Tuesday, 8 July 2025
Politics

เสริมแกร่งแรงงานไทย!! ‘สุชาติ’ บินลัดฟ้า เจรจารัฐมนตรีออสเตรเลีย เพิ่มขีดจำกัดแรงงานไทย เพื่อขยายสู่ตลาดโลก

‘สุชาติ’ เจรจา 2 รัฐมนตรี เล็งเปิดตลาดแรงงานสาขาใหม่ในออสเตรเลีย

วันที่ 2 มีนาคม นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน พร้อมด้วย นายสุรชัย ชัยตระกูลทอง ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงแรงงาน นายบุญชอบ สุทธมนัสวงษ์ ปลัดกระทรวงแรงงาน นางสาวอาจารีย์ ศรีรัตนบัลล์ เอกอัครราชทูต ณ กรุงแคนเบอร์รา และผู้บริหารระดับสูงกระทรวงแรงงาน เข้าพบ ฯพณฯ เบรนดัน โอคอนเนอร์ รัฐมนตรีด้านทักษะและการฝึกอบรม กระทรวงการจ้างงานและแรงงานสัมพันธ์ ประเทศออสเตรเลีย และ ฯพณฯ แอนดริว ไจลส์ (Hon Andrew Giles) รัฐมนตรีด้านการตรวจคนเข้าเมือง สถานะพลเมือง และกิจการพหุวัฒนธรรม ประเทศออสเตรเลีย เพื่อหารือประเด็น ความต้องการแรงงานไทยในภาคอุตสาหกรรม และภาคบริการอื่นๆ เพื่อขยายตลาดแรงงานไทยในออสเตรเลีย ณ นครเมลเบิร์น

นายสุชาติ กล่าวว่า ในวันนี้ตนพร้อมด้วยคณะผู้บริหารระดับสูงกระทรวงแรงงาน ได้เข้าเยี่ยมคารวะและหารือร่วมกับรัฐมนตรีด้านทักษะและการฝึกอบรม กระทรวงการจ้างงานและแรงงานสัมพันธ์ รวมถึงรัฐมนตรีด้านการตรวจคนเข้าเมือง สถานะพลเมือง และกิจการพหุวัฒนธรรม ของออสเตรเลีย ประเด็นความร่วมมือในการจัดส่งแรงงาน ไทยเข้ามาทำงานในออสเตรเลียเพิ่มขึ้นรวมถึงส่งเสริมให้ออสเตรเลียเปิดตลาดสำหรับแรงงานจากไทยในภาคอุตสาหกรรมและภาคบริการมากขึ้น ซึ่งในส่วนของกระทรวงแรงงานมีกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน ที่เป็นหน่วยงานฝึกอบรมและทดสอบมาตรฐานฝีมือให้แก่แรงงานเพื่อเตรียมความพร้อมตั้งแต่ต้นทางก่อนไปทำงาน ไม่ว่าจะเป็นการจัดให้เรียนภาษาอังกฤษ การอบรมเกี่ยวกับวัฒนธรรม ความเป็นอยู่และการใช้ชีวิตในต่างแดนให้แก่แรงงานก่อนเดินทางไปทำงาน ด้วยความมุ่งมั่นที่จะยกระดับคุณภาพแรงงานไทยเพื่อไปทำงานต่างประเทศ เนื่องจากประเทศไทยมีความพร้อมที่จะจัดส่งแรงงานภาคเกษตร ภาคการบริการ ภาคอุตสาหกรรมและภาคก่อสร้าง ที่มีศักยภาพสูง สามารถที่จะตอบสนองความต้องการแรงงานในออสเตรเลียได้

โบกมือลา ‘ธีราภา’ ลาออก กรรมการบริหาร ‘เพื่อไทย’ เหลือคณะกรรมการบริหารพรรค 13 คน

(2 มี.ค.66) - เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่ประกาศนายทะเบียนพรรคการเมืองเรื่อง การเปลี่ยนแปลงกรรมการบริหารพรรคเพื่อไทย

