เห็นฉากเหล่านั้นมากกว่าฉากที่เราเห็นในสื่อทั่วไปแล้ว

อย่างไรก็ตาม ผมขอบคุณผู้กำกับทั้งสองคนที่สร้างงานชิ้นนี้ไว้ แม้ผมจะวิพากษ์วิจารณ์ไปเยอะ แต่สิ่งที่คุณทำมีคุณค่าต่อการบันทึกและสร้างวัฒนธรรมการเล่าเรื่องประวัติศาสตร์ทางการเมือง และหวังว่าจะมีผลงานชิ้นอื่นๆอีกไม่ว่าจะโดยทีมงานนี้หรือคนทำหนังสารคดีอื่นๆในโอกาสต่อไป และผมดีใจที่ได้ไปดูหนังสารคดีเรื่องนี้ ธนาธรคือเดอะแบกอย่างแท้จริง และพิธาคือนีโอใน The matrix เวอร์ชั่นที่2

‘ธนกร’ เผย ‘รทสช.’ พร้อมพิจารณางบฯ 68 ชี้!! ยึดประโยชน์ ปชช.-ประเทศชาติ  ดักคอ!! ‘ฝ่ายค้าน’ อภิปรายงบไม่ใช่ซ้อมซักฟอกรัฐบาล แนะ ‘ใช้เวลาคุ้มค่า-สร้างสรรค์’

(16 มิ.ย.67) นายธนกร วังบุญคงชนะ อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ  สส.แบบบัญชีรายชื่อ และรองหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ(รทสช.) กล่าวว่า ในฐานะสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พรรครวมไทยสร้างชาติ มีความพร้อมในการร่วมพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณปี 2568 วงเงิน 3.75 ล้านล้านบาท ที่จะมีขึ้นในวันที่ 19-21 มิถุนายนนี้ ซึ่งการใช้เวลา 3 วันถือว่าเพียงพอ  รัฐบาลทุกกระทรวงมีความพร้อมชี้แจงงบประมาณ รวมถึงพรรครวมไทยสร้างชาติ ทั้งกระทรวงพลังงาน กระทรวงอุตสาหกรรมและที่เกี่ยวข้อง พร้อมร่วมพิจารณางบประมาณ แผ่นดินอย่างรอบคอบ มีความคุ้มค่า เกิดประโยชน์สูงสุดต่อประชาชนและประเทศชาติ มั่นใจว่า จะผ่านการพิจารณาของสภา เพื่อให้การเบิกจ่ายงบประมาณเป็นไปตามกรอบเวลาไม่ล่าช้า

ทั้งนี้อยากเห็นการอภิปรายของฝ่ายค้านเป็นไปอย่างสร้างสรรค์ รักษาเวลา รักษา ระเบียบการประชุม เพื่อเกิดประโยชน์ต่อประเทศ หากมีการตรวจสอบและข้อเสนอแนะ สามารถทำได้ตามหลักการ ไม่ใช้อารมณ์ หรือ วาทกรรมทางการเมือง ตนไม่อยากเห็นการใช้เวทีอภิปรายงบประมาณ เป็นเวทีซักซ้อมการอภิปรายไม่ไว้วางใจอย่างที่เคยเกิดขึ้น  

“ฝากไปถึงฝ่ายค้าน ขอให้ใช้เวลาอภิปรายงบ 68 อย่างคุ้มค่า สร้างสรรค์ อยู่ในกรอบตามวาระ ไม่ใช่ ใช้เวทีสภาซ้อมซักฟอกรัฐบาลเหมือนอย่างที่เคยเป็นมา ขอให้หลีกเลี่ยงการใช้วาทกรรมที่รุนแรง เลี่ยงการสร้างคอนเทนต์ดราม่าเพื่อเอาไปลงในโซเชียล ขอให้ยึดผลประโยชน์ประชาชนและประเทศชาติเป็นที่ตั้ง ไม่คิดตีกินทางการเมือง” นายธนกร กล่าวทิ้งท้าย

