Monday, 16 June 2025
Politics

ดร.ศุภณัฐ อภิญญาณ (ดร.นิว) นักวิจัยภายใต้สถาบันวิจัย MAST Center และ คณะวิศวกรรมชีวการแพทย์ University of Arkansas โพสต์เฟซบุ๊ก เมื่อวันที่ 14 ก.พ. 64 โดยระบุว่า

"ฝรั่งยังมองออกว่าพรรคก้าวไกลเป็นเผด็จการ ปิดปากผู้เห็นต่างด้วยเงินถึง 24 ล้านบาท แต่พยายามลดโทษของการคุกคามสถาบันพระมหากษัตริย์ให้เหลือเพียงไม่เกิน 1 ปี ปรับไม่เกิน 300,000 บาท ในขณะที่โทษของการคุกคามประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาอยู่ที่ไม่เกิน 5 ปี ปรับไม่เกิน $250,000 หรือราว 7.5 ล้านบาท"

พร้อมกับแชร์ข้อมูลที่ต่างชาติวิเคราะห์ผ่านยูทูป

 


ที่มา : https://www.facebook.com/story.php?story_fbid=3898245853571357&id=100001579425464

‘บิ๊กตู่’ ย้อนถามสื่อ เหตุปะทะระหว่างม็อบกับตำรวจ ใครเป็นคนทำ ยันทุกอย่างเป็นไปตามกฎหมาย

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม เป็น ประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.)ผ่านระบบวิดิโอคอนเฟอเรนซ์ โดยก่อนการประชุม ผู้สื่อข่าวถามว่าจะมีการดำเนินการอย่างไรกับกลุ่มผู้ชุมนุมที่มีการปะทะกับเจ้าหน้าที่ตำรวจเมื่อวันที่ 13 ก.พ.ที่ผ่านมา พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ทุกอย่างเป็นไปตามกฎหมาย

ในส่วนของสถานการณ์ ดูเหมือนการชุมนุมจะรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ พล.อ.ประยุทธ์ ได้ย้อนถามว่า ไปถามว่าทำไมถึงรุนแรงขึ้น แล้วใครเป็นคนทำล่ะ

เมื่อถามย้ำว่า เป็นห่วงหรือไม่ว่าการชุมนุมจะกินเวลาไปจนถึงวันอภิปรายไม่ไว้วางใจ พล.อ.ประยุทธ์ ย้อนถามอีกครั้งว่า คนไทย ห่วงไหมล่ะ คนไทย

ชาวบ้านกลุ่มผู้สูงอายุ ไม่มีสมาร์ทโฟน แห่เข้าคิวรอลงทะเบียนโครงการเราชนะ แน่นทุกสาขาธนาคารกรุงไทยทั่วประเทศ ส่วนใหญ่อยากได้เงินไว้ใช้จ่ายในครัวเรือน

กลุ่มผู้เปราะบาง กลุ่มผู้สูงอายุ ที่ไม่มีสมาร์ทโฟน แห่มาลงทะเบียนโครงการเราชนะแน่นสาขาธนาคารกรุงไทยทั่วประเทศ โดยที่ธนาคารกรุงไทย สังกัด สำนักงานเขตพิษณุโลก สาขาถนนสิงหวัฒน์ อ.เมืองพิษณุโลก ที่เริ่มเปิดบริการจุดลงทะเบียนบริการประชาชนวันแรกในเวลา 08.30 น.- 16.30 น. ณ จุดบริการชั้นล่างอาคารสาขาถนนสิงหวัฒน์ และจุดนี้บริการทุกวันไม่มีวันหยุดเสาร์ - อาทิตย์

บรรยากาศวันแรกค่อนข้างหนาแน่นด้วยประชาชนที่มารอใช้บริการ ที่ส่วนใหญ่แล้ววันนี้ เป็นกลุ่มผู้สูงอายุที่ไม่มีสมาร์ทโฟน โดยช่วงเช้า มีผู้มาต่อคิวรับบัตรคิวแล้ว 100 คน เจ้าหน้าที่ต้องคอยชี้แจงเป็นระยะ ๆ ให้ผู้ที่มาทีหลังสามารถมาใช้บริการวันอื่นได้ เพราะ เปิดบริการลงทะเบียนให้ทุกวันตั้งแต่ 15 - 25 กุมภาพันธ์ 2564 ไม่มีวันหยุดเสาร์ - อาทิตย์

