Sunday, 29 June 2025
Politics

‘อดิศร’ ชี้ ‘พิธา’ จบ Harvard MIT พูดอังกฤษดี สง่างามเมื่อออกงานในต่างประเทศ มั่นใจ!! ไม่เดินหลงธงชาติแน่นอน

(13 ก.ค. 66) ที่รัฐสภาฯ ในวาระการเสนอชื่อบุคคลเข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี นายอดิศร เพียงเกษ ส.ส. บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย กล่าวอภิปรายว่า…

"คุณพิธาจบ Harvard MIT พูดอังกฤษดีกว่าผมเยอะ เวลาพิธาไปที่ฝรั่งเศส ไปจับมือกับประธานาธิบดีมาครง ไปแคนาดา ไปจับมือกับประธานาธิบดีทรูโด ไปจีนจับมือกับสีจิ้นผิง ไปอเมริกาจับมือกับผู้เฒ่าไบเดน มันสง่างาม รับรองไม่เดินหลงธงชาติแน่นอนครับ"
 

‘ชัยธวัช’ ลั่น!! เป็นผู้แทนราษฎร ไม่ควรเมินเฉยต่อปัญหา - ต้องมีสำนึกมโนธรรม

(13 ก.ค. 66) นายชัยธวัช ตุลาธน เลขาธิการพรรคก้าวไกล พูดอภิปรายในรัฐสภา วาระการเสนอชื่อบุคคลเข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ระบุว่า…

“เรามีความสำนึกว่า ถ้าเมื่อไหร่เกิดปัญหาขึ้นในสังคม แล้วผู้แทนราษฎรทำเป็นมองไม่เห็น เราคงอธิบายตนเองไม่ได้ว่า เรายังมีมโนธรรมสำนึกในฐานะผู้แทนราษฎรอยู่ได้อย่างไร”

‘ส.ว.ประพันธ์’ กางข้อกฎหมายคุณสมบัติ ชี้ชัด ‘พิธา’ ขาดคุณสมบัติตั้งแต่ต้น

(13 ก.ค.66) ที่รัฐสภา นายประพันธ์ คูณมี สมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) อภิปรายต่อที่ประชุมรัฐสภา เพื่อคัดค้านชื่อนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล เป็นนายกฯ โดยระบุว่า นายพิธาเป็นบุคคลที่มีคุณสมบัติและลักษณะต้องห้าม ขัดกับรัฐธรรมนูญ มาตรา 159 และ มาตรา 160 ประกอบกับมาตรา 98 (3) การเสนอชื่อดังกล่าวถือว่าขัดกับข้อบังคับข้อ 136

นายประพันธุ์ กล่าวด้วยว่ากรณีของนายพิธา ถูกคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ส่งเรื่องไปยังศาลรัฐธรรมนูญให้วินิจฉัยประเด็นสมาชิกภาพของนายพิธา ได้สิ้นสุดตามรัฐธรรมนูญหรือไม่ โดยศาลรัฐธรรมนูญได้ลงรับในทางธุรการ และเตรียมเสนอให้ที่ประชุมพิจารณาสัปดาห์ เป็นข้อเท็จจริงที่ปราศจากข้อสังสัยว่า นายพิธามีคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญ 

“การพิจารณาของสภาฯ มีหน้าที่พิจารณาว่าหัวหน้าพรรคเพื่อไทยเสนอชื่อนายพิธานั้น เป็นการเสนอชื่อบุคคลที่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญและข้อบังคับหรือไม่และมีปัญหาคุณสมบัติตามรัฐธรรมนูญหรือไม่ แม้มีคนแย้งว่าคำชี้ขาดของศาลไม่เป็นที่สุดจะพิจารณาแบบนั้นไม่ได้ แต่ผมมองว่าปัญหานี้ไม่จำเป็นต้องรอคำวินิจฉัย เพราะปัญหาคุณสมบัติของผู้สมัคร ส.ส. เป็นคุณสมบัติเดียวกันกับคนที่เป็นนายกฯ เป็นเรื่องที่วิญญูชน บุคคลทั่วไปวินิจฉัยได้ ไม่จำเป็นต้องถามศาล เพราะมีวิจารณญาณพิจารณาได้เองซึ่งท่านสามารถรู้ได้เองเหมือนกับว่าท่านจบ ม.6 หรือไม่” นายประพันธุ์ กล่าว

