Sunday, 29 June 2025
Politics

‘สุวินัย’ ชี้!! ‘เพื่อไทย’ อยู่ในสถานะได้เปรียบ ‘ก้าวไกล’ ทุกประตู เชื่อ!! หากจับมือ ‘ขั้วรัฐบาลเดิม’ จะเป็นผลดีในระยะยาว

เมื่อวานนี้ (15 ก.ค. 66) ดร.สุวินัย ภรณวลัย นักเขียน นักวิชาการสถาบันทิศทางไทยและผู้บำเพ็ญในวิถีบูรณาการ ได้ออกมาโพสต์ผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ‘Suvinai Pornavalai’ โดยระบุว่า…

‘เศรษฐา’ : ว่าที่นายกรัฐมนตรีคนที่ 30 จากเพื่อไทย?

ข้อมูลล่าสุดที่ผมทราบจาก ‘แหล่งข่าว’ จากพรรคเพื่อไทย คือ
1.) คุณอุ๊งอิ๊ง ยังไม่พร้อมที่จะเป็นนายกรัฐมนตรีในสถานการณ์นี้ และครอบครัว คุณทักษิณก็เห็นตรงกัน
2.) แต่คุณเศรษฐาเองก็ไม่ได้เป็นที่พอใจของคนในพรรคเพื่อไทยนัก แถมเจ้าตัวยังไม่มี สส.ในมือเลยสักคนเดียว นี่ยังไม่นับเรื่องทุกครั้งคุณเศรษฐาที่ออกมาพูดจะดึงเรตติ้งของพรรคตกเสมอ
3.) ถึงกระนั้นพรรค​เพื่อไทยก็จำเป็นต้องเสนอชื่อ​ ‘เศรษฐา’ แต่เจ้าตัวกลับมีเงื่อนไขว่า ถ้าเป็นเขาจะต้องมี ‘ก้าวไกล’​ ร่วมรัฐบาลด้วย ซึ่งสอดคล้องกับข้อเสนอของจตุพร พรหมพันธุ์ (แต่ล่าสุดเขาออกมาปฏิเสธข่าวลือนี้ทางทวิตเตอร์แล้ว)

ทางเลือกของพรรคก้าวไกล ตามทฤษฎีเกม

- ถ้ายังยืนกรานจะชูพิธาเป็นนายกฯ อีกครั้งในวันที่ 19 กรกฎาคม ผลลัพธ์น่าจะเหมือนเดิม มิหนำซ้ำคะแนนที่โหวตให้น่าจะน้อยลงกว่าครั้งก่อนแน่นอน ดีไม่ดีพรรคเพื่อไทยอาจจะไม่โหวตให้ด้วยซ้ำ

- แต่ถ้าพรรคก้าวไกลประกาศว่าจะขอเป็นฝ่ายค้าน พรรคเพื่อไทยจะชิงเสนอชื่อ ‘เศรษฐา’ เป็นนายกฯ ค่อนข้างแน่ แต่จะจับขั้วกับพรรคไหนเพื่อตั้งรัฐบาล อันนั้นยังไม่แน่

แต่มีแนวโน้มว่าเพื่อไทยไม่อยากจับมือกับก้าวไกลตั้งรัฐบาล เพราะก้าวไกลยังยืนกรานเป็นกระต่ายขาเดียวว่า จะชูนโยบายแก้ ม. 112 เป็นนโยบายหลักของพรรค ซึ่งอาจทำให้เหล่า สว.ไม่โหวตให้เศรษฐาเป็นนายกฯ ถ้าเศรษฐายังยืนกรานว่าจะดึงก้าวไกลมาร่วมรัฐบาลด้วย

- พรรคก้าวไกลเป็นฝ่ายเสนอ ‘เศรษฐา’ เป็นนายกฯ เสียเอง ความเป็นไปได้ค่อนข้างต่ำ ถ้าพิจารณาจากอัตตาและตัวตนของก้าวไกลที่เป็นประเภท ‘ยอมหักไม่ยอมงอ’

‘หมากมือนำ’ ของพรรคเพื่อไทย

- ตอนนี้พรรคเพื่อไทยอยู่ในสถานะที่ ‘ได้เปรียบ’ พรรคก้าวไกลทุกประตู แถมยังถือ ‘หมากมือนำ’ ในการกำหนดเกมอำนาจ เพื่อจัดสรรผลประโยชน์ในระยะยาวต่อจากนี้ได้ พร้อมกับ ‘ทางเลือกทางการเมือง’ มากมาย

- พรรคเพื่อไทยรู้แก่ใจตนเองดีที่สุดว่า พรรคก้าวไกลคือคู่แข่งคนสำคัญที่สุดของตน และน่าจะเป็น ‘ว่าที่ศัตรูหลักในอนาคต’ ของพรรคเพื่อไทยด้วย การเดิน ‘หมากมือนำ’ ของพรรคเพื่อไทย จึงควรเป็นการเดินหมากที่ทำให้พรรคก้าวไกลกลายเป็นฝ่ายค้านและฝ่ายแค้น รวมทั้ง ‘ทำลายพิษสง’ ของพรรคก้าวไกลไปพร้อม ๆ กัน

- ม็อบด้อมส้มที่จะลงถนนเพื่อต่อต้าน ‘รัฐบาลพรรคเพื่อไทย’ ที่กำลังจะเกิดขึ้น พรรคเพื่อไทยน่าจะไม่รู้สึกหนักใจหรือวิตกกังวลเลยแม้แต่น้อย เพราะในอดีตเพื่อไทยเคยเจอทั้งม็อบพันธมิตรฯ และม็อบกปปส. มาแล้ว ซึ่งทั้งอึดกว่าและทรงพลังกว่าม็อบด้อมส้มมาก

- เมื่อเป็นเช่นนั้น ‘การร่วมจับมือกับขั้วรัฐบาลเดิม’ น่าจะเป็นผลดีกับพรรคเพื่อไทยในระยะยาวมากกว่า ในแง่การทำงานบริหารประเทศ ที่พูดภาษาเดียวกันรู้เรื่องทางการเมือง

