Sunday, 29 June 2025
Politics

ส่องแนวรบ 'ส.ว.' ผวาทุนใหญ่ยิงกระสุนล็อบบี้ ส่วนสูตรรัฐบาลเสียงข้างน้อยแผ่ว 'ลุงตู่' ไม่เล่นด้วย

ลุ้นกันระทึกว่าวันที่ 13 ก.ค. ที่จะถึงนี้ ‘พิธา ลิ้มเจริญรัตน์’ จะม้วนเดียวจบหรือม้วนเดียวจอด ถ้าคะแนนโหวตแตะ 376 เสียงทุกอย่างก็จบ แต่ถ้าไม่ถึงก็ต้องจอด จอดแล้วทำอย่างไรต่อ ท่านประธานรัฐสภา วันมูหะหมัดนอร์ มะทา พูดชัดว่าก็จะนัดประชุมใหม่ในวันพุธที่ 19 ก.ค. เปิดโอกาสให้เสนอชื่อ 'พิธา' ลุ้นโหวตรอบสองอีกครั้ง ถ้ารอบสองไม่ผ่านจะทำอย่างไร ท่านวันนอร์บอกต้องดูหน้างานกันอีกที แต่ท่านพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน รองประธานสภาฯจากพรรคเพื่อไทยบอกว่าอาจนัดประชุมต่อในวันที่ 20 ก.ค.ต่อไปเลย

ครับ ท่านสาธุชนในชั้นนี้ เอาเป็นว่าให้รับรู้แค่ว่าถ้าวันที่ 13 ก.ค.พิธาสอบไม่ผ่านก็ต้องไปลุ้นกันอีกทีวันที่ 19 ก.ค. ทั้งนี้ทั้งนั้นที่ว่ามานี้หมายถึงว่าพิธาไม่มีคู่แข่งนะครับ แต่ถ้ามีคู่แข่งอาจจะชื่อพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หรืออนุทิน ชาญวีรกูล แล้วบังเอิญคู่แข่งได้คะแนนถึง 376 เสียง ก็จบข่าว

หันมาสำรวจตรวจสอบคะแนนกันอีกครั้ง ก่อนจะถึงวันที่ 13 ก.ค. ตอนนี้ 8 พรรคที่หนุนคุณพิธายังผนึกแน่น 312 เสียง ขาดอีก 64 เสียง ซึ่งทั้งคุณไหม ศิริกัญญา ตันสกุล และคุณต๋อม ชัยธวัช ตุลาธน คนโตแห่งพรรคก้าวไกลยืนยันว่าดูจากฐานข้อมูลแล้วคะแนนสมาชิกวุฒิสภา หรือ ส.ว. มีพอเพียง มั่นใจว่าจะผ่านโหวตตั้งแต่รอบแรก แต่กระนั้นก็ยังจะเดินหน้าหาคะแนนเพิ่มต่อไป

สำหรับ 'เล็ก เลียบด่วน' แอบส่องกล้องมองดูทิศทางลมของ ส.ว. แล้วต้องบอกเหมือนเดิมว่า ไม่พอครับ ไม่พอเพียงเพียงพอที่จะให้คุณพิธาถึงฝั่งฝัน นับไปนับมาตอนนี้อยู่ที่ 15 เสียงบวกลบ แต่กระนั้นก็ต้องกระซิบเบาๆ กับท่านผู้อ่านท่านผู้ฟังทุกท่านว่า คีย์แมนฝ่าย ส.ว. ที่คัดค้านคุณพิธาเพราะติดใจในหลายเรื่องนั้น พวกเขาแอบหวั่นใจลึกๆ กับปฏิบัติการล็อบบี้ ส.ว. ของกลุ่มทุนกลุ่มหนึ่งที่เดินหน้าควักอาวุธลับหลายปึกต่อคน เพื่อให้ยกมือหนุนนายกฯ จากก้าวไกลหรือเพื่อไทย นัยว่าเพื่อสกัดกั้นพรรคสีน้ำเงินแห่งรถไฟฟ้าสายสีส้ม คีย์แมน ส.ว. กลุ่มนี้ฟันธงว่าถ้าพิธาพลิกล็อกเข้าป้าย ก็คงเพราะด้วยเหตุนี้แล

โดยภาพรวม ‘เล็ก เลียบด่วน’ มองข้ามช็อตว่าเมื่อพิธาจอดไม่ต้องแจววันไหน พรรคเพื่อไทยก็ต้องสลัดทิ้งก้าวไกลเพื่อเดินหน้าประเทศไทย เพราะขณะนี้นอกจาก ส.ว. ผูกเงื่อนตายไม่เอาพิธาแล้ว ยังชูธงโต้กระแสทวนอีกว่า รัฐบาลใหม่ของใครก็ตามต้องไม่มีพรรคก้าวไกลร่วมอยู่ด้วย ดังนั้นพรรคเพื่อไทยโดยต้องเจรจาต่อรองกับพรรคลุงป้อม พรรคอนุทิน ถ้าเกิด 'บิ๊กป้อม' ยื่นคำขาดขอเป็นนายกฯ แต่เพื่อไทยไม่ยอม งานช้างก็จะเกิดขึ้น การเมืองไทยก็คงดูไม่จืด