นายประพันธุ์ กล่าวด้วยว่า รัฐสภาไม่อาจรับชื่อของนายพิธาไว้พิจารณาลงคะแนนเสียงได้ เพราะคุณสมบัติขัดต่อกฎหมายและมีลักษณะต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญ หากรัฐภาลงมติพิจารณา ย่อมขัดกับรัฐธรรมนูญและข้อบังคับการประชุมรัฐสภา เพราะคนที่พิจารณาย่อมถือว่ารู้อยู่แล้วว่าและจงใจทำผิดและฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญ และข้อบังคับของการประชุมรัฐสภา หากดึงดันอาจจะถูกร้องตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 231(1) จงใจปฏิบัติหน้าที่ขัดกับรัฐธรรมนูญหรือกฎหมาย ไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานจริยธรรม ส่วนกรณีที่ ส.ว.จะลงมติอาจจะมีปัญหาต่อการทำผิดประมวลจริยธรรมเช่นเดียวกัน

‘เสรีพิศุทธ์’ ลั่น!! ‘กฎหมายสูงสุด’ ยังแก้ได้ แล้วทำไม ‘กฎหมายอาญา’ จะแก้ไม่ได้

(13 ก.ค. 66) พลตำรวจเอก เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย พูดอภิปรายในรัฐสภา วาระการเสนอชื่อบุคคลเข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ระบุว่า…

“รัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศเราก็ยังแก้ได้ แล้วทำไมประมวลกฎหมายอาญาเราจะแก้ไม่ได้”

'ดร.สุวินัย' วิเคราะห์!! แผนบันได 5 ขั้น 'รัฐไทย' พิชิต 'เครื่องมือ' ขั้วมหาอำนาจเจ้าโลกเก่า

(13 ก.ค.66) ดร.สุวินัย ภรณวลัย ประธานยุทธศาสตร์วิชาการ สถาบันทิศทางไทย อดีตอาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก 'Suvinai Pornavalai' ว่า...

จงอ่านเกมให้ขาด อ่านหมากให้ทะลุก่อน แล้วค่อยเลือกเถิดว่าจะสู้กับอะไร และสู้เพื่อใคร

- สถานการณ์ภาพรวมในขณะนี้ เราควรมองว่าเป็นการเผชิญหน้าระหว่าง พรรคก้าวไกลและมวลชนด้อมส้ม กับ อำนาจรัฐไทยโดยตรง

- ผมขออ่านหมากว่า กลยุทธ์ของรัฐไทย 2566 งวดนี้ น่าจะมาในมาด 'ดุดัน แข็งกร้าว พร้อมบวก' ซึ่งผิดจากท่าทีเมื่อปี 2553-2554 ตอนพวกเสื้อแดงเผาเมืองอย่างสิ้นเชิง 

- เหตุเพราะบริบทการเมืองระหว่างประเทศในปัจจุบันแตกต่างกว่าเมื่อสิบกว่าปีก่อนมาก มีการเผชิญหน้ากันระหว่าง ขั้วมหาอำนาจเจ้าโลกเก่า กับขั้วมหาอำนาจเจ้าโลกใหม่ ... โดยที่ประเทศไทยอยู่ในตำแหน่งภูมิรัฐศาสตร์ที่มหาอำนาจทั้งสองฝ่ายต่างต้องการดึงมาอยู่ในฝั่งตัวเอง ขณะที่รัฐไทยพยายามวางตัวเป็นกลาง แบบไผ่ลู่ลมจนถึงที่สุด

