Monday, 23 June 2025
Politics

‘อี้-แทนคุณ’ กระตุกมุมคิด!! ทิศทางข้างหน้า ‘ประชาธิปัตย์’ อุดมการณ์แห่งพรรคที่ยึดมั่นความซื่อสัตย์ ต้องหวนคืน

(8 ธ.ค.66) จากรายการ ‘ถลกข่าว ถลกปัญหา’ เมื่อวันที่ 7 ธ.ค.66 ดำเนินรายการโดย สถาพร บุญนาจเสวี ได้พูดคุยกับ นายแทนคุณ จิตต์อิสระ รักษาการประธานคณะกรรมการส่งเสริมสิทธิมนุษยชนและความเท่าเทียมระหว่างเพศ พรรคประชาธิปัตย์ ในหัวข้อ ‘ประชาธิปัตย์ What's next?’ มีเนื้อหา ดังนี้...

หากให้พูดถึง ทิศทางในอนาคตของ ‘ประชาธิปัตย์’ คงต้องมองที่ ‘เอกภาพทางความคิด’ ว่าจะเป็นไปในทิศทางใดมากกว่า โดยส่วนตัวของผมเองมองว่า พรรคประชาธิปัตย์ในวันนี้ ได้บทเรียนหลายประการจากการเลือกตั้งที่ผ่านมา หรือแม้แต่การเลือกตั้งก่อนหน้านั้นก็ดี ว่า การที่เราไม่สามารถสร้าง ‘เอกภาพ’ หรือความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันใน ‘ทางความคิด’ ได้ อาจจะเป็นปัญหาในอนาคต 

แน่นอนว่า เราอาจจะภูมิใจว่า เราเป็นพรรคการเมืองที่มีเสรีภาพในการคิดหรือพูดได้อย่างมากมาย ซึ่งถือเป็นเรื่องดี แต่ในวันที่เราต้องเดินหน้าไปในทิศทางเดียวกัน การมีเอกภาพทางความคิดสำคัญมากจริง ๆ เพราะเสรีภาพจากจำนวนคนในพรรค รวมถึงสมาชิกพรรคเรือนแสนคนนั้น มันอาจทำให้เราหลงทิศ 

เราฟังความคิดที่หลากหลายได้ครับ!!

แต่สุดท้าย!! เวลาที่ต้องตัดสินใจเรื่องใด ทุกคนที่เป็นเลือด ปชป.ควรมุ่งมั่นและมีวินัย ในการเดินหน้าตามครรลองของความเป็นพรรคแห่งที่มีความเชื่อมั่นจากประชาชนในด้าน ‘ความซื่อสัตย์’ ใช่หรือไม่? เรื่องนี้สำคัญ!! 

คุณอี้ กล่าวต่อว่า 77 ปีของพรรคประชาธิปัตย์ ถ้าเปรียบเป็นต้นไม้ คือ ใหญ่มาก และสิ่งที่สำคัญต่อพวกเรามาก ๆ ในหลายปีที่ผ่านมา ก็คือ ‘ป่า’ ซึ่งป่าในที่นี้ก็คือ ‘ประชาธิปไตย’ และ ‘ประชาชน’ ที่สร้างเราให้เข้าเป็นส่วนหนึ่งของประเทศ ภายใต้ความเชื่อมั่นว่า พรรคประชาธิปัตย์ คือ พรรคแห่งความซื่อสัตย์ ฉะนั้นต่อให้เราจะยืนหยัดมานานแค่ไหน แต่เราจะลืม ‘ประชาธิปไตย-ประชาชน’ ที่ปลุกปั้นให้เรามีตัวตนไม่ได้ 

ผมเชื่อว่า ‘ความสุจริต’ ประชาธิปไตยที่สุจริต จะเป็นจุดแข็งที่สุดของประเทศไทย เพียงแต่วันนี้ผมก็ไม่แน่ใจว่า มันจะหายไปเพียงเพราะความเห็นแก่ผลประโยชน์เพียงชั่วขณะแค่ไหน 

ทั้งนี้ คุณอี้ ยังกล่าวอีกว่า การได้อยู่กับพรรคที่มีอุดมการณ์ในแง่ของความรักชาติบ้านเมืองและมีความซื่อสัตย์สุจริตอย่างพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งก็ไม่ได้หมายความว่าพรรคอื่น ๆ ใช่ว่าจะไม่มีอุดมการณ์ที่กล่าวมานั้น สะท้อนให้เห็นผ่านการทำงานทั้งการเป็นฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้านที่ไม่เคยมีข้อครหาในเรื่องของคอร์รัปชัน ซึ่งตรงนี้เป็นจุดแข็งและเป็นอุดมการณ์ที่มั่นคงของพรรคประชาธิปัตย์มายาวนาน และหวังให้ประเทศไทยใช้สิ่งนี้เป็นจุดแข็งของประเทศด้วยในอนาคต

อย่างตอนที่สมัยรัฐบาลท่านอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ตอนนั้นพอเกิดปัญหาแม้เพียงเล็กน้อย เช่น ปัญหาปลากระป๋องเน่า ท่านอภิสิทธิ์ก็ให้รัฐมนตรีที่ดูแลต้องรับผิดชอบด้วยการลาออกทันที ซึ่งภาพแบบนี้เราคงเคยเห็นที่เกาหลีใต้และญี่ปุ่นกันมาบ้าง ทั้ง ๆ ที่บางทีปัญหานั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับคน ๆ นั้นโดยตรง แต่ถ้ามันเกิดขึ้นในความรับผิดชอบของเขา ก็ต้องพร้อมจะโค้งคำนับและลาออกทันที ไม่ใช่โค้งคำนับแล้วก็ไม่ลาออกเหมือนนักการเมืองไทย นี่คือประชาธิปัตย์

ดังนั้น ส่วนตัวของผมเอง ก็อยากเห็น ประชาธิปัตย์ ซึ่งเป็นพรรคที่หล่อหลอมเรื่องเหล่านี้มายาวนาน จนกลายเป็นอุดมการณ์ทางการเมืองของพรรคที่ชัดเจน ไม่ปล่อยให้ ‘ความซื่อสัตย์’ นี้ เลือนหายไปในวันข้างหน้า

ผมขออนุญาตทิ้งท้ายไว้ด้วยคำกล่าวของ ท่านหม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช ว่า...