สำหรับการบริการประชาชนวันแรกยังค่อนข้างขลุกขลัก เนื่องจากเจ้าหน้าที่ต้องรอเซ็ตระบบคอมพิวเตอร์ และเริ่มบริการให้ประชาชนรายแรกได้ในเวลาประมาณ 09.00 น. และใช้เวลาบริการประชาชนรายละประมาณ 10 นาที ทั้งนี้ ผู้สูงอายุบางราย ก็มีลูกหลานลงทะเบียนเข้าโครงการผ่านสมาร์ทโฟนแล้ว เจ้าหน้าที่ต้องใช้เวลาอธิบายให้ใช้สมาร์ทโฟนโหลดแอพเป๋าตัง ซึ่งเริ่มรับเงินใช้จ่ายได้ในวันแรกในวันที่ 6 มีนาคม 2564 ขณะที่ผู้มารอใช้บริการส่วนใหญ่ เป็นโทรศัพท์แบบปุ่มกด ซึ่งต่างนั่งรอเจ้าหน้าที่บริการ

นายเสนาะ คงรอด อายุ 63 ปี ชาวอ.เมืองพิษณุโลก เปิดเผยว่า มารอใช้บริการตั้งแต่ 06.30 น. โทรศัพท์ของตนเป็นแบบกดปุ่ม ไม่มีสมาร์ทโฟน อยากได้เงินไปซื้อของใช้ภายในบ้าน

ด้านนางมาลี ทองนิโรจน์ อายุ 71 ปี ชาวอ.เมือง จ.พะเยา ที่มาอาศัยอยู่กับบุตรสาวที่อ.เมืองพิษณุโลก เปิดเผยว่า มารอตั้งแต่ 06.30 น. ของวันนี้ อยากได้เงินมาจับจ่ายใช้สอยซื้อเครื่องอุปโภคบริโภคใช้ในครัวเรือน เพราะไม่อยากรบกวนลูก เป็นโครงการที่ช่วยเหลือประชาชนได้มาก

การเมือง - คู่แค้น - เพื่อนรัก ไร้มิตรแท้ และศัตรูถาวร ในเกมการเมือง

เกมการเมืองแบบเพื่อนหลักหักเหลี่ยมโหด และการแปรเปลี่ยนจากคนคุ้นเคยเป็นคนไม่คุ้ยชิน อาจจะดูเป็นเรื่องที่คนรุ่นใหม่เฉยชา

แต่เชื่อเถอะว่านี่คือกรณีศึกษาของเกมการเมืองไทย ที่ผ่านไปกี่ปีก็ไม่เปลี่ยน และน่าจะทำให้เราไม่ควรไปอินให้มากนัก

เพราะการเมืองที่แท้จริงต้อง ‘ไม่มีมิตรแท้ และศัตรูถาวร’

กรณีหนึ่งที่เล่าเรื่องนี้ได้ดี คือ 2 คู่กัดที่เบื้องหลังน่าจะรักกันแบบไม่ออกจออย่างกรณีของ ‘วัชระ เพชรทอง’ อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พรรคประชาธิปัตย์ แบบบัญชีราย และ ‘จตุพร พรหมพันธุ์’ อดีตประธานกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้าน เผด็จการแห่งชาติ (นปช.)

อันที่จริงแล้ว ช่วง2-3 ปีมานี้ 2 ท่านนี้มีกรณีฟ้องร้องหมิ่นประมาทกันว่อนศาล จนคนคิดว่าทั้งคู่นี้ คือ คู่แค้นแบบไม่มีวันหาจุดจบอันดีให้กันได้

เพราะในภาพเบื้องหนัาหลายคนอาจจะมองเห็น ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ในระดับ (ลบ) และมักแสดงอาการไม้เบื่อไม้เมาระหว่างกันมาโดยตลอด จนสื่อมวลชนประจำรัฐสภาเคยให้ทั้งคู่เป็น ‘คู่กัดแห่งปี’ มาแล้ว

แต่ในความเป็นจริงทั้ง 2 คนซี้กันเสียยิ่งกว่าใดๆ เสียอีก

วัชระ เคยออกหนังสือ ‘ทองแท้ไม่กลัวไฟ’ เพื่อเป็นการตีแผ่บทบาทของจตุพรในช่วงเหตุการณ์พฤษภาคม 2535 ว่าไม่ได้มีความเป็นผู้นำศึกษามหาวิทยาลัยรามคำแหงอย่างแท้จริง

เพราะได้พาตัวเองออกจากสถานการณ์บริเวณราชดำเนินทันที เมื่อมีเสียงปืนดังขึ้นมาเป็นนัดแรก และต่อมาก็ได้ ออกหนังสือเรื่อง ‘หยุดก่อน! สส.จตุพร พรหมพันธุ์ หยุดระบอบทักษิณ!’ เป็นครั้งแรกที่วัชระออกหนังสือที่พูดถึงจตุพรเป็นการเฉพาะจากเดิมก่อนหน้านี้หนังสือที่พูดถึงจตุพรจะมีเสี้ยวเดียวเท่านั้น

ทั้งนี้ เนื้อหาโดยรวมของหนังสือเล่มนี้หนีไม่พ้นการเป็นพื้นที่สำหรับการวิพากษ์วิจารณ์บทบาทของจตุพรทั้งในฐานะสส.และแกนนำคนเสื้อแดง