ทั้งนี้ทั้งนั้นสำหรับการเมืองสูตรรัฐบาลอนาคอนดาที่หมายถึงกลุ่มขั้วอำนาจเดิมที่เป็น ครม. รักษาการในปัจจุบันซึ่งมีเสียงรวมกัน 180 กว่าเสียง จะเดินแผนตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อยโดยชิงตำแหน่งนายกฯ โดยอาศัยเสียง ส.ว. 200 กว่าเสียง ตัดหน้ากลุ่ม 8 พรรคแล้วค่อยดูดเสียงจากพรรคเพื่อไทยภายหลังนั้นต้องบอกว่าโอกาสเกิดขึ้นยากมาก เพราะพรรครวมไทยสร้างชาติโดยประกาศิตจาก ‘บิ๊กตู่’ บอกว่าไม่เห็นด้วย เพราะหวั่นจะเข้าทางปืนอีกฝ่ายและเกิดความวุ่นวาย   

ดังนั้นไม่แปลกที่หากใครเข้าไปดูเพจพรรค รทสช. วันนี้ จะเห็นแบนเนอร์ประกาศจุดยืนไม่เอารัฐบาลเสียงข้างน้อยโดยเด็ดขาด ซึ่งนับเป็นสปิริตที่น่าชื่นชมของบิ๊กตู่โดยแท้ทรู และเพราะจุดยืนนี้ของพรรคลุงตู่ทำให้ปฏิบัติการขาเชียร์ลุงป้อมที่จะให้เดินสูตรรัฐบาลอนาคอนดาเกือบปิดประตู ต้องไปคิดสูตรอื่น

ครับ!! สุดท้ายก็ขออนุญาตจบกันห้วนๆ ในช่วงสุดสัปดาห์นี้ว่า การจัดตั้งรัฐบาลยังเดินหน้าไปด้วยความยุ่งยากและอาจมีความวุ่นวาย ทั้งๆ ที่ไม่ว่าหมุนไปสูตรไหน นายกฯ ก็หนีไม่พ้นคนใดคนหนึ่งใน 4 คน อุ๊งอิ๊ง เศรษฐา อนุทิน และบิ๊กป้อม ถ้าผิดจากนี้ก็ตัวใครก็ตัวใครล่ะกันค่อยมาว่ากันอีกที

'หม่อมปลื้ม' ลั่น!! การล้างสมองของนักวิชาการฝ่ายซ้าย บิดเบือนกลไกตลาด ยกระดับชีวิตด้วยการใช้เงินผู้อื่น ไม่คำนึงเศรษฐกิจจะพัง

"การล้างสมองคนจากนักวิชาการฝ่ายซ้าย คือ วันๆ คิดแต่เรื่องขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ และการเปลี่ยนแปลงประเทศให้เป็นรัฐสวัสดิการ...บิดเบือนกลไกตลาด...ยกระดับชีวิตด้วยการใช้เงินผู้อื่น ไม่คำนึงว่าเศรษฐกิจจะพัง และนายจ้างเดือดร้อนจากการแบ่งกำไรไม่รู้จบ"

ม.ล.ณัฏฐกรณ์ เทวกุล ผู้ดำเนินรายการ The Daily Dose โลกการเมืองทาง Voice TV กล่าวในรายการเมื่อวันที่ 7 ก.ค.66

>> ติดตามรายละเอียดได้ที่ >> https://thestatestimes.com/post/2023070810 

'กรณ์' ปัดเอี่ยว แคนดิเดตหัวหน้าพรรค ปชป.คนใหม่ แต่หวัง ปชป.กลับมาผงาด เป็นทางเลือก ปชช.ต่อไป

(8 ก.ค.66) นายกรณ์ จาติกวณิช ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ระบุว่า...

บางสื่อยังดึงผมเข้าไปมีส่วนร่วมกับการเลือกหัวหน้าพรรคคนใหม่ของ #ประชาธิปัตย์

ขอยืนยันว่า ผมไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ นะครับ แม้แต่สมาชิกพรรคยังไม่ได้เป็นเลย แต่ยอมรับว่า ผมแอบเชียร์อยู่ และเป็นกำลังใจให้กับพรรคเก่าของผม

'ประชาธิปัตย์' เคยมีบทบาทสำคัญในฐานะพรรคการเมืองหลัก เป็นที่พึ่งของประชาชน และเป็นพรรคที่ช่วยแก้ปัญหาวิกฤตของชาติบ้านเมืองหลายต่อหลายครั้ง 

พรรคเคยมีบทบาทโดดเด่นในฐานะผู้นำทางความคิด (ไม่ว่าคุณจะเห็นด้วยกับความคิดของพรรคหรือไม่ก็ตาม) เคยมีบทบาทในการชี้นำ และชี้แนะให้แก่สังคมไปในทิศทางที่ถูกที่ควร