“ถนนทุกสายในเมืองไทย สามารถปูด้วยทองคําได้ ถ้าไม่มีการทุจริตคอร์รัปชัน”

‘สว.อุปกิต’ แฉ!! ‘โรม’ ตั้ง ‘สามีทนายแจม’ นั่งเลขา กมธ.ความมั่นคงฯ โยงใช้อำนาจทำลายตน ตีชิ่ง รบ.ก่อน เพื่อเรียกเรตติงทางการเมือง

(8 ธ.ค.66) นายอุปกิต ปาจรียางกูร สมาชิกวุฒิสภา เปิดเผยว่า ตามที่ปรากฏเป็นข่าวเผยแพร่ตามสื่อมวลชนถึงผลการประชุมคณะกรรมาธิการ (กมธ.) ความมั่นคงแห่งรัฐ กิจการชายแดนไทย ยุทธศาสตร์ชาติและการปฏิรูปประเทศ ที่มีนายรังสิมันต์ โรม สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล เป็นประธานกมธ. โดยมีวาระพิจารณาปัญหาตั๋วตำรวจที่เกิดขึ้นในพรรคเพื่อไทยนั้น มีข้อเท็จจริงประการหนึ่งที่ไม่ปรากฏเป็นข่าว แต่เป็นที่เปิดเผยต่อสาธารณชนคือ การที่ พ.ต.ท.ธีรวัตร์ ปัญญาณ์ธรรมกุล เพื่อนรักของ พ.ต.ท.มานะพงษ์ วงศ์พิวัฒน์ สว.สส.สน.พญาไท นายตำรวจชุดจับกุมคดี ตุน มิน ลัต ซึ่งได้รับแต่งตั้งเป็นเลขานุการคณะ กมธ. แสดงบทบาทอย่างสำคัญในการอภิปรายซักถามเรื่องตั๋วตำรวจในการประชุม กมธ.ด้วย

นายอุปกิต กล่าวว่า ข้อเท็จจริงนี้ทำให้ได้เห็นการเชื่อมโยงที่ชัดเจนมากขึ้นจากที่ตนเคยชี้แจงไปว่า ความแปดเปื้อนที่เกิดขึ้นกับตน มีมูลเหตุจูงใจจากสิ่งซึ่งตนใช้คำว่า ‘ทฤษฎีสมคบคิด’ โดยพิจารณาจากความสัมพันธ์ระหว่าง พ.ต.ท.มานะพงษ์ กับ พ.ต.ท.ธีรวัตร์ เพื่อนรักและสามี นางสาวศศินันท์ ธรรมนิฐินันท์ หรือ ‘ทนายแจม’ สส.กทม.พรรคก้าวไกล และนายรังสิมันต์ โรม พยายามใช้คดีจับกุม ตุน มิน ลัต เชื่อมโยงมาถึงตน พยายามออกหมายจับตนโดยมิชอบ เพื่อทำลายความชอบธรรมของรัฐบาลที่ผ่านมา และหาคะแนนนิยมทางการเมือง

“นอกจากยืนยันทฤษฎีสมคบคิดแล้ว วันนี้สิ่งที่นักการเมืองรุ่นใหม่ทำยังย้อนแย้งกับสิ่งที่เคยวิจารณ์เรียกร้อง เคยโจมตีสภาผัวเมีย สภาฝากเลี้ยง แต่ตัวเองทำยิ่งกว่า” นายอุปกิตระบุ

นายอุปกิต กล่าวว่า ตำแหน่ง สส.ควรทำสิ่งที่สร้างประโยชน์ให้ประเทศชาติ ประชาชน แต่กลไกสภา กลับถูกใช้เพื่อเหตุผลทางการเมือง ดังจะเห็นว่า อีกวาระสำคัญในการประชุม กมธ.ความมั่นคงแห่งรัฐฯ วานนี้ มีการเรียกตัวแทนการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) มาชี้แจงปัญหาไฟฟ้าขัดข้องในพื้นที่อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย โดยอ้างว่าเป็นความเดือดร้อนประชาชนแต่ความจริงแล้ว นายรังสิมันต์ต้องการใช้กลไก กมธ. เรียกเอกสารที่ กฟภ.ทำสัญญาซื้อขายไฟกับ บริษัทอัลลัวร์ พีแอนด์อี เพื่อจะหาช่องโจมตีตน ทั้งๆ ที่ได้ยืนยันไปหลายครั้งแล้วว่า ก่อนมารับตำแหน่ง สว.ได้ลาออกจากทุกตำแหน่งในเครือบริษัทอัลลัวร์แล้ว

“ขณะที่เรื่องซึ่งเกี่ยวข้องกับตัวเอง และยังเป็นที่เคลือบแคลงกรณี “ตั๋วปารีส” กลับไม่มีความคืบหน้าว่า กมธ.จะสร้างความกระจ่างในเรื่องนี้อย่างไร ผมอยากถามว่า อนุ กมธ.ตั๋วปารีสจะตั้งได้กี่โมง” นายอุปกิต กล่าว

‘หมออ๋อง’ ถูก ‘อดีต สส.อนาคตใหม่’ ฟ้องฐานหมิ่นประมาท ยัน!! ไม่หนีหมายเรียกแน่นอน พร้อมเข้าสู่กระบวนการสอบสวน

(8 ธ.ค. 66) นายปดิพัทธ์ สันติภาดา สส.พิษณุโลก พรรคเป็นธรรม และรองประธานสภาฯ คนที่หนึ่ง ทวีตข้อความผ่าน X ต่อกระแสข่าวที่ถูกตำรวจพิษณุโลกสั่งฟ้องในคดีหมิ่นประมาท นายเกษมสันต์ มีทิพย์ สมาชิกพรรคภูมิใจไทย ว่า…

“จากที่สอบถามกรณีข่าวผมหนีหมายเรียกและจะถูกหมายจับคดีหมิ่นประมาท ผมยืนยันว่ายังไม่ได้รับหมายใดๆ มีเพียงการไปรับทราบข้อกล่าวหาเท่านั้น และยินดีเข้ากระบวนการสอบสวนทุกอย่าง” พร้อมระบุอีกว่า “ผู้ร้องคือ อดีต สส.อนาคตใหม่ ที่ไปอยู่กับพรรคภูมิใจในปัจจุบัน”

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กรณีดังกล่าวเป็นกระแสเกิดขึ้นหลังจากที่เพจ ‘วันนี้พรรคก้าวไกลโกหกอะไร’ โพสต์ข้อความว่า…

“ตำรวจเตรียมออกหมายจับ หมออ๋อง หลังวันที่ 11 ธ.ค. หากไม่ไปรายงานตัว เหตุเบี้ยวนัดคดีหมิ่นประมาทหลายรอบ”

พร้อมระบุรายละเอียดในช่องแสดงความเห็นโดยเป็นภาพโพสต์ของนายเกษมสันต์ ที่ระบุว่า ได้ยื่นหนังสือถึง ‘ผบ.ตร.’ ถึงการดำเนินการตามที่ได้แจ้งความดำเนินคดีไว้ เพราะผู้ต้องหาไม่ยอมมาพบพนักงานสอบสวนแม้มีหมายเรียกออกไปแล้วถึง 2 ครั้ง

ผู้ต้องหามีพฤติกรรมที่แสดงให้เห็นถึงเจตนาประวิงเวลา เพื่อที่จะใช้เอกสิทธิ์คุ้มครองอีกครั้งในวันเปิดประชุมสภาที่จะถึงนี้ ตำรวจมีระยะเวลาในการดำเนินการในครั้งนี้เหลือเวลาอีก 3 วันคือวันที่ 7, 8 และ 11 ก่อนที่ผู้ต้องหาจะได้รับเอกสิทธิ์คุ้มครองอีกครั้งในวันที่ 12 ธ.ค.