แต่ในตอนหนึ่งของหนังสือเล่มนี้มีจุดที่น่าสนใจตรงที่การบรรยายถึงความสัมพันธ์ของคนทั้งสองเมื่อครั้งสมัยศึกษาภายในรั้วมหาวิทยาลัยรามคำแหงด้วยกันมาก่อน ซึ่งวัชระไม่ค่อยจะเล่าออกมาผ่านเป็นลายลักษณ์อักษรมากนัก

วัชระ เล่าย้อนอดีตให้ฟังว่า “ในสมัยก่อน เราเป็นเพื่อนสนิทกันในรั้วรามคำแหง รู้จักกันที่รามคำแหง จตุพรเป็นคนพูดเก่ง และเป็นคนเก่ง เป็นนักกิจกรรม ซึ่งผมเองก็สนับสนุนให้คุณจตุพร พรหมพันธุ์ เป็นหัวหน้าพรรคแทนตัวเองในรั้วรามคำแหง และเราก็เป็นเพื่อนที่ดีกันมาตลอด จนกระทั่งมีครั้งหนึ่ง พอเขาได้ไปเป็นหัวหน้าพรรค ก็ไปไล่ผมให้ไปนั่งอ่านหนังสือที่อื่น มันก็จะตลกๆ หน่อย คุณจะบริหารงานก็บริหารไป แต่ผมนั่งอ่านหนังสือก็ไล่ให้ไปนั่งที่อื่น”

นี่ก็เป็นเกริ่นเรื่องขำๆ จากคำพูดของวัชระ แต่ก็เป็นจุดเริ่มต้นที่ขัดแย้งกันมาจนถึงปัจจุบัน

เพราะหลังจากนั้น จตุพร ก็เริ่มไปหันสนับสนุน ทักษิณ ชินวัตร ตั้งแต่ในรั้วรามคำแหง ซึ่งวัชระก็ไม่เห็นด้วยตั้งแต่ต้น และก็บอกให้ระวัง และในที่สุด จตุพร ก็กลายเป็นส่วนหนึ่งของทักษิณ และปัจจุบันของจตุพรในวันนี้คือ คนที่ต้องติดคุกและใช้คำว่าจบชีวิตการเมืองไวกว่าที่คาด

“จนทุกวันนี้ใครก็ไม่รู้ ที่อยู่เมืองนอก หลอกเพื่อนผมว่าจะให้ตำแหน่งรัฐมนตรี แต่ที่สุด ก็ทำให้เพื่อนผมต้องติดคุกแทน มันก็เลยเป็นที่มาของความขัดแย้งกันระหว่าง ‘ทักษิณ’ และ ‘จตุพร’ เหตุจากไปหลอกเขาว่าจะให้เป็นรัฐมนตรี ถึงขั้นจะเลี้ยงฉลองกันล่วงหน้า”

วัชระ เล่าถึงช่วงที่จตุพรเริ่มฝักใฝ่ในระบอบทักษิณ และทำให้เพื่อนของเขาเปลี่ยนไป

“เขากลายเป็นคนที่มี ‘จิตอีกมิติหนึ่ง’ อันนี้ผมใช้คำที่สุภาพนะ เชื่อไหมว่าเขาเคยบอกต่อหน้าสื่อมวลชน ว่าไม่รู้จักผม จะไม่รู้จักได้ไง ก็เลี้ยงข้าวทุกมื้อ แต่ก่อนผมมีแบงก์ 20 แล้วก็พับใส่มือเขา ข้าวจานละ 5 บาท ผมก็เลี้ยงจริงๆ เพราะตอนที่รู้จักกับจตุพรในรั้วมหาวิทยาลัยรามคำแหง ผมอยู่ในฐานะนักกิจกรรมรุ่นพี่ เขาก็เรียกผมพี่ทุกคำ ใช้ให้ทำอะไรก็ทำ ใช้ให้ไปซื้อเหล้าขาวน้ำแดงก็ไป

“ผมเอ็นดูจตุพรในฐานะรุ่นน้องร่วมพรรคสัจธรรม ไม่เพียงแต่ดูแลเลี้ยงข้าวเป็นประจำทุกมื้อ แม้แต่ค่าหน่วยกิตก็ยังหยิบยื่นให้ นายจตุพรมาขอให้ผมช่วยแนะนำการพูดการปราศรัยการทำกิจกรรม ผมก็ถ่ายทอดประสบการณ์ให้อย่างไม่ปิดบัง เพราะเห็นในความเป็นมนุษย์ที่มีอยู่ในตัวจตุพร และผมก็ส่งเสริมให้นายจตุพรเป็นผู้นำพรรค (นักศึกษาสัจธรรม) แทนตัวเอง”

