Sunday, 29 June 2025
Politics

'โบว์-ณัฏฐา' ชี้!! พฤติกรรมของด้อมส้มตอนนี้ พ้องกับสิ่งที่เคยเกิดขึ้นในอดีตสมัย 14 ตุลาฯ

(17 ก.ค. 66) คุณโบว์ ณัฏฐา มหัทธนา ผู้ดำเนินรายการ Ringside การเมือง กล่าวถึงกรณีด้อมส้มที่ตามคุกคาม ส.ว. กับ กกต. ไว้ว่า...

สถานการณ์ที่เกิดขึ้นตอนนี้ คนเดือนตุลาคมหลายคนเขาบอกว่ามันเป็นสถานการณ์ที่พ้องกับสิ่งที่เคยเกิดขึ้นในอดีต ตอนสมัย 14 ตุลาคม ขบวนการนักศึกษากระแสสูงมาก ได้รับการสนับสนุนกับสังคมสูงมาก ๆ เสร็จแล้วเกิดอะไรขึ้น? ก็เกิดอาการกร่างหลังจากทำลายรัฐบาลเผด็จการตอนนั้นไปได้แล้ว เกิดอาการกร่าง 

แล้วกร่างยังไง? คือทุกคนต้องคิดเหมือนเขา ต้องเห็นตามเขา และต้องทำตามเขา และเขาก็เอานักศึกษาไปจัดการองค์กรต่าง ๆ จนกระทั่งมันเกิดกระแสต้าน จึงนำไปสู่เหตุการณ์ 6 ตุลาคม ในที่สุด เราจะไม่พูดว่าอะไรถูกอะไรผิด แต่นี่คือสิ่งที่คนเดือนตุลาคมหลาย ๆ คน พูดตรงกัน ว่าสถานการณ์ที่เกิดขึ้นตอนนี้ พฤติกรรมของด้อมส้มตอนนี้ มันคล้าย ๆ กับตอนนั้นเลยนะ คือความกร่าง และไปก้าวร้าวใส่คนอื่นเต็มไปหมด 

คราวนี้สิ่งที่ทำกับ ส.ว. คือผิดอยู่แล้ว มันคือการคุกคาม จะบอกว่ากติกาที่ ส.ว. มาร่วมโหวตนายกฯ โบว์เป็นคนที่ต่อต้านมาตั้งแต่ต้นจนจบเลย จนกระทั่งวาระสุดท้าย นาทีสุดท้ายที่จะเสนอแก้กฎหมายข้อนี้ได้ เราเป็นคนเสนอแก้พร้อมกับอาจารย์สมชัย ศรีสุทธิยากร แต่เมื่อเราทำไม่สำเร็จ แล้วตอนนั้นโบว์จะบอกว่าทำไมถึงทำไม่สำเร็จ เพราะว่าขบวนการเคลื่อนไหวไม่สนใจเรื่องนี้เลย ขบวนการเคลื่อนไหวไปโฟกัสกับอะไร? ไปโฟกัสกับการด่าเจ้า ไปโฟกัสกับอเจนด้าเกี่ยวกับการปฎิรูปสถาบัน แต่ด้วยท่าทีสิ่งที่ทำคือการด่าเจ้า นั่นคือสิ่งที่พวกคุณทำ พรรคก้าวไกล คณะก้าวหน้า ทำอะไรในตอนนั้น คุณเปิดแคมเปญยกเลิก 112 ซึ่งไม่ใช้แก้ไขนะ ตอนนั้นคณะก้าวหน้า เปิดแคมเปญยกเลิก 112 ออนไลน์ คุณไปโฟกัสกับสิ่งนั้นไง และไม่มาโฟกัสกับ ส.ว. ในการโหวตนายกฯ กับสิ่งที่โบว์ทำอยู่ แต่คราวนี้เมื่อมันทำและพลังของประชาชนที่มาผลักดันเรื่องนี้มันไม่ได้มากพอ มันก็ไม่ประสบความสำเร็จ มันก็แพ้เสียง ส.ว. นั่นแหละ เพราะว่าการกดดันจากข้างนอกแทบไม่มีเลย 

ดังนั้นเมื่อไม่ประสบความสำเร็จในการแก้ไขกติกาแล้ว แนวทางของโบว์นะคะ คือต้องเคารพกติกา เพราะว่าเราแก้ไม่ได้ บ้านเมืองมันต้องอยู่บนความเอาแต่ใจตนเองไม่ได้ บ้านเมืองมันตั้งอยู่ความพยายามที่จะขับเคลื่อนสิ่งดี ๆ แต่เมื่อไหร่ที่ทำไม่ได้แล้วมันมีกติกาอยู่ คนทั้งประเทศต้องเคารพกติกา ไม่อย่างงั้นคุณก็คิดดูแล้วกัน ว่าคนทั้ง 70 ล้านคน 70 ล้านความต้องการ มันจะเกิดอะไรขึ้นถ้าทุกคนเอาความต้องการตัวเอง และเอาแต่ใจตัวเอง เอาตัวเองเป็นใหญ่ แล้วคุณจะคอนโทล 70 ล้านคนได้ยังไง? 

ดังนั้นเรื่องอำนาจ ส.ว. ตรงนี้มันมีอยู่ตามรัฐธรรมนูญแล้วมันแก้ไม่ได้ มันก็ต้องเคารพ เมื่อเคารพก็แปลว่าอะไร? แปลว่าต้องเคารพสิทธิ์ของ ส.ว. พวกนั้น ซึ่งเขาไม่ได้ไปเอาปืนจี้ใคร เพื่อที่จะมานั่งเป็น ส.ว. เพราะเขามาตามรัฐธรรมนูญ ใน 250 คนนั้น มีทั้งอดีตข้าราชการ อดีตนายพลอะไรต่าง ๆ หรือนายพลปัจจุบันก็มี เขามาตามรัฐธรรมนูญ 60 ที่เราไม่ประสบความสำเร็จในการสกัดมาตั้งแต่ปี 59 และเราไม่ประสบความสำเร็จในการแก้มาตรา 272 ต่อเนื่องมาจนถึงวันนี้เขามาตามรัฐธรรมนูญ ดังนั้นคุณหาเสียงได้ ว่า อยากให้ ส.ว. โหวตให้พิธา เพราะอะไร คุณสามารถบอกได้ แต่คุณจะไปกดดันข่มขู่ไม่ได้ เมื่อเขาใช้สิทธิ์ตามรัฐธรรมนญของเขาโหวตแล้ว คุณจะไปกดดันข่มขู่ธุรกิจครอบครัวเขา ไปบูลลี่ลูกของเขา รวมถึงไปข่มขู่ญาติพี่น้องเขา ซึ่งมันไม่ได้ คุณกำลังทำตัวเป็นอนาธิปไตยแล้ว จะบ้าหรือเปล่า? 

มันเป็นสิ่งที่ต้องพูด แล้วมันพูดเบา ๆ ไม่ได้ มันต้องพูดแรง ๆ เพราะว่าสิ่งที่ทำมันละเมิดรุนแรง ถ้าสิ่งที่ทำไม่ใช่การละเมิดรุนแรง เราก็จะไม่พูดแรง ๆ แต่สิ่งที่ทำเป็นการละเมิดรุนแรง เป็นการตามกันไปถึงบ้านแล้วในบางจังหวัด แล้วจะบอกว่าวันนี้ ส.ว. เขาไม่อยู่เฉยแล้วนะคะ เขามีการประสานกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติเรียบร้อยแล้ว สถานีตำรวจทุกจังหวัดพร้อมดูแลบ้าน ส.ว. ทุกบ้าน ใครไปคุกคามธุรกิจเขา คุกคามลูกเมียเขา หรือแม้แต่กระทั่งคุมคามทางออนไลน์ก็ตาม เขามีการตั้งทีมทนายมาเป็นสิบแล้วนะคะ แล้วประสานองค์กรทนายความหลายองค์กรมาช่วยกันแล้วค่ะ ถามว่าแนวร่วมพรรคก้าวไกลทำให้เกิดบรรยากาศแบบนี้ในบ้านเมืองได้ยังไง? แล้วพรรคก้าวไกลคุณไม่สามารถที่จะคอนโทลแนวร่วมของคุณ แล้วมันมีแนวร่วมของพรรคการเมืองอยู่พรรคเดียวที่มีพฤติกรรมคุกคามชาวบ้านเขา ทำไมกองเชียร์พรรคเพื่อไทยเขาไม่เป็นล่ะ กองเชียร์พรรคเพื่อไทยเนี่ยประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาเขาโดนอะไรมาหนักกว่าคุณเยอะเลยนะ ทำไมเขายังมีอารยะได้ในระดับที่ฝ่ายตรงข้ามเขาก็ยอมรับว่ากองเชียร์พรรคเพื่อไทยยังคุยรู้เรื่อง แล้วทำไมกองเชียร์ก้าวไกลถึงเป็นอย่างงี้ เพราะว่าแนวทางของพรรคก้าวไกลตลอดเวลาที่ผ่านมามันไม่เป็นมิตรกับใครเลยค่ะ 