- พรรคก้าวไกล คือ เครื่องมือใหม่ล่าสุดที่ฝั่งขั้วมหาอำนาจเก่าต้องการใช้เพื่อคุมประเทศไทยให้อยู่ในอาณัติ เหมือนอย่างที่ได้ทำสำเร็จแล้วที่ประเทศฟิลิปปินส์ผ่านการเลือกตั้งครั้งล่าสุด จนทำให้ขั้วมหาอำนาจเก่าสามารถตั้งฐานทัพหลายแห่งในประเทศฟิลิปปินส์ได้อย่างชอบธรรม ตามยุทธศาสตร์เผชิญหน้ากับขั้วมหาอำนาจใหม่ของตน

- แต่ครั้งนี้ก้าวไกลน่าจะเจอตัวบทกฎหมายไทย และรัฐธรรมนูญไทย สั่งสอน อย่างหนักหน่วงกว่าในอดีต

- ถึงแม้พรรคก้าวไกลและพิธาจะรู้ดีว่า ตัวเองผิดอยู่แล้ว และคงแพ้ยับแน่ ในทางกฏหมาย  แต่เนื่องจากเป้าหมายของ กุนซือก้าวไกล นั้นมุ่งไปที่ ...

>> "ลากด้อมส้มลงถนน เพื่อให้โดนทางการปราบตามหน้าที่"  

พิธาและพรรคก้าวไกลจึงไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหมอะไรทั้งสิ้น

- จังหวะการตอบโต้ของรัฐไทยในรูป "นิติสงคราม" คาดว่าน่าจะแบ่งได้เป็น 5 จังหวะ หรือ 5 ขั้นตอนด้วยกัน คือ...

(1) กกต. เป็นคนชงให้ศาลรัฐธรรมนูญเล่นงาน (ปัจจุบันคือขั้นตอนนี้)

(2) ยุบทั้งคน ยุบทั้งพรรค

(3) ลากลงคดีอาญา ถึงขั้นจำคุก

(4) ไล่กวาดพวกสื่อ อินฟลูฯ ในระดับทำความสะอาดบ้านครั้งใหญ่

หลังจากที่พลเอกประยุทธ์วางมือไปแล้ว จึงไม่มี '3ป' เป็นข้ออ้างทางวาทกรรมให้โจมตีว่าเป็น 'ฝั่งเผด็จการ' เหมือนก่อนหน้านี้แล้ว ... ความเข้มข้นของการกวาดล้าง อาจจะไม่รุนแรงเท่ากับที่จีนได้ทำใน 'โมเดลฮ่องกง' แต่มันจะขับเคลื่อนไปในทิศทางนี้แน่นอน

(5) ส่วนอีกฝ่ายคงตอบโต้ด้วย 'มวลชนจัดตั้ง' กับ 'กองทหารรับจ้างจากต่างชาติ' แน่นอน เพื่อสร้างสถานการณ์ให้แผ่นดินลุกเป็นไฟลามทั้งแผ่นดิน ... เพื่อบีบให้รัฐไทยออกโรงเต็มตัวในที่สุด

- การประชุมรัฐสภาเพื่อโหวตนายกฯ วันที่ 13 กรกฎาคม ... มันคือบทละครฉากนึงเท่านั้น เพราะไม่ว่ามติจะออกมายังไง  ...

