Monday, 23 June 2025
Politics

'พีระพันธุ์' เผย!! ไม่มีอดีตคน ปชป.ย้ายซบ รทสช.  บอก!! ไม่ได้ยุ่งเกี่ยว แง้ม!! ยังไม่มีแพลนเปิดรับ

(12 ธ.ค. 66) ที่ทําเนียบรัฐบาล นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ในฐานะหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีนักการเมืองหลายคนลาออกจากสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) มีใครจะย้ายมาร่วมกับพรรค รทสช. บ้างหรือไม่ ว่า “ไม่รู้ ไม่มี ไม่เห็นมีใครติดต่อมา เขาคงอยู่พรรคมั้ง ผมไม่ได้ไปยุ่งเกี่ยว มันคนละพรรคแล้ว”

ผู้สื่อข่าวถามยํ้าว่า ถ้ามีจะเปิดรับหรือไม่ นายพีระพันธุ์ ยิ้มและกล่าวว่า “ยังไม่มี”

‘คุณหญิงแอ๋ว’ ประกาศพา ปชป.กลับสู่อ้อมกอดของปชช. ชูธงเชียร์ ‘มาดามเดียร์’ สู้ต่อ อนาคตไม่พ้นผู้บริหารพรรค

อดีตรัฐมนตรีหญิงแกร่งแห่งประชาธิปัตย์ ‘สุพัตรา มาศดิตถ์’ ชูธงเชียร์ ‘มาดามเดียร์’ สู้ต่อไปในฐานะคนรุ่นใหม่ที่ไม่ละทิ้งอุดมการณ์บรรพชน มั่นใจในอนาคตได้เป็นผู้บริหารพรรคหญิงที่มีคุณภาพคับแก้ว ประกาศพร้อมนำพรรคกลับสู่ ‘วิถีธรรม’ และอ้อมกอดของประชาชน

(12 ธ.ค. 66) คุณหญิงสุพัตรา มาศดิตถ์ อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และอดีตแกนนำคนสำคัญของพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงสถานการณ์ของพรรคหลังได้ผู้บริหารชุดใหม่ ท่ามกลางกระแสวิจารณ์เชิงลบอย่างหนักหน่วงว่า ตนพร้อมจะนำพรรคประชาธิปัตย์กลับสู่อ้อมกอดของประชาชน เป็นพรรคการเมืองที่ยืนหยัดเคียงข้างประชาชนอีกครั้ง ในวันข้างหน้าที่มีโอกาส 

พร้อมกันนี้ ตนก็พร้อมและยินดีสนับสนุนบทบาททางการเมืองของคนรุ่นใหม่ที่คำนึงถึงความชอบธรรม โดยเฉพาะบทบาทฝ่ายบริหารสำหรับผู้หญิงที่มีคุณภาพ 

“ดิฉันพร้อมสนับสนุนให้ มาดามเดียร์ มีโอกาสทำหน้าที่บริหารพรรค รวมทั้งคนรุ่นใหม่ทุกคนที่มีความพร้อม มีอุดมการณ์ทางการเมืองที่ถูกต้องกับความต้องการของประเทศชาติและประชาชน เทิดไว้ซึ่งสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์อย่างแท้จริง” 

คุณหญิงสุพัตรา ยังส่งกำลังใจถึง ‘มาดามเดียร์’ และเลือดใหม่ของพรรคประชาธิปัตย์ว่า “ขอให้คนรุ่นใหม่ได้สู้ต่อไป วันหน้าเราอาจมีเลขาธิการพรรคเป็นสุภาพสตรีที่แข็งแกร่งที่ชื่อ วทันยา บุนนาค ก็เป็นไปได้”

“ดิฉันจึงขอยืนหยัดสนับสนุนพรรคประชาธิปัตย์ในมิติคนรุ่นใหม่ที่ไม่ละทิ้งแนวอุดมการณ์ของบรรพชนประชาธิปัตย์ เราจะช่วยกันนำประชาธิปัตย์กลับคืนมาสู่วิถีธรรม เพื่อยืนเคียงข้างประชาชนต่อไป” อดีตรัฐมนตรีหญิงแกร่งแห่งประชาธิปัตย์ กล่าว