ดังนั้น ที่บอกว่า ส.ว. ไม่ยอมรับ พรรคก้าวไกลเพราะแก้มาตรา 112 หรือเปล่า? มันไม่ใช่แค่นั้นค่ะ บางคนบอกว่า การมาพูดเรื่องมาตรา 112 ในสภาฯ ตอนนี้ไม่เหมาะสม เพราะว่ามันไม่ใช่วาระการแก้กฎหมาย มันเป็นวาระการเลือกนายกฯ แต่โบว์จะบอกว่ามันเชื่อมโยงกันเป็นอย่างยิ่ง เพราะการโหวตนายกฯ มาตรา 159 ตามรัฐธรรมนูญบอกให้พิจารณาบุคคลผู้มีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญ ดังนั้นเขาจึงต้องอภิปราย ไม่ว่าจะเป็นเรื่อยคุณสมบัติ การถือหุ้นสื่อ หรือคุณสมบัติในความมีจริยธรรมทางการเมืองที่สอดคล้องกับการปกครองระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข อันนี้เหตุผลของ ส.ว. นะคะ แต่โบว์จะอธิบายให้ฟังว่า เขาจึงได้เอาร่างแก้มาตรา 112 ของพรรคก้าวไกลมาชำแหละในรายละเอียด รายละเอียดที่แฟนคลับพรรคก้าวไกลไม่เคยอ่านนั่นแหละ เขามาชำแหละให้ดูว่ามันขัดกับรัฐธรรมนูญมาตรา 6 อย่างไร และถ้าเกิดว่าแคนดิเดตนายกฯ สังกัดพรรคการเมืองที่นำเสนอกฎหมายที่มันขัดกับรัฐธรรมนูญเนี่ย เขาก็ยอมต้องตั้งคำถามกับคุณสมบัติของแคนดิเดตคนนั้น ว่าคุณเหมาะหรือเปล่าที่จะมาเป็นนายกฯ ในการปกครองระบอบที่เรามีอยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญแบบนี้ นี่คือเหตุผลของการที่ทำไมต้องใช้เวลาทั้งวันในวันนั้นอภิปรายเรื่องมาตรา 112 เป็นหลัก ไม่ใช่เป็นเพราะว่าเสนอแก้กฎหมายก็ไม่ได้เหรอ? ไม่ใช่ค่ะ เสนอแก้กฎหมายได้ค่ะ แต่ถ้าคุณเสนแก้กฎหมายที่เนื้อหาของมันขัดกับรัฐธรรมนูญ เขาจึงมีสิทธิ์ที่จะตั้งคำถามได้ว่าคุณเหมาะที่จะเป็นนายกฯ ของประเทศนี้ไหม นายกฯ ของวันนี้ นายกฯ ของยุคสมัยใหม่ ต้องไม่ใช่นายกฯ ที่สร้างแต่ความแตกแยก ต้องไม่ใช่นายกฯ ที่มาจากพรรคการเมืองที่มีแนวทางนโยบายหลาย ๆ อย่าง แนวทางการขับเคลื่อนหลาย ๆ อย่าง สร้างปัญหาขึ้นมามากมายในสังคมตลอดช่วง 3 ปีที่ผ่านมา นั่นคือเหตุผลที่เขาอภิปรายคุณสมบัติคุณแบบนั้น เห็นด้วยไม่เห็นด้วยอีกเรื่องนึง แต่โบว์เล่าให้ฟังว่าที่มาที่ไปมันเป็นอย่างไร

‘ดร.สุวินัย’ ชี้ ‘เพื่อไทย’ จับมือ ‘ก้าวไกล’ อาจไปได้ ‘ไม่ไกล’ อย่างที่หวัง

(17 ก.ค. 66) ดร.สุวินัย ภรณวลัย ประธานยุทธศาสตร์วิชาการ สถาบันทิศทางไทย อดีตอาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้โพสต์บทความของ นายแก้วสรร อติโพธิ นักวิชาการอิสระเรื่อง ‘เข็มมุ่ง’ พรรคก้าวไกล...กับมาตรา 112 ‘ตัวตน’ ของมาตรา 112 มีเนื้อหาในรูปแบบถามและตอบ ดังนี้...

ถาม : ผู้คนเป็นอันมากไม่เข้าใจว่า เพื่อแลกกับการได้เป็นรัฐบาล ทำไมพรรคก้าวไกล ไม่ยอมสละวาระแก้ไขมาตรา 112 ซึ่งถ้ายอมเอ่ยปากยืนยันในสภา ก็น่าเชื่อว่าคุณพิธาจะได้เสียงสนับสนุนให้เป็นนายกรัฐมนตรีมากกว่านี้แน่นอน
ตอบ : คุณต้องเข้าใจตัวตนของ มาตรา 112 ก่อนว่า อยู่ตรงที่คุ้มครองบุคลิกภาพของคนในสถาบันกษัตริย์ด้วยกรอบความผิดต่อความมั่นคงของรัฐ 

ดังนั้นเมื่อคุณปฏิเสธสถาบันนี้ คุณก็ต้องเห็นในหลวงเป็นคนธรรมดา ใครไปด่าว่าก็ไม่ถือเป็นเรื่องความมั่นคง รัฐก็ไม่เกี่ยว ถ้าในหลวงติดใจก็ต้องไปแจ้ง ความเอาผิดเอาเองเช่นคนธรรมดาทั่วไป 

การที่ ก้าวไกล เสนอให้เลิก 112 แล้วเอาความผิดนี้ออกจากหมวดความผิดต่อความมั่นคง ไปมีฐานะเป็นความผิดเช่นดูหมิ่นคนธรรมดา จึงเป็นการเลิกไม่นับในหลวงเป็นสถาบันของชาติอีกต่อไป

ถาม : ที่ก้าวไกลเขาบอกว่าไม่ได้ยกเลิก เขาเพียงแก้ไขมาตรา 112 ก็ไม่เป็นความจริง
ตอบ : ไม่เป็นความจริงครับ...แม้ร่างกฎหมายของก้าวไกล จะยังมีบทบัญญัติว่าด้วยการใส่ความหรือดูหมิ่นในหลวงไว้ โดยเฉพาะก็ตาม แต่เมื่อเลิกไม่คุ้มครองด้วยหมวดความผิดต่อความมั่นคงอีกต่อไปแล้ว นั่นก็คือการเลิกไม่นับถือในหลวงในฐานะเป็นสถาบันของชาติอีกต่อไปนั่นเอง ตัวตนของ 112 อยู่ที่ตรงนี้ เมื่อเลิกตรงนี้แล้ว แม้คุณจะสร้างกฎหมายเฉพาะอะไรขึ้นมาใหม่ เช่นให้โทษหมิ่นกษัตริย์หนักกว่าหมิ่นคนธรรมดาบ้าง หรือให้สำนักพระราชวังแจ้งความแทนในหลวงก็ตาม นั่นก็ไม่มีความหมายอะไร 

‘ตัวตน’พรรคก้าวไกล
ถาม : ก้าวไกลได้คะแนนเสียงเลือกตั้งถึง 14 ล้านเสียง จนเป็นที่ 1 แล้ว น่าจะเห็นแก่การใหญ่ ยอมแขวนวาระแก้ 112 ไว้เสียก่อนครับ มีเรื่องเร่งด่วนในบ้านเมือง ที่ผู้ลงคะแนนเขาเห็นว่าสำคัญ ต้องการให้พรรคก้าวไกล ขึ้นเป็นรัฐบาลทุ่มเทแก้ไขมากมายนักโดยเฉพาะเรื่องปากท้อง และปราบคอร์รัปชั่น

ตอบ : เพื่อนผม ลูกหลานผม ที่เลือกก้าวไกล ก็บ่นอย่างนี้เหมือนกัน ผมก็ตอบเขาไปให้ดูให้ดี ๆ ว่า ‘ตัวตน’ แท้จริงของก้าวไกลนั้น คืออะไร คิดอย่างไรกับสังคมไทยทุกวันนี้ จริงหรือที่ว่าพวกเขาคือ ‘พรรคปฏิรูป’