- ขณะที่พรรคก้าวไกลจะกลายมาเป็นพรรคฝ่ายค้านที่ทรงพลังในรัฐสภาอย่างแน่นอน ในการตรวจสอบการทำงานของรัฐบาลพรรคเพื่อไทย

ข้างต้น เป็นบทวิเคราะห์ของผม ถูกผิดประการใด ผมขอน้อมรับคำชี้แนะด้วยจิตคารวะ

‘รศ.ดร.เจษฎ์’ ชี้ ควรให้ระบบรัฐสภาจัดระเบียบโหวตนายกฯ ลั่น!! อยากเห็น 14 ล้านเสียงที่เลือก ‘ก้าวไกล’ ลงถนน

เมื่อไม่นานนี้ รศ.ดร.เจษฎ์ โทณะวณิก เป็นนักวิชาการทางกฎหมาย และพิธีกรรายการโทรทัศน์เกี่ยวกับประเด็นทางบ้านเมือง สังคม ได้ให้สัมภาษณ์ผ่านรายการ ‘คมชัดลึก’ ทางช่อง Nation online เมื่อวันที่ 12 ก.ค. ที่ผ่านมานั้น รศ.ดร.เจษฎ์ได้กล่าวถึงความคิดเห็นต่อการโหวตนายกรัฐมนตรีในครั้งนี้ โดยเมื่อถามว่า รศ.ดร.เจษฎ์ ว่ามีความคิดเห็นอย่างไร กับการเคลื่อนไหวของมวลชน หลังผลโหวตนายกรัฐมนตรีออกมาว่า นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ไม่ผ่านด่าน ส.ว.ในรอบแรก รศ.ดร.เจษฎ์ ตอบว่า…

“ผมคิดว่า มีความน่าใจ และผมอยากเห็นคนทั้ง 14 ล้านคนที่เลือกคุณพิธา ลงถนนเพื่อสนับสนุนพรรคก้าวไกล และผมก็อยากเห็นคนอีก 27-28 ล้านคน ที่ไม่ได้เลือกพรรคก้าวไกล มาลงถนนด้วยกัน”

รศ.ดร.เจษฎ์ ยังกล่าวต่อว่า หากบอกว่าประชาธิปไตยคือการเดินเข้าสภาฯ คือการไปเลือก คือการ ‘บังคับ’ ให้ ส.ว. ต้องลงมติให้กับพรรคก้าวไกล ซึ่งได้คะแนนเลือกตั้ง 14 ล้านเสียง จากประชาชนที่มาเลือกตั้งกว่า 41-42 ล้านคน การที่ไปรวบรวมเอาคะแนนจากพรรคเพื่อไทยมาด้วย แล้วบอกว่าเป็นคะแนนของตัวเอง ตนก็ยังมีความแปลกใจอยู่ไม่น้อย ว่าสิ่งนี้คือประชาธิปไตยแบบไหน การลงถนนก็ถือเป็นการแสดงออกเชิงประชาธิปไตย ก็ลงถนนได้ และหากจะเรียกร้องเสรีภาพ โดยอ้างว่าต้องการใช้เสรีภาพ การจะด่ากันก็ถือเป็นเสรีภาพนะ การฆ่ากันก็เป็นเสรีภาพ แต่หากพูดในแง่ของกรอบสิทธิมนุษยชน ซึ่งต้องพูดในแง่ของกฎหมาย ก็อาจทำให้เสรีภาพถูกตัดรอนด้วยเสรีภาพซึ่งกันและกันได้

“ถ้าเราใช้คำว่า ‘เสรีภาพ’ มาอ้างในการทำสิ่งต่างๆ อาจได้เกิดการฆ่ากันตายแน่นอน แต่ถ้าหากเรามาพูดในกรอบสิทธิ มันจึงมีหน้าที่เข้ามาด้วย แล้วเรามีหน้าที่อะไรล่ะ? เรามีหน้าที่ต่อประเทศชาติร่วมกัน ถูกไหมครับ ท่านจะเชียร์ 14 ล้านเสียง ก็ช่างของท่าน หรือท่านจะไม่เชียร์ 14 ล้านเสียง ก็ช่างของท่าน แต่ในเมื่อเราต้องอยู่ร่วมกันในประเทศนี้ การที่ท่านเอาความชัง เอาความชอบส่วนตัวมาเป็นที่ตั้ง มันย่อมเป็นปัญหาแน่นอน การกดดันกัน และใช้วิธี ‘บังคับให้เลือก’ อย่างเช่น การบอกว่า พรรคก้าวไกล ได้คะแนน 14 ล้านเสียง แต่จะมามาบังคับให้ทุกคนเลือกตัวเองให้หมด เพราะตัวเองได้คะแนนเสียงมากที่สุด” รศ.ดร.เจษฎ์ กล่าว

รศ.ดร.เจษฎ์ ยังกล่าวถึงกรณีที่พรรคไทยรักไทย เคยได้คะแนนเสียง 377 เสียง แต่สุดท้ายพรรคไทยรักไทยกลับถูกกดดันให้ยุบสภาฯ และเกิดการปฏิวัติ รัฐประหารในที่สุด

“มันดีไหม การปฏิวัติ รัฐประหาร มันไม่ดีหรอก มันไม่ควรทำ ไม่มีใครเห็นชอบหรอก แต่เนื่องจากสาเหตุหลายประการ อย่างในกรณีที่คุณอานนท์ นำภา บอกว่า หากพรรคก้าวไกล ถอยจากมาตรา 112 เมื่อไร ตนจะลุยพรรคก้าวไกลทันที และคนจำนวนหนึ่งก็เห็นด้วย ในขณะที่อีกจำนวนก็บอกว่า หากแตะมาตรา 112 เมื่อไร ก็จะลุยพรรคก้าวไกลเหมือนกัน และหากพรรคก้าวไกลก็ยังดึงดัน ยืนยันที่จะผลักดันให้แก้ไขมาตรา 112 เพราะมีเสียงสนับสนุน… หากสังคมยังอยู่กันแบบนี้ ผมว่าบ้านนี้ก็คงจะมีแต่การสู้กันตาย อาจเกิดสงครามการเมืองแบบสหรัฐอเมริกา หรือเหมือนฝรั่งเศสอย่างที่เห็นๆ กันอยู่ในตอนนี้ เพราะฉะนั้น ผมคิดว่า เราต้องถอยกลับมาที่ระบบรัฐสภา ระบบรัฐสภา คือการหาทางออกร่วมกัน และไม่ได้เป็นการบังคับกัน และตามที่ผมได้เคยบอกไปแล้วว่า ระบบรัฐสภา ที่เอา ส.ส.มาลงมติให้ ส.ส. เป็นระบบสากลที่ทั่วโลกใช้ ตรงนี้ผมไม่เถียง แต่พอเป็นประเทศไทย ซึ่งมีการเกิดคำถามเพิ่มเติมมา แล้วประชาชนก็ไปลงมติ โดยเสียงข้างมากบอกให้มีคำถามเพิ่มเติม มันก็ต้องยอมรับว่านี่คือระบบของประเทศไทย” รศ.ดร.เจษฎ์ กล่าว