ตามที่นายทะเบียนพรรคการเมืองได้มีประกาศนายทะเบียนพรรคการเมือง ลงวันที่๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๖๕ เรื่อง การเปลี่ยนแปลงกรรมการบริหารพรรคเพื่อไทย มีคณะกรรมการบริหารพรรคเพื่อไทย จํานวน ๑๔ คน นั้น

บัดนี้ หัวหน้าพรรคเพื่อไทยได้แจ้งการเปลี่ยนแปลงต่อนายทะเบียนพรรคการเมือง ตามมาตรา ๓๘ แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. ๒๕๖๐ กรณี นางสาวธีราภา ไพโรหกุลลาออกจากตําแหน่งกรรมการบริหารพรรคเพื่อไทย ตามหนังสือลาออกลงวันที่ ๒ ธันวาคม ๒๕๖๕ โดยพรรคเพื่อไทยได้รับทราบการลาออกดังกล่าวในวันเดียวกัน ทําให้ความเป็นกรรมการบริหารพรรคเพื่อไทยสิ้นสุดลงเฉพาะตัว ตามข้อบังคับพรรคเพื่อไทย พ.ศ. ๒๕๖๑ ข้อ ๕๒ (๒)

กล้าพูดได้เต็มปาก! ‘เศรษฐา’ เลี่ยงตอบ “เก่งอย่างไร ให้มองที่ผลงาน” ย้ำ! “ตนเป็นคนตั้งใจ-พยายาม-ไม่ย่อท้อต่ออุปสรรค”

นายเศรษฐา ทวีสิน ประธานที่ปรึกษาเพื่อไทย ได้ตอบคำถาม ว่าถ้าหากคนที่เป็นนายกฯ ได้ตั้งคำถามถึงความเก่งของตน จะตอบว่าอย่างไร โดย นายเศรษฐา ได้ตอบคำถามนี้ว่า ไม่สามารถตอบคำถามนี้ได้ ให้คนมองดูที่ผลงานของตนแทน 

ตนได้เข้ามาทำบทบาทในฐานะนักการเมืองได้ไม่นาน ยังไม่ได้ทำอะไรมากมายนัก ทำให้ยังไม่มีผลงาน แต่ขอให้จับตามองต่อไปว่าจะมีผลงานอะไรบ้าง

ถอนหงอกรุ่นใหญ่!! 'ชัยชนะ' อัด'ไตรรงค์' ปมเงินล็อบบี้ เพื่อนั่ง ‘กก.บห.’ ลั่น! “ให้ร้ายบ้านเก่าเพื่อเอาใจบ้านใหม่”

'ชัยชนะ' ซัด 'ไตรรงค์' ตบะแตกเข้าทำนอง 'ให้ร้ายบ้านเก่าเพื่อเอาใจบ้านใหม่' ชี้ต้องยอมออกหน้า ปมเงินล็อบบี้ 500,000 บาท เพื่อตำแหน่ง กก.บห. แทนเจ้าของเรื่อง เพราะอาศัยความมีหลักการและเครดิตที่สูง ชี้คนที่เกี่ยวข้องต้องออกมาชี้แจง ยันอุดมการณ์ ปชป. ยังเข้มแข็งอยู่ตลอดไป แต่บางคนเท่านั้นที่อ่อนไหวไม่มั่นคงกับอุดมการณ์ของพรรคฯ