กุนซือก้าวไกลก็จะลากมวลชนด้อมส้มลงถนนอยู่ดี 

- การที่คนรุ่นใหม่รู้สึกเลือดพล่านต่อ 'สิ่งที่เป็นอยู่' นั้นผมพอเข้าใจ

แต่คนรุ่นใหม่ต้องใช้สมอง ใช้สติปัญญา อ่านหมาก อ่านเกมส์ให้ออกแบบเห็นป่าทั้งป่าด้วย

ด้วยความปรารถนาดี

‘นริศโรจน์’ ซัด!! เหล่าดารา-คนดัง หลังแห่เปิดหน้าแขวะ กกต. ฟาดแรง!! “คงเล่นละครมาก ไปจนไม่รู้อะไรทั้งนั้น”

(13 ก.ค. 66) นายนริศโรจน์ เฟื่องระบิล อดีตเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงบัวโนสไอเรส ประเทศอาร์เจนตินา โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ระบุว่า…

“รู้ว่าเป็น ‘ดารา’ แต่ถ้าดาราไม่รู้ว่า กกต.มีไว้ทำไม อันนี้คนทั่วไปคงตอบแทนเขาได้ คงเล่นละครมาก ไปจนไม่รู้อะไรทั้งนั้น”

'ส.ว.สมชาย' แฉ!! เจตนาก้าวไกลเรื่อง ม.112 ลั่น!! ดึงฟ้าลงดิน แต่ยังอ้างว่าแก้เพื่อปกป้อง

(13 ก.ค. 66) นายสมชาย แสวงการ สมาชิกวุฒิสภา ได้พูดอภิปรายในรัฐสภา วาระการเสนอชื่อบุคคลเข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ย้ำว่าจะไม่โหวต เลือกนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ให้ได้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี พร้อมยกกรณีการเสนอร่างแก้มาตรา 112 ที่หลายคนอาจยังไม่เคยเห็น ว่า...

ผมอยากนำเสนอเอกสารจากทางพรรคก้าวไกล ซึ่งได้เสนอร่างกฎหมายแก้ไขมาตรา 112 ของพรรคก้าวไกล ตัวจริง ซึ่งพรรคร่วมทั้ง 7 ไม่เคยเห็น ประชาชนก็ไม่เคยเห็น ร่างที่บอกไม่เคยเสนอเข้าสู่สภาฯ ลงเลขที่ 27/2564 ของสภาฯ วันที่ 25 มีนาคม 2564 และลงเลขรับอีกครั้งวันที่ 3 พฤศจิกายน 2564 

ทำไมถึงมีเลขรับ 2 ครั้ง และเหตุใด ส.ว.จึงไม่ไว้วางใจให้ก้าวไกลให้แก้ไข/ยกเลิกมาตรา112 และรัฐธรรมนูญมาตราที่เกี่ยวข้องกับชาติและสถาบันฯ ลองมาดูกันจะจะอีกครั้งครับ

ร่างกฎหมายดังกล่าว ถูกเสนอโดยพรรคก้าวไกลเข้าสภาผู้แทนราษฎร แต่ถูกท่านประธานสภาให้ไปปรับแก้ไข แต่ก้าวไกลก็ไม่ยอมแก้ไข และยืนยันจะเอาเข้าสภาฯ ให้ได้นั้น โดยในสาระสำคัญของร่างนั้น ได้แยกมาตรา 112 ที่ป้องไม่ให้ผู้ใดหมิ่นประมาท อาฆาตมาดร้าย ต่อพระมหากษัตริย์ พระราชินี องค์รัชทายาท ออกจากกัน 

พร้อมทั้งลดโทษจำคุกลงเหลือแค่ไม่เกิน 6 เดือนไม่เกิน 1ปี และปรับลดโทษลงโดยไม่ต้องรับโทษเลย หากอ้างว่าทำเพื่อประโยชน์สาธารณะหรือหากเป็นความจริง 

ทั้งนี้ หากแยกดูในบางรายละเอียดจะพบข้อความระบุโทษที่มีการปรับลดกฎหมายซึ่งถือเป็นกฎหมายคุ้มครองประมุขของแผ่นดินไว้ดังนี้… ผู้ใดหมิ่นประมาท ดูหมิ่นหรือแสดงความอาฆาตมาดร้าย พระมหากษัตริย์ จะระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปีหรือปรับไม่เกิน 300,000 บาทหรือทั้งจำทั้งปรับ