‘นิด้าโพล’ ฟันธง ‘บิ๊กแจ๊ส’ เต็งหนึ่ง คว้าเก้าอี้ นายก อบจ.  ชี้!! ‘ทักษิณ’ ลงพื้นที่ ปทุมธานี ไม่มีผลกระทบ

(16 มิ.ย.67) ศูนย์สำรวจความคิดเห็น ‘นิด้าโพล’ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เปิดเผยผลการสำรวจของประชาชน เรื่อง ใครกล้า ฟันธง…เลือกตั้งนายก อบจ. ปทุมธานี 2567 ทำการสำรวจระหว่างวันที่ 11-12 มิถุนายน 2567 จากประชาชนที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป ซึ่งมีภูมิลำเนาตามทะเบียนบ้านอยู่ในจังหวัดปทุมธานี กระจายทุกระดับการศึกษา อาชีพ และรายได้ รวมทั้งสิ้น จำนวน 1,067 หน่วยตัวอย่าง เกี่ยวกับการเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดปทุมธานี ซึ่งสํานักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ได้กำหนดวันลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง

ในวันอาทิตย์ที่ 30 มิถุนายน 2567 การสำรวจอาศัยการสุ่มตัวอย่างโดยใช้ความน่าจะเป็นจากบัญชีรายชื่อฐานข้อมูลตัวอย่างหลัก (Master Sample) ของ “นิด้าโพล” สุ่มตัวอย่างแบบหลายขั้นตอน (Multi-stage Sampling) เก็บข้อมูลด้วยวิธีการสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ โดยกำหนดค่าความเชื่อมั่น ร้อยละ 95.0

จากการสำรวจเมื่อถามถึงบุคคลที่จะสนับสนุนให้เป็นนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดปทุมธานี ในการเลือกตั้งครั้งนี้ พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 31.87 ระบุว่าเป็น พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง รองลงมา ร้อยละ 28.68 ระบุว่าเป็น นายชาญ พวงเพ็ชร์ ร้อยละ 17.43 ระบุว่า จะไปลงคะแนนไม่เลือกใคร ร้อยละ 8.98 ระบุว่า ยังไม่ตัดสินใจ ร้อยละ 4.22 ระบุว่า จะไม่ไปลงคะแนน ร้อยละ 3.19 ระบุว่าเป็น นายนพดล ลัดดาแย้ม ร้อยละ 1.97 ระบุว่าเป็น นายอธิวัฒน์ สอนเนย และร้อยละ 3.66 ระบุว่า ไม่ตอบ

ท้ายที่สุดเมื่อถามถึงผลกระทบต่อการตัดสินใจเลือกนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดปทุมธานี จากกรณีที่ ทักษิณ ชินวัตร เดินทางไปจังหวัดปทุมธานี พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 81.91 ระบุว่า ไม่ส่งผลกระทบเลย รองลงมา ร้อยละ 5.25 ระบุว่า ไม่ค่อยส่งผลกระทบ ร้อยละ 5.06 ระบุว่า ค่อนข้างส่งผลกระทบ ร้อยละ 3.56 ระบุว่า ส่งผลกระทบอย่างมาก และร้อยละ 4.22 ระบุว่า ไม่ตอบ

‘สรรเพชญ’ ซัด ‘รัฐบาล’ กู้เงินสูงสุด เป็นประวัติการณ์  หวั่น!! ก่อหนี้ก้อนใหญ่ในอนาคต สวนทางนโยบาย ที่เคยหาเสียงไว้