นอกจากนี้ รศ.ดร.เจษฎ์ ยังกล่าวต่ออีกว่า หากจะบอกว่าในตอนนั้นไม่สามารถที่จะออกมาผลักดันได้ ว่าให้เห็นต่างในเรื่องของคำถามเพิ่มเติม ให้เห็นต่างในเรื่องของร่างรัฐธรรมนูญ เมื่อคนที่สนับสนุน สามารถพูดได้มากกว่า ตนมองว่า โดยรวมแล้วประชาชนที่ไปใช้สิทธิ เป็นคะแนนบริสุทธิ์มากกว่าด้วยซ้ำไป ประชาชนที่จะเอาแบบนี้ก็จะไปว่าแบบนั้น ประชาชนที่จะเอาแบบนั้นก็จะไปว่าแบบนี้ จนท้ายที่สุด ต้องนำกลับเข้าสู่ระบบรัฐสภา ว่าจะต้องมี ส.ว.มาลงมติด้วย ส่วนเหล่า ส.ว.จะฟังเสียงกดดันหรือไม่ อันนี้ก็ขึ้นอยู่กับตัว ส.ว.เอง หรือเสียงกดดันจะยิ่งทำให้เขาอยากที่จะลงมติอีกแบบหนึ่งก็เป็นได้

“ผมคิดว่าทั้งหมดนี้ หากใช้การลงถนนแล้วบอกว่า จะยกระดับ จะทำให้บ้านเมืองลุกเป็นไฟ จะฆ่ากันตาย แล้วเอามาข่มขู่กัน ผมคิดว่าแบบนี้จะอยู่กันลำบาก และก็ไม่ใช่เพียงแค่ 14 ล้านคน เพราะหาก 14 ล้านคน สามารถลงถนนได้ อีก 27-28 ล้านคนก็ทำได้เช่นกัน มันก็กลายเป็นว่าเกิดการฆ่ากันตายทั้งบ้านทั้งเมือง แล้วทำไปเพื่ออะไร? ทำเพื่อกลุ่มหนึ่งที่อยากได้คุณพิธาเป็นนายกฯ คนอีกกลุ่มหนึ่งบอกว่าไม่อยากได้คุณพิธาเป็นนายกฯ เพียงแค่นี้ก็อาจทำให้บ้านเมืองพังได้” รศ.ดร.เจษฎ์ กล่าว

โดยสรุปแล้ว รศ.ดร.เจษฎ์ มองว่า สมควรให้ระบบรัฐสภามาจัดการในตัวของมันไป หากพรรคอันดับ 1 ไม่ได้ จะสลับอันดับ สลับขั้ว หรือเลือกแคนติเดตใหม่ เพื่อให้ประเทศชาติสามารถเดินกันต่อไปได้ ก็ว่ากันไป ไม่จำเป็นที่จะต้องเอาพลังมวลชนจากท้องถนนมากดดัน

“อีกประเด็นหนึ่งคือ ใครจะชนะก็แล้วแต่ โปรดย่าลืมว่า เมื่อครั้งหนึ่ง ปี 2535 ล้นเกล้ารัชกาลที่ 9 ได้ทรงเตือน พลตรีจําลอง ศรีเมือง และพลเอกสุจินดา คราประยูร ถ้าพวกท่านชนะ บ้านเมืองจะเป็นอย่างไร? ใครจะเป็นคนพ่ายแพ้ ผมมองว่าต้องมานั่งคิดในประเด็นนี้ด้วย จะรักใคร ชังใคร มันก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง” รศ.ดร.เจษฎ์ กล่าวทิ้งท้าย

‘โด่ง อรรถชัย’ ชี้!! แก้ ม.112 ขัดต่อรัฐธรรมนูญ ม.6 ชัดเจน แนะ ‘ก้าวไกล’ หยุดฝืน เพราะไม่มีใครหนุนหลังแน่นอน

(16 ก.ค. 66) นายอรรถชัย อนันตเมฆ นักแสดง พิธีกร นักการเมือง และนักเคลื่อนไหวทางการเมืองชาวไทย อดีตข้าราชการทางการเมือง ตำแหน่งประจำสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ได้ออกมาพูดเกี่ยวกับประเด็นการแก้มาตรา 112 ของพรรคก้าวไกล ซึ่งมีความขัดแย้งต่อรัฐธรรมนูญมาตรา 6 ที่พระมหากษัตริย์ทรงดำรงอยู่ในฐานะอันเป็นที่เคารพสักการะสูงสุด ผู้ใดจะละเมิดมิได้ โดยนายอรรถชัย ได้กล่าวว่า…

“เรื่องการแก้ไขมาตรา 112 หากจะพูดให้เข้าใจโดยทั่วกัน ความจริงคือ มันไม่มีอยู่จริงในรัฐบาลนี้ คุณจะดื้อรั้นดันทุรังสร้างภาพแก้ไขมาตรา 112 ไปเพื่ออะไร? มันไม่มีจริง เพราะถึงแม้วันนี้คุณจะยื่นเข้าไปในสภาฯ ผมขอถามว่ามันขัดรัฐธรรมนูญมาตรา 6 ไหม?” 