ในฐานะประชาชนคนหนึ่งผมอยากเห็นบทบาทนี้จากประชาธิปัตย์อีกครั้ง เพื่อประชาชนอย่างเราๆ จะได้มีทางเลือกที่ดีเพิ่มขึ้นในการเลือกตั้งครั้งต่อๆ ไป

ในฐานะอดีตลูกพรรค ผมอยากเห็นพรรคกลับมามีความทะเยอทะยานที่จะเป็นผู้นำทางสังคมอีกครั้ง ผมคิดว่าประชาชนจะได้ประโยชน์อย่างยิ่งจากการที่ประเทศชาติมีพรรคแนวอนุรักษ์นิยมแบบก้าวหน้าที่สร้างสรรค์ (จะเรียกเป็นกลางซ้ายหรือกลางขวาก็ได้) 

ส่วนกรณีหลายสำนักข่าววิเคราะห์ชื่อของผมในกระบวนการคัดสรรหัวหน้าพรรค ขอยืนยันอีกครั้งว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องแต่อย่างใด และทั้งหมดนี้เป็นการแสดงความเห็นในฐานะผู้ถูกพาดพิงและอดีตสมาชิกพรรคเท่านั้น 

ขอให้กำลังใจว่าที่หัวหน้าพรรคทุกคนครับ

'โฆษก ปชป.' ซัด 'ธาริต' บิดเบือนคดี 99 ศพ ทั้งที่ 'ศาล-ป.ป.ช.' ตัดสิน 'อภิสิทธิ์-สุเทพ' ไร้ความผิด

(8 ก.ค.66) นายราเมศ รัตนะเชวง โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่ นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อดีตอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) แถลงข่าวพาดพิงบิดเบือนก่อให้เกิดความเสียหายต่อกระบวนยุติธรรม และเสียหายต่อนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกฯ, นายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตรองนายกฯ ว่า...

หลักการสำคัญในเรื่องนี้ ขอย้ำว่าสิ่งที่นายธาริต ออกมาพูดกล่าวหานายอภิสิทธิ์และนายสุเทพนั้น ได้มีการพิสูจน์ความจริงจนสิ้นกระแสความแล้วจากกระบวนการยุติธรรม จากคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) การพิสูจน์ความจริงผ่านกระบวนการยุติธรรมนั้น เนื่องจากมีการยื่นฟ้องนายอภิสิทธิ์ ต่อศาลอาญา ในข้อหาเจตนาฆ่าผู้ชุมนุม สั่งการให้เจ้าหน้าที่ทหารหน่วยต่าง ๆ สลายการชุมชุม ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ซึ่งเป็นข้อหาที่ร้ายแรง แต่ศาลชั้นต้นยกฟ้อง เพราะไม่มีเขตอำนาจในการพิจารณาคดีนี้ โดยศาลอุทธรณ์และศาลฎีกา มีคำพิพากษายกฟ้องเช่นกัน

นายราเมศ กล่าวว่า อำนาจการพิจารณาคดีจึงตกไปอยู่กับ ป.ป.ช. ซึ่งเป็นองค์กรอิสระที่มีอำนาจโดยตรง โดยผลการวินิจฉัยของ ป.ป.ช. รับฟังเป็นที่ยุติว่า เป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยชอบด้วยกฎหมาย ด้วยเหตุผล “อยู่ในช่วงการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรง ซึ่งปรากฏข้อเท็จจริงตามคำพิพากษาของศาลว่า การชุมนุมของกลุ่ม นปช. มิใช่การชุมนุมโดยสงบตามรัฐธรรมนูญ และมีบุคคลที่มีอาวุธปืนปะปนอยู่ในกลุ่มผู้ชุมนุม นปช. จึงมีเหตุจำเป็นที่ ศอฉ. ต้องใช้มาตรการขอพื้นที่คืน เพื่อให้เกิดความสงบสุขในบ้านเมือง โดยมีคำสั่งให้พนักงานเจ้าหน้าที่นำอาวุธติดตัว หากมีความจำเป็นสามารถนำมาใช้เพื่อระงับยับยั้งได้ไปตามสถานการณ์ หรือเหตุการณ์เฉพาะหน้า หรือป้องกันตนเองได้ อันเป็นไปตามหลักสากล ตามนัยคำพิพากษาศาลแพ่ง ในคดีหมายเลขดำที่ 1433/2553” และศาลฎีกาได้เคยวินิจฉัยไว้ในคดีเลขที่ 1699/2560 “ว่าการกระทำของ นายอภิสิทธิ์และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ เป็นการปฏิบัติหน้าที่ราชการเพื่อให้เกิดความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง” ซึ่งเป็นข้อเท็จจริงที่สอดคล้องต้องกัน ยุติด้วยข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย เพราะได้ผ่านการค้นหาความจริงด้วยกระบวนการยุติธรรม