ถาม : มันไม่จริงหรือครับ?
ตอบ : ไม่จริง แกนกลางของพวกเขา เห็นสังคมไทยทุกวันนี้เป็นขยะ ซึ่งขยะต้องถูกทำลายไม่ใช่ปฏิรูป และต้องทำให้โครงสร้างส่วนบนฉิบหายสลายตัวไปเสียก่อน จึงจะปูรากฐานสร้างบ้านเมืองใหม่ขึ้นมาได้ อำนาจจากประชาชนที่ก้าวไกลสร้างขึ้น จึงต้องเป็นอำนาจที่มีธรรมชาติของการปฏิวัติ ไม่ใช่การปลุกให้เลือกตั้งหย่อนบัตรแล้ว ปล่อยกลับไปนอนรอดูผลที่บ้านอีก 4 ปี

ถาม : อำนาจลุกฮืออย่างนี้ สร้างอย่างไร?
ตอบ : อธิบายตามทฤษฎีจิตวิทยาการเมือง ก็ต้องสร้างให้คนธรรมดาๆ ถูกสิงสู่ด้วย ‘ชีวิตหมู่ปฏิวัติ’ จนเป็นมวลชนที่ไวต่อโทสะและพร้อมเสียสละ

ปัจจัยจัดตั้งที่สำคัญที่สุดคือ ความจงเกลียดจงชัง เพราะคนเราเกลียดอะไรร่วมกันแล้วจะหลอมรวมเกิดชีวิตหมู่ได้ง่ายมาก 

ทุกขบวนการมวลชนในอดีต จึงต้องมีปีศาจที่เลวร้ายและมีอิทธิฤทธิ์มาก มาให้ผู้คนเคียดแค้น เห็นเป็นต้นตอความสิ้นหวังในปัจจุบันให้ได้เสียก่อน เช่น…

- ถ้าเป็นมวลชนคอมมิวนิสต์ ปีศาจก็เป็นนายทุน 
- ถ้าเป็นมวลชนนาซี ปีศาจก็เป็นยิว 
- ถ้าเป็นมวลชนชาตินิยม ปีศาจก็เป็นจักรวรรดินิยม
- ถ้าเป็นนีโอนาซีของเซเลนสกี้ ปีศาจก็เป็นรัสเซีย

ดังนั้น ถ้าเป็นเมืองไทย คุณคิดว่าใครที่จะโดนวาดภาพให้เป็นปีศาจได้ง่ายและร้ายที่สุด?

ถาม : คำตอบก็คือ สถาบันกษัตริย์ และสมุนขุนศึก อย่างนั้นหรือ?
ตอบ : ถูกต้องครับ และเพื่อให้ดูขลัง ให้เห็นเป็นภาระโค่นล้มอันศักดิ์สิทธิ์ของเขา ก็เลยโมเมว่า เป็นมรดกที่คณะราษฎร์สืบสานส่งต่อมาให้เขาด้วย นี่ถึงขนาดโทรศัพท์คุยข้ามภพกันได้เลย คุณไม่เห็นหรือ ด้วยความเข้าใจเช่นนี้ การที่คุณไปหวังให้ก้าวไกลวางมือเรื่องแก้ไข 112 จึงไม่ต่างกับการไปขอให้ขบวนการนาซีของฮิตเลอร์เลิกยุ่งกับยิวเลยทีเดียว

ถาม : เพราะตัวตนของเขาคือการปฏิเสธระบบกษัตริย์ ?
ตอบ : อ่านในทางจิตวิทยาการเมือง ผมตอบได้เช่นนั้น แต่ลำพังแค่นี้คุณอย่าเอาไปอ้างให้ศาลยุบพรรคก้าวไกลนะครับ มันต้องมีหลักฐานการจัดตั้ง และปลุกระดมทางโซเชียลมีเดีย มาประกอบด้วยว่า พวกเขามีเครือข่ายและกิจกรรมการปลุกระดมเช่นนี้อยู่จริงๆ มาให้ศาลเห็นด้วย 

งานนี้ผมเพียงแต่ใช้ความรู้มาอธิบายเป็นคำตอบเท่านั้นว่า ทำไมพรรคก้าวไกล เขาถึงแขวนงานยกเลิก 112 เพื่อจะได้เป็นรัฐบาลไม่ได้เท่านั้น

ถาม : หลายคนชื่นชมว่า เส้นทางของก้าวไกลคือประชาธิปไตยใหม่ ที่ไม่ต้องใช้เงินและหัวคะแนน
ตอบ : จริงครับที่ว่าเป็นเส้นทางใหม่ แต่ไม่ใช่เส้นทางแห่งประชาธิปไตย มันเป็นเส้นทางของโมหะและโทสะ สมัยระบอบทักษิณ เขาจัดตั้ง ‘โลภะ’ ขึ้นมาเป็นสินค้าประชานิยม มายุคก้าวไกล เขาเพิ่ม ‘โมหะ’ ขึ้นมาอีกปัจจัยหนึ่ง

ถาม : ‘โทสะ’ จะมาเมื่อไหร่? 
ตอบ : เมื่อผู้คนลงถนน จนมีเหตุรุนแรงฆ่าฟันประชาชนเกิดขึ้น แล้วแพร่ไปในโซเชียลให้ผู้คนเห็นเป็นศพเด็ก ศพผู้หญิงถูกยิงตาย จนมวลชนฮือออกจากบ้าน เกิดเป็น ‘อาหรับสปริง’ หรือ ‘ฮ่องกงสปริง’ นั่นแหละครับคือจุดระเบิด ที่ลามเป็นสงครามกลางเมืองได้ ฝรั่งเศสวันนี้ก็เกิดแล้ว บ้านเราจะเกิด ‘ไทยสปริง’ หรือไม่ นี่คือเรื่องที่ต้องวิตก

ถาม : ผมเลือกก้าวไกลเหมือนกัน ผมเป็นมวลชนส้มหรือไม่?
ตอบ : ถ้าคุณไม่ถูกหลอมให้จงเกลียดจงชังสถาบัน คุณก็เป็นเพียงคนปกติ ที่ดันไปเชื่อว่าเขาจะสร้างบ้านเมืองขึ้นมาใหม่ได้จริง ๆ เท่านั้นเอง 

ก็ไม่เป็นไรครับ...ระบบประชาธิปไตยบ้านเรา ประชาชนมีไว้หลอกอยู่แล้ว ต่างกันตรงที่ จะหลอกไปทิศทางไหน ถึงขั้นทำลายชาติเลยหรือไม่เท่านั้นเอง

~ แก้วสรร อติโพธิ

‘ชนนพัฒฐ์’ เร่งแก้น้ำแล้งน้ำเค็ม - สินค้าเกษตรตกต่ำ หวังช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตชาวสงขลา

นายชนนพัฒฐ์ นาคสั้ว ส.ส.สงขลา เขต 4 พรรคพลังประชารัฐ(พปชร.)เปิดเผยว่า  หลังจากที่ได้รับทำหน้าที่ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมบูรณ์แล้ว พร้อมจะทำหน้าที่อย่างเต็มกำลังความสามารถ และจะตั้งใจเป็นปากเป็นเสียง ผลักดันการพัฒนา และแก้ไขปัญหาให้กับประชาชนชาวสงขลา เขต 4 อย่างเต็มที่ และขอขอบคุณ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ  ที่ให้โอกาสและสนับสนุนคนรุ่นใหม่เข้ามาทำงานการเมือง ซึ่งถือเป็นเกียรติครั้งที่ใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งในชีวิต

สิ่งที่ต้องเร่งดำเนินการใน 3 เรื่องหลัก ในพื้นที่เขต 4  ซึ่งเป็นปัญหาของคนในท้องถิ่นอย่างแท้จริง   คือ 1.ปัญหาน้ำแล้งและน้ำเค็มที่รุกล้ำ โดยจะมีการเสนอสร้างแก้มลิงขนาดใหญ่ในทะลสาบในพื้นที่ ต.เกาะใหญ่ อ.กระแสสินธุ์ เพื่อใช้ในการกักเก็บน้ำจืด เพื่อการเกษตรในหน้าแล้ง เพื่อให้มีน้ำใช้ตลอดปีในการทำการเกษตรแล้ว ยังเป็นการป้องกันน้ำเค็มไม่ให้เข้ามาในพื้นที่ทำการเกษตรของประชาชน ซึ่งโครงการแก้มลิงอยู่ระหว่างการตั้งงบประมาณเพื่อการศึกษา ซึ่งหากโครงการสำเร็จ เกษตรกรในคาบสมุทรสทิงพระ จะไม่มีปัญหาเรื่องน้ำแล้งและ น้ำท่วมอีกต่อไป 2. ปัญหาประมง ต้องมีการพัฒนารายได้เสริมให้กับชาวประมง ที่ต้องหยุดการทำประมงเวลา 6 เดือน ในช่วงฤดูมรสุม  และ 3. แก้ปัญหาราคาสินค้าเกษตรพืชผล โดยการตั้งตลาดกลางรับซื้อผลผลิตทางการเกษตรจากเกษตรกรโดยตรง โดยตลาดกลางจะคิดราคาที่เป็นธรรม และบริหารจัดการราคาเพื่อไม่แสวงหากำไร เป็นการป้องกันพ่อค้าคนกลางเอาเปรียบเกษตรกร โดยอาศัยจากประสบการณ์ การทำธุรกิจ รู้เส้นทางการค้าขาย  ซึ่งใน 3 เรื่องนี้ เป็นปัญหาหลัก ที่ต้องผลักดันอย่างเต็มที่เพื่อประโยชน์ของชาวสงขลา 