นายอรรถชัย ยังกล่าวต่อว่า “หากถามว่าแล้วมันขัดกับมาตรา 6 อย่างไร? มาตรา 6 ถ้าหากจะพูดให้ชัดเจน คือ พระมหากษัตริย์ทรงดำรงอยู่ในฐานะอันเป็นที่เคารพสักการะสูงสุด ผู้ใดจะละเมิดมิได้ หากดูฉบับที่พรรคก้าวไกลจะแก้ไขรัฐธรรมนูญนั้น ซึ่งจะเปลี่ยนสถานะของพระมหากษัตริย์จากเดิมที่เคยอยู่ ‘หมวดความมั่นคง’ มาอยู่ในหมวดของ ‘คนธรรมดา’ อย่าว่าแต่มาตรา 6 เลยครับ จะโดนมาตรา 112 หรือเปล่า? เพราะว่าคุณลดสถานะของพระมหากษัตริย์ ในทางกฎหมายเหมือนเป็นการหมิ่นพระมหากษัตริย์ก็เหมือนกับโทษคนธรรมดา สิ่งนี้เขาตีความได้นะครับ เพราะฉะนั้น ถึงสามารถพูดได้ว่าเรื่องนี้ขัดกับมาตรา 6 อย่างไร อันนี้ผมไม่ได้พูดเข้าข้างใคร แต่ผมพูดตามเนื้อหาของตัวกฎหมาย ไม่ได้พูดตามใจใคร เพียงแค่กลไกทางกฎหมายมันเป็นเช่นนี้”

“เพราะฉะนั้น คุณคิดว่าการแก้ไขมาตรา 112 มันเหมือนกับการแก้ พรบ.เมาแล้วขับหรือครับ? ไม่ใช่นะ เพราะมาตรา 112 เป็นกฎหมายความมั่นคง และเชื่อมโยงรัฐธรรมนูญ ซึ่งถึงแม้จะมีไม่กี่บรรทัดก็จริง แต่คุณคิดว่าการแก้ไขมีแค่การยกมือแล้วก็ผ่าน และถือว่าจบหรือครับ มันต้องแก้กันไปจนถึงมาตรา 6 แล้วมาตรา 6 อยู่ในไหนล่ะ? ก็หมวดพระมหากษัตริย์ไง คุณจะแก้มาตรา 6 แค่ในรัฐบาลนี้ได้ไหม? ผมรับรองว่าไม่มีใครยอมให้คุณแก้ไขหรอกครับ เพราะการที่คุณจะแก้ไขรัฐธรรมนูญ จะต้องใช้เสียงของ ส.ว. ถึงแม้ปีหน้าพวกเขาจะหมดวาระ แต่อย่างไรก็ตาม ส.ส.ในสภาฯ วันนี้ถ้าคุณไปแตะหมวดพระมหากษัตริย์ พรรคภูมิใจไทยเขาว่าอย่างไร หรือแม้แต่ 8 พรรคร่วมรัฐบาล หรือพรรคคุณหญิงหน่อยเขาจะว่าอย่างไร ไม่ต้องพูดถึงพรรคเพื่อไทยนะ พรรคเพื่อไทยเฉย ๆ อยู่แล้ว คุณลองคิดดูนะว่า ถ้าคุณไปแก้หมวดพระมหากษัตริย์ คุณจะได้แนวร่วมสักแค่ไหน มันยิ่งใหญ่จริง ๆ เพราะฉะนั้น คุณแก้ไขมาตรา 6 ไม่ได้ และที่ยื่นมาตรา 112 ไปแก้ในสภาฯ แล้วไม่ผ่านครั้งที่แล้วก็ไม่พูดข้อมูลให้หมด ไปโทษคุณชวน หลีกภัยกันบ้าง และยังรวมไปถึงคุณสุชาติ ตันเจริญ พ่อของคุณมดดำอีก แต่จริง ๆ คือมันมาจากคณะกรรมการที่พิจารณากฎหมายของสภาฯ ซึ่งมีหลายคนที่ชี้ลงมาว่าสิ่งนี้ขัดต่อมาตรา 6 ไม่สามารถยื่นเข้าสภาฯ ได้ ไม่เช่นนั้นประธานต้องรับผิดชอบ” นายอรรถชัย กล่าวทิ้งท้าย

'ติ่งก้าวไกล' ฟาดเดือด!! ปม ‘พิธา’ รั้นแก้ ม.112  ถามแรง!! ควรแก้ปัญหาปากท้องให้ปชช.ก่อนไหม? 

เมื่อวานนี้ (15 ก.ค. 66) ผู้ใช้ TikTok บัญชี ‘@_breakingnews24’ ได้โพสต์คลิปวิดีโอชายหนุ่มคนหนึ่ง ได้ออกมาพูดเกี่ยวกับประเด็นที่นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ยืนยันจะแก้ ม.112 ในสภาฯ พร้อมบอกว่า ปัญหาเศรษฐกิจปากท้องของประชาชนควรถูกแก้ไขก่อนเป็นอันดับแรก โดยในคลิปได้ระบุว่า…

“ตกลงพี่พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ต้องการมาเป็นนายกรัฐมนตรี เพื่อมาแก้ ม.112 อย่างนั้นหรืออย่างไร? ผมจะบอกไว้ให้นะคุณทิมพิธา ที่ผมและพี่น้องอีกหลายสิบล้านคนไปเลือกคุณเนี่ย ไม่ได้หวังเพื่อให้คุณไปแก้ ม.112 แต่หวังให้คุณมาแก้เรื่องเศรษฐกิจปากท้อง ให้แก้เรื่องข้าราชการท้องถิ่นคอร์รัปชัน แค่ปัญหาเศรษฐกิจเท่านั้น ไม่ได้หวังให้ไปแก้ ม.112 เลย นี่คือเสียงของผม ที่ผมได้ออกไปเลือกคุณ”