“ผมรอมาแล้ว 100 กว่าวัน ซึ่งผู้ต้องหาได้ใช้เอกสิทธิ์คุ้มครองไปแล้ว 90 วัน จากสมัยเปิดประชุมสภาครั้งที่ผ่านมา รวมกับระยะเวลาที่สามารถดำเนินการได้ 40 วันในช่วงปิดประชุมสภา” นายเกษมสันต์ ระบุ

นอกจากนั้น เพจดังกล่าวยังระบุโพสต์ที่ว่า “สั่งฟ้องแล้ว” พร้อมภาพเป็นหนังสือแจ้งความคืบหน้าการสอบสวนคดีอาญา ลงชื่อ พ.ต.ท.ธนาพล เมฆบุตร สารวัตร (สอบสวน) สถานีตำรวจภูธรเมืองพิษณุโลก แจ้งต่อนายเกษมสันต์ ระบุความคืบหน้าของพนักงานสอบสวน ระบุว่า การสอบสวนเสร็จสิ้นแล้ว พนักงานสอบสวนมีความเห็นสั่งฟ้อง และจะส่งสำนวนการสอบสวนพร้อมผู้ต้องหาไปยังพนักงานอัยการต่อไป ลงวันที่ 16 พ.ย.

ซึ่งกรณีดังกล่าวเกิดขึ้น เนื่องจากนายเกษมสันต์ แจ้งความเอาผิดนายปดิพัทธ์ ด้วยข้อหาหมิ่นประมาท ด้วยการโฆษณาด้วยเอกภาพ ภาพวาด ภาพระบายสี ภาพยนตร์ หรือที่ทำให้ความปรากฏด้วยวิธีการใดๆ

‘มาดามเดียร์’ ย้ำ 3 จุดยืน ‘ประเทศไทย-ประชาธิปไตย-ปชช.’ ก่อนประชุมเลือก ‘หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์’ ในวันนี้

(9 ธ.ค.66) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า น.ส.วทันยา บุนนาค ประธานคณะทำงานนวัตกรรมการเมือง กทม. ในฐานะผู้สมัครหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ โพสต์ภาพพรรคประชาธิปัตย์พร้อมข้อความบนภาพ ‘Better Democrat For Better Democracy’ และเขียนข้อความประกอบภาพว่า

“ประเทศไทย - ประชาธิปไตย - ประชาชน สร้างประชาธิปัตย์เป็นพรรคของทุกคน เพื่อร่วมสร้างประชาธิปไตยที่ดีกว่า”

ก่อนที่จะมีการประชุมใหญ่วิสามัญ ครั้งที่ 3 เพื่อเลือกตั้งคณะกรรมการบริหารพรรคประชาธิปัตย์ชุดใหม่ ที่โรงแรมมิราเคิล แกรนด์ คอนเวนชั่น เขตหลักสี่ กรุงเทพฯ ในเวลา 09.30 น.

‘ธนกร’ ยัน!! รทสช.พร้อมลุยงานสภาเต็มที่ เหตุมีกฎหมายสำคัญรอพิจารณาอยู่เพียบ

(9 ธ.ค.66) นายธนกร วังบุญคงชนะ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อและรองหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) กล่าวว่า สส.ของพรรคพร้อมทำงานเป็นตัวแทนประชาชนในสภาทันทีที่เปิดสมัยประชุม เนื่องจากมีกฎหมายสำคัญรอเข้าพิจารณาเป็นจำนวนมาก อาทิ ร่างพ.ร.บ. แก้ไขเพิ่มเติม พ.ร.บ.มาตรการของฝ่ายบริหารในการป้องกันและปราบปรามการทุจริต (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ซึ่งเป็นเรื่องเกี่ยวกับความมั่นคง, ร่างพ.ร.บ.ประมง, ร่างพ.ร.บ.บริหารจัดการเพื่ออากาศสะอาด, ร่าง พ.ร.บ. แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ฉบับที่…) พ.ศ. … ที่ว่าด้วยสิทธิสมรสเท่าเทียม ซึ่งถือเป็นเรื่องสำคัญเกี่ยวข้องโดยตรงกับพี่น้องประชาชน ทั้งนี้ในช่วงปิดสมัยประชุม คณะกรรมาธิการก็ได้เร่งประชุมขับเคลื่อนงานอย่างต่อเนื่องเพื่อให้สามารถบรรจุร่างกฎหมายต่างๆ เข้าพิจารณาได้อย่างรวดเร็ว เพื่อให้เกิดการบังคับใช้มีผลต่อประชาชนทุกกลุ่มทันที 

เมื่อถามว่ามีความกังวลหรือไม่ที่ร่างพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2567 ส่งเข้าพิจารณาในสภาล่าช้า นายธนกร กล่าวว่า ร่างพ.ร.บ.งบฯ ปี 67 เป็นกฎหมายที่สำคัญมาก มีผลโดยตรงต่อการบริหารราชการแผ่นดิน หากเกิดความล่าช้าอาจส่งผลกระทบต่อโครงการต่าง ๆ โดยเฉพาะด้านการลงทุนได้ จึงขอฝากไปยังรัฐบาล ให้เร่งมือส่งร่างกฎหมายงบประมาณดังกล่าว เข้าพิจารณาตามขั้นตอนของสภาโดยเร็ว 

”ทราบว่าขณะนี้ทางกระทรวงการคลังได้ส่งร่างดังกล่าวให้ทางสำนักงบประมาณแล้ว คาดว่าจะสามารถส่งเข้าสภาได้ต้นเดือนมกราคมปีหน้าได้ หากพิจารณาร่างพ.ร.บ.งบประมาณปี 67 ได้รวดเร็วก็จะส่งผลดีต่อการบริหารทุกกระทรวงและหน่วยงานต่างๆ ที่จะขับเคลื่อนงานพัฒนาประเทศ ตามนโยบายของรัฐบาลเพื่อแก้ปัญหาความเดือดร้อนให้กับประชาชนได้ทันที” นายธนกร กล่าว

‘จุรินทร์’ ชี้ 2 ภารกิจหลักของหัวหน้าคนใหม่ คอยพัฒนาพรรค - ทำงานในสภาอย่างเต็มที่

(9 ธ.ค.66) ที่โรงแรมมิราเคิล แกรนด์ หลักสี่ นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ อดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ สัมภาษณ์ก่อนการประชุมใหญ่วิสามัญเพื่อเลือกหัวหน้าพรรค และกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ ว่า อยู่ที่ทุกคนต้องช่วยกันให้ได้หัวหน้าพรรคฯ ส่วนตัวหวังว่าน่าจะเรียบร้อย ส่วนกรณีกระแสข่าวนายชวน หลีกภัย อดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ จะเสนอชื่อนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตหัวหน้าพรรค ลงชิงหัวหน้าพรรคนั้น ตนไม่ทราบ แต่การแข่งขันภายในพรรคเป็นเรื่องปกติ

เมื่อถามว่าหลังการเลือกหัวหน้าพรรคครั้งนี้จะเกิดความขัดแย้งหรือไม่ นายจุรินทร์ กล่าวว่า อยู่ที่ตัวบุคคล ตนขอเป็นกำลังใจให้กับทุกคนที่มีความตั้งใจที่จะเข้ามาพัฒนาพรรค โดยยึดถือประโยชน์พรรคเป็นหลัก