สำหรับคุณหญิงสุพัตรา หรือที่สื่อมวลชนรุ่นใหญ่รู้จักกันดีในชื่อ ‘คุณหญิงแอ๋ว’ เป็นรัฐมนตรีหญิงคนแรกของประเทศไทยที่มาจากการเลือกตั้ง โดย คุณหญิงสุพัตรา เป็น สส.นครศรีธรรมราชหลายสมัย สืบต่อจากบิดา คือ นายสุรินทร์ มาศดิตถ์ อดีตสื่อมวลชนและนักการเมืองชื่อก้องของภาคใต้ และเป็นนักการเมืองหญิงที่มีบทบาทสูงมากในช่วงที่การเมืองไทยผลัดใบจากประชาธิปไตยครึ่งใบสู่ประชาธิปไตยเต็มใบ

‘บิ๊กป้อม’ แจง ‘สมรักษ์’ ลาออกจาก พปชร.แล้ว ปมปัญหาเรื่องส่วนตัว ย้ำ!! ไม่เกี่ยวข้องกับพรรค

(12 ธ.ค.66) ที่พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ สส.บัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ เดินทางเข้ามาประชุมพรรค โดยบอกกับสื่อมวลชนว่าสบายดี หลังสื่อสอบถามว่าไม่เห็นหน้ากันนาน สบายดีหรือไม่

เมื่อถามว่าการลาออกจากสมาชิกพรรคของนายสมรักษ์ คำสิงห์ ได้ออกจากพรรคไปนานแล้วใช่หรือไม่ พล.อ.ประวิตร กล่าวเพียงสั้นๆ ว่า ลาออกไปแล้ว เมื่อถามย้ำว่าเรื่องปัญหาส่วนตัวไม่เกี่ยวข้องกับพรรคแล้วใช่หรือไม่ พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ใช่ 

‘รทสช.’ ย้ำ!! ไม่สนับสนุนนิรโทษกรรม ‘ม.112-ทุจริต-กระทำต่อชีวิต’ เตรียมชงร่าง 'พ.ร.บ.สร้างเสริมสังคมสันติสุข' ประกบ ตามจุดยืนพรรค

(13 ธ.ค.66) นายพงศ์พล ยอดเมืองเจริญ หรือ ‘ลอรี่’ รองโฆษกพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) เปิดเผยว่า ในการประชุมพรรครวมไทยสร้างชาติ เมื่อวันที่ 12 ธันวาคมที่ผ่านมา ที่ประชุมได้มีการหารือเกี่ยวกับการเตรียมพร้อมตามวาระการประชุมสภาฯ โดยนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค หัวหน้าพรรค และนายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ เลขาธิการพรรค ขอให้ สส. และสมาชิก เตรียมทำงานให้เข้มข้นกว่าเดิม  

นายพงศ์พล กล่าวว่า ประเด็นที่สังคมให้ความสนใจเกี่ยวกับจุดยืนเรื่อง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมในส่วนของพรรครวมไทยสร้างชาติ มีจุดยืนชัดเจนอยู่แล้วว่า ไม่สนับสนุนการนิรโทษกรรม แต่พรรคเห็นด้วยหากจะให้ประชาชนที่มีเจตนาบริสุทธิ์ในการใช้สิทธิเคลื่อนไหวทางการเมืองตั้งแต่ปี 2548 -2565 ไม่ต้องรับผิด โดยยกเว้น 3 กลุ่มด้วยกัน ได้แก่ ผู้ที่มีความผิดในมาตรา 112, ผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับการทุจริตและประพฤติมิชอบ และกลุ่มที่กระทำผิดต่อชีวิตผู้อื่นจนทำให้ถึงแก่ความตาย ซึ่งขณะนี้ทางพรรครวมไทยสร้างชาติ โดย นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค หัวหน้าพรรค ได้เป็นผู้ร่างกฎหมายดังกล่าว ซึ่งใช้ชื่อว่าพ.ร.บ.สร้างเสริมสังคมสันติสุข เพื่อนำเสนอประกบไปด้วย โดยเนื้อหารายละเอียดทั้งหมดได้ดำเนินการภายใต้จุดยืนหลักของพรรค คือการสร้างความสามัคคีปรองดอง 

“ท่าทีของพรรครวมไทยสร้างชาติต่อประเด็นนิรโทษกรรม เรายืนยันว่าจะต้องไม่มีการนิรโทษกรรมความผิดกับผู้ที่กระทำผิดในมาตรา 112 ซึ่งเป็นประเด็นที่ละเอียดอ่อน, ผู้กระทำผิดในข้อหาทุจริตและประพฤติมิชอบ  และผู้ที่กระทำผิดที่ทำให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย แต่เราต้องการให้ยกเว้นโทษกับประชาชนที่เคลื่อนไหวทางการเมืองด้วยเจตนาบริสุทธิ์ เพื่อสร้างเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นและสร้างสังคมที่สันติสุข” นายพงศ์พล กล่าว 