นายราเมศ กล่าวต่อว่า การที่นายธาริตแถลงมาทั้งหมดทำไมไม่เอาไปสู้คดีในชั้นศาล ทำไมไม่เอาข้อเท็จจริงไปเข้าสู่กระบวนการของศาลในคดีที่เคยสั่งให้ดำเนินคดีนายอภิสิทธิ์และนายสุเทพ ส่วนที่นายธาริต กล่าวว่า "จากเหตุการณ์ดังกล่าว ทำให้กรมสอบสวนคดีพิเศษซึ่งมีตน เป็นอธิบดีในขณะนั้น จำเป็นต้องทำหน้าที่เพื่อรักษาความยุติธรรม ด้วยการดำเนินคดีต่อผู้ออกคำสั่งให้ทำร้ายประชาชน ในข้อหาตามมาตรา ป.อาญา มาตรา 288 – 289" 

ในประเด็นนี้ เคยย้ำมาตลอดเวลาว่า ยุติแล้วตามคำพิพากษาศาลฎีกาและคำวินิจฉัยของ ป.ป.ช ว่านายอภิสิทธิ์และนายสุเทพ ไม่ได้กระทำความผิดเป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยชอบด้วยกฎหมาย นายธาริตถูกฟ้องกลับในข้อหาเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบสืบเนื่องมาจากการดำเนินคดีนายอภิสิทธิ์และนายสุเทพ ศาลอุทธรณ์พิพากษาจำคุก ขณะนี้รอฟังคำพิพากษาศาลฎีกา ซึ่งนายธาริตเลื่อนฟังคำพิพากษามาหลายครั้ง ทำไมไม่เอาสิ่งที่แถลงเข้าสู่สำนวนคดีที่นายธาริตถูกฟ้อง แล้วต่อมาทำไมถึงต้องให้การรับสารภาพ แสดงว่านายธาริตยอมรับว่าได้ดำเนินกระบวนการดำเนินคดีนายอภิสิทธิ์และนานสุเทพโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย เพราะถ้ายืนยันว่าปฏิบัติหน้าที่ได้ถูกต้องตามกฎหมายแล้วจะรับสารภาพทำไม กลับมากล่าวหาบุคคลอื่น แสดงว่าที่ให้การรับสารภาพต่อศาลคือคำให้การเท็จใช่หรือไม่

"ทั้งนายอภิสิทธิ์ และ นายสุเทพ ไม่เคยปฏิเสธกระบวนการยุติธรรม ไม่เคยเรียกร้องให้มีการนิรโทษกรรมให้กับตนเอง ต่อสู้คดีจากข้อกล่าวหา จนผ่านกระบวนการตรวจสอบการพิสูจน์ด้วยกระบวนการยุติธรรมว่าไม่ได้ทำผิดตามที่กล่าวหา การที่นายธาริต ออกมาแถลง คำแถลงเป็นการทำลายความน่าเชื่อถือของกระบวนการยุติธรรม บิดเบือนให้สังคมสับสน เจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความตรงไปตรงมาไม่ต้องกลัวว่าจะถูกดำเนินคดี นายธาริตอย่าพยายามยกเรื่องนี้มาลบล้างการปฏิบัติหน้าที่ที่ไม่ชอบในการดำเนินคดีนายอภิสิทธิ์และนายสุเทพ คนจริงเขาไปสู้ในศาล ไม่ใช่มาพูดนอกศาลให้ตนเองดูดี ควรเคารพกระบวนการ ยืนกรานต่อสู้ตามหลักกฎหมาย และอย่าอายต่อความจริง ไม่เช่นนั้นเรื่องนี้จะไม่มีข้อยุติและจะนำเหตุการณ์นี้มาบิดเบือนเพื่อทำลายผู้อื่นอยู่ตลอดเวลา" นายราเมศ กล่าว

นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ กล่าวในรายการอิสรภาพแห่งความคิด กับ สำราญ รอดเพชร เมื่อวันที่ 8 ก.ค.66

"ผมคิดว่ารัฐบาลเสียงข้างน้อย ในความเห็นผมมันอยู่ไม่ได้หรอก แล้วมันจะมีแต่เสียนะครับ แล้วก็จะไปสร้างความชอบธรรมให้ฝ่ายตรงข้ามมากขึ้น"
 

‘สังศิต’ ประกาศจุดยืนการโหวต ‘นายกฯ’ วันที่ 13 ก.ค. นี้ ชี้!! ขอยกคำกล่าว ‘สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์’ มาเป็นแนวทาง

(9 ก.ค. 66) สังศิต พิริยะรังสรรค์ วุฒิสมาชิกและประธานคณะกรรมาธิการการแก้ปัญหาความยากจนและลดความเหลื่อมล้ำวุฒิสภา โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก 'สังศิต พิริยะรังสรรค์' เกี่ยวกับเรื่องการโหวตเลือกนายกฯ คนที่ 30 ระบุว่า…