2 มี.ค. 2566 - นายชัยชนะ เดชเดโช ส.ส.นครศรีธรรมราช และรองเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่ นายไตรรงค์ สุวรรณคีรี รองหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ระบุถึงอดีตที่ผ่านมามีคนในปชป. เสนอเงิน 500,000 บาท ให้แก่ น.ส.วชิราภรณ์ กาญจนะ ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.สุราษฎร์ธานี พรรครวมไทยสร้างชาติ เพื่อให้ช่วยล็อบบี้คนในกลุ่มของ น.ส.วชิราภรณ์ โหวตเป็นดำรงกรรมการบริหารพรรคประชาธิปัตย์ ว่า นึกไม่ถึงนายไตรรงค์ ที่เคยถูกยกย่องว่าเป็นนักการเมืองคุณภาพคนหนึ่งในวงการการเมือง จะทำตัวเข้าทำนอง 'ให้ร้ายบ้านเก่าเพื่อเอาใจบ้านใหม่' เพราะที่ผ่านมา หลังจากนายไตรรงค์ ได้ย้ายไปสังกัด รทสช. แล้ว ก็ไม่ได้มีการพูดถึงพรรคประชาธิปัตย์แต่อย่างใด แต่เมื่อนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ระบุว่า มีพรรคการเมืองที่ไม่ได้เติบโตด้วยตนเอง แต่อาศัยตกปลาในบ่อเพื่อน ปรากฏว่า นายไตรรงค์ ออกอาการตบะแตก และแสดงพฤติกรรมไม่ต่างจากบางคนที่ออกจากพรรคประชาธิปัตย์ และไปสังกัดพรรคใหม่ คือการวาดภาพให้พรรคเดิมออกมาเลวร้าย เพื่อหวังให้ประชาชนสงสาร และตัดสินใจเลือกกลับเข้าไปทำหน้าที่ในสภาผู้แทนราษฎรอีกครั้ง

กรณีที่นายไตรรงค์ กล่าวอ้างว่า ในการเลือกกรรมการบริหารพรรคประชาธิปัตย์ มีการใช้เงินให้ได้ดำรงตำแหน่งฯ โดยกล่าวอ้างคำบอกเล่าของ น.ส.วชิราภรณ์ กาญจนะ บุตรสาวของนายชุมพล กาญจนะ ว่าอยู่ๆ มีคนเอาเงินมาให้ 500,000 บาท บอกให้ช่วยเจรจากับคนในกลุ่มอีก 3 คน เพื่อให้ยกมือสนับสนุนนั้น ตนสงสัยว่า ทำไมนายไตรรงค์ ถึงเพิ่งออกมาพูด ทั้งๆ ที่เวลาล่วงเลยมานานแล้ว ดังนั้น ตนขอชี้แจงว่า ยืนยันไม่มีใครเสนอให้เงินบุตรสาวนายชุมพล กาญจนะ ถึง 500,000 บาท ซึ่งหากไตรรงค์และ น.ส.วชิราภรณ์ มีข้อเท็จจริงก็ขอให้ยืนยันมา

ที่ผ่านๆมา นายไตรรงค์ ก็เป็นคนพูดจามีหลักการ และหลายๆคน ก็ยกย่องว่าเป็นนักการเมืองน้ำดี แต่ในช่วงหลายวันที่ผ่านมานี้ นายไตรรงค์ อาจจะพูดจาแบบไม่ทันได้ยั้งคิด จึงทำให้เกิดผลกระทบลามไปจนถึงพรรคที่ท่านสังกัดอยู่ในเวลานี้ รวมทั้งหากไม่มีหลักฐานตามที่กล่าวอ้างแล้ว นายไตรรงค์ก็ทราบดีว่า คนที่ถูกพาดพิงก็มีสิทธิที่จะปกป้องตัวเองตามกฎหมายเช่นเดียวกัน

"ที่ผ่านมา ผมก็ทราบว่า บางคนที่ออกจากพรรคประชาธิปัตย์ไป ก็พยายามสร้างภาพให้ประชาชนดูว่า ที่ออกจากพรรคประชาธิปัตย์ไป เพราะตัวเองถูกรังแกบ้าง ไม่ได้รับโอกาสบ้าง รวมทั้งแกล้งทำเป็นหลงลืมเพื่อจะได้พูดจาตอบโต้พรรคที่เคยจากมาได้อย่างเต็มที่ ซึ่งพรรคประชาธิปัตย์เองก็ได้แก้ปัญหาโดยการเปิดตัวคนใหม่ ให้มาเป็นผู้สมัครของพรรคฯ อย่างต่อเนื่อง เปรียบเสมือนการเพาะพันธุ์ปลาตัวใหม่ โดยเสริมวัคซีนเพื่อป้องกันไม่ให้ใครมาจับปลาในบ่อไปได้อีก รวมทั้งพยายามที่จะไม่โต้ตอบกับคนที่พูดจาในลักษณะนี้