'นายกฯ' ลั่น!! ไม่นิ่งนอนใจ หลัง PM 2.5 รุนแรงขึ้น ชี้!! กองทัพมีส่วนช่วยตลอด-ทุกภาคส่วนร่วมเร่งแก้

(13 ธ.ค. 66) ที่ศูนย์นิทรรศการ และการประชุมไบเทค บางนา นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ให้สัมภาษณ์ถึงสถานการณ์ฝุ่น PM 2.5 ที่ทวีความรุนแรงขึ้นในช่วงนี้ โดยเฉพาะพื้นที่ กทม.และปริมณฑล จนส่งผลกระทบต่อสุขภาพ ว่า “ทราบดีอยู่ และเป็นห่วงอยู่ ได้เรียกเจ้าหน้าที่มาสั่งการว่าจะต้องทำอย่างไรต่อไป แต่ตรงนี้มันก็เป็นทุกปี ซึ่งเราเองไม่ได้นิ่งนอนใจ น่าจะทราบว่าเราได้มีการคิกออฟไปแล้ว โดยเฉพาะการรณรงค์ไม่เผาป่า เราทราบดีว่าค่าฝุ่นมันจะต้องขึ้นมาสูง ซึ่งเราไม่ได้ยอมแพ้หรือนิ่งนอนใจ จะพยายามที่จะจัดการต่อไป”

ผู้สื่อข่าวถามว่า เมื่อมีการคิกออฟไปแล้วในพื้นที่ต่างจังหวัดอย่าง จ.เชียงใหม่ แต่ที่ กทม.มีความแตกต่างกัน จะมีแนวทางหรือเรียกหน่วยงานมาสั่งการเรื่องนี้อย่างไร? นายเศรษฐา กล่าวว่า “จริงๆ มันเกิดจากการเผาด้วย ภาคกลางก็มีการเผาซากของพืชผลผลิตต่างๆ เหมือนกัน ตอนนี้ได้ให้เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องไปดูแลอยู่ด้วย”

เมื่อถามว่า นายกฯ เคยระบุว่าจะให้ทางกองทัพเข้ามาช่วยเหลือ ตอนนี้ทางกองทัพได้เข้ามาดำเนินการอย่างไรบ้าง? นายเศรษฐา กล่าวว่า “กองทัพได้เข้ามาช่วยเหลือตลอด ทางภาคเหนือตนได้คุยกับแม่ทัพภาคที่ 3 และทางผู้บัญชาการทหารสูงสุดเพื่อให้ช่วยดูแลเฝ้าระวังเรื่องการเผาป่า”

เมื่อถามว่า จะต้องมีการพูดคุยกับภาคอุตสาหกรรม ภาคคมนาคมขนส่งด้วยหรือไม่? นายเศรษฐา กล่าวว่า “วันนี้ก็เป็นการให้องค์ความรู้อย่างหนึ่ง ซึ่งในการสัมมนาวันนี้ก็เป็นการทำให้ทุกคนทราบว่าปัญหานี้มันเกิดขึ้นกับทุกภาคส่วน ทุกคน ดังนั้น ทุกคนต้องมีส่วนในการร่วมรับผิดชอบที่จะทำให้มันน้อยลงไป”

ผู้สื่อข่าวถามว่า ได้รับรายงานเกี่ยวกับประเทศเพื่อนบ้าน หรือประสานเพื่อให้มีการลดการเผาหรือไม่? นายกฯ กล่าวว่า “เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่มาก ทั้งเมียนมาและสปป.ลาวก็เป็นส่วนหนึ่ง ซึ่งเราก็พูดมาทุกปี ซ้ำแล้วซ้ำอีก เจอแล้วเจออีก แต่ทาง สปป.ลาวเราคุยกันดีมาตลอดเวลา ซึ่งมันไม่ได้เกี่ยวเฉพาะ สปป.ลาวอย่างเดียว ยังมีภาคเอกชนไปจ้างให้มีการปลูกพืชผลที่นั่นด้วยเช่นกัน จึงมีการพูดว่าถ้าอย่างนั้นถ้าจะนำพืชผลเข้ามาขายในประเทศไทย ถ้ามีการเผาที่เป็นซากหรืออยู่ที่ สปป.ลาวก็ต้องเสียภาษี เพราะฉะนั้นจะต้องมีการบริหารจัดการตรงนี้ให้ได้ และต้องพูดคุย ถือเป็นเรื่องที่รุนแรงพอสมควร ส่วนที่เมียนมาก็ต้องให้ฝ่ายทหารเข้าไปพูดคุยด้วย ซึ่งเป็นที่ทราบกันดีว่าเขาเผาป่าแต่สร้างปัญหาในบ้านเรา แต่เราไม่ได้นิ่งนอนใจ พยายามพูดคุยตลอดเวลา”