“แม้ผมจะไม่เคยเล่นการเมือง ไม่ว่าจะระดับไหน แต่ผมมีความรู้ มีความเข้าใจ ในปัญหาของประชาชน และที่สำคัญคือ ผมมีความตั้งใจที่จะเป็นนักการเมือง ที่จะเข้ามารับผิดชอบกับปัญหาที่เกิดขึ้น นอกจากนี้ ผมยังประสบความสำเร็จในเรื่องกีฬา ในฐานะที่เคยเป็นประธานสโมสรฟุตบอลนครศรี ยูไนเต็ด จ.นครศรีธรรมราช ก็จะใช้ประโยชน์ในเรื่องนี้ผลักดันให้เด็ก ๆ และเยาวชนในพื้นที่ใช้เวลาว่างไปกับการออกกำลังกายกับกีฬา ดีกว่าหันหน้าเข้าสู่ยาเสพติด" นายชนนพัฒฐ์ กล่าว

‘ดร.สุวินัย’ ตั้งข้อสงสัย 3 เรื่องถึง ‘ไพศาล’ เกิดอะไรขึ้นกับสภาพจิตของ ‘กูรู’ ท่านนี้

(17 ก.ค. 66) ดร.สุวินัย ภรณวลัย ประธานยุทธศาสตร์วิชาการ สถาบันทิศทางไทย อดีตอาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โพสต์ข้อความในหัวข้อ ‘กุนซือทิพย์ : บทเรียนด้านกลับสำหรับนักยุทธศาสตร์’ ใจความว่า…

จากรายการ "ถอนหมุดข่าว" ของ NEWS1 วันอาทิตย์ที่ 16 กรกฎาคม 2566 ได้นำเสนอรายงานพิเศษเรื่อง "ไพศาล พืชมงคลเป็นกูรูทิพย" ซึ่งมีความน่าสนใจยิ่ง  

ผมขอยก รายงานพิเศษ เรื่องนี้ มาให้อ่านกันอีกทีก็แล้วกัน ...

"โอกาสของพิธา จะได้เป็นนายกรัฐมนตรี แทบไม่เหลือแล้ว ...ต้องฝันค้างกลายเป็น ‘นายกฯ ทิพย์’p เพราะความหมกมุ่นกับการแก้ไข ม.112 ของพรรคก้าวไกล

คนที่เสียรังวัดอย่างแรงไปด้วยจากเดิมเป็นถึง 'กูรูการเมือง' ที่มีข่าวลึกๆลับๆมาโพสต์ทุกวัน จริงบ้างแต่เท็จจะเยอะกว่า แต่ตอนนี้ต้องมีสภาพเป็น 'กูรูทิพย์' ตาม 'นายกฯทิพย์' ไปแล้วเช่นกัน

เขาคนนั้นก็คือ นายไพศาล พืชมงคล อดีตกุนซือของลุงป้อม พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ ซึ่งช่วงหลัง ออกอาการ 'ฝ่ายแค้น' กับพรรคพลังประชารัฐ ค่อนข้างชัดเจน

ขณะเดียวกัน นายไพศาลก็เผยไต๋ว่า เข้าไปแอบอิงพรรคก้าวไกล เพราะเปิดหน้าเชียร์แหลก

แต่การเป็นด้อมส้มกับทำตัวเป็นกูรู บางทีมันก็ไปกันไม่ได้ นายไพศาลเลยได้บทเรียน(หน้าแตก) กับตัวเองจากการโหวตนายกรัฐมนตรี ครั้งที่ผ่านมา

เพราะขณะที่ใครต่อใคร มองว่ายากที่ ส.ว. จะยกมือให้พิธา แต่นายไพศาล เป็นคนเดียวที่เปิดประเด็นแบบสวนกระแส ระบุว่า ...ผู้มีอำนาจคุม ส.ว.ไว้ไม่ได้แล้ว ...

แต่โพสต์ของนายไพศาล ที่ทำเอาเขา 'สิ้นสภาพ' จากการเป็น 'กูรูการเมือง' ก็คือการฟันธงว่า นายพิธา จะชนะโหวตแบบม้วนเดียวจบ ในวันที่ 13 ก.ค.

แต่ผลจริงๆที่ออกมา เป็นตรงข้าม กลายเป็นนายพิธา โดนน็อกแบบม้วนเดียวจบ ..."

"นายไพศาลโพสต์ลงรายละเอียด ....เป็นคุ้งเป็นแควอย่างชัดเจนว่า เป็นมโนล้วนๆ เป็นความโลกสวยอย่างไม่น่าเชื่อของคนที่เชี่ยวการเมืองอย่างเขา

ยิ่งไปกว่านั้น นายไพศาลยังใช้สำนวนภาษาแนว 'ลิเก' แบบที่นายพิธา รวมถึงแกนนำคนอื่นๆของพรรคก้าวไกล ชอบใช้กันประจำ อีกต่างหาก

เรียกว่านายไพศาลออกตัวแรง ด้วยสำนวนภาษาให้รู้ว่า 'พวกเดียวกัน'

ความผิดพลาดในการเผยแพร่หลักคิดและข้อมูลคราวนี้ ส่งให้ไพศาลกลายเป็น 'กูรูทิพย์' ภายในพริบตา ตามพิธาที่เป็น 'นายกทิพย์'  

แสงอาทิตย์อัสดงของนายไพศาล ทำท่าจะดับวูบ
ซึ่งนายไพศาลควรทบทวนตัวเอง จะต้องเร้นกายปิดสำนักตัวเองล้างอายหรือไม่? ..."


อาจารย์ไพศาล (เกิด 9 ตุลาคม พ.ศ. 2490) ที่ผมรู้จัก ตั้งแต่สมัยที่เราทั้งคู่เคยเป็น "พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย" เพื่อต่อต้าน "ระบอบทักษิณ" ในปี 2549  ...เขาเป็นกุนซือที่รอบรู้และปราดเปรื่องคนหนึ่งอย่างหาตัวจับยาก  

ในปี พ.ศ. 2549 ตอนนั้นอาจารย์ไพศาลมีอายุ 59 ปี น่าจะอยู่ในช่วงท็อปฟอร์มที่สุด ในฐานกุนซือ เช่นเดียวกับคุณสนธิ ลิ้มทองกุล (เกิด 7 พฤศจิกายน ปี พ.ศ. 2490) ซึ่งอยู่ในช่วงท็อปฟอร์มที่สุดเช่นกันในฐานะ "แกนนำพันธมิตรฯ" ในวัย 59 ปี

ตอนนั้นทั้งผมและอาจารย์ไพศาลต่างก็เป็นคอลัมนิสต์ของสื่อผู้จัดการเหมือนกัน จึงเข้าออกบ้านพระอาทิตย์ของคุณสนธิ บ่อยมากในช่วงสถานการณ์สู้รบ

ผ่านไปแล้ว 17 ปี  ปัจจุบันอาจารย์ไพศาลและคุณสนธิต่างก็มีอายุ 75 ปีย่าง 76 ปีเหมือนกัน ขณะที่คุณสนธิยังคงอยู่ใน"สภาวะท็อปฟอร์ม" ได้อย่างน่าทึ่งสำหรับคนวัยนี้  คือคุณสนธิยังมีมันสมองที่เฉียบแหลม และมีจิตใจที่หนักแน่นมั่นคงเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง  ...กาลเวลา 17 ปี ที่ผ่านไปทำอะไรคุณสนธิไม่ได้เลยจริงๆ

ขณะที่การเปลี่ยนแปลงสู่ "ขาลง" ของอาจารย์ไพศาล" ที่ผมนับถือนั้น ทำเอาผมใจหายและแทบไม่เชื่อสายตาตนเอง

เกิดอะไรขึ้นกับ "มันสมอง" ของ "กุนซือสมองเพชร" คนนี้?

เกิดอะไรขึ้นกับ "สภาพจิต" ของ "กูรูการเมือง" ผู้เป็นเจ้าสำนักกระบี่เดียวดายท่านนี้?