นายจุรินทร์ กล่าวว่า ซึ่งตนคิดว่าภารกิจของกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ อย่างน้อยที่สุดต้องมี 2 เรื่องเฉพาะหน้าที่จะต้องทำ เรื่องแรกก็คือทำหน้าที่ในสภาฯ ให้มีความเข้มแข็ง เพราะอันนี้คือการทำหน้าที่แทนคนไทยทั้งประเทศที่เลือกพรรค เรื่องที่สองก็คือภารกิจในการพัฒนาพรรค หมายความว่าทำให้มันดีขึ้นไปเรื่อยๆ หรือทำให้ดีขึ้น เพื่อที่จะได้เป็นที่ยอมรับของประชาชนมากขึ้นต่อไปในอนาคต

‘เฉลิมชัย ศรีอ่อน’ ผงาดนั่งหัวหน้า ‘ปชป.’ คนที่ 9 ด้วยคะแนนเสียง 88.5% จาก 260 องค์ประชุม

(9 ธ.ค.66) ที่โรงแรมมิราเคิล แกรนด์ คอนเวนชั่น หลักสี่ กทม. ที่ประชุมใหญ่วิสามัญพรรคประชาธิปัตย์ ครั้งที่3/2566 ได้เข้าสู่ช่วงสำคัญคือการลงมติเลือกหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ คนที่ 9 ภายหลังจากเมื่อช่วงครึ่งวันเช้านายชวน หลีกภัย สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ ได้เสนอนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ สมาชิกพรรค อดีตหัวหน้าพรรค ลงสมัครชิงตำแหน่งหัวหน้าพรรค จนเกิดการเคลียร์ใจส่วนตัวในประเด็นที่คาใจของพรรค ระหว่างนายอภิสิทธิ์ กับนายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รักษาการหัวหน้าพรรค และรักษาการเลขาธิการพรรค และทำให้นายอภิสิทธิ์ ประกาศลาออกจากสมาชิกพรรค หลังพักการประชุม 10 นาที ได้กลับเข้าสู่วาระเพื่อเสนอชื่อบุคคลชิงหัวหน้าพรรค

จากนั้นได้เข้าสู่กระบวนการเสนอชื่ออีกครั้ง โดยนายเดชอิศม์ ขาวทอง สส.สงขลา และรักษาการรองหัวหน้าพรรค ภาคใต้ เสนอชื่อนายเฉลิมชัย ศรีอ่อน เป็นหัวหน้าพรรค ส่วน น.ส.ผ่องศรี ธารภูมิ สมาชิกพรรคเสนอชื่อ พันโทหญิงฐิฏา รังสิตพล มานิตกุล ขณะที่นายขยัน วิพรหมชัย อดีต สส.ลำพูน เสนอชื่อน.ส.วทันยา บุนนาค มีเสียงรับรองเพียงพอ แต่เนื่องจากคุณสมบัติเป็นสมาชิกไม่ถึง 5 ปี และไม่เคยเป็นสส.ของพรรค ขัดกับข้อบังคับพรรค ข้อ31(6) และข้อ32(1 ) จึงต้องใช้เสียง 3 ใน 4 ของจำนวนผู้มาประชุม หรือ 195 เสียง เพื่อยกเว้นข้อบังคับดังกล่าว

ปรากฏว่า น.ส.วทันยา ได้เพียง 139 เสียง เท่ากับที่ประชุมไม่อนุญาตให้ลงสมัคร จึงถือว่าไม่ได้รับการคัดเลือกชิงหัวหน้าพรรค เช่นเดียวกับ พันโทหญิงฐิฏา ที่ไม่ผ่านคุณสมบัติชิงตำแหน่งเช่นเดียวกัน  ทำให้เหลือผู้ถูกเสนอชื่อคือ นายเฉลิมชัย เพียงคนเดียว

ทั้งนี้ นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน ลุกขึ้นกล่าวกับที่ประชุมว่า "กราบเรียนท่านชวน หลีกภัย ท่านบัญญัติ บรรทัดฐาน ท่านจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ ท่านผู้บริหารพรรค ท่านผู้อาวุโส ท่านสมาชิกพรรคที่เคารพทุกท่านครับ

ผมเรียนอย่างนี้ว่า ที่ผมขึ้นมาพูดนี้ ขออนุญาตอาจจะไม่ใช่เป็นวิสัยทัศน์ แต่อยากจะมาพูดในบางสิ่งบางอย่างที่เป็นความรู้สึกของผม ผมขอกราบเรียนท่านสมาชิกทุกท่านว่า ผมรู้ว่าการตัดสินใจของผมในวันนี้มันเจ็บ มันทำลายสิ่งที่ผมสร้างมาทั้งชีวิต เข้าใจครับ แต่ผมพูดอยู่ตลอดเวลาว่า ผมคุยกับท่านหัวหน้าอภิสิทธิ์เมื่อสักครู่ ผมกรีดเลือดออกมาก็เป็นสีฟ้า ไม่มีสีอื่นเลย แล้วตลอดระยะเวลาที่ผมอยู่ในประชาธิปัตย์ ก็ยึดหลักการ และอุดมการณ์ของพรรคประชาธิปัตย์ไม่เคยเปลี่ยนแปลง และเป็นคนเคร่งครัดในหลักการด้วยซ้ำ ก็เรียนท่านหัวหน้าอภิสิทธิ์ 

แล้วเมื่อผมมาเป็นรัฐมนตรี พรรคให้โอกาส ผมยืนยันเรื่องความซื่อสัตย์ สุจริต กล้าพูดนะครับว่า ผมไม่มีมลทินเรื่องนี้ ผมเป็นคนหนึ่งที่เวลาที่ผมอยู่กระทรวงเกษตรฯ ผมกล้าท้าข้าราชการให้ตรวจสอบผมอีกครับ เพราะว่าผมไม่ได้ไปในนามของตระกูลศรีอ่อน ผมไปในนามพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งติดตัวผม 

แล้ววันนี้ก็เช่นเดียวกัน เมื่อวานผมก็สัมภาษณ์ไป บอกวันนี้ถึงผมจะมีแต่วิญญาณแต่ผมยังมีความสำนึกในพระคุณ ในทุกอย่างที่เป็นประชาธิปัตย์ ที่ทำให้ผมมีโอกาสมายืนวันนี้ ผมเรียนท่านสั้นๆ ว่าผมมีความจำเป็นครับ และผมก็อยากจะเห็นพรรคเดินไปข้างหน้า

ผมจะทำทุกอย่างให้พรรคมีเอกภาพ ผมจะทำให้พรรคซึ่งมีอยู่แล้วนี้ ยึดมั่นในหลักการ และอุดมการณ์ของพรรคประชาธิปัตย์ และที่สำคัญเมื่อสักครู่ที่ผมคุยกับท่านหัวหน้าอภิสิทธิ์ก็คือ ผมยืนยันกับหัวหน้าอภิสิทธิ์ว่า พรรคประชาธิปัตย์ไม่เคยเป็นพรรคอะไหล่ ไม่ใช่ว่าเราจะไม่เป็นนะครับ เราไม่เคยเป็นตลอดระยะเวลา 22 ปี ที่ผมอยู่ประชาธิปัตย์ เราไม่เคยเป็นพรรคอะไหล่ หลายสิ่งหลายอย่างที่ผ่านมา มันอาจจะทำให้การเมืองของพรรคสะดุด ผมก็จะพยายามทำทุกอย่าง เหมือนที่ผมบอกละครับว่า ผมมาทำงานในภารกิจหนึ่ง ผมจะพยายามทำตรงนี้ให้ดีที่สุด จะพยายามทำให้เป็นเอกภาพ และทำให้ดีที่สุดและจะไม่มีวันทำลายหลักการ และอุดมการณ์ของพรรคประชาธิปัตย์ ขอบคุณมากครับ" นายเฉลิมชัย กล่าว