เมื่อถามถึงมาตรการภาษีที่จะเก็บจากผู้ประกอบการ? นายกฯ กล่าวว่า “สมมติว่ามีการไปปลูกข้าวโพดที่ สปป.ลาว  และมีการนำกลับเข้ามา แล้วถ้าเราพิสูจน์ได้ว่ามีการเผาก็จะมีการเรียกเก็บภาษีเพิ่มกับผู้ประกอบการ และนำเงินดังกล่าวมาช่วยในการหยุดไฟป่าหรือการบำบัดซากพืชผลการเกษตรไปพัฒนาทำอย่างอื่นได้ เช่น เรื่องของการขนส่ง และเชื่อว่าทุกคนจะขานรับในการข้อเสนอดังกล่าว เพราะปัญหานี้เป็นปัญหาใหญ่ ทั้งเจ้าของกิจการ ลูกหลาน ต่างได้รับผลกระทบด้วยกันทั้งสิ้น เชื่อว่าทุกคนพยายามแก้ปัญหาเรื่องนี้กันอยู่”

‘สส.เดชอิศม์-ภรรยา’ ฟ้องหมิ่นประมาท ‘ไฮโซติ๊งต่าง’ ฐานโพสต์วิพากษ์วิจารณ์การทำงานของพรรคประชาธิปัตย์

(13 ธ.ค. 66) นางกาญจนี วัลยะเสวี หรือ ‘ไฮโซติ๊งต่าง’ แม่ยกพรรคและแฟนคลับประชาธิปัตย์ โพสต์เฟสบุ๊คส่วนตัวว่า ตนได้รับหมายเรียกจากพนักงานสอบสวน เนื่องจากนายเดชอิศม์ ขาวทอง สส.เขต 5 จังหวัดสงขลา เลขาธิการพรรค ปชป. และ นางสาวสุภาพร กำเนิดผล สส.เขต 6 จังหวัดสงขลา ปชป. (ภรรยานายเดชอิศม์) แจ้งความดำเนินคดีกับตน สืบเนื่องมาจากที่ตนได้วิจารณ์การทำงานของพรรค ปชป. ตั้งแต่กรณี 16 สส.งูเห่า แหกมติพรรคโหวตให้นายเศรษฐา ทวีสิน เป็นนายกรัฐมนตรี และการทำงานของ สส. และผู้บริหารพรรคชุดใหม่ที่ไม่ยึดอุดมการณ์เดิมของพรรคประชาธิปัตย์

ขุดปมลับล้างใจ ‘เฉลิมชัย-อภิสิทธิ์’ พร้อมจับตาลูกฮึดบ้านใหญ่กู้ซาก ปชป.

สัปดาห์ที่ผ่านมา ลาท่าน บก.ไปทำภารกิจส่วนตัวเสียหลายวัน ไม่ได้ขยับต้นฉบับเลย ขณะที่เหตุบ้านการเมืองก็เปลี่ยนไปเร็ว และบางกรณีก็คาดไม่ถึง เช่นกรณี ‘อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ’ นอกจากขอถอนตัวจากการลงแข่งขันชิงหัวหน้าพรรคแล้ว ยังประกาศลาออกจากสมาชิกพรรคกลางวงประชุม 9 ธ.ค.2566 อีกต่างหาก…เซอร์ไพรส์!!

ไหน ๆ ก็ไหน ๆ แวะจอดป้ายเรื่องประชาธิปัตย์ซะเลย...พูดไปก็ต้องบอกว่ามีดรามาเล็ก ๆ ตอนที่ ‘อภิสิทธิ์’ ท้า ‘เฉลิมชัย ศรีอ่อน’ คุยกันตัวต่อตัว...ที่ประชุมต้องพักกว่า 10 นาทีให้อดีต ‘คอหอยกับลูกกระเดือก’ เมื่อครั้งอภิสิทธิ์เป็นหัวหน้า เฉลิมชัยเป็นเลขาพรรค ปี 2556 โน่น…

ไปคุยกันเสร็จแล้ว อภิสิทธิ์ก็มาประกาศถอนตัวจากการถูกเสนอชื่อแข่งขันชิงหัวหน้าพรรค พร้อมลาออกจากสมาชิกพรรค โดยบอกว่าทั้งสองเรื่องมาจากเหตุผลเดียวกัน....ซึ่งถ้าใครที่ดูไลฟ์สดหรือดูเทปการประชุมก็จะได้ยินเต็มสองรูหูว่า..อภิสิทธิ์บอกว่า...