(16 มิ.ย.67) นายสรรเพชญ บุญญามณี สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดสงขลา พรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะกรรมาธิการศึกษาการจัดทำและติดตามการบริหารงบประมาณ สภาผู้แทนราษฎร ได้ให้ข้อสังเกตต่อร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2568 ที่กำลังจะเข้าสู่สภาผู้แทนราษฎรเพื่อพิจารณาในวันที่ 19 – 21 มิถุนายน 2567 นี้ โดยนายสรรเพชญ กล่าวว่า แม้ว่าเอกสารร่างพระราชบัญญัติงบประมาณฯ ซึ่งมีจำนวนกว่า 10,000 หน้า จะส่งมาให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้ศึกษาทำความเข้าใจในเวลาไม่ถึงสัปดาห์ เพราะบรรดาเอกสารต่าง ๆ พึ่งมาถึงรัฐสภาและให้สมาชิกฯ ไปรับเมื่อวันอังคารที่ผ่านมาซึ่งจะทำให้ทุกคนมีเวลาในการพิจารณาค่อนข้างน้อย แต่ตนมีความเชื่อเป็นอย่างยิ่งว่าสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทุกคนจะให้ความสำคัญกับเรื่องนี้เป็นลำดับต้น ๆ เพราะเกี่ยวเนื่องกับประชาชนโดยตรง อีกทั้งการจัดสรรงบประมาณของรัฐบาลเป็นการแสดงออกถึงความจริงใจของรัฐบาลในการทำหน้าที่ตามที่ได้แถลงนโยบายไว้ในรัฐสภา 

จากการที่ตนได้ศึกษาดูเอกสารงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. 2568 แล้ว เห็นว่างบประมาณดังกล่าวไม่ค่อยแตกต่างอะไรกับงบประมาณในปีที่ผ่าน ๆ มามากนัก ทั้งที่รัฐบาลชุดนี้มีอำนาจในการจัดสรรงบประมาณแทบจะ 100% สิ่งที่น่าเป็นห่วงสำหรับการจัดสรรงบประมาณในปี 2568 ที่มีการตั้งวงเงินกว่า 3.7 ล้านล้านบาท คือเรื่องของการกู้ขาดดุลที่มีการกำหนดวงเงินกู้เพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณถึง 865,700 ล้านบาท ซึ่งสูงสุดเป็นประวัติการณ์และเกือบเต็มเพดานกรอบวงเงินที่รัฐบาลสามารถกู้ได้ตาม พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลัง และเมื่อพิจารณาที่ประมาณการสถานะการคลังระยะปานกลางรัฐบาลมีการประมาณการว่าในปี 2568 จะมีรายรับประมาณ 2.8 ล้านล้านบาท และปี 2569 จะมีรายรับประมาณ 3 ล้านล้านบาท สิ่งที่น่ากังวลคือรัฐบาลจะมีรายได้ตามเป้าจริงหรือไม่ เพราะในปีที่ผ่าน ๆ มามักจะมีรายได้ไม่ตามเป้าแล้วจะทำให้รัฐบาลต้องกู้เพื่อชดเชยเงินคงคลังสูงขึ้นไปอีก ยิ่งกู้มากรัฐบาลก็เสี่ยงต่อการกู้ชนเพดานอันจะเกิดผลเสียต่อระบบเศรษฐกิจในอนาคต ซึ่งจากการจัดสรรงบประมาณดังกล่าวนี้ แสดงให้เห็นว่ารัฐบาลไม่ได้มีความจริงใจและไม่กล้าที่จะทำอะไรใหม่ ๆ ยังทำงบประมาณแบบเดิม ๆ ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ซึ่งสวนทางกับนโยบายที่จะให้คนไทยมีกิน มีใช้ ที่โฆษณาตอนหาเสียง 