สังศิต ประกาศท่าทีเลือกนายกรัฐมนตรีวันที่ 13 กรกฎาคม ศก. นี้

จุดยืนของผมในการเลือกนายกรัฐมนตรีในวันที่ 13 กรกฎาคม 2566 ณ สัปปายะสถาน อันแปลว่า “สถานที่ประกอบกรรมดี”

ผมจะน้อมนำคำกล่าวของสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ประยุทธ์ ปยุตฺโต) มาเป็นหลักในการลงคะแนนเสียง เพื่อเลือกนายกรัฐมนตรีคนใหม่

สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ กล่าวไว้ว่า…

“จะใช้ท่าทีวางเฉยต่อคน เพื่อรักษาธรรม
ไม่เห็นแก่คน - แต่เห็นแก่ธรรม
วางตัวเป็นกลางต่อคน
ไม่ขวนขวายช่วยคน เชียร์คน
เพื่อที่จะได้ไม่ก้าวก่ายแทรกแซงธรรม
หรือเพื่อให้เป็นไปตามธรรม”

สมเด็จพระพุทธโฆษาจาร์ย (ประยุทธ์ ปยุตฺโต)

สวัสดีครับ… จากผมเอง
สังศิต พิริยะรังสรรค์
วุฒิสมาชิกและประธานคณะกรรมาธิการการแก้ปัญหาความยากจนและลดความเหลื่อมล้ำวุฒิสภา
9 กรกฎาคม 2566

‘ประชาธิปัตย์’ เลื่อนโหวตหัวหน้าพรรค!! หลังองค์ประชุมมาไม่ครบ 250 คน

(9 ก.ค. 66) ที่โรงแรมมิราเคิล แกรนด์ คอนเวนชั่น หลักสี่ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 14.15 น. ที่ประชุมใหญ่วิสามัญพรรคประชาธิปัตย์ ได้เริ่มต้นอีกครั้งในวาระการเลือกตั้งหัวหน้าพรรค โดยสมาชิกได้ทยอยเดินเข้าห้องประชุม แต่ที่นั่งยังคงบางตา ท่ามกลางกระแสข่าวว่าจะมีการทำให้องค์ประชุมครั้งล่มไป

จนเมื่อเวลาผ่านไป 10 นาที คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช ในฐานะ กกต. พรรค ได้ประกาศว่า ขณะนี้มีจำนวนสมาชิก 221 คนแล้ว ถือว่าครบองค์ประชุมแล้ว แต่นายสามารถ ราชพลสิทธิ์ หนึ่งใน กกต. พรรคแย้งว่า ตามข้อบังคับพรรคต้องมีองค์ประชุมไม่น้อยกว่า 250 ท่าน ถือว่าไม่ครบองค์ประชุม 

ผู้สื่อข่าวรายงานว่าบรรยากาศในห้องประชุมเริ่มมีความตึงเครียด เนื่องจากยังไม่มีสมาชิกทยอยเข้ามาเพิ่ม ขณะที่นางสาวผ่องศรี ธาราภูมิ กล่าวว่า ขอให้ผู้มีสิทธิ์ทุกคนชูบัตรขึ้นเพื่อยืนตัวตนของผู้ที่มีสิทธิ์โหวต ปรากฎว่าไม่ครบองค์ประชุม เพราะได้แค่ 221 ท่าน

อย่างไรก็ตาม มีสมาชิกบางส่วนได้เสนอให้รอองค์ประชุมที่กำลังเดินทางมา เหมือนการประชุมสภาผู้แทนราษฎรที่ยังให้โอกาส ส.ส. เข้าร่วมประชุม แต่คุณหญิงกัลยา ยืนยันว่า ขณะนี้เวลาเลยนัดหมายไปแล้ว 20 นาที เมื่อสมาชิกใช้เวลารับประทานอาหารและทำธุระแล้วก็ควรเข้ามาร่วมประชุมตามที่นัดหมาย 

นายชัยชนะ เดชเดโช ส.ส. นครศรีธรรมราช กล่าวว่า ตนได้สอบถาม ทราบว่าสมาชิกหลายคนเดินทางกลับไปโรงแรมกำลังเก็บกระเป๋าเตรียมกลับบ้านและกำลังเดินทางมา ขอให้เลื่อนไปประชุมอีกครั้งเวลา 15.00 น. เพราะต้องให้ความเป็นธรรมกับสมาชิกที่เสียสละเวลามาประชุมในวันนี้ เพราะหลายคนเดินทางมาจากต่างจังหวัด หากทุกคนรักพรรคจริง ต้องดำเนินตามครรลองของพรรคด้วย พร้อมกำชับให้สมาชิกอยู่ในห้องประชุม ห้ามออกไปไหน แต่ก็ยังมีหลายคนเดินเข้าออกห้องประชุม และมีบางส่วนนั่งอยู่นอกห้องประชุม ไม่เข้าร่วมประชุม 