วัชระ ขยายความอีกว่า “ความรัก ความสนิทสนมของเรา 2 คน เหมือนกับพี่ชายน้องชาย ตอนผมเมาแล้วอาเจียนรดหมอนที่นอนใต้ถุนกุฎีพระมหาระแบบ วัดบวรนิเวศ (พี่ชายจตุพร) นายจตุพรก็เป็นคนเช็ดอาเจียนของผม ยามผมอิ่มนายจตุพรก็อิ่ม ยามผมอดนายจตุพรก็อด แม้กระทั่งผู้หญิงนายจตุพร ก็เคยจีบคนเดียวกับผม

“แต่เมื่อผมสนับสนุนให้นายจตุพรเป็นผู้นำพรรคแทนแล้ว...ผลลัพธ์ก็ปรากฏ

“จตุพรสนองคุณผมโดยเอ่ยปากไล่ผมให้ไปนั่งที่อื่น อย่าเข้าไปนั่งในพรรคสัจธรรมอีก ผมรู้สึกทันทีว่าถูกรุ่นน้องที่ฟูมฟักมาทรยศหักหลัง จึงขอให้เปิดประชุมสมัชชาพรรค ผลปรากฏว่านายจตุพรต้องพ่ายแพ้ นั่นเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นกว่า 20 ปีแล้ว”

ความบาดหมางจากวันนั้น อาจจะดูเหมือนเป็นความแค้นแบบไม่มีวันจบ!!

เพราะในฐานะของการเป็นนักการเมือง ทั้ง 2 ก็อยู่กับคนละขั้ว และก็มีเหตุให้เกิดการฟ้องร้องหมิ่นประมาทของทั้ง 2 บ่อยครั้ง

“ล่าสุดมีกรณีการฟ้องหมิ่นประมาทระหว่างกัน คือ เขามาฟ้องร้องผม หาว่าผมหมิ่นประมาทเขา ผมก็เลยฟ้องเขาบ้าง แต่สุดท้ายเขาก็มาขอให้ผมช่วยถอนฟ้อง

“ผมยินดี เพราะในที่สุด เราก็ไม่อยากให้เพื่อนต้องมาติดคุกเพราะเรา และตัวเขาเองก็เคยติดคุกมาแล้ว ถ้าผมยืนยันจะฟ้องต่อ ก็ไม่สามารถรอลงอาญาได้อีก ติดคุกอีกรอบชัวร์

“ฉะนั้นเมื่อเขามาขอให้ถอนฟ้อง ผมก็ยินดีถอน ในฐานะเป็นเพื่อนกัน เพราะถึงที่สุด ถ้าเขาติดคุก เพราะคดีที่ผมมาฟ้องคดีหมิ่นประมาท ผมก็ไม่สบายใจ”

วัชระ เล่าให้ฟังว่า “วันนี้ เราดีกัน อโหสิกรรม ให้กันแล้ว”

ที่เล่ามายาวยืดนี้ วัชระ อยากให้ข้อคิดอย่างหนึ่ง คือ ใครก็ตามที่เข้ามาในวงการเมือง มักจะเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือไปหมด นี่คือสัจธรรมสมชื่อพรรคที่เขาเคยสังกัดในรั้วรามคำแหง

“ผมคิดว่าถ้าเขาใช้หลักธรรมในการนำตนเข้าสู่การเมือง เขาจะไปได้ไกล เขาเก่งขนาดที่เป็นรัฐมนตรีได้จริงๆ แต่เมื่อเขาหลงไปกระทำการต่างๆ กับระบบทักษิณ สุดท้ายชีวิตเขาถึงเป็นเช่นนี้

“แต่คนที่ฉลาด ก็คือ แรมโบ้อีสาน - สุภรณ์ อัตถาวงศ์ เพราะเขามาปรึกษาผม โดยเพื่อนเก่าอีกคนหนึ่ง ซึ่งในอดีตเขากับผม เคยลงสมัครแข่งประธานนักเรียนที่โรงเรียนสุราษฎร์ธานี เขาเป็นคนโคราช แต่ไปเรียนที่นั่น เพราะพี่สาวเป็นครู ผลในวันนั้นเขาได้ 7 คะแนน ผมได้เป็นประธานนักเรียน ซึ่งโรงเรียนมีนักเรียน 3 พันคน ก็ไม่ต้องบอกว่าผมได้กี่พันคะแนน แต่วันนี้ เขามาเป็นผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี ก็ออกมารายวัน และตอบโต้แทนลุงตู่ทุกวัน และก็กลับมาว่าผม แต่ผมก็ให้อภัย

“พูดถึงแรมโบ้แล้ว ต้องขอเล่าหน่อย เชื่อไหมว่า ในสมัยหลังรัฐประหารของลุงตู่ เขาก็เป็นคนหนึ่งที่หารือผม หลังจากเขาถูกทหารควบคุมตัว ซึ่งตอนนั้นเขาบอกว่า ทหารนำตัวเขาไปกลางป่า เอาปืนจี้หลัง และให้แก้ผ้าหมดเลย คิดดูว่าเขาเสียวขนาดไหน แต่เขาก็รอดมาได้