ในงบประมาณปี 2568 นี้สิ่งที่แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนคือรัฐบาลมีการตั้งค่าใช้จ่ายเพื่อการกระตุ้นเศรษฐกิจและสร้างความเข้มแข็งของระบบเศรษฐกิจ จำนวนกว่า 152,700 ล้านบาทในงบกลาง เพื่อทำนโยบาย Digital Wallet ตามเจตนารมณ์ของรัฐบาล ซึ่งตนไม่ได้ติดใจอะไรหากรัฐบาลต้องการที่จะทำนโยบายนี้ เพราะเป็นสิ่งที่รัฐบาลนี้ถนัดในการทำนโยบายโปรยเงินแบบ Helicopter Money ซึ่งแทนที่รัฐบาลจะหาเงินใหม่จากการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานเพื่อดึงดูดนักลงทุนเข้าในประเทศเพื่อทำนโยบาย แต่รัฐบาลกลับใช้วิธีการแบบทางลัดโดยการกู้เงินเพื่อทำนโยบายดังกล่าว เสมือนเป็นการสูบเลือดของประชาชนดังที่ ดร.พิสิฐ ลี้อาธรรม เคยกล่าวไว้ว่า สิ่งที่รัฐบาลทำนั้นอธิบายง่ายๆ มันก็คือ หมอบอกว่าคนไข้ว่าต้องการเลือดใหม่ แต่แทนที่จะหาเลือดใหม่มาอัดฉีดให้กับคนไข้ แต่สิ่งที่หมอทำคือ ‘สูบเลือดออกจากคนไข้ แล้วนำมาฉีดคืนให้กับคนไข้ใหม่อีกครั้งหนึ่ง’ 

นอกจากนี้อีกสิ่งหนึ่งที่รัฐบาลจะต้องให้ความกระจ่างกับประชาชนคือ เงื่อนไขการใช้จ่ายเงินโครงการดิจิทัล วอลเล็ทสามารถซื้อโทรศัพท์ได้หรือไม่ เพราะถ้าหากซื้อได้ก็อาจเป็นการเอื้อนายทุนค่ายมือถือรายใหญ่ที่ขายเครื่องพร้อมแพคเกจให้กับประชาชนโดยใช้เงินจากโครงการของรัฐบาล  

“งบประมาณปี 2568 นี้ สิ่งที่รัฐบาลแสดงความสามารถให้เห็นได้ชัดเจนคือความสามารถในการกู้เงินและไปล้วงเงินจากที่อื่น ๆ มาได้ดีกว่าการหาเงินใหม่ ๆ เข้ามาในระบบ ซึ่งจนวันนี้แล้วรัฐบาลยังตอบไม่ได้ว่าจะหาเงินจากที่ไหนมาใช้คืนหรือชดเชยคืนเงินที่เอามาทำนโยบาย Digital Wallet นี้เลย” นายสรรเพชญกล่าวในตอนท้าย

‘หมอเหรียญทอง’ สละสิทธิ์ จับสลากเข้ารอบไขว้ ‘สว.กทม.’ ชี้!! หลีกทางให้ผู้สมัครที่มีคุณภาพ พร้อมฝากปชช. ตรวจสอบติดตาม

(16 มิ.ย.67) นพ.เหรียญทอง แน่นหนา ผู้อำนวยการโรงพยาบาลมงกุฎวัฒนะ ผู้สมัคร สว.กลุ่ม 4 กลุ่มการสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ภายหลังสละสิทธิ์จับสลากเข้าสู่รอบไขว้ ว่า ตนแสดงจุดยืนตั้งแต่แรกอยู่แล้วว่าต้องการเข้ามาเลือก สว.ในครั้งนี้ เพื่อเลือกคนดีเข้าไปทำหน้าที่ ส่วนตนยอมรับว่าไม่มีความตั้งใจมากพอ ดังนั้นในการเลือกที่ผ่านมา จึงไม่ได้เลือกตัวเอง แต่ในวันนี้มีผู้ที่ลงคะแนนให้ตน จนทำให้มีคะแนนเท่ากับผู้สมัครรายอื่น

“เมื่อดูรายชื่อผู้ผ่านเข้ารอบและผู้ที่ได้คะแนนเท่ากับผม จนต้องจับสลาก ถือว่าเป็นผู้มีคุณภาพ และรู้จักกัน ผมจึงสละสิทธิ์ในการจับสลาก และจากนี้ก็คงไม่ต้องไปจับตากันเลือก สว. ระดับประเทศ แต่เป็นหน้าที่ของประชาชนทุกคน ที่จะต้องตรวจสอบติดตาม” นพ.เหรียญทอง กล่าว