จากนั้นเวลา 15.00 น. กลับมาประชุมอีกครั้ง โดยนายราเมศ รัตนะเชวง โฆษกพรรค ประชาธิปัตย์ ในฐานะกกต. พรรค กล่าวว่า ขอให้องค์ประชุมมานั่งที่เก้าอี้ตัวเอง หากองค์ประชุมไม่ถึง 250 เสียงจะเดินต่อไปไม่ได้ และจะได้นัดประชุมครั้งใหม่ต่อไป

ภายหลังเจ้าหน้าที่นับองค์ประชุม คุณหญิงกัลยา แจ้งว่า ขณะนี้ตรวจสอบองค์ประชุมอีกครั้ง โดยขณะนี้มีองค์ประชุมเพียง 201 คน ดังนั้น กกต.พรรค จึงไม่สามารถดำเนินการต่อไปได้ เพราะองค์ประชุมไม่ครบ และขอเชิญหัวหน้าพรรคมารับหน้าที่ดำเนินการต่อ 

ต่อมา นายจุรินทร์ กล่าวว่า เมื่อองค์ประชุมไม่ครบก็ประชุมไม่ได้ หลังจากนี้ตนและเลขาธิการพรรคจะได้หารือต่อไป เพื่อดำเนินการอย่างใดอย่างหนึ่ง และขอยุติการประชุมในเวลา 15.09 น.

‘โบว์ ณัฏฐา’ แจงเหตุผล 'ก้าวไกล' ชนะที่ 1 แต่ไม่ได้เป็น ‘นายกฯ’ ทันที ชี้!! เพราะต้องเลือกผ่านสภาฯ แม้ไร้ ส.ว. ก็ต้องรวมเสียงให้เกินครึ่ง

(9 ก.ค. 66)  ‘โบว์’ ณัฏฐา มหัทธนา นักกิจกรรม นักเคลื่อนไหวทางการเมือง ทวีตข้อความบนทวิตเตอร์ส่วนตัว ‘@NuttaaBow’ โดยระบุว่า…

คำอธิบายว่าทำไมได้ที่หนึ่งแล้วไม่ได้เป็นนายกฯ โดยอัตโนมัติ มีคนบ่นมากว่า 1.ถ้าพรรคที่ชนะ ที่ 1 ไม่ได้เป็นนายกจะเลือกตั้งไปทำไม 2.ทำไมเลือกตั้งเสร็จแล้วไม่ได้นายกเลย ทำไมยังไม่จบง่าย

ตอบดังนี้ 1.พูดให้ง่ายเข้า ประเทศประชาธิปไตย บนโลกนี้ มีวิธีเลือก ผู้นำ สองแบบ คือ 1.1 ประชาชนเลือกผู้นำโดยตรง เช่น อเมริกา (ความจริงมีตัวแทนเลือกอีกที เรียกว่า electoral college แต่ช่างมันข้ามก่อน) และ 1.2 ผู้นำที่ถูกเลือกจากสภา (ที่ประชาชนเลือกมาอีกที) เช่น อังกฤษ เป็นต้น ไทย (ถ้าไม่มี สว.) เป็นแบบหลัง ดังนั้น มันจึงไม่ได้จบหลังเลือกตั้ง ชนะที่ 1 จึงไม่ได้เป็นนายกออโตเมติก ไม่เหมือนระบบแรก ที่ชนะเท่าไหร่ ชนะน้อยชนะมาก ก็เป็น ประธานาธิบดีเลย

เอ๊า แล้วทำไมหลายประเทศ เขาถึงเลือกแบบที่สองกัน อันนี้เป็นเรื่องปรัชญาและการออกแบบรัฐธรรมนูญแล้ว ซึ่งเรื่องมันยาว แต่ขอย่อสั้นๆ ดังนี้

A : เหตุผลด้านความชอบธรรมของเสียงส่วนใหญ่ ถ้าเลือกตรง คะแนนออกมาสี่คนที่ลงแข่ง 30%, 20%, 20%, 20% รวมกัน 100% จะเห็นว่า ที่ 1 ชนะเลย ทั้งที่เสียงไม่ถึงครึ่งด้วยซ้ำ ดังนั้นพูดในแง่นี้ ระบบเลือกผู้นำในสภา (ให้ได้เสียงเกินครึ่ง) จึงตอบโจทย์เสียงส่วนใหญ่กว่า ในระบบเลือกผู้นำตรง จะมีข้อเสียดังว่า เขาจึงพยายามออกแบบถ่วงดุล อำนาจ ปธน. กับ สภา ด้วยวิธีอื่น เช่น ตอนผ่านงบประมาณประจำ จะมีขั้นตอนที่ทั้งสองฝ่ายต้องดุลอำนาจกันเป็นต้น หรือในหลายประเทศใช้วิธีเลือก ปธน. หลายขั้นตอน เพื่อให้ได้เสียงเกินครึ่งจริงๆ