โดยส่วนตัว ผมสนใจประเด็นนี้เป็นพิเศษ

ผมมีคำถามในใจหลายข้อเกี่ยวกับ "ความย้อนแย้งในตัวตนปัจจุบัน" ของอาจารย์ไพศาล และพยายามหาคำตอบให้กับตัวเองเพื่อใช้เป็นอุทราหรณ์สำหรับตัวเองในอีกสิบปีข้างหน้า

(1) "ทำไม คนที่ดำรงตำแหน่งอุปนายกและเลขาธิการสมาคมวัฒนธรรมและเศรษฐกิจไทย-จีน อย่างอาจารย์ไพศาล ถึงกลายมาเป็น 'พ่อยก' ด้อมส้มตัวเอ้ของพรรคก้าวไกล ทั้งๆที่พรรคก้าวไกลมีท่าทีที่ชัดเจนว่า ต้านจีน?"

(2) "ทำไม คนที่เคยเขียนบทความเชียร์จีน ทางด้านความมั่นคง-การเมือง-เศรษฐกิจ และต่อต้านลัทธิจักรวรรดินิยมของอเมริกา มานานหลายสิบปีอย่างอาจารย์ไพศาล จึงออกตัวแรงสนับสนุนพรรคก้าวไกลเต็มที่ ทั้งที่พรรคก้าวไกลมีจุดยืนชัดเจนว่า ยืนอยู่ฝั่งอเมริกาและต้องการชักศึกเข้าบ้าน เพื่อต้านจีน?"

(3) "ทำไม คนที่เคยชูคำขวัญ "เราจะต่อสู้เพื่อในหลวง" สมัยยังเป็นพันธมิตรฯ อย่างอาจารย์ไพศาล ถึงกลับเปลี่ยนธาตุแปรสี กลายมาเป็นผู้สนับสนุน "การแก้ ม. 112" ของพรรคก้าวไกล ที่มุ่งล้มล้างการปกครองและล้มสถาบัน?"

ผมสงสัยกระทั่งว่า อาจารย์ไพศาลในฐานะ "ผู้ปฏิบัติธรรม" ได้เคย "แลเห็นจิต" , เคย "แลเห็นความคิด" ตัวเองจริงๆหรือไม่?

ทั้งๆ ที่ จิตและความคิดของอาจารย์ไพศาลได้เปลี่ยนแปลงจากแต่ก่อนชนิดสวิงอย่างสุดขั้วไปอีกฝั่งแล้ว

สำหรับผู้ฝึกจิต โมหะหรือความหลง เป็นสิ่งที่ต้องรู้ทันและระวังให้มาก

"อาการหิวแสง" หรือความต้องการได้รับความสนใจจากสื่อและผู้คนทุกๆวัน ของ "กุนซือชรา" หรือ "กูรูการเมืองชรา" ...แค่บ่งชี้ว่า สภาวะจิตของบุคคลผู้นั้น ยังไม่ได้บรรลุ "ความพอใจในตนเอง" จนเพียงพอ

จึงทำให้ จิตของผู้นั้น มิอาจเป็น บ่อน้ำที่สะท้อนจันทราบนท้องฟ้า (สภาวะจิตแบบ "จันทร์ในบ่อ" ของเซน) ที่เป็นสภาวะจิตกระจ่าง ได้ ... 

ทำให้ไม่อาจสะท้อน "ความจริงที่มีอยู่หนึ่งเดียว" ได้อย่างถูกต้องตามความเป็นจริงได้

อย่างไรก็ดี ผมก็ยังเคารพอาจารย์ไพศาลอยู่เสมอ ในฐานะที่เขาเคยเป็นส่วนหนึ่งของแรงบันดาลใจให้ผม เลือกเดินบนเส้นทาง "กุนซืออิสระ" หรือ "นักยุทธศาสตร์อิสระ" อย่างบูรณาการตั้งแต่ 19 ปีก่อน 

จนเป็นที่มาของหนังสือ "ภูมิปัญญามูซาชิ -วิถีแห่งนักกลยุทธ์เชิงบูรณาการ" (สำนักพิมพ์ openbooks, 2550) ...ของผมในเวลาต่อมา

‘เศรษฐา’ ลั่น!! พร้อมเป็นนายกฯ คนที่ 30 หากถูกเสนอชื่อ  ไม่เคาะสูตรจัดตั้งรัฐบาล บอกต้องรอผลประชุม 8 พรรคก่อน

(17 ก.ค. 66) ที่พรรคเพื่อไทย (พท.) นายเศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีที่พรรคเพื่อไทย และพรรคก้าวไกล ขณะนี้ดูเหมือนจะมีปัญหา เรื่องการโหวตนายกรัฐมนตรีในรอบที่ 2 มองสถานการณ์อย่างไร ว่า วันนี้ช่วงเวลา 17.00 น.จะมีการพูดคุยกัน ก็ต้องรอผลการหารือของ 2 พรรคก่อน ซึ่งช่วงวันเสาร์ - อาทิตย์ที่ผ่านมา ตนเองได้รวบรวมข้อมูลจากคณะทำงาน 12 คณะ ของพรรคเพื่อไทย ที่เกี่ยวกับเรื่องเศรษฐกิจ มีความกังวลมาก ทั้งเรื่องภาระหนี้เสีย เรื่อง FTA ที่ยังค้างการเจรจา รวมถึงประเทศเพื่อนบ้านที่มีการแย่งแหล่งเงินทุนไปพอสมควร เราต้องเร่งเจรจา ไม่เช่นนั้นจะเป็นเรื่องใหญ่ ดังนั้น เรื่องเศรษฐกิจเป็นเรื่องสำคัญ อีกทั้งสถานการณ์ยังต้องเร่งให้จัดตั้งรัฐบาลโดยเร็วที่สุด

ส่วนสถานการณ์โหวต นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ในรอบแรก ทั้งเสียงสนับสนุนจาก ส.ว.รวมถึงเรื่องญัตติซ้ำ ในฐานะที่นายเศรษฐา เป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี พร้อมหรือไม่ นายเศรษฐา กล่าวว่า เรื่องนี้เราคุยเรื่องนี้กันมา 4 เดือนที่แล้ว ถ้าเกิดไม่พร้อมก็คงไม่มีรายชื่ออยู่ใน 3 แคนดิเดตของพรรคเพื่อไทย และเราพรรคเพื่อไทยในฐานะพรรคร่วมรัฐบาล เรื่องสำคัญที่สุดที่ได้รับมอบหมายในวันนี้ คือ เรื่องเศรษฐกิจ การเตรียมความพร้อมในการจัดตั้งรัฐบาล ฉะนั้น ต้องเตรียมนโยบายในการประชุม ครม.นัดแรก เรื่องการกระตุ้นเศรฐกิจ

เมื่อถามว่า หากรูปแบบจัดตั้งรัฐบาล ไม่มีพรรคก้าวไกล นายเศรษฐา พร้อมรับตำแหน่งหรือไม่ นายเศรษฐา กล่าวว่า ยังไม่ทราบ และยังไม่ได้พูดคุยกัน หากมีความเห็นแตกต่างจาก 8 พรรค ก็ต้องกลับไปคุยกันในกรรมการบริหารพรรค ซึ่งพรรคเพื่อไทย มีแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี 3 คน จึงต้องให้เกียรติ และไม่ขอก้าวล่วง

เมื่อถามว่า หากในสมการมีพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) เพิ่มขึ้นมา หรือพรรคอื่นนอกเหนือจาก 8 พรรค นายเศรษฐา ยังพร้อมเป็นนายกรัฐมนตรีหรือไม่ นายเศรษฐา กล่าวว่า เรื่องนี้ยังไกลเกินไป ขอรอผลประชุมจาก 8 พรรคก่อน

เมื่อถามว่า หากกรรมการบริหารพรรคมองอย่างไร ไม่ว่าจะเป็นสมการไหน และให้นายเศรษฐา รับตำแหน่งก็พร้อมทำตามกรรมการบริหารพรรคใช่หรือไม่ นายเศรษฐา กล่าวว่า ก็ต้องไปว่ากัน เพราะยังมีหลักการหลายอย่างที่ต้องพูดคุยกัน พร้อมย้ำ เรื่องเศรษฐกิจ ปากท้องเป็นเรื่องสำคัญ เรื่องใครจะมาร่วมหรือไม่ การจัดตั้งรัฐบาลโดยเร็วที่สุดเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุดในวันนี้

เมื่อถามถึงเงื่อนไขการรับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ว่า อย่าไปคุยถึงเงื่อนไข เราไม่มีเงื่อนไขอะไรทั้งสิ้น วันนี้ยังต้องไปดูเรื่องราคาน้ำมัน ภัยแล้ง และหลายๆ เรื่อง ซึ่งในระยะที่ผ่านมา มองว่าประชาชนอาจไม่ได้พูด แต่เรื่องปากท้อง เป็นเรื่องที่ทุกคนน่าจะห่วงกันมากกว่า ต้องอย่าลืมว่าเราเป็นนักการเมือง และหน้าที่ของนักการเมืองคืออะไร คือการดูแลประชาชนสำคัญที่สุดตอนนี่