จากนั้นในเวลา 13.31 น. ที่ประชุมได้ลงมติเลือกนายเฉลิมชัย เป็นหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์คนที่ 9 ด้วยคะแนน 88.5 เปอร์เซ็นต์โดยที่ประชุมมีองค์ประชุม 260 คน

‘นายกฯ’ ไม่เห็นด้วยขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 2-16 บาท ลั่น!! ซื้อไข่ลูกนึงยังไม่ได้ เล็งคุยทบทวนใหม่

(9 ธ.ค.66) ที่ศูนย์ประสานงานพรรคเพื่อไทย อ.ท่ามะกา จ.กาญจนบุรี นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง ให้สัมภาษณ์ถึงกรณี คณะกรรมการไตรภาคี มีมติปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำทั่วประเทศ 2-16 บาท ว่า ค่าแรงขั้นต่ำของเราไม่ได้ขึ้นมานานมาก ขึ้นมาน้อยมาก ขณะที่ค่าครองชีพสูงขึ้นทุกวัน โดยรัฐบาลพยายามทำหลายวิธี ที่จะให้ ลดค่าใช้จ่าย ค่าไฟฟ้า ค่าน้ำมัน พักหนี้เกษตรกร และอีกหลายอย่างเพื่อช่วยเหลือบรรเทา ความทุกข์ของประชาชน รวมไปถึงการแก้ไขหนี้นอกระบบ และหนี้ในระบบ รัฐบาลพยายามทำอยู่ เพื่อลดค่าใช้จ่าย ขณะที่เรื่องของการเพิ่มรายได้ก็สำคัญ โดยประชาชนหลายสิบล้านคน ต้องพึ่งค่าแรงขั้นต่ำจำนวนมาก บางจังหวัดขึ้นแค่ 7-12 บาทเท่านั้นซึ่งน้อยเกินไป ทั้งที่รัฐบาลพยายามที่จะยกระดับ ให้ประเทศไทยมีอุตสาหกรรมไฮเทค ประชาชนมีรายได้สูงขึ้น

ตนเดินทางไปต่างประเทศเพื่อที่จะดึงบริษัทใหญ่มาลงทุนในไทย ไปเปิดตลาดค้าขายใหม่ในต่างประเทศ ที่ไทยยังไม่มีสนธิสัญญาทางการค้า สิ่งเหล่านี้รัฐบาลพยายามทำอย่างเต็มที่แต่ผู้ประกอบการหรือนายจ้าง ต้องขอวิงวอนและขออ้อนวอน ว่าพี่น้องแรงงาน คือผู้ที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด เมื่อมีค่าใช้จ่ายที่เพิ่มมากขึ้น อีกทางหนึ่งรัฐบาลพยายามทำทุกทาง แต่การขึ้นรายได้ ผู้ประกอบการต้องพยายามทำ ไม่ใช่มากดค่าจ้าง แล้วนายจ้างไม่ได้พัฒนา กิจการของตัวเองเลย ผู้ประกอบการต้องพัฒนาตัวเอง เพราะปัจจุบันนายจ้างก็ได้ประโยชน์ จากการลดค่าไฟ ค่าน้ำมันและอีกหลายอย่าง ตามมาตรการของรัฐบาล วันนี้เราจะยอม ให้แรงงานประชาชนคนไทย ต่ำติดดินแบบนี้หรือ ประเทศที่ใกล้เคียงกับไทยเช่นสิงคโปร์หรือเกาหลี สิงคโปร์ค่าแรงขั้นต่ำต่อวัน 1,000 บาท เราจะยอมให้พี่น้องประชาชนของเราเป็นพลเมืองชั้น 2 ชั้น 3 ของโลกหรือในเมื่อค่าแรงขั้นต่ำติดดินขนาดนี้ เมื่อรัฐบาลพยายามยกระดับภาคอุตสาหกรรม และผู้ประกอบการ ก็ควรที่จะทำไปพร้อมๆกัน ถ้าทำเพียงฝ่าย เดียวเป็นไปไม่ได้

ผู้สื่อข่าวถามว่าในเรื่องค่าแรงจะมีโอกาสทบทวนใหม่หรือไม่นายเศรษฐากล่าวว่า ต้องขอทบทวนใหม่ เดี๋ยวจะต้องไปพิจารณาดูถึงแนวทางความเหมาะสมเพราะเพิ่งทราบข่าวเรื่องนี้ แต่คงไม่ใช่การสั่งการ แต่เป็นการพูดคุยร่วมกัน เราต้องพูดถึงองค์รวมของเศรษฐกิจ และการทำธุรกิจ ไม่ใช่แค่ขึ้นค่าใช้จ่ายให้ผู้ประกอบการหรือนายจ้างอย่างเดียว แต่ยังมีการเพิ่มรายได้เปิดตลาดที่มากขึ้น ที่ผ่านมาผู้ประกอบการหรือนายจ้างก็ได้ประโยชน์ไปแล้ว ถึงเวลาต้องคืนให้กับคนที่เป็นกำลังสำคัญ ในภาคผลิตด้วยหรือเปล่า พอพ้นจากวันหยุดก็จะมีการเรียกคุยกับผู้ที่เกี่ยวข้อง เชื่อว่าเรื่องนี้ทุกคนมีความกังวลหมด ขอให้คิดถึงใจเขาใจเรา

เมื่อถามย้ำว่าในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ไม่ได้รับการปรับขึ้น มานานแต่ขณะนี้ปรับเพียงแค่ 2 บาทจะมีการพิจารณาใหม่หรือไม่ นายเศรษฐากล่าวว่า ตนก็คิดอย่างนั้นเหมือนกัน เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ได้คุยกับนายกรัฐมนตรีมาเลเซียได้พูดคุยกันเรื่องนิคมอุตสาหกรรม การพัฒนาท่องเที่ยว การเปิดด่านสะเดา มีการลงทุนสร้างสะพานไปยังมาเลเซีย สิ่งเหล่านี้เป็นการสร้างความมั่นใจให้ผู้ประกอบการ แต่ไม่เข้าใจว่าทำไม ถึงขึ้นแค่ 2-3 บาท ยอมรับว่าตนไม่สบายใจ ถึงอยากใช้เวทีนี้สื่อสาร ไปถึง และขอความเป็นธรรมให้กับพี่น้องแรงงาน ไม่อย่างนั้นจะติดกับรายได้ต่ำ ต้องคุยทั้งกับไตรภาคี และในครม.เพราะเรื่องค่าแรงขั้นต่ำเป็นนโยบายหลักของรัฐบาล