B : ในระบบที่ใช้สภาเลือกผู้นำ หากเกิดวิกฤตที่ทำให้ไปไม่รอด สภาเปลี่ยนผู้นำได้ โดยไม่ต้องกลับไปสู่การเลือกตั้งทุกครั้ง เช่น เมืองอังกฤษ สภาชุดนี้ก็เปลี่ยนนายกมาสามคนแล้วมั้ง ด้วยวิกฤตต่างๆ นายกคนที่แล้วท่านพลาดเรื่องแนวเศรษฐกิจมาก จนมีอายุอยู่ได้ เดือนกว่าๆ นึกภาพ ว่าต้องเลือกตั้งทุกครั้งที่นายกสิ้นสภาพ มันจะเป็นอย่างไร พูดง่ายๆว่า การเลือกผ่านสภา มันก็มีข้อดีในทางปฏิบัติด้วยและยึดโยงกับประชาชนอยู่

ถามว่ามีไหม ที่พรรคที่ 2 ได้เป็นนายก ในระบบ ปชต.

มีสิท่านๆ ลองไปเสิร์ชดู กระผมจะไปทำงานต่อไม่ว่างเสิร์ชให้แล้ว ดังนั้น ท่านต้องวางมายด์เซต ให้ถูกต้องก่อนเด้อขรั่บ ความวุ่นวายในการจับขั้ว หลังเลือกตั้งมันเป็นเรื่องปกติถูกแล้ว ที่ไม่ปกติ ก็เพราะมี สว. ที่ลากตั้งมายุ่งนี่เอง

แต่ แต่ แต่ สมมติว่าไม่มี สว. (สมมติเราเปลี่ยนผ่านไปสู่ปชตแล้ว แก้ รธน แล้ว) ก็ใช่ว่าท่านพิธา จะแบเบอร์ ท่านต้องรวมเสียงให้ได้เกินครึ่ง ครับ ถ้าไม่ได้ก็อด ก็เท่านั้นแหละครับ

ไม่อีกทีท่าน ท่านก็แก้ รธน เปลี่ยนไปสู่การเลือกนายกโดยตรง นับคะแนนดิบ แล้วเอาเลย ซึ่งในทางเทคนิคเพื่อให้สอดคล้อง ก็ต้องแก้หลายอย่างเพื่อดุลอำนาจใหม่ ระหว่าง สภา กับ นายกที่มาจากการเลือกตั้งตรง

หวังว่า ข้อมูลที่พี่เขียวนำเรียน จะคลายความหงุดหงิดของหลายท่านได้บ้าง ว่าทำไมนะ ท่านพิธาจึงไม่ได้เป็นนายกฉลุยๆ แบบนี้สักที เรื่องก็เป็นดังที่นำเรียนนี่เอง” จากมิตรสหายท่านหนึ่ง

‘ชูวิทย์’ แนะ ‘ก้าวไกล’ ต้องรู้จัก ‘ประนีประนอม’ หากดึงดัน ‘แก้ ม.112’ จะถูกผลักกลับไปเป็นฝ่ายค้าน

(10 ก.ค. 66) นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ อดีตนักการเมือง โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว ‘ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์’ หัวข้อ ‘ทางเลือกของก้าวไกล’ ระบุว่า ก้าวไกลได้รับเสียงจากประชาชนกว่า 14 ล้านเสียง แต่ยังต้องลุ้นเสียง ส.ว. อีกว่าจะโหวตผ่านให้พิธาเป็นนายกฯ หรือแม้แต่จะให้ก้าวไกลอยู่ในสูตรจัดตั้งรัฐบาลหรือไม่

อย่างที่ผมเคยบอกไว้ว่า ‘มีก้าวไกล ไม่มี ส.ว.’ ก้าวไกลต้องเลือก หากต้องการเป็นรัฐบาลต้องเลิกแตะ ม.112 แต่การถอย คือการฆ่าตัวตายทางการเมือง เพราะมีจุดยืนหาเสียงไว้ชัดเจน ก้าวไกลยืนกรานไม่ถอย และเดินสายขอบคุณประชาชนถี่ยิบเพื่อให้เห็นว่า ‘เข้าตามตรอก ออกตามประตู’ เดินตามกติกาประชาธิปไตย สร้างความหวังให้คนเห็น แต่อำนาจในการบริหารประเทศไม่มีใครยกให้ง่าย ๆ เหมือนอย่างที่พูด ‘มีลุง ไม่มีเรา’

ก้าวไกลต้องตัดสินใจครั้งสำคัญเพื่อจะได้โอกาสบริหารประเทศต่อไป หากยุ่งเกี่ยวกับ ม.112 ได้ไปเป็นฝ่ายค้านแน่ แต่การผลักให้ก้าวไกลเป็นฝ่ายค้าน เป็นแค่การเลื่อนเวลา และกลับจะทำให้ก้าวไกลเข้มแข็งขึ้น หากก้าวไกลได้บริหารประเทศ จะได้เห็นข้อผิดพลาดมากกว่าจากมือใหม่ ที่ต้องไปเจอระบบราชการที่เขี้ยวลาก อย่าคิดว่าจะจัดการได้ทุกเรื่องในเวลาที่จำกัด และเงื่อนไขที่ไม่เอื้ออำนวย