“แล้วเขาก็ถามผมว่า แล้วกูจะไปทางไหนดี ผมก็บอกว่า เมิงมีคดีเยอะ ก็ต้องไปอยู่กับ คสช. เพราะเขาจะตั้งพรรค แล้วลุงตู่ ลุงป้อม ช่วยมึงได้แน่นอน ผมก็แนะนำแบบนั้น และวันนี้ก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ”

แม้ความสัมพันธ์ในทางตรง อาจจะดูเหมือนเป็นการขัดแย้งกันของคนในแวดวงการเมือง แต่หากได้ลองฟังจากปาก วัชระ ที่เล่าถึง 2 เพื่อนซี้ในอดีต (วันนี้ก็ยังซี้) มันแอบสะท้อนให้เห็นตรงกับภาษิตโบราณทุกกระเบียดที่ว่า...

ไม่มีมิตรแท้ และศัตรูถาวร ในวงการเมือง จริงๆ

ประธาน นปช.สลดใจ !! ถึงกับนอนไม่หลับหลังเห็นภาพผู้ชุมนุมถูกตำรวจทำร้าย เหตุทำลายการแสดงออกตามสันติวิธี จี้สอบข้อเท็จจริงความรุนแรงทั้งหมด ทั้งเหตุระเบิด ปาปะทัด เหตุยิงกัน เป็นฝีมือใครกันแน่ ลั่น โชคดีที่ไม่มีใครตาย

นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) กล่าวในรายการลมหายใจพีซทีวี เวทีทัศน์ ตอนหนึ่งโดยอ้างว่า หลังจากเห็นภาพเหตุการณ์ตำรวจทุบตีประชาชน และลากหน่วยแพทย์อาสาไปรุมกระทืบทำร้ายต่อหน้ากล้องโทรทัศน์สื่อมวลชนจำนวนมาก

ระหว่างการชุมนุมของกลุ่มราษฎรเมื่อคืน (13 ก.พ.) ที่ผ่านมา เป็นอีกหนึ่งคืนที่ตัวเองนอนหลับลำบากมาก เมื่อจุดแข็งของการชุมนุมคือสันติวิธีถูกทำลายลง จะทำให้จุดแข็งดังกล่าวกลายเป็นจุดอ่อนทันที พร้อมตั้งคำถามใครเป็นผู้ทำลายแนวทางสันติวิธี ซึ่งที่ผ่านมาตนเคยพูดถึงพวกมือที่สามมาเสมอในช่วงการชุมนุม ดังนั้นจึงคาดการณ์ได้ว่าหลังจากนี้จะนำไปสู่อะไรขึ้นอีกบ้าง

"ภาพตำรวจทุบตี จะโดยเป็นหน่วยแพทย์อาสา และประชาชนก็ตาม เป็นภาพที่ไม่ควรจะเกิดขึ้น ขณะเดียวกันภาพอีกภาพหนึ่ง ไม่รู้ว่าใครเป็นใครแล้ว ผมว่ามันเป็นปัญหา เรื่องอย่างนี้เป็นเรื่องละเอียดอ่อนมาก"

ดังนั้น สิ่งที่รัฐบาลต้องกระทำคือการตั้งกรรมการตรวจสอบ ถือว่าเป็นการกระทำเกินกว่าเหตุ เป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย ส่วนมือโยนระเบิดปิงปอง ปะทัดยักษ์ก็ต้องมีการสอบสวนเช่นกัน รวมถึงมือยิงที่สน.นางเลิ้งก็ต้องตรวจสอบแต่ละกรณีให้ชัดเจน

"ในการชุมนุมของคนเสื้อแดงนั้นโรคแทรกมือที่สาม เท้าที่สี่จะเกิดขึ้นในช่วงปลาย ซึ่งไม่รู้ว่าใครเป็นใคร และใครจะใส่เสื้อแดงไปทำอะไรก็ได้ แต่ในยุคนี้มีการปิดหน้าตาช่วงโควิดจึงยิ่งยากไปกันใหญ่ที่จะระบุว่าใครเป็นใคร ดังนั้นเมื่อเกิดเหตุการณ์นี้ตัวแทนทั้งสองฝ่ายต้องคุยกันแล้วทำความจริงให้ปรากฎ เพราะครั้งต่อไปในอีก 7 วันข้างหน้าจะเกิดความสูญเสียที่ใหญ่กว่านี้ เมื่อคืนโชคดีที่ไม่มีใครตาย และไม่มีใครปรารถนาเช่นนั้น" นายจตุพรกล่าว


ที่มา : https://www.nationtv.tv/main/content/378815953/?qline=

‘เอ๋ ปารีณา’ ขึ้นโรงพักทองหล่อ แจ้งตำรวจให้ดำเนินคดี ‘เฌอเอม’ โพสต์ข้อความเท็จ เพราะไม่ใช่นางงาม อีกทั้งตำรวจก็ไม่ได้ใช้แก๊สน้ำตา