เมื่อถามถึงกระแสตีกลับมายังพรรคเพื่อไทย รวมถึงมีคนมองว่า นายเศรษฐาก็อยากเป็นนายกรัฐมนตรี จะรับมืออย่างไร นายเศรษฐา กล่าวว่า ผมพูดสั้นๆ ว่า ครับ ก็ต้องรับครับ แต่พูดไป 3 หนแล้ว คำว่า ครับ ไม่ได้หมายความว่า รับ หรือ ไม่รับ แต่หมายถึง รับทราบถึงเสียงที่ว่าจะอยู่ด้วยกัน 8 พรรค แต่วันนี้เรื่องปากท้องสำคัญ ตนเองอาจจะพูดเหมือนแผ่นเสียงตกร่อง แต่ค่อนข้างเป็นห่วง ถ้าจะไปกับก้าวไกลเราก็พร้อมที่จะเสนอนโยบายในการประชุม ครม.นัดแรก หรือจะเป็นเรื่องอื่นก็ยังให้ความสำคัญกับเรื่องเศรษฐกิจปากท้อง

เมื่อถามย้ำว่า ที่สุดแล้วไม่ว่ากรรมการบริหารพรรคจะว่าอย่างไร พร้อมทำตามมติใช่หรือไม่ นายเศรษฐา กล่าวว่า ผมเล่นกีฬาเป็นทีมอยู่แล้ว เราเป็นประชาธิปไตย เมื่อมติเป็นอย่างไรก็พร้อมน้อมรับ และไม่อยากพูดเพื่อเป็นการกดดัน หรืออะไรทั้งสิ้น เพราะเป็นหน้าที่ของกรรมการบริหารพรรคในการพิจารณา ทั้งนี้ แม้จะถูกมองว่า จะมีการข้ามขั้ว แต่มองว่า อย่าพึ่งข้ามไปเลย วันนี้ขอให้ 8 พรรคคุยกันก่อนดีกว่า และมองว่า เราเล่นการเมืองกันมาเยอะแล้ว

‘ก้าวไกล’ ยืนยัน!! ส.ส.อยู่ครบ ไม่มีใครถูกซื้อเสียงโหวต ‘บิ๊กป้อม’ ชี้!! ได้บทเรียนแล้ว หากเป็นงูเห่าสอบตกยกแผง

(17 ก.ค. 66) ณัฐชา บุญไชยอินสวัสดิ์ ส.ส.กรุงเทพฯ รองเลขาธิการพรรคก้าวไกล ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีมีกระแสข่าวการซื้อ ส.ส. พรรคก้าวไกลและพรรคเพื่อไทยรวม 50 คน เพื่อเตรียมโหวตให้รัฐบาลเสียงข้างน้อยที่เสนอ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ เป็นนายกรัฐมนตรีว่า ขอยืนยันว่า ส.ส. ก้าวไกลอยู่ครบ ไม่มีใครถูกซื้อแน่นอน ครั้งที่แล้วประชาชนลงโทษ ส.ส. งูเห่าทุกคนสอบตกหมด คะแนนต่ำพันก็มี ทุกพรรคเห็นตัวอย่างกันดีอยู่แล้วว่าการทรยศต่อประชาชน ผลออกมาเป็นอย่างไร ส่วนเรื่องการเสนอชื่อ พล.อ.ประวิตรแข่งนั้น ขอพรรคเพื่อไทยอย่ากังวล ประชาชนจะกังวลไปด้วย เรื่องนี้เป็นไปไม่ได้ด้วยเหตุผล 3 ข้อ

ข้อแรก ภายใน ส.ว. เองก็ไม่ได้มีเอกภาพ แม้ส่วนใหญ่จะไม่โหวตให้พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ เป็นนายกฯ แต่ก็ไม่ได้หมายความทุกคนจะโหวตให้ พล.อ.ประวิตร ข้อสอง พรรคฝั่งรัฐบาลเดิมก็ไม่ได้เป็นเอกภาพ ว่าใครจะเป็นนายกฯ ถ้ามีการเสนอแข่ง ยังแย่งชิงกันอยู่ และข้อสาม สำคัญที่สุด แม้ตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อยได้ แต่ก็บริหารไม่ได้ ดังนั้น ถ้า 8 พรรคร่วมจัดตั้งรัฐบาลในปัจจุบันยังจับมือกันเหนียวแน่น แผนนี้ก็ไม่มีวันสำเร็จ

ส่วนกรณีที่มีการระบุว่าพรรคก้าวไกลสนใจแต่วาระทางการเมือง ไม่สนใจวาระประชาชน ความเดือดร้อนประชาชนต้องมาก่อนวาระการเมือง มัวลากยาวสู้ใน 2 สมรภูมิตามที่ประกาศเพียงจะทำเรื่องเชิงสัญลักษณ์นั้น ณัฐชากล่าวว่า พรรคก้าวไกลออกโรดแมปมาให้ประชาชนเห็นชัดๆ แล้วว่าเรามีแผนการอย่างไร จะสู้ในสองสมรภูมิ ซึ่งมีกรอบเวลาชัดเจนทั้งสองสมรภูมิ สมรภูมิโหวตนายกฯ ถ้าวันที่ 19 กรกฎาคม คะแนนโหวตนายกฯ รอบ 2 ยังห่างจาก 376 ก็เป็นอันจบ รอสมรภูมิต่อไปคือการยกเลิกมาตรา 272 ซึ่งต้องเข้าสภาฯ ภายใน 15 วันหลังยื่นร่าง คือภายในวันที่ 29 กรกฎาคมนี้ และถ้าผลออกมาคือร่างตก ก็จบเช่นกัน เรายอมถอยให้เพื่อไทยตั้งรัฐบาล พิธาเองก็ประกาศไปแล้วว่าถ้าไปต่อไม่ได้จริง ๆ ก็จะถอย เปิดโอกาสให้ประเทศ เพราะเวลาเรามีจำกัด จะลากไปเรื่อย ๆ ไม่ได้ เราคงไม่สามารถพูดชัดได้กว่านี้อีกแล้ว

ส่วนการที่บอกว่า มัวแต่สู้เชิงสัญลักษณ์ ทั้งที่รู้ว่าแพ้ เรื่องนี้พรรคก้าวไกลยืนยันว่าเรามีภารกิจต้องรับผิดชอบต่อประชาชนในฐานะพรรคอันดับหนึ่ง ถ้าสู้เหยาะ ๆ แหยะ ๆ ก็เท่ากับบอกประชาชนว่าเรายอมรับกฎที่อยุติธรรมและความผิดปกติในประเทศนี้ เราเป็นพรรคการเมือง เป็นผู้แทนราษฎร ต้องพิทักษ์เสียงของประชาชนอย่างดีที่สุด ไม่ใช่ปล่อยให้เขาเอาไปทิ้งน้ำ ต้องสู้ถึงที่สุดก่อน เพื่อให้สมกับความไว้วางใจที่ประชาชนมอบให้

‘ภูมิธรรม’ ซัด ‘พิธา’ มัดมือชก ‘เพื่อไทย’ แก้ 272  เหน็บ!! นี่คือ ‘วาระประเทศ’ ไม่ใช่วาระ ‘ก้าวไกล’ 

(17 ก.ค. 66) ที่พรรคเพื่อไทย (พท.) นายภูมิธรรม เวชยชัย รองหัวหน้าพรรค พท. กล่าวถึงกรณีนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกลและแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีพรรคก้าวไกล ระบุว่า จะต่อสู้ใน 2 สมรภูมิ คือ การโหวตนายกฯ และการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ม.272 ว่า ไม่เข้าใจว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร เพราะการเปิดสมรภูมิใหม่ของพรรคก้าวไกล เป็นการเสนอประเด็นที่อยู่นอกเหนือเอ็มโอยูที่ 8 พรรคเซนต์ร่วมกัน ส่วนที่จะต่อสู้จนประสบความสำเร็จและไม่สามารถไปได้แล้ว และจะมอบอำนาจให้กับพรรคอันดับ 2 นั้น เป็นการพูดเช่นนี้ฟังดูดี แต่ทั้ง 2 ประเด็น มียากลำบากและไม่มีกรอบเวลาชัดเจน 