“ปัญหาบ้านเมือง หรือปัญหาความยากลำบากของประชาชนควรมาก่อนเรื่องอื่น ทำไมถึงไม่ยอมเปลี่ยน Mindset ของตัวเอง จะเอาอกเอาใจติ่งส้มมากมายขนาดนั้นเชียวหรือ? กลัวขนาดนั้นเลยหรือ? คุณพิธา วันนี้คุณมีโอกาสได้เข้าไปอยู่ในสภาฯ ทำไมถึงไม่ประกาศว่าตัวเองและพรรคก้าวไกลจะไม่ไปยุ่ง ไม่แก้ ม.112 ทำไมถึงไม่พูดแบบนี้ ทั้งๆ ที่ ส.ว.ได้พูดออกมาแล้วว่าหากยังยืนยันจะดื้อด้านเพื่อแก้ ม.112 อยู่ ส.ว.นั้นจะไม่โหวตให้ ซึ่งเขาจะไม่โหวตให้ก็รู้กันอยู่ แล้วเพราะอะไรคุณถึงยังดึงดันจะทำอยู่ ทำไมคุณถึงมาทำลายความหวังของประชาชน คุณต้องการเข้าไปเป็นนายกฯ เพื่อไปแก้ ม.112 อย่างเดียวหรือ? ไม่ต้องไปพูดอะไรมากหรอก ผมจะพูดประเด็นนี้ ทัวร์จะลงผมก็ช่าง ผมไม่สน”

“คุณเห็นไหม? สมัยก่อนที่ ‘คุณทักษิณ’ เขาได้เป็นรัฐบาล ได้เป็นนายกฯ เขาไปพูดเรื่องนี้หรือเปล่า แน่นอนว่าเขาไม่เคยไปพูดหรือเข้าไปยุ่ง ทำให้เขาได้คะแนนท่วมท้นจนแลนด์สไลด์ และที่ผ่านมาไม่เคยมีรัฐบาลไหนที่จะมีนโยบายไปแก้ ม.112 แม้แต่รัฐบาลเดียวเลย แล้วคุณเป็นใคร? ประชาชน 14 ล้านเสียง เขาบอกคุณหรือ ว่าให้เข้าไปแก้ ม.112 แล้วทุกคนจะรวยขึ้น จะมีความสุขขึ้น ใครบอกคุณ?”  

‘ส.ว.เสรี’ สุดจะทน!! เตรียมยื่นฟ้อง ‘2 เกรียนคีย์บอร์ด’ หลังถูกหมิ่นประมาทบนโลกออนไลน์มาแล้วหลายครั้ง

(16 ก.ค. 66) นายเสรี สุวรรณภานนท์ สมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) เปิดเผยว่า ในวันพรุ่งนี้ (17 ก.ค. 66) ตนได้ให้ตัวแทนยื่นฟ้องบุคคล 2 คน ที่โพสต์ข้อความในโลกออนไลน์ ทำให้ตนเกิดความเสียหาย ต่อศาลอาญาตลิ่งชัน ถือเป็นการฟ้องร้องคดีแรกของตน หลังจากที่ถูกหมิ่นประมาทด้วยข้อความทางโลกออนไลน์มาหลายครั้งหลายคราวก่อนหน้านี้ และในวันเดียวกันเวลา 11.00 น. ตนจะแถลงในรายละเอียดและเปิดเผยชื่อบุคคลที่ตนยื่นฟ้อง 2 คน พร้อมจะพาทนายความไปรับเรื่องจาก ส.ว.ท่านอื่นที่ถูกบูลลี่ หรือหมิ่นประมาทด้วยข้อความอันเป็นเท็จจากโลกออนไลน์ด้วย จากนั้นจะทยอยฟ้องต่อไป

“รอบนี้เอาจริงและไม่ทน เพราะพวกเขาทำตัวเป็นอันธพาลคอยหาเรื่องและคุกคามมากเกินไป ทั้งด่าทอและใส่ร้ายคนอื่น ส่วนกรณีที่โลกออนไลน์รณรงค์สืบหาธุรกิจส.ว. หรือ เมียน้อยส.ว.นั้น หากทำผิดกฎหมายต้องดำเนินคดี ขณะที่ตลาดเสรีที่เป็นธุรกิจของผม ถูกโซเชียลเปิดเผยนั้น ไม่มีผลกระทบใดๆ เพราะตลาดคือสถานที่ที่ทำให้คนได้มีอาชีพ ค้าขาย ขณะเดียวกันประชาชนต้องมาจับจ่ายใช้สอย เป็นสิ่งจำเป็น โดยขณะนี้พบว่ามีคนมาเดินซื้อสินค้ามากขึ้น แต่ผมไม่อยากให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้น” นายเสรี กล่าว

นายเสรี กล่าวถึงกรณีที่นายอานนท์ นำภา เตรียมทำกิจกรรมคาร์ม็อบเพื่อยื่นใบลาออกให้ ส.ว. ว่า กิจกรรมทำได้แต่ต้องไม่ด่าทอ หรือหมิ่นประมาท ซึ่ง ส.ว.จะไม่ยอม

‘อัษฎางค์’ ชี้!! ‘บิ๊กตู่’ ยื่นบัญชีทรัพย์สินต่อ ป.ป.ช มาตลอด แต่ถูก ‘สื่อ-นักการเมือง’ เอาไปพูดบิดเบือนจน ปชช.เข้าใจผิด

(16 ก.ค. 66) นายอัษฎางค์ ยมนาค นักวิชาการอิสระ โพสต์ข้อความลงเฟซบุ๊ก ‘เอ็ดดี้ อัษฎางค์ ยมนาค’ ระบุว่า…

สำนักข่าวอิศรา ที่เคยรายงานทรัพย์สินของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ช่วงเข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 4 กันยายน 2558 พบรายละเอียด ดังนี้

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา มีทรัพย์สิน 102,317,152.64 บาท ได้แก่

- เงินฝาก 6 บัญชี มูลค่า 58,967,022 บาท
- เงินลงทุน 9 แห่ง 23,072,380 บาท
- ที่ดิน 2 แปลง 2,284,750 บาท
- โรงเรือนและสิ่งปลูกสร้าง 2 ล้านบาท
- ยานพาหนะ 4 คัน มูลค่า 8 ล้านบาท
ทรัพย์สินอื่นฯ 4 รายการ มูลค่า 4,193,000 บาท