“ยืนยันกับทุกท่านที่นี่ ผมไม่มีพรรคอื่นไม่ไปพรรคอื่น กรีดเลือดมาก็เป็นสีฟ้าจนวันตาย เป็นลูกพระแม่ธรณีที่จะเอาอุดมการณ์ประชาธิปัตย์รับใช้บ้านเมือต่อไป วันข้างหน้าถ้าในพรรคคิดว่าผมจะเป็นประโยชน์มาช่วยได้ ผมก็คงไม่ปฏิเสธ แต่วันนี้เพื่อให้ท่านมีสถานะและจะมีอำนาจในการบริหารต่อไป ทำงานด้วยความสบายใจ ทำงานตามแนวทางอย่างเต็มที่ไม่ต้องหวาดระแวงเรื่องผม เรื่องใครใด ๆ ทั้งสิ้นก็ขออนุญาตที่จะลาออก...”

ตรงนี้ชัดแจ้งว่า ‘อภิสิทธิ์’ ลาออกเพื่อให้ทีมของเฉลิมชัยทำงานได้เต็มที่ ไม่ต้องกลัวทีมอภิสิทธิ์จะไปเลื่อยขาเก้าอี้...

ทั้งนี้ ขอเท้าความกันอีกสักนิดว่า...เมื่อตอนที่อภิสิทธิ์ลาออกจากหัวหน้าพรรค เพราะพ่ายศึกเลือกตั้งปี 2562 และไม่เห็นด้วยที่จะไปร่วมรัฐบาลกับ ‘ลุงตู่’ ต่อมา ‘จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์’ ก็ขึ้นมานำพรรคจากการสนับสนุนของ ‘ชวน-บัญญัติ-อภิสิทธิ์’ โดยเฉลิมชัย ศรีอ่อน เป็นเลขาพรรคสืบเนื่อง แต่การทำงานของ ‘จุรินทร์’ กับเฉลิมชัยนั้นไม่เข้าขากันเท่าที่ควร ไม่เป็นคอหอยกับลูกกระเดือก…

มีอยู่บางช่วงสมาชิกพรรคไม่พอใจ ‘จุรินทร์’ ก็คิดก่อการให้ ‘อภิสิทธิ์’ คัมแบ็ก...ด้วยการให้กรรมการบริหารพรรคลาออก โดยเฉพาะช่วงที่เกิดกรณี ‘ปริญญ์ พานิชภักดิ์’ เรื่องการคุกคามทางเพศ...แต่อภิสิทธิ์ไม่เล่นเกมนี้ด้วย...จนกระทั่ง ปชป.แพ้เลือกตั้ง 14 พ.ค.2566 แบบยับเยิน...‘จุรินทร์’ ลาออกจากหัวหน้า… ‘เฉลิมชัย’ เองก็ติดกับดักการประกาศเลิกเล่นการเมืองตลอดชีวิต...จึงมีกระแสเรียกร้องให้อภิสิทธิ์กลับไปกอบกู้พรรคอีกครั้ง...แต่มุ้งใหญ่ในพรรคคือ สส.ที่หนุนเฉลิมชัย ไม่ตอบรับสูตรอภิสิทธิ์

มีคนกลางพยายามประสานให้เฉลิมชัยคุยกับอภิสิทธิ์เพื่อหาทางออก ประมาณว่าให้อภิสิทธิ์นั่งหัวหน้าพรรค กลุ่มเฉลิมชัยเป็นเลขาธิการพรรค ซึ่งในทีนี้เป็นที่รู้กันว่าคือ เดชอิศม์ ขาวทอง นั่นเอง...แต่การนัดหมายล้มเหลว...แหละนี่คือ ประเด็นที่อภิสิทธิ์ขอเคลียร์ใจกับเฉลิมชัย