นายภูมิธรรม กล่าวว่า การแก้ไข ม.272 เป็นได้เพียงสัญลักษณ์ ไม่ได้รับชัยชนะ แต่การเร่งตั้งรัฐบาลจะทำให้การแก้ไขรัฐธรรมนูญตามที่พรรค พท. ได้เสนอเป็นนโยบายไว้ว่าจะแก้ทั้งระบบ นี่ถือเป็นวาระสำคัญแต่การเปิดวาระใหม่ ของพรรคก้าวไกล เป็นการเสนอนอกเหนือเอ็มโอยู ตนเห็นว่าการที่นายพิธา และพรรคก้าวไกลนำเสนอเรื่องดังกล่าวต่อสาธารณชน จึงคิดว่ามันไม่ใช่วาระของทั้ง 2 พรรค เราตกลงกันว่าจะกลับไปคุยในพรรคตัวเอง แต่ที่นายพิธาออกมาพูดเช่นนี้เหมือนมัดมือชก เราจึงจำเป็นต้องออกมาพูดความจำเป็น และความเป็นจริงให้ทราบ

นายภูมิธรรม กล่าวต่อว่า สิ่งที่ตนกล่าวไม่ใช่ความขัดแย้งหรือโกรธกัน แต่เราจะเสนอความเห็นอย่างตรงไปตรงมาว่า วาระประเทศและวาระประชาชนคือสิ่งที่สำคัญที่สุด ไม่ใช่วาระของพรรคก้าวไกล หรือวาระของนายพิธา วันนี้อยากให้เปิดใจให้กว้างแล้วเอาวาระประชาชนเป็นที่ตั้ง วาระประเทศเป็นที่ตั้งถูกต้องหรือไม่ การที่นายพิธา พูดว่าเวลานี้ อนาคตของพรรคก้าวไกล และอนาคตของประชาชนอยู่ในมือของประชาชนแล้ว ตนคิดว่าอย่าเอาประชาชนเป็นตัวประกัน วันนี้ประเทศชาติและปัญหาประชาชนอยู่ในมือพรรคก้าวไกล และนายพิธา จึงต้องหยิบเอาปัญหาและวาระของประชาชนเป็นที่ตั้งแล้วตัดสินใจ ถ้าการตัดสินใจครั้งนี้ผิดพลาด ปัญหาประชาชนจะลำบาก ต้องอยู่กับพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และรมว.กลาโหม ไปอีกนาน และจะรักษาการไปเรื่อยๆ แต่ถ้าตัดสินใจถูกต้องปัญหาจะคลี่คลาย อยากให้นายพิธา และพรรคก้าวไกลนำไปคิด

“พรรค พท. ขอให้เอาวาระประชาชนเป็นที่ตั้ง แล้วหาทางออกร่วมกันอย่างรวดเร็ว เพราะเราห่วงโรคแทรกซ้อน หากรัฐบาลเดิมจัดตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อย เราจะสู้เขาไม่ได้เพราะเขามี 188 เสียง และส.ว.อีก 250 เสียงสามารถตั้งรัฐบาลได้เลย เราต้องอยู่กับลุงไปอีก 4 ปี ประชาชนยินดีเช่นนั้นหรือไม่ ถ้าไม่ยินดีก็ต้องหาทางออก” นายภูมิธรรม กล่าว

เมื่อถามว่า ได้คิดเรื่องการเปลี่ยนตัวแคนดิเดตนายกฯ ไว้บ้างหรือไม่ นายภูมิธรรม กล่าวว่า พรรค พท. ไม่มีแผนสำรอง แผนแรกแผนเดียว เราอยากจับมือกับ 8 พรรคร่วมเดินหน้าไปให้ถึงที่สุด แต่ต้องมีคำตอบที่ชัดเจน ไม่ใช่ปล่อยให้มีการเลือกไปเรื่อยๆ โดยที่ประเทศไม่รู้ว่าทางออกจะเป็นอย่างไร เรารอไปถึงต้นปีหน้าไม่ได้ เพราะปัญหาประเทศตอนนี้รุนแรงมาก ไม่ต้องห่วงเรื่องแคนดิเดตนายกฯพรรค พท. ซึ่งพรรค พท. มีแคนดิเดตอยู่แล้ว 3 คน หากวันไหนชัดเจนให้พรรค พท. เสนอ เราสามารถเสนอได้ แต่ไม่ใช่วาระสำคัญเราไม่คิดเรื่องนี้ก่อน เราคิดถึงการหาทางออกให้กับประเทศ 8 พรรคการเมืองเสนอนายพิธา ถ้าไม่ได้จะมีวิธีไหนที่ 8 พรรค จะดำเนินการร่วมกันให้ชนะ

เมื่อถามว่า การพูดคุยวันนี้จะต้องเตรียมแคนดิเดตนายกฯ สำรองไว้เลยหรือไม่ นายภูมิธรรม กล่าวว่า เรื่องนี้ไม่ต้องห่วง ความเป็นจริง เรารู้อยู่แล้วว่าแคนดิเดตของเราเป็นอย่างไร ถ้าบอกว่าพรรค พท. ไม่ได้คิดเลย ก็เท่ากับโกหก เราคิดทางออกแต่ยังพูดไม่ได้ เพราะอยากให้ชัดเจนถึงความมุ่งหน้าสนับสนุนของความร่วมมือของ 8 พรรค จนถึงเวลาจำเป็นแล้วถึงจะเสนอ และชัดเจนจะไม่มีคนนอก ขอให้สบายใจว่าหากถึงเวลาต้องเสนอ พรรค พท. มีคนเข้าไปทำงานแน่นอน แต่ขณะนี้ยังไม่ได้มีการพูดคุยกับแคนดิเดตทั้ง 3 คน เพราะเรามุ่งหน้าทำเรื่องการเสนอนายพิธา เป็นเรื่องหลัก

“สิ่งที่ผมพูดอาจทำให้เกิดความไม่สบายใจของใครก็ตาม อาจมีรถทัวร์ลงก็ได้ แต่ผมคิดว่าเรายืนอยู่บนความเป็นจริง และอยากให้ความเป็นจริงประสบความสำเร็จ เราไม่อยากเห็นความเชื่อทำให้เกิดความจริง เราอยากเห็นความจริง เอามาคลี่คลาย และทำให้ความเชื่อประสบความสำเร็จ” นายภูมิธรรม กล่าว

เมื่อถามถึงกระแสข่าว ส.ส.พรรคเพื่อไทย และพรรคก้าวไกล ไปพูดคุยกับรัฐบาลเดิมหรือไม่ นายภูมิธรรม กล่าวว่า วันนี้มีข่าวลือมาก เราได้ยินข่าวดังกล่าว แต่เมื่อเป็นข่าวลือเราไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าเป็นความจริงหรือไม่ สิ่งที่สำคัญคือกลับไปตรวจสอบคนของตัวเอง เพราะประวัติศาสตร์การเมืองไทย เรื่องการแจกกล้วย เรื่องงูเห่าเคยเกิดมาแล้ว เราเสนอให้เกิดการระมัดระวัง เราต้องให้เกียรติ ส.ส.ทั้ง 2 พรรค และในส่วนของพรรค พท. ได้ให้แกนนำแต่ละส่วนไปพูดคุยกับ ส.ส.เพื่อป้องกันไม่ให้เรื่องเหล่านี้เกิดขึ้น

‘เสรีพิศุทธ์’ ชี้!! ‘พิธา’ ไม่ค่อยมีจุดยืนเป็นของตัวเอง เหมือนมี ‘คณะฯ’ อะไรมาควบคุม แนะ!! ควรถอยห่างบ้าง จะได้เป็นตัวของตัวเองมากขึ้น

(17 ก.ค. 66) พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย กล่าวในรายการ ‘เจาะลึกทั่วไทย Inside Thailand’ ระบุว่า…

“ตั้งแต่ได้รู้จักคุณพิธามา เป็นคนดี น่ารัก มีความรู้ แต่พูดตรงๆ ภาพที่ออกมาแบบทุกวันนี้ เพราะไม่ค่อยมีจุดยืนเป็นของตัวเอง มีอะไรมาคุมข้างหลัง มี คณะฯ อะไร มาคุมพรรคก้าวไกล จับซ้ายก็ได้ ขวาก็ได้ คณะฯ พวกนั้นควรถอยไปบ้าง และให้คุณพิธาเป็นตัวของตัวเองจะดีกว่า”

'ลูกชัชชาติ' พูดถึง 'ก้าวไกล' ไม่มีใครอยากให้คุณได้อำนาจ  มีแต่เด็กเกเรเอาแต่ใจ ที่ยังสนับสนุนคุณเท่านั้น

(17 ก.ค. 66) แสนดี แสนปิติ สิทธิพันธุ์ บุตรชายนายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ได้โพสต์ข้อความลงไอจี โดยมีผู้ใช้ทวิตเตอร์ 'zyzz1028' ได้นำมาแปลและส่งต่อ เนื้อหาระบุว่า...