นอกจากนี้ แจ้งว่ามีคู่สมรส คือ นางนราพร จันทร์โอชา มีทรัพย์สิน 26,347,382.76 บาท ได้แก่

- เงินฝาก 6 บัญชี 7,977,382 บาท
- ที่ดิน 3 แปลง (1 แปลงร่วมกรรมสิทธิ์กับผู้อื่น) 5,350,000 บาท
- โรงเรือนฯ 2 ล้านบาท
- ยานพาหนะ 1 คัน 5 ล้านบาท
- ทรัพย์สินอื่นฯ 1 รายการ 7,520,000 บาท
หนี้สินรวมทั้งสิ้น 654,745.06 บาท

ทั้งนี้ พล.อ.ประยุทธ์ แจ้งด้วยว่า ได้รับเงินจากการขายที่ดิน 9 โฉนดแก่บริษัท 69 พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (บริษัทเครือข่ายของนายเจริญ สิริวัฒนภักดี เจ้าของเบียร์ช้าง) จากบิดา (พ.อ.ประพัฒน์ จันทร์โอชา) รวมมูลค่า 540 ล้านบาท และได้แบ่งให้บิดากับน้องรวม 267 ล้านบาท มอบให้ลูก 2 คน 198 ล้านบาท และได้รับเงินจากน้องที่สร้างบ้านให้พ่ออีก 6 ล้านบาท

สรุปแล้ว พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา มีทรัพย์สินรวมทั้งสิ้น 128,664,535.40 บาท

ส่วนการเข้ารับตำแหน่งในครั้งที่ 2 พล.อ.ประยุทธ์ ก็ได้ยื่นแสดงบัญชีทรัพย์สินต่อ ป.ป.ช. แล้วเช่นกัน ทั้งที่กฎหมายไม่ได้บังคับ กฏหมายบัญญัติให้แสดงทรัพย์สินเพียง 2 ครั้ง คือ เมื่อเข้ารับตำแหน่งและหมดวาระ ดังนั้น เมื่อเข้ารับตำแหน่งในครั้งที่ 2 ซึ่งถือว่าดำรงตำแหน่งต่อเนื่อง ป.ป.ช. จึงไม่ต้องนำมาเปิดเผย

แต่สื่อ นักการเมือง นักเคลื่อนไหวทางการเมือง และอาจารย์นักวิชาการ เอาไปพูดบิดเบือนจนประชาชนเข้าใจผิด และออกมาโจมตีว่า พล.อ.ประยุทธ์ ไม่ยอมแสดงบัญชีทรัพย์สินหรือ ปปช.ไม่ยอมเปิดเผย ซึ่งส่อแววทุจริต

อัษฎางค์ ยมนาค

‘ช่อ พรรณิการ์’ โต้กลับเสียงคัดค้าน ปม ‘ก้าวไกล’ แตะ ม.112 ชี้!! แค่ข้ออ้างในการไม่หนุนพรรคอันดับ 1 เพราะถูกตัดวงจรคอร์รัปชัน

(16 ก.ค. 66) ผู้ใช้ TikTok บัญชี ‘@canac_nat’ ได้โพสต์คลิปวิดีโอของ ‘ช่อ พรรณิการ์ วานิช’ ผู้ก่อตั้งคณะก้าวหน้า และผู้ช่วยหาเสียงพรรคก้าวไกล ได้ออกมาพูดถึงประเด็นการแก้ไข ม.112 และความจงรักภักดี ในหัวข้อ ‘ต่อให้คุณได้เสียงเท่าไหร่ แต่ถ้าไม่จงรักภักดี เท่ากับ ไม่มีสิทธิ์’  โดยในคลิปได้ระบุว่า…

“คุณกำลังสร้างตรรกะนี้ให้เกิดขึ้นในประเทศไทยหรือคะ? คุณกำลังจะบอกว่า ต่อให้เป็นพรรคที่มีความชอบธรรมจากประชาชน มีนโยบายมากมายกว่า 300 นโยบาย ที่แม้แต่พวกคุณเองก็ยอมรับว่าเห็นด้วยในหลาย ๆ นโยบาย แต่เมื่อถูกตราหน้าว่า ‘ไม่จงรักภักดี’ คุณก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะเป็นรัฐบาล ในขณะที่คนที่กล้าพูดว่าตัวเองเป็นโจร หรือกล้าที่จะบอกว่าสามารถยิงคนที่ไม่จงรักภักดีได้โดยไม่ผิดกฎหมาย… ‘เป็นโจร แต่จงรักภักดี’ กลับมีที่อยู่ที่ยืนในประเทศนี้ ในขณะที่คนที่มีคุณสมบัติเป็นผู้นำครบทุกอย่างกลับโดนตราหน้าว่า หากคุณไม่จงรักภักดี คุณจะไม่มีที่ยืน คุณกำลังเอาพรรคการเมืองที่ได้รับคะแนนความนิยมเป็นอันดับ 1 ของประเทศ มาชนกับสถาบันฯ หรือคะ คุณทำไปเพื่ออะไร?”

“ข้ออ้างมีหลากหลาย คุณกลัวว่าจะทุจริตคอร์รัปชันไม่ได้ บ้านใหญ่ของคุณอาจถูกทำลาย หรือคุณไม่พอใจในเรื่องของสัมปทานที่อาจจะถูกยกเลิกภายใต้ ‘รัฐบาลก้าวไกล’ ที่ทำงานอย่างโปร่งใส คุณมีหลากหลายเหตุผลที่ไม่อยากจะเลือก ‘คุณพิธา’ และพรรคก้าวไกล แต่คุณไม่กล้าพูดออกมาตรง ๆ เพราะคุณรู้ว่ามันเป็นเหตุผลที่ใช้ไม่ได้ เมื่อถึงเวลาคุณจึงมาอ้างเหตุผลว่า เพราะพรรคก้าวไกลไม่มีความจงรักภักดี หากคุณทำแบบนี้ ขอถามว่า แล้วใครได้ประโยชน์ ใครกันที่เสียประโยชน์? ใครกันแน่ที่กำลังทำลายสถาบันฯ อยู่” 