ผู้สื่อข่าวถามว่า การปรับขึ้นค่าแรงที่เป็นธรรมควรจะอยู่ที่ตัวเลขเท่าไหร่ นายเศรษฐากล่าวว่า ต้องขึ้นไปสูงกว่านี้ โดยจะต้องฟังเหตุผล ของเขาเหมือนกัน อย่างที่บอก 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ขึ้น 2-3 บาท ซื้อไข่ลูกหนึ่งยังไม่ได้ เมื่อถามย้ำว่าผู้ประกอบการจะอ้างเรื่อง ผลประกอบการไม่ดีเพราะสภาพเศรษฐกิจในช่วงที่ผ่านมา นายกกล่าวว่า รัฐบาลก็พยายามช่วยอยู่ โดยเฉพาะการลดค่าไฟที่ภาคอุตสาหกรรม ได้ประโยชน์ จากที่ 4.50 บาทต่อหน่วย ลดมาเหลือ 3.99 ดังนั้นขอให้คืนกับประชาชนบ้าง ขอย้ำว่ารัฐบาลนี้ให้ความสำคัญกับเรื่องเศรษฐกิจเป็นหลักอยู่แล้ว 

เมื่อถามว่าหากมีการปรับเพิ่มขึ้นจำนวนมากอาจจะมีปัญหาเรื่องของการย้ายฐานผลิตออกจากประเทศไทย นายเศรษฐากล่าวว่า ไม่มีหรอกครับอันนี้เป็นวาทกรรม ไม่มีใครย้ายเพราะค่าแรงขึ้น จาก 300 เป็น 400 บาทไม่มีหรอก รัฐบาลยังมี มาตรการส่งเสริมด้านภาษี มีระบบสาธารณสุขที่ดี สถานศึกษาก็ดี โครงสร้างพื้นฐานและสนามบินก็ดี ท่าเรือน้ำลึกก็มี ที่ตนเดินทางไปต่างประเทศก็ได้เซ็น MOU กับหลายบริษัทใหญ่ๆ ทั้งโรงงานรถยนต์ไฟฟ้าหรือ EV ถ้าผู้ประกอบการไม่ช่วยกันก็ไปลำบาก

เมื่อถามว่า รัฐบาลจะพยายามทำให้ได้ถึง 400 บาทตามนโยบายที่รัฐบาลได้ประกาศไว้หรือไม่ นายเศรษฐากล่าวว่า ต้องดูตามความเหมาะสม ในจังหวัดใหญ่อาจจะได้ถึง 400 แต่จังหวัดเล็กอาจจะไม่ถึง ต้องดูความเหมาะสม ขอย้ำว่าสิ่งต่างๆ ที่รัฐบาลพยายามทำเพื่อให้ นายจ้างสามารถส่งสินค้าออกไปได้และยังอำนวยความสะดวก เพื่อลดค่าใช้จ่าย ให้ผู้ประกอบการ

เมื่อถามว่านายกจะสื่อสารไปยังผู้ใช้แรงงานอย่างไรเพื่อไม่ให้ออกมาเคลื่อนไหว นายเศรษฐากล่าวว่า รัฐบาลให้ความสำคัญกับเรื่องนี้และประกาศชัดเจนว่าไม่เห็นด้วย ขอให้ผู้ใช้แรงงาน ดูการกระทำ ว่าตนมีความจริงใจขนาดไหนอย่างไร เราให้ความสำคัญสูงสุด การที่ตนไปพูดที่หอการค้าไทย ขอให้ฟังดูว่าเขาดีใจหรือไม่ที่รัฐบาลขับเคลื่อนเศรษฐกิจ เช่นเดียวกับสภาอุตสาหกรรม รัฐบาลพยายามสร้างความมั่นใจให้ต่างชาติเข้ามาลงทุน และเข้ามาอยู่ในประเทศไทยง่ายและปลอดภัยขึ้น ทั้งหมดเพื่อสร้างความมั่นใจ

"วันนี้ผมไม่ได้มาหาเสียง เพราะการหาเสียงจบไปแล้วแต่เราพูดถึงความเป็นจริงว่าชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน ต้องได้รับการดูแลควบคู่กันไปด้วย ขออ้อนวอนไปถึงนายจ้างให้ความเป็นธรรมกับผู้ใช้แรงงานด้วย"

ผู้สื่อข่าวถามว่าหากมีการนำเสนอเรื่องเข้าสู่ที่ประชุมครม. จะพิจารณาอย่างไร นายกกล่าวว่า ต้องดูว่ามีความจำเป็นว่าจะเสนอเข้ามาหรือไม่ ถ้าเสนอเข้ามา ตนไม่ยินยอมไม่เห็นด้วย แน่นอน ตนเชื่อว่า นโยบายค่าแรงขั้นต่ำเราดูที่ความเหมาะสม เราเป็นนโยบายหลักของรัฐบาลนี้ หลายประเทศ ค่าแรงขั้นต่ำเขามากกว่านี้ วันนี้เราชนะสิงคโปร์ในแง่ดึงดูดนักลงทุน บริษัทใหญ่เข้ามาสร้าง Data Center เป็น เป็นนิมิตใหม่อันดีว่าประเทศเรามีศักยภาพสูง แต่ทำไมจึงไปกดผู้ใช้แรงงานที่จะมาช่วยพัฒนาประเทศ

เมื่อถามว่านายกรัฐมนตรี รู้สึกเหมือนมีความฉุนเฉียวที่พูดถึงเรื่องนี้ นายเศรษฐากล่าวว่า ไม่เกี่ยวกับฉุน เพราะการที่เป็นนายกรัฐมนตรีต้องดูแลประชาชน 60 ล้านคน ไม่ใช่ดูแลแค่มาเอาคะแนนเสียง กับผู้ใช้แรงงานอย่างเดียว แต่นายจ้างและผู้ประกอบการ ก็ไปรับฟังความเห็นตลอด และพร้อมจะช่วยเหลือ สิ่งเหล่านี้ค่อนข้างเป็นรูปธรรมอยู่แล้ว

‘เศรษฐา’ บุกกาญจนบุรี ยกคณะฟังเสียงประชาชน ท่ามกลางชาวบ้านชูป้ายต้อนรับ - หนุนเงินดิจิทัล

(9 ธ.ค.66) นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง ลงพื้นที่ตรวจราชการจังหวัดกาญจนบุรี โดยจุดแรกที่ศูนย์ประสานงานอำเภอท่ามะกา ต.ตะคร้ำเอน อ.ท่ามะกา จ.กาญจนบุรี เพื่อพบปะประชาชนชาวกาญจนบุรี โดยมี นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรมว.มหาดไทย นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รมว.คมนาคม น.ส.พิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รมว.อุตสาหกรรม ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รมว.เกษตรและสหกรณ์ นายสุรพงษ์ ปิยะโชติ รมช.คมนาคม ในฐานะอดีตนายก อบจ.กาญจนบุรี เจ้าของพื้นที่เก่า และสส.กาญจนบุรี ให้การต้อนรับ ได้แก่ นายอัครนันท์​ กัณณ์กิตตินันท์ สส.เขต 1 พรรคเพื่อไทย​ นายชูศักดิ์​ แม้นทิม สส.เขต 2 พรรคเพื่อไทย นายยศวัฒน์​ มาไพศาลสิน​ สส.เขต 3 พรรคภูมิใจไทย นายศักดิ์ดา วิเชียรศิลป์​ สส.เขต 4 พรรคเพื่อไทย​ และ นายพนม​ โพธิ์แก้ว​ สส.​เขต 5 พรรคเพื่อไทย