ครอบคลุมทุกมิติ ‘บิ๊กป้อม’ ยินดี ‘เศรษฐา’ นั่งประธานที่ปรึกษา ‘เพื่อไทย’ ชี้! “มีคนเก่งมาช่วยเยอะๆ ย่อมจะเป็นผลดีต่อบ้านเมือง”

‘บิ๊กป้อม’ ยินดี เพื่อไทย ตั้ง ‘เศรษฐา’ กุนซืออิ๊ง ชี้มีคนเก่งเข้ามาช่วยกันเยอะๆ เป็นผลดีต่อประเทศ
เมื่อเวลา 19.15 น. (2 มี.ค.66) พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ให้สัมภาษณ์ ผ่านทางโทรศัพท์ถึงกรณีการวิพากษ์วิจารณ์ ถึงนายเศรษฐา ทวีสิน ภายหลังได้รับการแต่งตั้งให้เป็นประธานที่ปรึกษาหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย โดยมีการระบุว่าเศรษฐกิจประเทศไม่ใช่ธุรกิจของครอบครัวว่า

‘กรณ์’ กรีดกลับ ‘ชวน’ ปมกล่าวหา ส.ส.ย้ายพรรคคบไม่ได้ แจงเหตุออกเพราะปชป.เปลี่ยนไป หาใช่ต้องการเงิน - ตำแหน่ง

นายกรณ์ จาติกวณิช หัวหน้าพรรคชาติพัฒนากล้า โพสต์เฟซบุ๊กถึงกรณีที่นายชวน หลีกภัย ประธานรัฐสภา ได้ให้สัมภาษณ์ถึง ส.ส.ที่ย้ายพรรค ว่าเป็นพวกที่เอาเปรียบ - คบไม่ได้ โดยนายกรณ์ระบุข้อความว่า

เขียนตอบท่านชวน ด้วยความเคารพ

ผมออกมาจากประชาธิปัตย์ 3 ปี ผมไม่เคยพูดให้ร้ายพรรคเลยแม้แต่ครั้งเดียว ผมออกเพราะอยากไปทำงานตามที่ตั้งใจ และสำหรับผมประชาธิปัตย์เปลี่ยนไป ไม่เหมือนเดิม

การลาออกของคนประชาธิปัตย์มีเหตุผลต่างกัน ผมพูดแทนเขาไม่ได้ แต่ในส่วนของผมนั้น ไม่ใช่ด้วยเหตุผลที่ท่านชวนกล่าวถึงในคลิป https://youtu.be/s0GpJaj7lUw ไม่ว่าจะเรื่องเงินหรือตำแหน่ง ยิ่งประชาธิปัตย์ยุคนี้แล้วเรื่องเงินยิ่งไม่เป็นปัญหา ส่วนตำแหน่งก็มีมากมายเพราะเป็นพรรคฝ่ายรัฐบาล

ผมสัมภาษณ์หลายครั้งว่า ผมได้เคยทำงานให้บ้านเมืองในตำแหน่งรัฐมนตรีคลังมาแล้ว ซึ่งสำหรับผมถือเป็นการทำงานที่ตรงต่อความฝันทางการเมือง ในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจผมได้ทำงานอย่างเต็มที่ภายใต้นายกรัฐมนตรี และรองนายกฯเศรษฐกิจ (คุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และคุณกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ) ที่ให้การสนับสนุนเป็นอย่างดี ดังนั้นความฝันทางการเมืองของผมวันนี้ไม่ใช่เรื่องตำแหน่ง แต่คือโอกาสสร้างพรรคที่ตรงกับอุดมการณ์ของผม และการส่งเสริมนักการเมืองรุ่นใหม่ให้มีโอกาสได้ทำงาน