‘ทนายตั้ม’ ฉลุย!! ผ่าน สว.ระดับจังหวัด เผยเบื้องลึก!! ‘มีฮั้วเลือก สว.’ โดนเองมาแล้ว

(17 มิ.ย.67) นายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือ ทนายตั้ม เลขาธิการมูลนิธิทีมงานทนายประชาชนฯ โพสต์เพจเฟซบุ๊ก ‘ษิทรา เบี้ยบังเกิด เลขาธิการมูลนิธิทีมงานทนายประชาชนฯ’ ในหัวข้อ ‘เลือกสว.มีฮั้วจริงไหม?’

ก่อนหน้านี้ผมไม่เคยคิดจะสมัคร สว. จนก่อนวันรับสมัครไม่กี่วัน มีพี่ที่นับถือชื่อ อุเทน ศรีภิโญโญ เป็นคนสนิทท่านผู้นำฝ่ายค้านแนะนำว่าผมควรลงสมัคร เพราะผมเป็นคนกล้า มีความสามารถ สามารถทำประโยชน์กับประเทศชาติได้มาก

ผมจึงเริ่มหาข้อมูลวิธีการเลือก กฎกติกาต่างๆ และเลือกลงกลุ่ม 17 ประชาสังคม ในนามมูลนิธิทีมงานทนายประชาชนฯ ที่จังหวัดสมุทรสาคร

ในช่วงแรกไม่ได้บอกพี่ๆ ผู้สื่อข่าว กับประชาชน ว่าจะลงรับเลือกในครั้งนี้ เพราะคิดว่าคงไม่ผ่านระดับอำเภอหรือจังหวัด

พอได้ไปสัมผัสการเลือกตั้งถึงรู้ว่ามีทั้งจัดตั้ง การฮั้วกันมาก ในช่วงแรกผมไปแนะนำตัวกับใคร มีแต่คนบอกผมชอบทนายตั้มนะ แต่ผมมีสายของผมแล้ว ไม่สามารถเลือกทนายตั้มได้

ผมก็พยายามเข้าไปกลุ่มต่างๆเพื่อแนะนำตัวตั้งแต่ระดับอำเภอ แต่พอส่งใบแนะนำตัวไปได้แปปเดียวก็โดนถีบออกจากกลุ่ม ตอนนั้นผมคิดว่าคงจะจบแล้วล่ะ น่าจะตกรอบตั้งแต่อำเภอ

แต่หลังจากที่ผมโดนกีดกันด้วยวิธีต่างๆ ก็เริ่มมีคนเห็นใจและสงสารผม ทักไลน์มาให้กำลังใจ กลุ่มที่โดนจัดตั้งมาก็เริ่มมารับสารภาพกับผม แล้วเอาโพยมาให้ดู บอกว่าผมต้องเขียนเบอร์ตามที่แกนนำพรรคการเมืองใหญ่ในจังหวัดสมุทรสาครสั่งมา ซึ่งในกลุ่มของทนายตั้มมีคนของเค้าอยู่

พอผมรู้จำนวนคนที่พรรคการเมืองใหญ่จัดตั้งขึ้นมามันมีจำนวนแทบจะเกินครึ่งของผู้เข้ารอบระดับจังหวัด มันยิ่งทำให้ผมท้อไม่ได้ ผมคิดว่าเราต้องสู้ ถ้าปล่อยไปแบบนี้ สว. ทั้งประเทศก็ต้องเป็น สว.มีสังกัดของพรรคการเมือง ประเทศชาติจะเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นได้อย่างไร

ผมจึงพยายามมากกว่าเดิมเข้าหาผู้สมัครแทบทุกคน ไม่ว่าจะกลุ่มไหน หรือโดนจัดตั้งมาหรือเปล่า เพื่อแนะนำตัว และบอกให้รู้ผลร้าย ถ้าสว.อยู่ในครอบงำของพรรคการเมือง