ถึง พรรคก้าวไกล ผมขอพูดตรงๆ ในฐานะผู้สนับสนุนพรรคเพื่อไทยและคนฝ่ายเดียวกัน

1. ไม่มีทางแก้ม. 272 ได้

2. ไม่มีทางแก้กฎหมายที่หลายคนเห็นต่างกันได้

3. พิธาไม่ได้เป็นนายกฯ หรอก ไม่มีวัน

4. ตราบใดที่ก้าวไกลยังฝืนส่งแคนดิเดตนายก คุณไม่มีทางชนะ

5. คุณไม่ได้ชนะแลนสไลด์ เสียงส้มกับแดงต่างกันแค่ 10 เสียง รอบของคุณจบแล้ว คุณหมดสิทธิเลือกก่อนแล้ว

6. ส.ว. กับคนทั่วไปไม่แคร์การประท้วงของคุณหรอก ยังไงส.ว.ก็มีอำนาจอีก 1 ปี รอบหน้าก็ชนะให้ได้เกิน 65% เหมือนพรรคไทยรักไทยปี 48 นะ ผมจะพิจารณาใหม่ตอนนั้น

7. คุณไม่มีนโยบายเศรษฐกิจที่ทำได้จริงเลย กลุ่มทุนผูกขาดและบริษัทยักษ์ใหญ่ไม่ต้องการคุณ เกษตรกรต้องการนโยบายปากท้อง ไม่ใช่เรื่องเพศ (gender ideology) การเบียวเรื่องโรคๆ ที่ไร้สาระ

8. โดยสรุป ไม่มีใครอยากให้คุณได้อำนาจ มีแต่เด็กเกเรเอาแต่ใจที่สนับสนุนคุณเท่านั้นแหละ

9. พรรคคุณอายุแค่ 2 ปี ตลอด 5 ปีที่ผ่านมาคุณทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันบ้าง ฟ้องร้องนู่นนี่ ผู้ก่อตั้ง 3 คนก็โดนตัดสิทธิ พิธาก็อาจโดนตัดสินว่าขาดคุณสมบัติ 

เปิดเซฟ 7 ส.ส.ก้าวไกล แต่ละคนมีทรัพย์สินเท่าไร?

(17 ก.ค. 66) สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ได้เปิดเผยบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินของ ส.ส. กรณีพ้นจากตำแหน่ง ระหว่างวันที่ 28 ก.พ. 17 มี.ค. และ 20 มี.ค.66 จำนวน 100 คน โดยมีบุคคลที่น่าสนใจ ดังนี้ 

-นายรังสิมันต์ โรม อดีต ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล แจ้งว่า มีทรัพย์สินทั้งสิ้น 13,380,781 บาท มีหนี้สินทั้งสิ้น 6,602,028 บาท แบ่งเป็นทรัพย์สินของนายรังสิมันต์ 8,039,177 บาท ของ Ivana Kurniamati (สัญชาติอินโดนีเซีย) คู่สมรส 5,341,603 บาท นอกจากนี้ ยังแจ้งมีบ้านเดี่ยว 1 หลัง ได้มา 23 ก.ค. 2564 มูลค่า 4,950,000 บาท ครอบครองเหรียญดิจิทัล 15 เหรียญ 13,337 บาท และเหรียญดิจิทัลอีก 10 เหรียญ 12,117 บาท สร้อยคอ 13 เส้น 313,205 บาท ทองคำแท่ง 1.201 กิโลกรัม 2,136,571 บาท เป็นต้น

โดยนายรังสิมันต์ ระบุว่า มีรายได้ต่อปี 1,936,736 บาท มีรายจ่ายต่อปี 1,799,290 บาท ที่น่าสนใจ นายรังสิมันต์ แจ้งมีรายได้จากการขายภาพศิลปะ 84,750 บาท ขายหนังสือ 115,435 บาท รายได้จากงานมงคลสมรส 139,811 บาท นอกจากนี้ นายรังสิมันต์ ยังหมายเหตุไว้ในส่วนของรายจ่ายว่า มีการชำระหนี้ กยศ. 48,699 บาท โดยชำระ กยศ.หมดแล้ว

-นายณัฐชา บุญไชยอินสวัสดิ์ อดีต ส.ส.กทม. พรรคก้าวไกล แจ้งสถานะโสด มีทรัพย์สินทั้งสิ้น 10,485,862 บาท ได้แก่ เงินสด 3.2 แสนบาท เงินฝาก 90,223 บาท เงินลงทุน 391,498 บาท โรงเรือนและสิ่งปลูกสร้าง 8.4 ล้านบาท ยานพาหนะ 936,960 บาท สิทธิและสัมปทาน 161,500 บาท ทรัพย์สินอื่น 185,680 บาท มีหนี้สินทั้งสิ้น 4,040,151 บาท มีรายได้รวม 1,362,720 บาท มีรายจ่ายรวม 1,785,149 บาท โดยนายณัฐชา แจ้งถือครองอาวุธปืน 5 กระบอก ได้มาก่อน 20 มี.ค. 2566 มูลค่า 185,680 บาท

-นายณัฐวุฒิ บัวประทุม อดีต ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล แจ้งว่า มีทรัพย์สินทั้งสิ้น 9,265,886 บาท มีหนี้สินทั้งสิ้น 513,701 บาท เป็นทรัพย์สินของนายณัฐวุฒิ 7,483,327 บาท ไม่มีหนี้สิน เป็นทรัพย์สินของ น.ส.กรรณิการ์ วงศ์ไชย นักสังคมสงเคราะห์ชำนาญการ คู่สมรส 1,782,558 บาท มีหนี้สิน 513,701 บาท 

-นายวาโย อัศวรุ่งเรือง อดีต ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล แจ้งว่า มีทรัพย์สินทั้งสิ้น 40,542,103 บาท มีหนี้สินทั้งสิ้น 15,215,388 บาท เป็นทรัพย์สินของนายวาโย 30,337,958 บาท หนี้สิน 15,215,388 บาท ของ น.ส.เกวลิน พูลภิไกร คู่สมรส 10,204,145 บาท ไม่มีหนี้สิน

-นางอมรัตน์ โชคปมิตต์กุล อดีต ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล แจ้งว่า มีทรัพย์สินทั้งสิ้น 71,578,345 บาท มีหนี้สินทั้งสิ้น 2,944,378 บาท เป็นทรัพย์สินของนางอมรัตน์ 52,348,025 บาท (มีบ้าน 8 หลัง 26.25 ล้านบาท) ไม่มีหนี้สิน เป็นทรัพย์สินของนายวิเชษฐ์ โรจนสุกาญจน ผอ.ฝ่ายบริหารการเงิน สถาบันคุ้มครองเงินฝาก คู่สมรส 19,230,320 บาท มีหนี้สิน 2,944,378 บาท โดยมีบ้าน 3 หลัง 13.8 ล้านบาท

-น.ส.ศิริกัญญา ตันสกุล อดีต ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไก แจ้งสถานะโสด โดยระบุว่า มีทรัพย์สินทั้งสิ้น 5,294,506 บาท ได้แก่ เงินฝาก 428,834 บาท เงินลงทุน 915,472 บาท โรงเรือนและสิ่งปลูกสร้าง 3,690,000 บาท สิทธิและสัมปทาน 260,200 บาท มีหนี้สิน 2,013,536 บาท มีรายได้รวม 1,767,720 บาท มีรายจ่ายรวม 1,105,000 บาท

-นายพิจารณ์ เชาวพัฒนวงศ์ อดีต ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล แจ้งว่า มีทรัพย์สินทั้งสิ้น 261,542,260 บาท มีหนี้สินทั้งสิ้น 165,181 บาท เป็นทรัพย์สินของนายพิจารณ์ 190,939,958 บาท มีหนี้สิน 47,416 บาท เป็นของนางอัจฉรียา เชาวพัฒนวงศ์ ที่ปรึกษาฝ่ายทรัพยากรบุคคล บจก.พิมคิน คอร์ปอเรชั่น คู่สมรส 50,495,800 บาท มีหนี้สิน 117,765 บาท ส่วนบุตรที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะมีทรัพย์สิน 20,106,502 บาท

ทั้งนี้ นายพิจารณ์ แจ้งมีรายได้รวมต่อปีโดยประมาณ 63,010,720 บาท ในจำนวนนี้คือการขายที่ดินในปี 64 มูลค่า 43 ล้านบาท และขายที่ดินในปี 2565 มูลค่า 16,848,000 บาท นอกจากนี้ นายพิจารณ์ยังแจ้งถือครองรถยนต์หรูหลายคัน เช่น Porsche PANAMERA ได้มา 25 ต.ค. 2564 มูลค่า 7 ล้านบาท Porsche 911 ได้มา 1 เม.ย. 2565 มูลค่า 8 ล้านบาท Bentley GT ได้มา 19 ต.ค. 2564 มูลค่า 15 ล้านบาท มอเตอร์ไซค์ Harley V-Rod ได้มา 3 ก.ค. 2560 มูลค่า 6 แสนบาท เป็นต้น


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top