‘ไทยสร้างไทย’ ตามรอย ‘ชัยวุฒิ’ หนุน!! บุหรี่ไฟฟ้าถูกกม.ตามกระแสโลก

วันนี้สังคมมุมหนึ่งมีการคัดค้านต้านบุหรี่ไฟฟ้าถูกกฎหมาย แต่สังคมอีกมุมหนึ่งก็มองว่าควรผลักดันให้ถูกให้ควร เพราะมวลสารแห่งสาระสำคัญ มีผลประโยชน์ต่อองค์กรรวมมากกว่าผลเสีย

จากรายงานเรื่อง E-cigarettes: an evidence update จัดทำโดยกระทรวงสาธารณสุขอังกฤษ ระบุว่าผลิตภัณฑ์บุหรี่ไฟฟ้ามีอันตรายน้อยกว่าบุหรี่ทั่วไป ส่งผลกระทบด้านสุขภาพน้อยกว่าบุหรี่ทั่วไปร้อยละ 95 พร้อมทั้งสนับสนุนให้ผู้ที่ต้องการเลิกบุหรี่ ใช้บุหรี่ไฟฟ้าเนื่องจากมีหลักฐานผู้เลิกบุหรี่ได้ในกลุ่มผู้ใช้บุหรี่ไฟฟ้าในอัตราที่สูง

นั่นคือผลดีในเชิงของสุขภาพที่ถูกนำมาตีแผ่ แม้จะมีข้อมูลอีกฟากฝั่งที่มักมองว่า บุหรี่ไฟฟ้า ก็ยังเป็นควันภัยที่ยากเกินจะยอมรับ และแฝงด้วยโทษในเชิงวิทยาศาสตร์มากกว่าบุหรี่มวนทั่วไปเสียอีก

กระแสอันร้อนแรงระหว่างกลุ่มสนับสนุนบุหรี่ไฟฟ้าถูกกฎหมาย และผู้ต่อต้านแรงขึ้น นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) เดินหน้าหนุนดึงบุหรี่ไฟฟ้าเข้าระบบให้เป็นสินค้าที่มีกฎหมายควบคุม เพราะมองผลระยะยาวในเชิงที่สามารถลดอันตรายให้กับนักสูบที่ไม่สามารถเลิกบุหรี่ได้ ช่วยเกษตรกรผู้ปลูกยาสูบมีช่องทางรายได้ใหม่จากการป้อนผลผลิตให้โรงงานผลิตบุหรี่ไฟฟ้า อีกทั้งปิดช่องภาษีรั่วไหลจากการลักลอบนำเข้า

“เรื่องนี้ยังอยู่ระหว่างศึกษาข้อกฎหมายเพื่อดึงบุหรี่ไฟฟ้าเข้ามาอยู่ในระบบให้ถูกต้องตามกฎหมาย โดยกำลังดูว่ามีประเด็นติดขัดเรื่องอะไรบ้าง เนื่องจากมองว่าหากทำให้เป็นสิ่งที่ถูกกฎหมายได้จะสามารถลดอันตรายให้กับผู้สูบ เพราะบางคนไม่สามารถเลิกบุหรี่ได้ แม้จะมีการรณรงค์ให้คนเลิกสูบบุหรี่มาอย่างต่อเนื่อง แต่ปัจจุบันยังมีจำนวนผู้สูบบุหรี่อีกเกือบ10 ล้านคน” นายชัยวุฒิกล่าว