จากกรณีที่ ‘เฌอเอม - ชญาธนุส ศรทัตต์’ อดีตผู้เข้าประกวดมิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์ ทวีตข้อความหลังโดนแก๊สน้ำตาจากเหตุชุลมุนหลังแกนนำม็อบราษฎร ประกาศยุติชุมนุม โดยบอกว่า “สวัสดีค่ะ ดิฉัน เฌอเอม ชญาธนุส ศรทัตต์ นางงามคนแรกที่โดนแก๊สน้ำตา”

ล่าสุด น.ส.ปารีณา ไกรคุปต์ สส.ราชบุรี พรรคพลังประชารัฐ ได้โพสต์เฟซบุ๊กว่า ปารีณามาดำเนินคดีกับ นางสาว ชญานุส ศรทัตต์ (เณอเอม) สวัสดีค่ะ ดิฉัน เณอเอม ชญานุส ศรทัตต์ นางงามคนแรกที่โดนแก๊สน้ำตา ซึ่งปรากฏตามสื่อว่า นางสาวชญานุสฯได้เข้าร่วมการชุมนุมเมื่อวันที่ 13 ก.พ.2564 บริเวณอนุเสาวรีย์ประชาธิปไตย

จากโพสต์ข้อความดังกล่าว ทำให้สื่อและสังคมเข้าใจว่ามีการใช้แก๊สน้ำตาในการชุมนุมเมื่อวันที่ 13 ก.พ.2564 ส่งผลให้ พล.ต.ท ภัคพงศ์ พงษ์เภตรา ผบช.น. และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องต้องออกมาแถลงข่าวชี้แจ้งว่า ไม่มีการใช้แก๊สน้ำตา

อีกทั้ง การโพสต์ข้อความโดยใช้คำว่า นางงาม ก็เป็นการเผยแพร่ข้อมูลอันเป็นเท็จ เพราะทำให้สังคมเข้าใจว่า นางสาวชญานุสเป็นนางงาม ซึ่งข้อเท็จจริงนางชญานุสฯเป็นเพียงผู้สมัครเข้าประกวดมิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์เท่านั้น

การโพสต์ข้อความดังกล่าว ส่งผลให้สังคมเข้าใจผิด และเป็นการเผยแพร่ข้อมูลอันเป็นเท็จเข้าสู่ระบบข้อมูลคอมพิวเตอร์ ข้าพเจ้าจึงเดินทางมาเพื่อดำเนินคดีนางสาวชญานุสฯให้ถึงที่สุดจากเหตุการณ์ดังกล่าว เพราะทำให้เกิดความเสียหายต่อสังคม


ที่มา : https://www.facebook.com/parina.pacharat.9

ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบการช่วยเหลือเยียวยาผู้ประกันตน ตามมาตรา 33 ของ พ.ร.บ.ประกันสังคม ในโครงการ ‘ม33 เรารักกัน’ ซึ่งผู้ที่มีสิทธิจะได้รับเงินโอนคนละ 4,000 บาท สามารถลงทะเบียนได้ตั้งแต่วันที่ 21 ก.พ. - 7 มี.ค.นี้

นายสุชาติ ชมกลิ่น รมว.แรงงาน เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบโครงการ ‘ม33 เรารักกัน’ รับคนละ 4,000 บาท เริ่มลงทะเบียนผ่านเว็บไซต์ www. ม33เรารักกัน.com ตั้งแต่วันที่ 21 ก.พ. - 7 มี.ค. 64 โดยคุณสมบัติ จะต้องเป็นผู้ประกันตนตาม มาตรา 33 ที่มีสัญชาติไทย ต้องไม่มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ต้องมีเงินฝากในบัญชีไม่เกิน 500,000 บาท นับถึง 31 ธันวาคม 2563

ระยะเวลาดำเนินการ

โครงการ ‘ม33 เรารักกัน’ ผู้มีสิทธิข้างต้น สามารถลงทะเบียนผ่านเว็บไซต์ www. ม33เรารักกัน .com และตรวจสอบการได้รับสิทธิตั้งแต่วันที่ 21 กุมภาพันธ์ 7 มีนาคม 2564 จากนั้นธนาคารทำการตรวจสอบข้อมูล รวมทั้งประมวลผลการคัดกรอง ระหว่างวันที่ 8 - 14 มีนาคม 2564 ผู้ได้รับการยืนยันสิทธิกดใช้งานและกดยืนยันตัวผ่านแอปพลิเคชัน ‘เป๋าตัง’ ระหว่างวันที่ 15 - 21 มีนาคม 2564 และสามารถรับโอนเงินผ่านแอปพลิเคชัน ‘เป๋าตัง’ ได้ครั้งละ 1,000 บาท รวมทั้งสิ้น 4,000 บาท ในวันที่ 22,29 มีนาคม และวันที่ 5,12 เมษายน 2564 โดยเริ่มใช้แอปพลิเคชัน ‘เป๋าตัง’ จ่ายเงินสำหรับการซื้อสินค้าและบริการกับร้านค้าภายในโครงการเราชนะได้ตั้งแต่วันที่ 22 มีนาคม - 31 พฤษภาคม 2564