ช่อ พรรณิการ์ ยังกล่าวทิ้งท้ายว่า “เรื่องนี้น่ากลัวและน่าตกใจมาก และยังเป็นเกมที่เสี่ยงมาก ที่พวกคุณเอามาเล่นกันเอง ไม่ใช่พรรคก้าวไกลนะคะ”

‘สมโภช’ ศิษย์เก่า มธ. ขอประณาม!! สภานักศึกษาศูนย์รังสิต ปมใช้ตราธรรมจักรออกแถลงหยาบคาย หลัง ส.ว.ไม่โหวต ‘พิธา’

(16 ก.ค. 66) จากกรณีที่คณะกรรมาธิการส่งเสริมประชาธิปไตยและความเท่าเทียม สภานักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต ออกแถลงการณ์ประณามการกระทําของสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) ที่ไม่ลงมติเห็นชอบให้ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกลเป็นนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 13 ก.ค.ที่ผ่านมา นายสมโภช โชติชูช่วง อดีตรองผู้ว่าราชการจังหวัดกระบี่ ศิษย์เก่าคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (สิงห์แดง รุ่นที่ 30) ได้แสดงความเห็นต่อเรื่องดังกล่าว ว่า ธรรมจักร เป็นสัญลักษณ์แห่ง ‘ธรรม’ ที่ชาวธรรมศาสตร์ที่มี ‘จิตวิญญาณธรรมศาสตร์’ จิตวิญญาณที่รักความเป็นธรรม จิตวิญญาณแห่งการรัก เคารพ เทิดทูน และรักษาไว้ซึ่งสถาบันชาติ (ซึ่งก็คือพลเมืองไทยในชาติ) ศาสนา และพระมหากษัตริย์ จิตวิญญาณแห่งการรับใช้ประชาชน ‘ฉันรักธรรมศาสตร์ เพราะธรรมศาสตร์สอนให้ฉันรักประชาชน’
.
จิตวิญญาณธรรมศาสตร์ คือ จิตวิญญาณแห่งการรับใช้ชาวบ้าน คนธรรมศาสตร์ทุกคนเชื่อมั่นและยึดมั่นว่า ‘หากขาดโดม เจ้าพระยา ท่าพระจันทร์ เสมือนขาดสัญลักษณ์พิทักษ์ธรรม’

ผมเดินเข้ารั้วธรรมศาสตร์วันแรก ก็ได้อ่าน จำ และถือปฏิบัติตามบทกลอนนี้มาตลอด “ณ แคว้นธรรมค้ำไทยในถิ่นนี้ ชนเสรีรุ่นใหม่ได้มาถึง เขาแกร่งกร้าวมั่นใจไม่พรั่นพรึง แม่โดมซึ้งลูกใหม่ในอุรา ขอต้อนรับเพื่อนเยาว์ก้าวมาเถิด ช่วยกันเทิดผองไทยให้แกร่งกล้า มวลชนกับธรรมศาสตร์จะยาตรา เพื่อกู้หน้ากู้ไทยด้วยใจทะนง”

เพลงพระราชนิพนธิ์ ‘ยูงทอง’ ซึ่งเป็นเพลงประจำสถาบัน ก็ยังฝังจำเตือนใจอยู่ ‘ธรรมจักรนบบูชาเทิดไว้’

วันนี้ มันเกิดอะไรขึ้นกับคนที่บังเอิญสอบเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ได้ แต่คงไม่ได้รับการถ่ายทอดจิตวิญญาณธรรมศาสตร์ไว้ในสายเลือด แล้วบังอาจเอาธรรมจักรอันสูงส่งด้วยคุณธรรม มาเป็นสัญลักษณ์สภานักศึกษา เป็นเครื่องหมายที่หัวกระดาษ แล้วส่งแถลงการณ์ที่ถ่อยเถื่อน หยาบคาย ต่ำทราม ในท้ายแถลงการณ์ ที่ ‘บัณฑิต’ เขาไม่ทำกัน เว้นแต่ไพร่สถุลในคราบนักศึกษา

อาจารย์ป๋วย เคยเขียนกลอนเตือนใจชาวธรรมศาสตร์ไว้ “วิสัยบัณฑิตผู้ทรงธรรม์ ไป่เปลี่ยนไป่แปรผัน ไป่ค้อม ไป่ขึ้น ไป่ลงหัน กลับกลอก กายจิตวาทะพร้อมเพรียบด้วย สัจจธรรม”

แต่สิ่งที่มันเหล่านี้ทำกัน มันตรงกันข้ามกับคำสอนและจิตวิญญาณธรรมศาสตร์ เหมือนฟ้ากับเหว มันอาจจะบอกว่าเป็นคนรุ่นใหม่ ฉลาด และเก่งกว่าคนแก่ คนรุ่นเก่า แต่ผมจำได้ อาจารย์นรนิติ เศรษฐบุตร เคยสอนพวกผมว่า ”นอกจากจะมีความรู้เชี่ยวชาญทางวิชาการในสาขาวิชาชีพแล้ว ลูกศิษย์ของผมทุกคนต้องรู้อยู่อีก 2 เรื่อง คือ รู้ดีรู้ชั่ว คนไหนไม่รู้ดีรู้ชั่ว ไม่มีความกตัญญูกตเวที คนนั่นไม่เจริญ อยู่ที่ไหนสังคมก็ตั้งข้อรังเกียจ”

ผมขอประณามและคัดค้านการกระทำเยี่ยงไพร่สถุลต่ำทรามของมันเหล่านี้ และมันต้องเลิกนำธรรมจักรและสัญลักษณ์ของมหาวิทยาลัย ไปแอบอ้างในการกระทำที่ต่ำทรามไพร่สถุลของมันในทุกๆ เรื่อง

'ส.ว.รณวริทธิ์' เขียนจดหมายถึงลูก เหตุงดออกเสียง ‘พิธา’ ครอบครัวเราเทิดทูนสถาบันฯ เหนือเกล้า ผู้ใดจะแตะต้องมิได้

ส.ว.รณวริทธิ์ แจงเหตุ งดออกเสียง ‘พิธา’ เขียนจดหมายถึงลูก หวั่นถูกเพื่อนเลิกคบ ชี้หากเพื่อนที่มหา’ลัยเป็นนักประชาธิปไตย ต้องยอมรับในความเห็นต่าง

ไม่นานมานี้ นายรณวริทธิ์ ปริยฉัตรตระกูล สมาชิกวุฒิสภา โพสต์เฟซบุ๊กชี้แจงถึงเหตุผลที่ ‘งดออกเสียง’ ในการโหวต นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ แคนดิเดตพรรคก้าวไกล โดยมีใจความ 2 ส่วน ถึงลูก และถึงประชาชน ระบุว่า...