รวมถึงประชาชนที่มาต้อนรับพร้อมถือป้ายขอสนับสนุนเงินดิจิทัล ข้อความ ยินดีต้อนรับท่านนายกฯ ชาวกาญจน์รักนายกฯ นิด, เงินดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท รออยู่นะคะท่าน ขณะที่บางส่วนเขียนข้อความที่เป็นนโยบายที่พรรคเพื่อไทยเคยประกาศไว้กับประชาชน 8 เรื่อง โดยทันทีที่นายกฯ มาถึงได้เดินทักทายประชาชนที่มาให้กำลังใจและมอบดอกกุหลาบให้

จากนั้นนายกฯ กล่าวกับประชาชน ว่า ยินดีมากที่ได้กลับมา จ.กาญจนบุรี อีกครั้ง หลังจากการเลือกตั้งผ่านไปแล้ว ทั้งนี้ตลอดระยะเวลาประมาณ 3 เดือน ที่จะครบในวันมะรืนนี้ที่รัฐบาลเข้ามาบริหาร พบว่าบ้านเมืองเรามีปัญหาเยอะ แต่เรามีรัฐมนตรีและทีมงานที่พร้อมจะรับใช้ประชาชนอย่างเต็มที่เสียงสะท้อน เสียงเรียกร้อง เสียงวิงวอนตอนที่มาเลือกตั้ง ไม่ว่าจะเป็นพรรคไหนที่มาที่นี่เสียงก็เป็นเหมือนกันหมดคือเรื่องของปากท้อง เรื่องปัญหาหนี้สิน ปัญหายาเสพติด พื้นที่ทำกิน ราคาเกษตร การค้าขายระหว่างพรมแดนทั้งหลาย รัฐบาลนี้ไม่ได้นิ่งนอนใจ

นายกฯ กล่าวว่า เรื่องของหนี้สิน เมื่อวันที่ 8 ธ.ค. ตนและ นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.มหาดไทย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ประกาศเป็นวาระแห่งชาติหนี้นอกระบบต้องหมดไป จะเป็นการทำงานร่วมกันอย่างบูรณาการ มีการเซ็ตเป้าหมายที่ชัดเจนระหว่างนายอำเภอกับผู้กำกับทุกจังหวัด เมื่อมีเสียงเรียกร้องหรือมีปัญหากับการถูกเรียกทวงหนี้อย่างไม่เป็นธรรม ไม่ว่าจะเป็นแก๊งมอเตอร์ไซค์ หมวกกันน็อก ออนไลน์ หรือการข่มขู่เจ้าหน้าที่ เราทุกคนพร้อมที่จะให้บริการกับพี่น้องประชาชน ฉะนั้นอย่ากลัว ให้เดินออกมาพูดคุยกัน รัฐบาลให้ความเป็นธรรมและคุ้มครองเจ้าหนี้และลูกหนี้ที่ทุกอย่างจะต้องถูกต้องเป็นไปตามกฎหมาย บ้านเมืองมีขื่อมีแป เราไม่ยอมรับการรีดไถที่ไม่ถูกต้องและไม่เป็นธรรม เรื่องนี้รัฐบาลให้ความสำคัญสูงสุด

นายกฯ กล่าวว่า ส่วนเรื่องปัญหายาเสพติด เรามาพูดกันที่นี่ไปแล้วเมื่อตอนเลือกตั้งว่าเป็นปัญหาที่กัดกร่อนสังคมไทยมานานมาก เรื่องของวงจรการค้ายาเสพติด ไม่ว่าจะจากชายแดน เราได้มีการบริหารจัดการโดยแต่งตั้งข้าราชการระดับสูงเข้ามาจัดการประสานงานกับกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร ฝ่ายความมั่นคง ตำรวจ และพื้นที่ ซึ่งเราให้ความสำคัญสูงสุด เรื่องยาบ้าเป็นเรื่องใหญ่ที่สุด เรื่องการ ทำลายสมัยก่อนใช้เวลานาน แต่คราวนี้เร่งรัดวงจรในการทำลาย จับได้พิสูจน์ทราบทำลายทันทีเพื่อไม่ให้เป็นที่สงสัยของสังคม

นายกฯ กล่าวอีกว่า เรื่องการค้าการลงทุนยกระดับความเป็นอยู่ของพี่น้องเป็นที่ประจักษ์ดีรัฐบาลนี้ทำงานอย่างเข้มแข็ง มีการเดินทางไปต่างประเทศ ไปเปิดการค้าระหว่างประเทศ ดึงนักลงทุนจากต่างประเทศเข้ามาเพื่อยกระดับชีวิตความเป็นอยู่พี่น้องประชาชน ทำให้ภาคอุตสาหกรรมไทยเข้มแข็งขึ้น และเมื่อวันที่ 8 ธันวาคม

“มีเรื่องที่ทำให้ผมไม่สบายใจคือเรื่องค่าแรงขั้นต่ำ เชื่อว่าพี่น้องหลายคนเป็นห่วงอยู่ตรงนี้ โดยความเห็นส่วนตัวและถือเป็นนโยบายหลักของรัฐบาลนี้ในเรื่องค่าแรงขั้นต่ำจะต้องถูกยกระดับขึ้นมา เรายอมรับไม่ได้ที่มีการประกาศกันเมื่อวันที่ 8 ธันวาคม เดี๋ยวคงจะต้องมีการพูดคุยกันในเวทีที่เหมาะสม โดยใช้เหตุผลคุยกันตรงนี้ เป็นเรื่องที่เรายอมรับไม่ได้และต้องแก้ไขกันต่อไป” นายเศรษฐา กล่าว

นายเศรษฐา กล่าวว่า วันนี้ถือเป็นโอกาสดีที่หลังจากการเลือกตั้งยังไม่มีรัฐมนตรีหรือนายกรัฐมนตรีมาเยี่ยมเยียนที่จังหวัดกาญจนบุรีเลย จึงถือเป็นมิติใหม่หลังจากได้รับความไว้วางใจจากพี่น้องให้เข้ามาบริหาร และเดินทางมารับฟังพูดคุยปัญหาที่พี่น้องทุกคนมีอยู่วันนี้พร้อมมีรัฐมนตรีมาหลายคน ฝากการสื่อสารเข้ามาด้วยว่าอยากให้เราทำอะไรบ้าง ขอให้ความมั่นใจว่ารัฐบาลนี้พร้อมและทำงานอย่างเต็มที่

‘สามารถ’ นับถือใจ ‘เฉลิมชัย’ รับตำแหน่งหัวหน้าพรรค ปชป. ขออย่ามองเป็นการตระบัดสัตย์ พร้อมยกประวัติศาสตร์เป็นตัวอย่าง

(10 ธ.ค. 66) นายสามารถ เจนชัยจิตรวนิช อดีตผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ‘สามารถ เจนชัยจิตรวนิช’ ระบุว่า…

‘สามารถ’ นับถือใจ ‘เฉลิมชัย’ รับตำแหน่ง หน.ปชป. อย่ามองเป็นตระบัดสัตย์ หยิบยกประวัติศาสตร์มีให้เห็นในอดีต ยกย่องยอมเสียสละเพื่อส่วนรวม