สายข่าวแจ้งว่า...การเคลียร์ใจประเด็นการนัดหมายที่ล้มเหลวใช้เวลาเพียงแป๊บเดียว จากนั้นทั้งสองคุยกันถึงทิศทางพรรคสั้น ๆ เฉลิมชัยยืนยันที่จะทำให้พรรคมีศักดิ์ศรีแม้อาจต้องเข้าร่วมรัฐบาล นอกจากนั้นก็เล่าถึงการทุ่มให้พรรคสุดตัวอยู่คนเดียวตอนเลือกตั้ง 2566…

แม้ว่าดูอนาคตของพรรคประชาธิปัตย์แล้วอาการน่าเป็นห่วง… ‘อดีต สส.-สมาชิก’ ลาออกตามอภิสิทธิ์กว่าสิบคนแล้ว...แบบว่าไม่ตายแต่ก็ไม่โต...แต่ ‘เสี่ยต่อ’ เฉลิมชัย ก็คงมีลูกฮึดลูกสู้ตามประสาคน ‘ใจถึงพึ่งได้’ สไตล์บ้านใหญ่หาหนทางให้พรรคเดินไปข้างหน้า…

ข่าวแจ้งว่า ‘เสี่ยต่อ’ พยายามจะกวักมือเรียกคนเก่า ๆ ที่ลาออกไปมากอบกู้พรรคกันอีกครั้ง ไม่ว่าจะเป็น สกลธี ภัททิยกุล, อันวาร์ สาและ เป็นต้น...

และหากเป็นไปได้ ‘เฉลิมชัย’ กับคณะก็คงจะปั้นให้ ‘ดร.เอ้-สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์’ เป็นจุดขายเป็นหัวหน้าในการเลือกตั้งสมัยหน้า...

‘เล็ก เลียบด่วน’ ไม่ได้ปรามาสใคร...แต่ต้องบอกว่า ถ้ามองไปข้างหน้า เลือกตั้งสมัยหน้า โอกาสที่ประชาธิปัตย์จะได้น้อยกว่าเดิม 25 เสียง สูงมาก…

และวันนั้นแหละอาจเป็นโอกาสสุดท้ายของ ‘อภิสิทธิ์’ ที่จะกลับมากอบกู้พระแม่ธรณี..!!

‘นายกฯ’ ลั่น!! 4 ปี ปัญหายาเสพติดต้องหมดไป เตรียมประกาศเผายาบ้าครั้งใหญ่ 26 ธ.ค.นี้

(13 ธ.ค.66) ที่ห้องแกรนด์บอลรูม โรงแรมอินเตอร์คอนติเนนตัล ถนนเพลินจิต เขตปทุมวัน กรุงเทพฯ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง ร่วมงานเสวนาหัวข้อ ‘คนไทยถาม นายกฯ เศรษฐาตอบ’ ในงาน เดลินิวส์ ทอล์ก 2023 (Dailynews Talk 2023) 

เมื่อถามถึงมาตรการปราบปราม ทำไมยาบ้าราคาถูกปราบปรามไม่หมดและหาได้ง่าย และบางพื้นที่ขายเม็ดละ 30 บาท? นายกฯ กล่าวว่า “เป็นคำถามที่เราคาดหวังอยู่แล้วว่าต้องมีมาตลอดเวลาที่ลงพื้นที่เรื่องปัญหายาเสพติดแบ่งเป็น 2 ทาง คือ เรื่องซัพพลาย ที่มาจากประเทศเพื่อนบ้าน เราต้องตัดซัพพลายให้ได้ก่อน โดยทหารและฝ่ายความมั่นคงจะต้องตัดซัพพลายตรงนี้ หลังจากนั้นเมื่อจับและยึดได้ ตามกฎหมายเก่ามีประเด็นว่ากว่าจะเผาได้ใช้เวลานานมาก ต้องมีการพูดคุย จับมาได้ก็มีการย้ายถิ่นฐานการเก็บรักษายาบ้าไปอย่างน้อย 2 - 3 สเต็ป สังคมจึงมีข้อกังขาว่าระหว่างที่มีการย้ายมีการรั่วไหลออกไปอีกหรือไม่ ก็มีการพูดคุยกันว่าต่อไปนี้จับได้พิสูจน์ได้ให้เก็บไว้แล้วเผาทันที...