การขอทบทวนสิทธิ

สำหรับผู้ที่ไม่ผ่านการคัดกรองคุณสมบัติ จะสามารถขอทบทวนสิทธิได้ด้วยการขอทบทวนสิทธิผ่าน www.ม33เรารักกัน.com ระหว่างวันที่ 15 - 18 มีนาคม 2564 จะทำการตรวจสอบข้อมูล รวมทั้งประมวลผลคัดกรองและแจ้งยืนยันการได้รับสิทธิระหว่างวันที่ 29 มีนาคม - 4 เมษายน 2564 ผู้ได้รับสิทธิ์ต้องกดใช้งานและยืนยันตัวตนผ่านแอปพลิเคชันง ‘เป๋าตัง’ ระหว่างวันที่ 5 - 11 เมษายน 2564 รับโอนเงินเข้าแอปพลิชัน “เป๋าตัง” ครั้งละ 2,000 บาท ในวันที่ 5 และ 12 เมษายน 2564 และเริ่มใช้แอปพลิเคชัน ‘เป๋าตัง’ จ่ายเงินสำหรับการซื้อสินค้าและบริการกับร้านค้าภายในโครงการเราชนะได้ตั้งแต่วันที่ 5 เมษายน - 31 พฤษภาคม 2564

เปิดไทมไลน์จลาจล ‘ม็อบ ปะทะ ตำรวจ’ 13 ก.พ. 64

ม็อบ13กุมภา - กลายเป็นประเด็นร้อนฉ่าขึ้นมาทันที ในระหว่างการชุมนุมจัดกิจกรรม นับ 1 ถึงล้าน คืนอำนาจให้ประชาชน เมื่อวันเสาร์ที่ 13 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา ซึ่งเกิดเหตุประทะกันระหว่างกลุ่มผู้ชุมนุมและเจ้าหน้าที่ตำรวจควบคุมฝูงชน จนเกิดกระแสดราม่า ‘ตำรวจกระทืบหมอ’ เราลองไปย้อนดูไทม์ไลน์กันว่า ในวันนั้นเกิดอะไรขึ้นบ้าง

- 18.50 น. กลุ่มผู้ชุมนุมเคลื่อนขบวนถึงหน้าศาลฎีกา โดยมีกำลังตำรวจควบคุมฝูงชนตั้งแนวกั้น

- 18.58 น. กลุ่มผู้ชุมนุมเริ่มใช้ความรุนแรง ทำลายรั้วและผลักดันเจ้าหน้าที่

- 19.44 น. กลุ่มผู้ชุมนุมเริ่มปาขวดน้ำ สิ่งของใส่เจ้าหน้าที่ พร้อมเรียกร้องให้ปิดไฟ มีเสียงคล้ายระเบิดดังขึ้น 2 ครั้ง

- 20.13 น. กลุ่มผู้ชุมนุมมีการสาดสี และปาก้อนหินใส่เจ้าหน้าที่อย่างต่อเนื่อง

- 20.28 น. กลุ่มผู้ชุมนุมขว้างประทัดยักษ์ ระเบิดควันใส่เจ้าหน้าที่

- 20.20 น. นายอรรถพล บัวพัฒน์ (ครูใหญ่ พอกันที) แกนนำราษฎร ประกาศยุติการชุมนุม

- 21.06 น. ควบคุมตัวหญิงมีอาการเมาสุรา ก่อเหตุอาละวาด เพื่อนำไปสงบสติอารมณ์

- 21.40 เจ้าหน้าที่ได้เคลียร์พื้นที่ถนนหน้าศาลฎีกาแล้วเสร็จ และเจ้าหน้าที่ EOD ได้เข้าตรวจพิสูจน์หลักฐาน

- 22.10 น. พ.ต.อ.อรรถวิทย์ สายสืบ ให้สัมภาษณ์สื่อว่ามีผู้ถูกจับกุม 11 คน นำตัวไปบก.ตชด.ภาค 1

- 22.58 น. ที่ สน.นางเลิ้ง เกิดเหตุวุ่นวาย กรณีมีการยิงการ์ดอาชีวะบาดเจ็บ 2 คน

'บิ๊กตู่' เตือนม็อบมีพยานหลักฐาน - กล้องบันทึกภาพชัดเจนใครก่อเหตุรุนแรง ขออย่าฟังความข้างเดียวดราม่าตำรวจทำร้ายแพทย์อาสา ชี้เจ้าหน้าที่เองก็ถูกทำร้าย ลั่นเคลื่อนไหวปลุกระดมเวลานี้ไม่เกิดประโยชน์ประเทศชาติ