ก้าวไกลจะถูกโดดเดี่ยว แม้ว่าได้คะแนนเสียงมาก แต่เป็นพรรคของคนรุ่นใหม่ที่ต้องต่อสู้กับระบบเก่า การเมืองคือการประนีประนอม หากไม่ประนีประนอม ก็หมายถึงสงคราม ก้าวไกลต้องเรียนรู้เพื่อก้าวไปข้างหน้า ไม่ใช่ก้าวไปเป็นเงื่อนไขให้ถูกผลักกลับไปแบบเดิมอีก

ทุกวันนี้ประชาชนมองก้าวไกลเสมือนหนุ่มสาวที่มีไฟอุดมการณ์คุกรุ่น ในประเทศที่การเมืองอยู่ในมือของคนรุ่นเก่า เลือกมาผิดหรือถูก อนาคตตัดสินได้ เป็นบทพิสูจน์ว่าความหวังฝากไว้ที่คนรุ่นใหม่ได้หรือไม่ ไม่มีประเทศไหนฝากอนาคตไว้กับคนรุ่นเก่า มันแค่ขึ้นอยู่กับเวลาเท่านั้น

‘นันทิวัฒน์’ กระตุกต่อมจิตสำนึก ‘ส.ส. - ส.ว.’ หากรักชาติ-รักสถาบัน อย่าให้คนคิดไม่ดีได้มีอำนาจ

(10 ก.ค. 66) นายนันทิวัฒน์ สามารถ อดีตรองผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติ โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัวหัวข้อ ‘เรียกหาจิตสำนึก’ ระบุว่า ใกล้วันเลือกนายกฯ ในรัฐสภา เสียงจากพรรคการเมืองอ้างว่า เสียงเพียงพอ ส.ว.ให้การสนับสนุนจริงหรือไม่จริงไม่รู้ แต่มีข่าวลือมาเข้าหูว่า มีรถขนกล้วยคว่ำแถวหน้าสภา ขอให้เป็นข่าวปลอม คนแถวนั้นไม่ได้มาจากลพบุรี ไม่กินกล้วย สาธุ

มีเสียงจาก ส.ว.หลายคนชี้แจงว่า จะเลือกตามเสียงประชาชน มีคำถามว่า ส.ว.มีไว้ทำไม คำถามนี้ ต้องไปโทรถามคุณปรีดี เพราะปรีดีเป็นคนออกแบบให้รัฐสภาไทยมี ส.ว.ตั้งแต่เริ่มแรก จะให้เหมือนรัฐสภาอังกฤษที่มีสภาขุนนาง ที่มาจากการแต่งตั้งและสืบสายสกุล เพื่อเป็นพี่เลี้ยงและคอยถ่วงดุล ส.ส. ให้ทำเพื่อประเทศชาติ ไม่ต้องคำนึงถึงเสียง ส.ส. ที่มักอ้างเสียงประชาชน

แน่นอน ประชาธิปไตยต้องมีการเลือกตั้ง แต่ผลเลือกตั้งไม่ได้มีหลักประกันอะไรว่าจะนำพาประเทศชาติไปในทิศทางที่ถูกต้อง ฮิตเลอร์ผู้นำเผด็จการและก่อสงครามโลกครั้งที่สอง ส่งผลให้คนตายหลายล้านคนก็มาจากการเลือกตั้ง สงครามยูเครน บ้านแตกสาแหรกขาด บ้านเมืองย่อยยับ คนตายคนอพยพนับล้านคน ก็มาจากการเลือกตั้ง นั่นคือ เลือกคนผิด บ้านเมืองฉิบ….

ชัดเจนว่า พรรคแกนนำประกาศนโยบายชัดเจน ต้องการแก้ไขล้มล้าง ม.112 ผลักดันการเลือกปกครองตนเองด้วยคำสวยหรู การตัดสินใจอนาคตของตนเองของจังหวัดชายแดนภาคใต้ สุดท้ายจะจบอย่างไร ส.ส.และส.ว. จะยอมเสี่ยงหลับหูหลับตาเดินลงเหวทั้ง ๆ ที่มีคนตะโกนเตือนอย่างนั้นหรือ

อยากถามหาจิตสำนึกความรักชาติและรักสถาบันของ ส.ส.และส.ว.ทั้งหลายว่ามีอยู่จริงหรือไม่ อย่าทำตัวเป็นคนซื่อบริสุทธิ์ อย่าทำตัวเป็นคนไร้เดียงสาทางการเมือง จนไม่รู้ว่า อะไรดีหรืออะไรไม่ดีต่อประเทศชาติ อย่าจมน้ำตายเพราะเกาะตำราตะวันตกไม่ยอมปล่อย อย่าให้โอกาสคนที่คิดไม่ดีต่อสถาบันได้เป็นใหญ่


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top