รัฐมนตรีดีอีเอส กล่าวอีกว่า “ตอนนี้ผมจะรวบรวมข้อมูล นำไปประสานผู้เกี่ยวข้องต่อไป เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลและทบทวนแนวคิด หาแนวทางขับเคลื่อนเพื่อทำให้บุหรี่ไฟฟ้าเป็นเรื่องถูกกฎหมาย เพราะปัจจุบันทั้ง อย.สหรัฐฯ อังกฤษ และญี่ปุ่น ยอมรับให้ใช้แล้ว ดังนั้นเราต้องไปศึกษาต่อไปว่าข้อติดขัดอยู่ที่ภาคส่วนใด อย่างเช่น ในเรื่องใบอนุญาตให้ใช้ การขาย การผลิต เพราะจากที่ศึกษาเบื้องต้นในแง่กฎหมายน่าจะใช้ พ.ร.บ.ยาสูบฯ ควบคุมให้เข้ามาอยู่ในระบบได้อยู่แล้ว คงต้องมีการจัดตั้งคณะทำงานขึ้นมาทำงานเรื่องนี้โดยเฉพาะ”

สำหรับเหตุผลที่สนับสนุนบุหรี่ไฟฟ้าถูกกฎหมาย เพราะเครื่องยาสูบที่เป็นไฟฟ้าถือเป็นเทคโนโลยีใหม่ ปัจจุบัน 67 ประเทศทั่วโลกมีการยอมรับบุหรี่ไฟฟ้าแล้ว โดยเฉพาะประเทศใหญ่ๆ เช่น สหรัฐอเมริกา, จีน แม้แต่มาเลเซีย เพราะถือว่าเป็นยาสูบที่มีความอันตรายน้อยกว่าบุหรี่จริง โดยบุหรี่ไฟฟ้าจะมีสารพิษน้อยกว่า ขณะที่ในประเทศไทยยังไม่เป็นที่ยอมรับ

“หลายประเทศยอมรับว่า หากเรามีบุหรี่ไฟฟ้าจะสามารถลดอันตรายต่อสุขภาพของประชาชนได้มากกว่า เรื่องนี้ผมขอศึกษาข้อกฎหมายก่อน นอกจากนี้ ปัจจุบันทราบว่าโรงงานยาสูบและผู้ปลูกยาสูบเองก็มีรายได้ลดลง เนื่องจากคนนิยมไปสูบบุหรี่นำเข้า หรือบุหรี่ที่ลักลอบนำเข้ามา ดังนั้น ถ้าเราสามารถเอายาสูบที่ปลูกในประเทศมาผลิตบุหรี่ไฟฟ้าได้ จะสามารถแก้ปัญหาให้กับโรงงานยาสูบและเกษตรกรได้ รวมทั้งส่งออกได้ด้วย” นายชัยวุฒิกล่าว

พร้อมทั้งย้ำว่า การดึงสินค้าในกลุ่มบุหรี่ไฟฟ้าเข้ามาอยู่ในระบบ เป็นสินค้าที่อยู่ภายใต้กฎหมายนั้น อยู่ที่ว่าประเทศไทยและผู้กำหนดนโยบายที่เกี่ยวข้อง จะสามารถปรับตัวตามเทคโนโลยีได้มากน้อยแค่ไหน เพราะปัจจุบันสินค้านี้มีขายกันใต้ดินและทางออนไลน์ 

ดังนั้นถ้าไม่ปรับตัวตามเทคโนโลยีก็จะเกิดปัญหาภายในประเทศ และเสียหายในอนาคตได้ ทั้งในเรื่องการลักลอบจำหน่าย การสูญเสียรายได้จากภาษี การสูญเสียโอกาสและกระทบต่อรายได้ของเกษตรกรผู้ปลูกยาสูบชาวไทยและการลดผลกระทบต่อสุขภาพของนักสูบชาวไทยที่ไม่สามารถเลิกบุหรี่ได้

ในขณะที่นโยบายการสนับสนุนให้บุหรี่ไฟฟ้าถูกกฎหมายโดยรัฐมนตรีดีอีเอสเริ่มกระจายเป็นข่าวใหญ่ ด้าน นายเจตุบัญชา อำรุงจิตชัย รองโฆษกพรรคไทยสร้างไทย ก็ดูเหมือนจะหยิบยกกรณีบุหรี่ไฟฟ้าถูกกฎหมาย ออกมาร่วมตีแผ่ด้วยเช่นกัน 