ผู้ใดหมิ่นประมาทดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้าย พระราชินีรัชทายาทหรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือนหรือปรับไม่เกิน 200,000 บาทหรือทั้งจำทั้งปรับ

>> ยิ่งไปกว่านั้น หากผู้ใดติชม แสดงความคิดเห็นหรือแสดงข้อความใดโดยสุจริต เพื่อประโยชน์สาธารณะ >> ‘ผู้นั้นไม่มีความผิด’ เพราะมองว่า ความผิดในลักษณะนี้ เป็นความผิดอันยอมความได้

หรือบางมาตราก็มีตัดโทษจำคุกทิ้งหมดเหลือแค่โทษปรับเล็กน้อย เช่น มาตราที่คุ้มครองพระราชอาคันตุกะ เจ้าพนักงาน ผู้พิพากษาในศาลยุติธรรม เป็นต้น

สิ่งเหล่านี้มีหลักฐาน เป็นลายลักษณ์อักษรในร่างกฎหมายที่พรรคก้าวไกลพยายามที่จะนำเข้าสู่สภาในสมัยที่แล้ว เพื่อที่จะแก้ไขถึง 2 ครั้งและก็ยังคงดำเนินการอยู่อย่างต่อเนื่อง

ผมจึงไม่ขอสนับสนุนให้นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคและแคนดิเดตของก้าวไกล ขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี

‘ไอติม พริษฐ์’ ถามเหล่า ส.ส.กลางรัฐสภา “พร้อมจะเคารพเสียงของประชาชน 14 ล้านคน ที่ออกมาใช้สิทธิ์เลือกตั้งหรือไม่”

(13 ก.ค. 66) นายพริษฐ์ วัชรสินธุ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร บัญชีรายชื่อพรรคก้าวไกล กล่าวอภิปรายในรัฐสภา ในวาระการเสนอชื่อบุคคลเข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ว่า…

“คำถามที่สำคัญสำหรับสมาชิกรัฐสภา ไม่ใช่คำถามว่าพวกเรา 750 คนนั้น มีความคิดเห็นอย่างไรกับคุณสมบัติของคุณพิธา ในการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี หรือมีความคิดเห็นอย่างไรกับนโยบายของพรรคก้าวไกล แต่คำถามที่สำคัญที่สุด ต่อหน้าสมาชิกรัฐสภาทุกท่านในวันนี้ ก็คือ พวกเรา 750 คน พร้อมจะเคารพเสียงของประชาชน 14 ล้านคน ที่ออกมาใช้สิทธิ์เลือกตั้งหรือไม่”

‘ศาสตรา ศรีปาน’ ย้ำจุดยืน ‘พรรครวมไทยสร้างชาติ’ ไม่เลือกนายกฯ ชื่อ ‘พิธา’

‘ศาสตรา ศรีปาน’ ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรครวมไทยสร้างชาติ อภิปรายในการประชุมรัฐสภา ย้ำจุดยืน พรรครวมไทยสร้างชาติ ไม่เลือกนายกฯ ชื่อ ‘พิธา’ เหตุต้องปกป้องสถาบันหลักของชาติตามอุดมการณ์ของพรรคที่ไม่หนุนคนมีแนวคิดแก้ ม.112 ลั่น!! มีคนจำนวนมากพร้อมยอมตายเพื่อสถาบันฯ จึงอย่ามาขู่กันว่าจะลงถนน ถามกลับชอบหรือ? ชัยชนะบนซากปรักหักพัง