“โดยในวันที่ 26 ธ.ค.จะมีการประกาศเผายาเสพติดครั้งใหญ่ หลังจากที่เราได้ประกาศไปแล้ว และได้ไปคุยกับประเทศเพื่อนบ้านทั้งประเทศลาวและกัมพูชา ได้มีการพูดคุยกันอย่างซีเรียสว่าทุกคนเห็นพ้องกันว่าต้องขจัดออกไป เราจะมีแผนงานอย่างไรให้ทำไปแล้วเท่าไหร่ ทั้งนี้ ผู้ที่ติดคุก 85% เป็นผู้ที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติดทั้งหมด ฉะนั้นเป็นเรื่องที่เราต้องเห็นใจและเราต้องบูรณาการในการที่ผู้เสพ เป็นผู้ป่วยและไม่ใช่คืนเขากลับบ้านจะต้องมีวิธีการที่เราจะจะต้องให้เขามีอาชีพที่เหมาะสมและพูดคุยกับครอบครัวเขาว่าจะดูแลรักษาอย่างไรไม่ให้เขากลับไปเสพใหม่อย่างไร”

เมื่อถามต่อว่า การจัดการกับปัญหายาเสพติดมี KPI ว่าอีก 4 ปีรัฐบาลเศรษฐาจะพลิกโฉมการแก้ปัญหายาบ้าอย่างไร? นายกฯ กล่าวว่า “ที่บอกว่าปัญหาลดไป 50% หรือหมดไปพบว่าความจริงแล้วเรื่องนี้เป็นเรื่องที่เราจะต้องให้เคพีไอว่าภายใน 4 ปีนี้จะต้องหมดไป”

เมื่อถามถึงนโยบายปราบผู้มีอิทธิพลและอาวุธเถื่อนกระบวนการถึงไหนแล้ว? นายกฯ กล่าวว่า “เรื่องอาวุธเถื่อน ตนว่าเรื่องนี้ถ้าไปดูที่ต่างประเทศหลายประเทศ โดยเฉพาะในประเทศสหรัฐอเมริกาเป็นเคสตัวอย่างที่จริง เขามีธุรกิจขายอาวุธปืนหรือผลิตอาวุธปืนเป็นธุรกิจที่ใหญ่มาก หลายรัฐบาลของสหรัฐไม่สามารถจัดการปัญหาอาวุธปืนและการยิงกันได้ เพราะภาคธุรกิจใหญ่กว่า เช่นที่เท็กซัสมีอุตสาหกรรมที่ใหญ่มาก ถ้าใครบอกว่าจะแบนเรื่องการเข้าถึงอาวุธปืนได้ง่าย รับรองว่าคนนั้นไม่ได้เป็นประธานาธิบดี แต่ที่ประเทศไทย ตนมองว่าเป็นปัญหาที่ง่ายมาก เพราะเราไม่อยู่อุตสาหกรรมปืน... 

“ฉะนั้นตรงนี้ก็เป็นวาระหนึ่งที่เรามีการพูดคุยกันว่าให้มีการเข้าถึงอาวุธปืนทั้งเหตุการณ์ที่ พารากอน ซึ่งฝ่ายความมั่นคงก็ได้ออกกฎหมายช่วยจัดการในเรื่องนี้ หลายคนมองว่า นักท่องเที่ยวจีนที่หลายท่านบอกว่าเดินทางเข้ามาในประเทศประเทศไทย เพราะการเข้าถึงอาวุธปืนของเรายังสูงอยู่เราก็ยอมรับเรื่องเหล่านี้และต้องแก้ไข ซึ่งเรื่องของอาวุธเถื่อนเป็นอะไรที่เรายอมรับไม่ได้ต้องไปดูที่กฎหมาย และเรื่องของผู้มีอิทธิพลเป็นเรื่องที่มีมาหลาย 10 ปีแล้ว ซึ่งก็หลายคนก็บอกว่าเรื่องการแก้ไขหนี้นอกระบบ เรื่องยาเสพติดก็มีผู้มีอิทธิพลอยู่เบื้องหลังชัดเจนการที่เราแถลงนโยบายไปแล้ว โดย รมว.มหาดไทย และ รมช.มหาดไทย ประกาศชัดเจนว่าเราไม่ยอมรับของการมีผู้มีอิทธิพล เพราะปัญหาที่เกิดขึ้นที่จังหวัดนครปฐมเราก็มีการบริหารจัดการ เราไม่ยอมรับอยู่แล้ว”

‘อนุทิน’ ย้ำจุดยืน ‘ภท.’ คงเดิม ไม่แตะ 112 หากนิรโทษกรรมสอดไส้แก้มาตรานี้ เลิกคุยกัน