“แม้จะมีการระบุเรื่องการห้ามจำหน่ายและนำเข้าก็ตาม แต่ในทางปฏิบัติจะพบว่าเมื่อเดินไปตามแหล่งท่องเที่ยวก็ยังคงมีวางขายกันอย่างเปิดเผย และปฏิเสธไม่ได้ว่าเรื่องนี้มีตำรวจเรียกรับผลประโยชน์กับพ่อค้าแม่ค้าแลกกับการ มองข้ามในเรื่องเหล่านี้ ถ้าผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ยังนิ่งเฉย ไม่ยอมปรับแก้กฎหมายให้สามารถขายได้ ประเทศจะสูญเสียรายได้แทนที่จะเก็บภาษีเกี่ยวกับธุรกิจนี้ได้ถูกต้อง กลับการเป็นการจ่ายใต้โต๊ะให้คนไม่กี่คนที่มีอำนาจจับกุม สุดท้ายเงินก็กลายเป็นส่วยใต้โต๊ะที่ไม่จบสิ้นอยู่ดี”

‘พรรคเพื่อไทย’ รวมพลมือฉมัง ตั้ง ‘ทีมเศรษฐกิจ’ ชู ‘หมอพรหมินทร์’ นั่งประธาน ‘เศรษฐา’ ที่ปรึกษา

(3 มี.ค. 66) นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส.น่าน ในฐานะหัวหน้าพรรคเพื่อไทย (พท.) ลงนามคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการด้านเศรษฐกิจ โดยมี นพ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช เป็นประธาน นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง อดีตรองนายกรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจ เป็นรองประธาน พร้อมผู้เชี่ยวชาญเศรษฐกิจด้านต่างๆ ได้แก่ นายพันศักดิ์ วิญญรัตน์ อดีตที่ปรึกษาด้านนโยบาย 3 นายกรัฐมนตรี, นายเศรษฐา ทวีสิน นักธุรกิจอสังหาริมทรัพย์, นายศุภวุฒิ สายเชื้อ นักเศรษฐศาสตร์ชั้นนำของประเทศ, นายปานปรีย์ พหิทธานุกร อดีตผู้แทนการค้า และที่ปรึกษานายกด้านเศรษฐกิจและการต่างประเทศมาร่วมเป็นที่ปรึกษา

ด้าน นพ.พรหมินทร์ กล่าวว่า วิกฤตเศรษฐกิจของประเทศไทยหลังการระบาดของโรคโควิด-19 และภาวะสงครามรัสเซีย-ยูเครน ตลอดจนสงครามเศรษฐกิจจีน-สหรัฐอเมริกา ส่งผลทำให้ประชาชนไทยทุกข์ยากต่อเนื่องมากขึ้นตลอดหลายปีที่ผ่านมา จึงถือเป็นความท้าทายของพรรคการเมืองที่จะนำพาประเทศและประชาชนฝ่าพ้นวิกฤตครั้งนี้ให้จงได้ พรรคเพื่อไทย จึงได้เชิญบุคคลผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจชั้นนำของประเทศในด้านต่างๆ มาให้คำปรึกษา และร่วมเป็นกรรมการ โดยคณะกรรมการด้านเศรษฐกิจของพรรคจะเป็นแกนกลางในการระดมความรู้ ความสามารถและความร่วมมือในการกอบกู้เศรษฐกิจของเราต่อไป เราจะบริหารให้เศรษฐกิจของประเทศดีขึ้น

‘บิ๊กป้อม’ นำทีมประชุม ขับเคลื่อน ‘เมืองอัจฉริยะ’ ทุ่มงบฯ ส่งเสริมคนรุ่นใหม่ กลับพัฒนาบ้านเกิด