(13 ก.ค. 66) ที่รัฐสภา นายศาสตรา ศรีปาน ส.ส.สงขลา พรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.)ได้เป็นตัวแทนพรรคอภิปรายระหว่างการประชุมร่วมกันของรัฐสภาเพื่อลงมติเลือกนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ว่า วันนี้ตนเป็นตัวแทนของพรรครวมไทยสร้างชาติ ขอแสดงจุดยืนของพรรคในการเลือกนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ของประเทศไทย เสียงที่ตนส่งไปให้สมาชิกในสภาฯ และประชาชนนอกสภาฯ ขอเรียนให้ทราบว่าไม่ได้มีอคติหรือมีเรื่องใด ๆ ส่วนตัว แต่เป็นเรื่องของคนไทยที่รักชาติรักแผ่นดิน ที่จะมาบอกว่าวันนี้อุดมการณ์ของพรรครวมไทยสร้างชาติ คือความชัดเจนมาตั้งแต่เริ่มต้นว่า เราจะปกป้องและดำรงไว้ซึ่งสถาบันหลักของชาติ ดังนั้น เราจึงไม่สนับสนุน พรรคการเมืองใดหรือนักการเมืองคนใด ที่มีนโยบายในการแก้ไขมาตรา 112 เพราะเราเห็นว่าบ้านเมืองวันนี้ ก็สามารถเดินไปข้างหน้าได้สามารถพัฒนาไปข้างหน้าได้ โดยไม่จำเป็นต้องแก้ไขมาตรานี้เลย และไม่จำเป็นต้องมาทำลายขนบธรรมเนียมไทยหรือต้นทุนทางวัฒนธรรมไทยที่มีมานานตั้งแต่ในอดีต

นายศาตรา อภิปรายว่า ตนได้เห็นการขับเคลื่อนการเดินสายพูดถึงประวัติศาสตร์ที่สร้างบาดแผลให้กับชาติไทย ทำให้เกิดความสงสัย เช่น การแบ่งแยกดินแดน การแบ่งแยกแผ่นดิน สิ่งเหล่านี้ทำให้คนไทยและสังคมไทยดีขึ้นหรือไม่ ไม่มีเลย มีแต่สร้างความแตกแยกแบ่งแยกคน ออกเป็นฝักเป็นฝ่าย ไม่ได้มีประโยชน์ใด ๆ เลย รูปที่มีอยู่ทุกบ้าน ตนเชื่อว่ามีอยู่ในบ้านของใครหลาย ๆ คนข้างนอก โครงการพระราชดำริ เช่นที่อำเภอหาดใหญ่ มีโครงการพระราชดำริของในหลวงรัชกาลที่ 9 ทำให้เราไม่ต้องสูญเสียชีวิตและทรัพย์สิน วันนี้มีนักเรียนทุนจากคนยากจน พวกเขายังซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณของสถาบันพระมหากษัตริย์ ดังนั้นอย่าเหยียบย่ำหัวใจคนไทยไปมากกว่านี้เลย

“ผมขอได้ไหมไม่แก้มาตรา 112 ไปแก้ปัญหาปากท้องของประชาชนยังมีอีกจำนวนมากที่จะเสนอการแก้ไขกฎหมาย เพื่อช่วยพี่น้องประชาชนได้ การแก้มาตรา 112 มีแต่สร้างความแตกแยก คุณบอกว่า 14 ล้านเสียงพร้อมจะลงถนน อีกกว่า 20 ล้านเสียงของผู้มีสิทธิเลือกตั้งก็พร้อมยอมตายถวายชีวิตเพื่อสถาบันฯ ฉะนั้น การแก้ไขมาตรา 112 จะสร้างแต่รอยร้าวรอยแตกแยกให้กับประเทศไทย คนลงถนนบ้านเมืองจะอยู่อย่างไร มีแต่พังพินาศ ชัยชนะบนซากปรักหักพังชอบกันหรือ ผมว่ามันไม่มีประโยชน์อันใด ถึงคุณจะบอกว่า 151 เสียงที่ได้มาหรือแม้แต่ทั้งรัฐสภา 750 เสียง คุณก็ไม่มีสิทธิ์ในการทำลายสิ่งที่บรรพบุรุษเขาสร้างกันมาตั้งแต่ต้น นี่คือประเด็นที่ประชาชน ที่อยู่ด้านนอกเขาคิด ฉะนั้นต้องฟังด้วย ไม่ว่าจะเป็นเสียงส่วนน้อยเสียงส่วนใหญ่ก็ต้องฟัง” นายศาสตรากล่าว