วันเลือกระดับจังหวัดผมไม่รู้หรอกว่าจะผ่านไหม เพราะมันยากเหลือเกิน แต่พอผลออกมา ผมได้อันดับ 1 ในสายอาชีพระดับจังหวัด ทำให้รู้ว่าเรายังมีหวัง ยังมีคนอีกหลายคนทั้งที่ถูกสั่งให้เลือกใครมาหรือกลุ่มอิสระ เห็นความตั้งใจของผม และอยากให้ประเทศเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น

สุดท้ายนี้ผมอยากจะฝากข้อความไปถึงผู้สมัครสว.ทั้งประเทศไทย ไม่ว่าจะเข้ามาด้วยเงื่อนไขอะไร ตอนเข้าคูหา ขอให้พวกเราเลือกคนเก่ง คนดี คนที่มีความสามารถ เข้ามาเป็นสว. เพื่อเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้ดีกว่านี้กันเถอะครับ อย่าเลือกใครก็ไม่รู้ที่เค้าสั่งมาเลยครับ

‘อนุทิน’ โต้ ‘พรรณิการ์’ ไม่พลิกขั้วการเมือง ย้ำ!! ‘รัฐบาล-พรรคร่วม’ ทุกฝ่ายสามัคคีกันดี

(17 มิ.ย.67) นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยว่า ได้ส่งข้อความทางแอปพลิเคชัน WhatsApp ไปหา นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี โดยขอให้หายป่วยเร็ว ๆ ซึ่งนายกฯ ตอบกลับมาว่า เจอกันวันพุธที่ 19 มิ.ย. 67 ตนก็คาดว่าคงเจอกันในสภาฯ ซึ่งมีการประชุมร่าง พ.ร.บ.งบประมาณ 2568

เมื่อถามว่ามองสถานการณ์การเมืองอย่างไร หลังน.ส.พรรณิการ์ วาณิช แกนนำคณะก้าวหน้า พูดว่าการเลือกตั้งครั้งหน้าหรือหากมีเหตุเปลี่ยนแปลงทางการเมืองมีความเป็นไปได้ในการจับมือกับพรรคภูมิใจไทย มากกว่าพรรคเพื่อไทยนั้น นายอนุทิน กล่าวว่า “มันไม่มีการเปลี่ยนขั้วหรอกครับ รัฐบาลชุดนี้ก็ยังมีความเข้มแข็ง มีเสียงสนับสนุน 300 กว่าเสียง การทำงานมีความสามัคคีกันดี สนับสนุนซึ่งกันและกันทุกฝ่าย”

ทั้งนี้ จะมีการวิเคราะห์อย่างไร เนื่องจากพรุ่งนี้มีการพิจารณาคดีของศาลรัฐธรรมนูญ และอัยการสูงสุด จะมีผลต่อรัฐบาลหรือไม่ นายอนุทิน  กล่าวว่า "รัฐบาลทำหน้าที่บริหารราชการแผ่นดิน บริหารประเทศ ส่วนเรื่องตัวบุคคล หรือสถาบันอื่น เราไปก้าวก่ายไม่ได้ ซึ่งการบริหารราชการแผ่นดิน มันมี if และ then เมื่อมีอะไรเกิดขึ้นก็แล้วแต่ รัฐบาลก็ต้องอยู่ได้อยู่ตลอด ไม่ให้มีการเกิดอุปสรรคใด ๆ ทำให้ประเทศอยู่ในความสงบ "

เมื่อถามย้ำ ได้มีการวิเคราะห์หรือไม่ หากศาลรัฐธรรมนูญตัดสินเรื่องการเลือก สว. ขัดรัฐธรรมนูญ จะมีผลอย่างไรต่อการเมือง นายอนุทิน กล่าวว่า ไม่มี เพราะเราไม่ใช่คนตัดสินเอง และเราต้องไม่ก้าวก่ายหน่วยงาน หรือสถาบันอื่น ๆ ดังนั้นสิ่งที่ต้องทำคือ ทำวันนี้ให้ดีที่สุด รวมถึงแผนที่ตั้งใจให้มันเกิดประสบเป้าหมาย เกิดผลสำเร็จให้ได้ รัฐบาลก็ต้องทำเช่นนี้เหมือนกัน