นายสามารถ เจนชัยจิตรวนิช อดีตผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม แสดงความยินดีกับนายเฉลิมชัย ศรีอ่อน ภายหลังที่ประชุมใหญ่ของพรรคประชาธิปัตย์ มีมติเห็นชอบให้นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รักษาการเลขาธิการพรรค และอดีต สส. จากจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ 4 สมัย ขึ้นเป็นหัวหน้าพรรค คนที่ 9 ด้วยคะแนน 88.5% จากองค์ประชุมทั้งหมด โดยนายสามารถ กล่าวว่า…

“เมื่อเช้าได้เอาพวงมาลัยไปกราบ พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ เนื่องในโอกาสคล้ายวันพ่อที่ผ่านมา ซึ่งปีนี้เป็นปีที่ 5 ที่ผมทำติดต่อกัน พอช่วงเที่ยงจึงมีโอกาสได้ร่วมรับประทานอาหาร กับเพื่อน สส. ที่โรงแรมมิราเคิล รวมทั้งนายร่มธรรม ขำนุรักษ์ ลูกชายของนายนริศ ขำนุรักษ์, นายปรพล อดิเรกสาร และนายสมเกียรติ กอไพศาล เลขาส่วนตัวของนายเฉลิมชัย ซึ่งต่างก็ดีใจอย่างล้นหลามกับการรับตำแหน่งหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ครั้งนี้ ฉะนั้น ผมว่าทุกคนควรนับถือน้ำใจของนายเฉลิมชัย ที่เอาปัญหาและภาระของส่วนรวมมาไว้ที่ตัวเอง เพราะแม้เจ้าตัวเคยประกาศจะไม่รับตำแหน่ง หากพรรคประชาธิปัตย์ได้ไม่ถึง 50 เสียงแล้วในครั้งนั้น แต่จากการประชุมของพรรค ที่องค์ประชุมไม่ครบ ทำให้ต้องล่มมาตลอด 2ครั้งก่อนหน้านี้”

หากครั้งนี้ นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน ไม่รับตำแหน่ง พรรคประชาธิปัตย์อาจถูกยื่นยุบพรรคอย่างแน่นอน เนื่องจากจัดประชุมพรรคไม่ได้ภายใน 1 ปีตามกฏหมาย

อีกทั้ง 4 ปีที่ผ่านมา นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน ถือว่าเป็นปูชนียบุคคล ที่ทำงานหนักในตำแหน่งเลขาธิการพรรคและรักษาการเลขาพรรคมาโดยตลอด ดังนั้น ไม่ควรมองว่าเป็นการ ‘ตระบัดสัตย์’ แต่ให้มองว่าทำเพื่อส่วนรวม ซึ่งในอดีตก็เคยเกิด ย้อนไปสมัยกรุงศรีอยุธยา ที่พระเจ้าเอกทัศน์ ไปขอให้น้องชายพระเจ้าอุทุมพรที่ยอมสละตำแหน่งออกบวชเป็นพระ แล้วให้มาช่วยเป็นกษัตริย์ออกรบ พระเจ้าอุทุมพรก็ยังยอมลาสิขาเพื่อมาเป็นแม่ทัพขับไล่พม่าเพื่อประชาชน นับประสาอะไรกับนายเฉลิมชัยคนธรรมดา หากไม่รับตำแหน่ง ไม่ใช่แค่พรรคที่จะถูกยุบ รวมไปถึงไม่ใช่แค่สมาชิกพรรคเท่านั้นที่จะลาออก แต่จะมี สส.ออกจากพรรค และพรรคจะถูกยุบอย่างแน่นอน

ดังนั้น ผมจึงเทียบเคียงกับกรณี พระเจ้าเอกทัศน์ไปขอให้น้องชายมาช่วยเป็นกษัตริย์ น้องชายที่เคยสละราชสมบัติไปแล้ว ลาทางโลกไปแล้วทั้งยังบวชเป็นพระ แต่ยังต้องยอมลาสิกขา มาเป็นกษัตริย์เป็นคนนำทัพไล่พม่าให้พ้นขอบขัณฑสีมา ในเมื่อขนาดมีวลีว่า กษัตริย์ตรัสแล้วไม่คืนคำ แต่ถ้ากษัตริย์ต้องทำเพื่อไพร่ฟ้าประชาชน ณ เวลานั้น ก็ยอม นับประสาอะไร กับพี่ต่อเฉลิมชัย ศรีอ่อน ที่เป็นประชาชนคนธรรมดา วันนี้ถ้าท่านไม่รับตำแหน่งหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ พรรคแตก แตกคือ ส.ส. ไม่ใช่แค่ สมาชิกพรรคที่เดินออกแต่ จะเป็น ส.ส.ที่เดินออกจากพรรค แล้วนายเฉลิมชัย จะปล่อยให้พรรคถูกยุบ ก็เปรียบเสมือนให้บ้านที่อยู่อาศัยถูกไฟไหม้ได้อย่างไร สมมุติถ้าวันนี้ประชุมไม่ได้ แล้วมีคนไปร้องยุบพรรค พรรคประชาธิปัตย์ไม่มีเลยน่ะครับ ฉะนั้น ที่มีคนเคยบอกว่าพรรค ปชป. มีประวัติศาตร์ยาวนาน 70 กว่าปี มันก็จะเหลือศูนย์ในทันที” นายสามารถ กล่าว

นายสามารถ กล่าวด้วยว่า ตนพูดในฐานะที่เคยเลือกพรรคประชาธิปัตย์ ที่เคยชื่นชอบการอภิปราย สส.หลายคนในอดีต และคาดหวังในอนาคตทางการเมืองของพรรค ปชป. เมื่อมีนายเฉลิมชัย เป็นหัวหน้าแล้ว ก็คงต้องเป็นที่พึ่งของชาวบ้าน ในวันนี้ยังไม่ได้ร่วมรัฐบาล ก็ต้องทำหน้าที่ตรวจสอบรัฐบาลอย่างเข้มแข็ง เหมือนอุดมการณ์ของพรรคประชาธิปัตย์ที่ยึดถือมาหลายสิบปี และหากมองภาพเปรียบเทียบแล้วอดีตพรรคประชาธิปัตย์ ก็คือพรรคก้าวไกลในปัจจุบัน เพราะพรรคประชาธิปัตย์เคยทำได้ถึง 18 ล้านกว่าคะแนน มากกว่าพรรคก้าวไกลที่ทำได้เพียง 14 ล้านคะแนน หากพรรคประชาธิปัตย์ยึดมั่นทำในสิ่งที่ประชาชนต้องการ สิ่งที่ประชาชนคาดหวัง ตนมั่นใจว่า 18 ล้านคะแนนนั้นจะกลับมาอย่างแน่นอน

“ขอให้คนที่แพ้เปิดใจให้กว้าง ถ้าไม่ชอบใจก็ย้ายพรรค การเมืองไม่มีอะไรซับซ้อน ดังเช่น ต้นไม้จะเติบโตอย่างเต็มที่ ถ้าอยู่ในที่ที่ดี ทั้งนี้ ขอแสดงความยินดีกับ นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน ตลอดจนกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ทุกคน” นายสามารถ กล่าวทิ้งท้าย


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top