นายศาสตรา อภิปรายต่อว่า การที่นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ จะได้เป็นนายกรัฐมนตรีหรือไม่ อย่ามาโทษใครทั้งสิ้น อย่ามาโทษส.ส. อย่ามาโทษกกต. หรือศาลรัฐธรรมนูญ อยู่ที่ตัวของนายพิธาเองที่ต้องตอบคำถามสังคมให้ได้ เพราะวันนี้กฎหมายเขียนชัดเจนว่า การจะเป็นนายกรัฐมนตรีจะเป็นส.ส.ห้ามถือหุ้นสื่อเขียนไว้ชัดเจนตั้งแต่ก่อนพรรคอนาคตใหม่จะตั้งขึ้นมาพอเขาบอกว่าให้ถอนร่างแก้ไข ก็ถอนได้แต่ทำไมไม่ถอนออกตั้งแต่แรก จะได้ไม่ต้องมีการอภิปราย จะได้เลือกนายกคนที่ 30 กันเลย ดังนั้น ไม่ต้องโทษใครทั้งสิ้น และวันนี้นายพิธาก็ต้องตอบสังคมให้ได้ เพราะวันหนึ่งบอกว่ามาตรา 112 จะแก้ไข อีกวันหนึ่งบอกว่าจะยกเลิก บางวันขึ้นเวทีติดสติ๊กเกอร์บอกว่าแก้ไขแล้วค่อยไปยกเลิก แล้วจะให้พวกตนคิดอย่างไร?

“นักการเมืองที่ปากอย่างใจอย่างถามว่าประชาชนจะเชื่อได้หรือไม่? นี่คือสิ่งที่คุณต้องตอบ และผมเชื่อว่า ประชาชนก็ติดตามอยู่ โดยเฉพาะร่างแก้ไขมาตรา 112 ร่างมาจนไม่เหลือความคุ้มครองอะไรเลย และไม่สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญมาตรา 6 ที่บัญญัติว่า องค์พระมหากษัตริย์ให้ทรงดำรงอยู่ในฐานะอันเป็นที่สักการะผู้ใดจะละเมิดไม่ได้” ส.ส.สงขลา พรรครวมไทยสร้างชาติกล่าว

นายศาสตรา อภิปรายย้ำว่า ตนเกิดมารุ่นราวคราวเดียวกับนายพิธา 40 ปี ไม่เคยโดนฟ้องมาตรา 112 เลย กฎหมายก็อยู่ในส่วนของกฎหมายไม่มีนิติสงคราม มีแต่นิติรัฐทุกคนอยู่ภายใต้กฎหมายเดียวกัน นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้น ฉะนั้น วันนี้พรรคก้าวไกล มีการยื่นเสนอ มีนโยบายที่จะแก้ไขมาตรา 112 ซึ่งขัดกับอุดมการณ์ของพรรครวมไทยสร้างชาติ ซึ่งเราเห็นว่า การแก้มาตรา 112 มีแต่สร้างความเกลียดชังและแตกแยกของคนในสังคมไทย และกระทบต่อความรู้สึกของคนไทยในช่วงที่ประเทศชาติต้องการความรักความสามัคคี ดังนั้นพรรครวมไทยสร้างชาติตัวแทนของประชาชนคนไทย ผู้ที่รักและเทิดทูนสถาบันฯ จึงไม่ขอโหวตสนับสนุน นายกคนที่ 30 ของประเทศไทยชื่อ ‘พิธา ลิ้มเจริญรัตน์’


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top