มาตรา 112 คนดีๆ ไม่สะท้าน มีแต่ 'ผีห่าซาตาน' ที่ต้องกลัว

หากจะพูดเป็นประสาชาวบ้านเปรียบเปรยให้เข้าใจง่าย ๆ กฎหมายมาตรา 112 ก็คือ 'ยันต์ปราบผี' ดี ๆ นี่เอง มีฤทธิ์ในทางปกป้องบ้านเรือน และผู้คนที่คิดดีต่อแผ่นดิน เพื่อให้ประเทศชาติดำรงอยู่อย่างมั่นคง 

ขึ้นชื่อว่าคนปกติธรรมดาที่คิดดี ทำดี ปฏิบัติในทางชอบธรรม ไม่คิดเบียดเบียนทำร้ายใคร จะไม่มีใครต้องเกรงกลัว หรือเกี่ยวข้องให้ชีวิตต้องพานพบกับความยากลำบากเลย 

ตายแล้วเกิดใหม่อีก 100 ชาติ ก็จะเป็นเหมือนเดิม!!

คงมีแต่พวกฝีเปรต ผีห่า ผีบาป ผีบ้า ผีสามนิ้ว ผีกลัวติดคุก ผีลืมชาติกำเนิด ผีเนรคุณแผ่นดิน ผีสาดสีธงชาติ ผีขีดเขียนกำแพงวัดพระแก้ว ผีล้มสถาบัน ผีหมิ่นเบื้องสูง ผีขี้ข้าตะวันตก ผีหนีการเกณฑ์ทหาร ผีลิงหลอกเจ้า ผีเบาปัญญา ผีกลิ้งกลอก ผีปั่นหัวเด็ก ผีหลอกใช้พวกอยากมีตัวตน ผีพูดอย่างทำอีกอย่าง ผีไม่กล้ายอมรับความจริง ผีโกหกไปเรื่อย ๆ และผีปากกล้าแต่ขาสั่นเท่านั้นที่ต้องหนาวสะท้าน สั่นไหว เพราะกลัว 'ยันต์ปราบผี' มาสะกด ไม่ให้ต้องผุดต้องเกิดอยู่ใน 'คุกตะรางขังผี' แบบยาว ๆ 

สุจริตชน คนบริสุทธิ์ใจ ถ้าไม่ทำตัวเป็นผีชั่ว ก็ไม่ต้องกลัวอำนาจของ 'ยันต์ปราบผี' นี้เลย กลับจะต้องช่วยกันปกป้อง รักษา ดูแลไม่ให้ 'ยันต์ศักดิ์สิทธิ์' ถูกพวกผีร้ายมาฉีกทำลายให้สูญสิ้นไป 

เป็นเรื่องง่าย ๆ เข้าใจง่าย ๆ ว่าทำไมขึ้นชื่อว่าคนถึงอยากให้มี 'ยันต์ปราบผี' ติดข้างฝาไว้ในทุกบ้าน เพราะบ้านไหนมียันต์ บ้านนั้นก็ไม่ใช่ผีดังที่กล่าวมา

แต่บางคน บางบ้าน ก็ชอบและแอบเชียร์ผี ขณะเดียวกันก็แขวน 'ยันต์ปราบผี' ไว้ในบ้านให้ผู้คนที่พบเห็นเกิดคำถามขึ้นในใจเล่น ๆ แท้จริงคือชอบตีสองหน้า หวังเข้าได้กับทุกฝ่าย หาก 'สังคมคน' พบเห็นก็จะได้ต้อนรับเพราะคิดว่าเป็น 'พวกเดียวกัน' แต่ลับหลังก็แอบสนับสนุนเหล่าผี ๆ ให้กระทำย่ำยี 'ยันต์ปราบผี' ให้สิ้นซาก