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม กล่าวภายหลังเป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) กล่าวถึงความกังวลต่อการชุมนุมมีการจุดกระแสเจ้าหน้าที่ทำร้ายและอาจจะมีการเคลื่อนไหวไปที่หน้ารัฐสภาในวันอภิปรายไม่ไว้วางใจ และการควบคุมสถานการณ์เพราะเริ่มมีการยกระดับความรุนแรงมีระเบิดในพื้นที่ชุมนุม ว่า ยืนยันว่าจะให้เจ้าหน้าที่ทำงานอย่างเต็มที่ในการทำหน้าที่ตามกฎหมายด้วยความละมุนละม่อม

ขณะเดียวกันขอฝากเตือนผู้ก่อเหตุด้วยว่าทุกอย่างเป็นไปตามพยานหลักฐานจำนวนมาก รวมถึงกล้องต่าง ๆ ก็ออกมาให้เห็นอย่างชัดเจน จึงขอให้เสนอข่าวสองทางว่ามีการปฏิบัติต่อเจ้าหน้าที่ด้วยและต้องเห็นใจเจ้าหน้าที่ที่ต้องทำงานด้วยความระมัดระวัง และมีชีวิตจิตใจเหมือนกัน ถ้าใช้ความรุนแรงตอบโต้ไปมาก็มีแต่ทำให้เกิดความรุนแรงเกิดขึ้นและไม่เป็นผลดีต่อประเทศชาติและประชาชนโดยรวม

เมื่อถามว่า ในฐานะกำกับดูแลตำรวจจะชี้แจงหรือแสดงความเสียใจต่อเหตุการณ์ตำรวจทำร้ายร่างกายทีมแพทย์ อย่างไร และต้องกำชับให้ระมัดระวังอะไรเพิ่มเติมหรือไม่

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า "ก็บอกไปแล้วมีการทำร้ายเจ้าหน้าที่ด้วย ซึ่งต้องไปพิสูจน์ทราบเจ้าหน้าที่แพทย์จริงหรือไม่ ขณะนี้อยู่ในกระบวนการสอบสวนและฟังความข้างเดียว ทุกคนต้องเคารพกฎหมาย"

เมื่อถามถึงการนัดหมายชุมนุม 17 ก.พ.และ 20 ก.พ. ซึ่งเป็นช่วงการอภิปรายไม่ไว้วางใจ เป็นห่วงหรือไม่ว่าผลการอภิปรายและลงมติในสภาฯ จะมีผลต่อการเคลื่อนไหวชุมนุมนอกสภา พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า "ตนคิดว่า อย่ามีการเคลื่อนไหวในทางปลุกระดมปลุกปั่น ให้เกิดการชุมนุม ไม่เกิดประโยชน์อะไรต่อประเทศชาติในเวลานี้ เพราะประเทศชาติมีปัญหาอยู่ ทั้งโควิดและปัญหาต่างๆ มากมาย ถึงไม่ควรเพิ่มความขัดแย้งให้มากยิ่งขึ้น ขณะเดียวกันกระบวนการทำงานก็เป็นเรื่องของรัฐสภาและรัฐบาลที่ต้องชี้แจงในการอภิปรายไม่ไว้วางใจ จึงขอให้ประชาชนเฝ้ารอฝั่งที่บ้านดีกว่ามาประท้วงซึ่งไม่รู้เพื่อจุดมุ่งหมายอะไร ซึ่งหลายคนพอจะทราบอยู่แล้ว"

เมื่อถามว่ามีรายงานข่าวว่ากลุ่มเรียกร้องประชาธิปไตย ต่อต้านรัฐประหารเมียนมาในไทยแฝงตัวร่วมชุมนุมในพื้นที่ปทุมวันและสนามหลวงช่วงที่ผ่านมา ได้กำชับให้หน่วยความมั่นคงดูแลเรื่องนี้อย่างไร เพื่อป้องกันเหตุรุนแรงในอนาคต พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า "ผมขอเตือนว่าให้ใช้ความระมัดระวังให้มากที่สุดในฐานะมิตรประเทศและอาเซียน ต้องระมัดระวังทุกมิติและทุกประเด็นพร้อมรับฟังความคิดเห็นจากร้ายแรงว่าจะดำเนินการได้มากน้อยเพียงใด"

ส่วนประเด็นความพร้อมต่อการอภิปรายไม่ไว้วางใจในวันพรุ่งนี้ (16 ก.พ.) มีความกังวลกับข้อกล่าวหาที่เกี่ยวพันกับสถาบันอย่างไร ถ้าละเอียดอ่อนมากจะขอให้ประชุมลับหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ตนคงไม่ต้องตอบ เรื่องความเกี่ยวกังวลเกี่ยวข้องกับสถาบันฯ ในสภา ซึ่งมันควรหรือไม่ควรก็ไปว่ากันมา เป็นเรื่องของสมาชิกและเป็นเรื่องที่สภาต้องดำเนินการให้อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญและกฎหมายที่เกี่ยวข้องทุกประการ


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top