(3 มี.ค. 66) พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เรียกประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนเมืองอัจฉริยะ ผ่านระบบ VTC ณ มูลนิธิอนุรักษ์ป่ารอยต่อฯ เพื่อเร่งขับเคลื่อนกลไกส่งเสริมการพัฒนาเมืองด้วยเทคโนโลยี

โดยที่ประชุม เห็นชอบ กรอบคำของบประมาณปี 67 ตามหมุดหมายที่ 8 ให้ไทย มีพื้นที่และเมืองอัจฉริยะ ( Smart City ) ที่น่าอยู่ปลอดภัย และเติบโตอย่างยั่งยืนจำนวน 53 โครงการจาก 30 จว.และ 11 กลุ่ม จว. โดยให้สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล สภาพัฒน์ฯ และสำนักงบประมาณ ร่วมพิจารณากลั่นกรองโครงการโดยมุ่งเป้าหมาย พร้อมทั้งเห็นชอบ โครงการทูตเยาวชนพัฒนาเมือง เพื่อส่งเสริมสายอาชีพใหม่ในการพัฒนาเมืองอัจฉริยะในภูมิภาค โดยเป็นการสร้างโอกาสและความต่อเนื่องให้เกิดสายอาชีพ 'นักดิจิทัลพัฒนาเมือง' ในหน่วยงานตัวแทนเมือง 200 คน และ นศ.จบใหม่ 200 คน เพื่อกลับไปพัฒนาพื้นที่เป้าหมายที่เป็นบ้านเกิด

‘ศาลรธน.’ มีมติเอกฉันท์ สูตรคำนวน ส.ส ชี้ ไม่นับรวมต่างด้าว ต้องรื้อแบ่งเขตใหม่

วุ่น! กกต.ต้องแบ่งเขตใหม่ ศาลรัฐธรรมนูญมีมติเอกฉันท์ ชี้คำนวณจำนวนส.ส.แต่ละจังหวัด-แบ่งเขต ไม่ต้องนับรวมผู้ไม่มีสัญชาติไทย

วันนี้ (3 มี.ค. 66) ศาลรัฐธรรมนูญมีมติเป็นเอกฉันท์วินิจฉัยว่าการกำหนดจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร(ส.ส.) แบบแบ่งเขตเลือกตั้งที่แต่ละจังหวัดจะพึงมีตามรัฐธรรมนูญมาตรา 86 (1) ซึ่งกำหนดให้ใช้จำนวนราษฎรทั้งประเทศตามหลักฐานการทะเบียนราษฎร์ที่ประกาศในปีสุดท้ายก่อนปีที่มีการเลือกตั้งนั้นคำว่า 'ราษฎร' ไม่หมายรวมถึงผู้ไม่ได้สัญชาติไทยโดยให้คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญมีผลตั้งแต่วันนี้ (3มี.ค.) เป็นต้นไปตามพ.ร.ป.ว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ 2561 มาตรา 76 วรรคหนึ่งและวรรคสาม และไม่มีผลย้อนหลังไปถึงการเลือกตั้งส.ส. ที่ผ่านมา

ทั้งนี้กรณีดังกล่าวเป็นสืบเนื่องมาจากคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยปัญหาเกี่ยวกับหน้าที่และอำนาจของกกตตามรัฐธรรมนูญมาตรา 210 วรรคหนึ่ง(2) ว่าการคิดคำนวณจำนวนส.ส. แบบแบ่งเขตเลือกตั้งของแต่ละจังหวัดจะพึงมีโดยนำจำนวนราษฎรทั้งประเทศตามหลักฐานการทะเบียนราษฎรตามที่สำนักทะเบียนกลางประกาศณวันที่ 31 ธ.ค. ของปีที่ล่วงมามาใช้ในการคิดคำนวณจำนวนส.ส. แบบแบ่งเขตเลือกตั้งของแต่ละจังหวัด ถูกต้องหรือไม่


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top