ผี...ที่ว่าน่าถอยออกห่างแล้ว คนที่แอบสนับสนุนผี แต่ไม่กล้าเปิดเผยตัวตน ย่อมสกปรกกว่าเป็นร้อยเท่า และไม่น่าคบค้าสมาคมให้เสียเวลา

‘สมศักดิ์’ ย้ำ!! ครอบครอง ‘ยาบ้า 1 เม็ด’ ก็จับ แต่มีสิทธิ์ขอบำบัดได้ หากพิสูจน์ว่าเป็นผู้ติดยาจริง

(18 มิ.ย. 67) นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวถึงการประกาศกฎกระทรวงสาธารณสุข เรื่องการครอบครองยาบ้า 1 เม็ด ว่า เมื่อวานนี้มีการประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว หากมียาบ้าในครอบครอง 1 เม็ดก็จับ แต่ก็มีสิทธิ์ที่จะขอบำบัดได้ โดยต้องพิสูจน์ว่าตนเองเป็นผู้ติดยา ซึ่งการพิสูจน์เป็นหน้าที่ของตำรวจ โดยมติคณะรัฐมนตรีได้ขอให้ใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด ครอบคลุมในประเด็นที่ว่าถ้ามีผู้เสพต้องรู้ว่าเอายาบ้ามาจากไหน 1 ผู้เสพต้องมี 1 ผู้ขาย หากเจ้าหน้าที่ตำรวจทำได้ครบวงจร ตนเชื่อว่ายาบ้าจะลดน้อยลงทันที ถ้าไม่มีผู้ขาย ผู้เสพก็ลดลง ซึ่งปัจจุบันผู้เสพที่เข้าบำบัดในโรงพยาบาล สีเหลืองสีแดง ประมาณ 110,000 คน ก็จะลดลงทันที แต่ขอให้มีกระบวนการยึดทรัพย์ ถ้าไม่มีก็แก้ไม่หาย หากเราแก้แต่ปลายน้ำ ก็ขอให้ต้นน้ำช่วยกันด้วย แม้จะจับรายใหญ่ที่อยู่ต่างประเทศไม่ได้ ก็ขอให้จับผู้เสพและผู้ขาย 

ส่วนการยึดทรัพย์คนที่ชี้เบาะแสก็จะมีส่วนแบ่ง 5% ขณะที่คนที่ทำคดีตั้งแต่ต้นจนถึงชั้นอัยการที่ส่งฟ้อง จะได้ส่วนแบ่ง 25% ซึ่งกฎหมายฉบับใหม่จะดำเนินคดีได้เร็วขึ้น โดยใช้เวลาประมาณ 2 ปี ก็น่าจะยึดทรัพย์ได้ทั้งหมด

ส่วนการเปิดรับฟังความคิดเห็นกรณีการนำกัญชากลับมาเป็นยาเสพติด มีประชาชนเห็นด้วยมากน้อยแค่ไหนนั้น นายสมศักดิ์ กล่าวว่า ในช่วงแรกคนไม่เห็นด้วยกับตนที่จะเอากัญชากลับไปเป็นยาเสพติดจำนวนมาก แต่ตอนนี้ความเห็นเริ่มใกล้เคียงกันแล้ว ซึ่งจะครบกำหนดการรับฟังในวันที่ 25 มิถุนายนนี้

เมื่อถามว่าจะนำผลรับฟังความคิดเห็นนี้มาตัดสินเลย หรือ จะต้องฟังผลทางวิทยาศาสตร์เพิ่มเติมอีกหรือไม่ นายสมศักดิ์ กล่าวว่า ทางคณะกรรมการควบคุมยาเสพติด จะมีการประชุมกันอีกครั้ง นำข้อมูลมาคุยกันให้ตกผลึก ว่าสุดท้ายแล้วจะเป็นอย่างไร ซึ่งก็ยังสามารถปรับปรุงได้ ถ้าหากมีคำแนะนำจากประชาชนในลักษณะของการทำประชาพิจารณ์


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top