(13 ธ.ค. 66) ที่ทำเนียบรัฐบาล นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรมว.มหาดไทย ให้สัมภาษณ์กรณี นายนิกร จำนง ประธานคณะอนุกรรมการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนเกี่ยวกับแนวทางในการทำประชามติ เพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 เสนอแนะให้มีการเสนอร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ในนามพรรคร่วมรัฐบาล ว่า “พรรคภูมิใจไทย (ภท.) มีจุดยืนชัดเจนว่าเราไม่แตะ ม.112”

เมื่อถามว่า คดีทุจริตที่เกิดขึ้นในช่วงมีความวุ่นวายทางการเมืองจะนำมาพิจารณาด้วยหรือไม่ นายอนุทิน กล่าวว่า “เดี๋ยวรอว่าจะมีการหารือในพรรคร่วมรัฐบาลหรือไม่ แต่จุดยืนภูมิใจไทยเหมือนเดิมคือเราไม่มีปัญหากับมาตรา 112 ในปัจจุบัน เมื่อถามย้ำว่า คดีความต่างๆ สามารถพูดคุยกันได้ใช่หรือไม่ นายอนุทิน กล่าวว่า ขอหารือกันก่อน ต้องดูว่าแก้ ม.112 หรือไม่ ถ้าแก้ก็ไม่ได้”

เมื่อถามว่า เห็นด้วยกับพรรคเพื่อไทย (พท.) หรือไม่ที่เสนอตั้งคณะกรรมาธิการขึ้นมาเพื่อศึกษาก่อน นายอนุทิน กล่าวว่า “ยังไม่ได้คิดเรื่องนี้” 

เมื่อถามอีกว่ารัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯ มีการผลักดันเรื่องนิรโทษกรรมจนรัฐบาลมีปัญหา กังวลหรือไม่ นายอนุทิน กล่าวว่า “โอ๊ยนานไปแล้ว จำไม่ได้ ตอนนั้นผมยังไม่เข้าการเมืองเลยมั๊ง เอาปัจจุบันดีกว่า”

‘ไอซ์ รักชนก’ เฮ!! ศาลให้ประกันตัววงเงิน 5 แสนบาท ยังไม่หลุดตำแหน่ง สส. พร้อมเงื่อนไขห้ามกระทำผิดซ้ำ

(13 ธ.ค. 66) ที่ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก หลังศาลอ่านคำพิพากษาคดีดูหมิ่นสถาบันหมายเลขดำ อ.683/2565 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 10 เป็นโจทก์ฟ้อง ไอซ์ รักชนก หรือ น.ส.รักชนก ศรีนอก สส.กทม. พรรคก้าวไกล จำเลยมีความผิดจากการทวีตและรีทวิตข้อความ ที่มีเนื้อหาที่เข้าข่ายหมิ่นประมาทสถาบันเบื้องสูง

ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และ พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 มาตรา 3 และมาตรา 14 ให้ลงโทษตามมาตรา 112 อันเป็นบทหนักสุด รวม 2 กระทง จำคุกกระทงละ 3 ปี รวมจำคุก 6 ปี ไม่รอลงอาญา

ภายหลังฟังคำพิพากษา ไอซ์ รักชนก ยังมีสีหน้ายิ้มเเย้มเเละถูกพาไปห้องควบคุมตัว

บ่ายวันที่ 13 ธ.ค. 2566 นายชัยธวัช ตุลาธน หัวหน้าพรรคพรรคก้าวไกล เดินทางกลับมาศาลอาญาเพื่อยื่นประกันตัว ไอซ์ รักชนก ศรีนอก ด้วยสีหน้าเคร่งเครียด

ต่อมาเวลา 15.00 น. ศาลมีคำสั่งในคดีอาญาหมายเลขดำที่ อ 683/2565 หมายเลขแดงที่ อ 3739/2566 น.ส.รักชนก ศรีนอก ไอซ์ จำเลย ยื่นคำร้องขอปล่อยชั่วคราว

และมีคำสั่งอนุญาตให้ปล่อยจำเลยชั่วคราว ระหว่างอุทธรณ์วงเงิน 500,000 บาท (เงินสด 300,000 บาท ตำแหน่ง 200,000 บาท) กำหนดเงื่อนไขห้ามจำเลยกระทำการหรือร่วมกิจกรรมลักษณะเดียวกันกับข้อหาตามคำฟ้องและหรือมีพฤติการณ์ใดๆ ในลักษณะและข้อหาเดียวกัน

หลังจาก ไอซ์ รักชนก ได้ประกันตัว จึงไม่หลุดจากสถานะ สส.ก้าวไกล ขั้นตอนหลังจากนี้ ก็จะไปสู้คดีในชั้นอุทธรณ์ต่อไป


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top