>> #จดหมายถึงลูก ถึงลูกรักของพ่อ และเพื่อนเพื่อนทุกคนของลูก 

ตามที่ลูกมีความวิตกกังวลในระดับสูงเกี่ยวกับการเลือกนายกรัฐมนตรีที่จะโหวตกันในวันนี้ เพราะหากพ่อไม่เลือกคุณพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ จากพรรคก้าวไกล เป็นนายกรัฐมนตรี ลูกจะโดนต่อต้าน และเพื่อนเพื่อนจะเลิกคบกับลูก บางครั้งถึงอาจต้องมีเรื่องราวต่างๆ นานาที่ไม่พึงประสงค์กับลูก ข้อนี้พ่อวิตกกังวลยิ่งนัก เพราะลูกคือแก้วตาดวงใจของพ่อ 

ลูกครับ บอกเพื่อนเพื่อนของลูก ทั้งในและนอกมหาวิทยาลัย ไปเลยว่า พ่อเป็นนักเรียนทุน #ภูมิพล ที่เรียนในระดับปริญญาตรี นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้ เพราะหากไม่มีทุนภูมิพลในวันนั้น ก็จะไม่มีพ่อในวันนี้ และก็จะไม่มีลูกเช่นเดียวกัน และพระมหากรุณาธิคุณอีกมากมายล้นพ้น ที่พระมหากษัตริย์ทรงมีต่อประเทศชาติบ้านเมืองจนสุดที่พ่อจะบรรยายได้ ครอบครัวของพวกเราเทิดทูนองค์พระมหากษัตริย์ไว้เหนือเกล้า ผู้ใดจะแตะต้องมิได้

ดังนั้นหาก คุณพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ จากพรรคก้าวไกลมีนโยบายไม่แตะต้องมาตรา 112 แห่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยพุทธศักราช 2560 แล้ว พ่อก็ไม่มีข้อรังเกียจในตัวบุคคลและตัวพรรคที่จะไม่เลือกบุคคลดังกล่าวขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรี แต่หากตราบใดที่บุคคลดังกล่าวพรรคดังกล่าว ยังมีแนวนโยบายที่จะล่วงละเมิดองค์พระมหากษัตริย์ โดยการยืนยันว่าจะแก้ไขหรือยกเลิกมาตรา 112 ซึ่งก็เท่ากับเป็นการล่วงละเมิดองค์พระมหากษัตริย์ พ่อไม่สามารถที่จะเลือกเขาเป็นนายกรัฐมนตรีได้ 

ลูกครับ หากเพื่อนลูกไม่เข้าใจในเหตุผลของครอบครัวเรา ไม่เข้าใจในเหตุผลของความเป็นเรา ความเป็นวุฒิสมาชิกของพ่อ เค้าจะใช้วิธีการบีบบังคับหรือใช้วิธีการรุนแรงใดใดก็แล้วแต่ ก็แสดงว่าเค้าจะบังคับให้เราทำตามที่เขาต้องการ แม้จะต้องล่วงละเมิดองค์พระมหากษัตริย์อันเป็นที่รักยิ่งของครอบครัวเราแล้ว ก็จงอย่าได้แยแสและแคร์ที่จะรับเค้าเป็นเพื่อน หากเพื่อนๆ เข้าใจในความเป็นเรา และจงรักภักดีต่อองค์พระมหากษัตริย์และแผ่นดินเกิดแล้ว จงนับเค้าเป็นกัลยาณมิตรเกื้อกูลไปจนตลอดชีวิตของลูก จะเป็นสิริมงคลต่อชีวิตยิ่ง 

หากเขาเป็นนักประชาธิปไตย เค้าต้องยอมรับในความเห็นต่าง และเคารพในความเป็นเพื่อน ถ้าเค้าทำไม่ได้ก็เท่ากับเค้าเป็นโมฆะมิตร ให้ลูกจงจำไว้ และยึดมั่นในองค์พระมหากษัตริย์ของเรา ลูกจะเป็นคนรุ่นใหม่ที่มีคุณภาพและเป็นที่ยอมรับไปทั่ว เพราะความกตัญญูเป็นเครื่องหมายของคนดี

พ่อขอให้กำลังใจกับลูกว่า อย่าได้ท้อแท้หรือท้อถอยกับอุปสรรคครั้งนี้ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย พระสยามเทวาธิราชจงปกป้องคุ้มครองครอบครัวเราให้ร่มเย็นเป็นสุข เราได้ทำดีที่สุดแล้ว พ่อขอยืนยัน”

>> ส่วนข้อความถึงประชาชน ระบุว่า...

“เรียนพี่น้องชาวร้อยเอ็ด และชาวไทยทั่วประเทศ

ผมชัดเจนมาตั้งแต่ต้นว่า ผมจงรักภักดีต่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และหยิ่งในศักดิ์ศรีนักเรียน ‘ทุนภูมิพล’ และ ปราชญ์เกษตรของแผ่นดิน

ผมไม่ได้มีปัญหากับคุณพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ผมชื่นชอบนโยบายหลายข้อของพรรคก้าวไกล โดยเฉพาะด้านยาเสพติด และปราบปรามทุจริต ตลอดจนปลดล็อกสุราชุมชน ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดและอุดมการณ์ของผม

ผมได้แจ้งเรื่องขอให้ยุติการก้าวล่วงมาตรา112 มาโดยตลอด และได้รับการปฏิเสธมาโดยตลอด

ดังนั้น เพื่อพิทักษ์รักษาไว้ซึ่ง #ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และประชาชน โดยส่วนรวม กระผมจึงได้ 'งดออกเสียง' ครับ


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top