Sunday, 15 June 2025
NewsFeed

ผบก.ตม.1 ห่วงใยการต่อวีซ่า! ตามกำหนดไว้ของชาวต่างชาติ ในสถานการณ์โรคระบาดโควิด-19 ได้มีการให้เปิดทำการนอกเวลาราชการในวันเสาร์เป็นกรณีพิเศษ เริ่มเสาร์ที่ 4 ก.ย. นี้! พร้อมรับมือต่างชาติขออยู่ต่อช่วงโควิด

3 ก.ย. 2564  พล.ต.ต.ปิติ นิธินนทเศรษฐ์ ผบก.ตม.1 เปิดเผยว่า สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง โดยกองบังคับการตรวจคนเข้าเมือง 1 แจ้งเปิดให้บริการเพิ่มเติมในทุกวันเสาร์ ซึ่งเป็นวันหยุดราชการ โดยจะเปิดให้บริการวันแรก ในวันเสาร์ที่ 4 ก.ย.2564 เป็นต้นไปจนกว่าจะมีการแจ้งเปลี่ยนแปลง ณ บก.ตม.1 ศูนย์ราชการแจ้งวัฒนะฯ และจุดบริการชั่วคราวของ บก.ตม.1  ณ “ศูนย์เมืองทองธานี”  ร่วมด้วย  พ.ต.อ.ภัทรภณ สนิทวงศ์ ณ อยุธยา รอง ผบก.ตม.1 พ.ต.อ.ยศเอก รักษาสุวรรณ รอง ผบก.ตม.1, พ.ต.อ.พูลศักดิ์ แก้วสีขาว ผกก.ฝท.บก.ตม.4 รรท. ผกก. 2 บก.ตม. 1 และเจ้าหน้าที่ของ บก.ตม.1 พร้อมให้บริการเสริมเพิ่มเติมช่วงวันหยุดในทุกวันเสาร์

  

ประกอบกับมาตรการผ่อนผันการอนุญาตให้คนต่างด้าวอยู่ในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราว ซึ่งยื่นคำร้องขออยู่ต่อในราชอาณาจักรเพื่อเหตุผลความจำเป็นและมีระยะเวลาอนุญาตถึงวันที่ 31 ต.ค. 64  มีเป็นจำนวนมาก ดังนั้น เพื่อเป็นการอำนวยความสะดวกคนต่างด้าวที่ประสงค์จะยื่นคำร้องขออยู่ต่อในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราว ก่อนระยะเวลาการอนุญาตสิ้นสุด 45 วัน อันเนื่องด้วยสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) เพื่อลดความแออัดในการมารับบริการ  บก.ตม.1 จึงขอประชาสัมพันธ์การเปิดให้บริการเพิ่มเติม ดังนี้

1. คนต่างด้าวสามารถติดต่อขอรับบริการขออยู่ต่อฯ ทุกประเภท ได้ก่อนวันอนุญาตสิ้นสุด 45 วัน โดยสามารถติดต่อขอรับบริการที่เคาน์เตอร์ L, M, N, J ศูนย์ราชการแจ้งวัฒนะ

 - ขออยู่ต่อระยะยาว (เคาน์เตอร์ L, M, N) ประเภท Non-Immigrant Visa อาทิเช่น NON-O, NON-B, NON-ED ประกอบด้วยเหตุผล เกษียณอายุ, เยี่ยมคู่สมรส/เยี่ยมบุตร, สามีไทย/ภรรยาไทย/อุปการะบุตร, ธุรกิจ, ครู/นักเรียน, องค์การระหว่างประเทศ มูลนิธิ สมาคม

 - ขออยู่ต่อระยะสั้น (เคาน์เตอร์ J) ประเภท Tourist Visa (TR-60) และ เคาน์เตอร์ K ที่ทำการชั่วคราวเมืองทองธานี

 - ขออยู่ต่อระยะสั้น ประเภทคนเดินทางผ่าน ไม่มีวีซ่า  Visa on Arrival และประเภทอื่น ๆ รวมถึงการแก้ไข ย้ายตราประทับ และหนังสือเดินทางสูญหาย

ในวันและเวลาราชการ และให้บริการเพิ่มเติมในวันเสาร์ (ทุกวันเสาร์ จนกว่าจะมีการแจ้งเปลี่ยนแปลง) ทั้งนี้ ตั้งแต่ 4 ก.ย.2564 เป็นต้นไป

2. การรายงานตัว 90 วัน และการแจ้งที่พัก สามารถติดต่อขอรับบริการที่เคาน์เตอร์ A, B ที่ทำการชั่วคราวเมืองทองธานี ในวันและเวลาราชการ และให้บริการเพิ่มเติมในวันเสาร์ (ทุกวันเสาร์ จนกว่าจะมีการแจ้งเปลี่ยนแปลง) ทั้งนี้ ตั้งแต่ 4 ก.ย. 2564 เป็นต้นไป

พล.ต.ต.ปิติ กล่าวเพิ่มเติมว่าการเปิดให้บริการเสริมช่วงวันเสาร์ซึ่งเป็นวันหยุดราชการ เป็นการดำเนินการตามนโยบายและข้อสั่งการของ  พล.ต.ท.สมพงษ์ ชิงดวง ผบช.สตม., พล.ต.ต.ศิลปคมณ์  เอี่ยมวงศ์ รอง ผบช.สตม. ที่ได้อนุมัติให้มีการเปิดให้บริการเสริมในวันหยุดราชการวันเสาร์เป็นกรณีพิเศษ เนื่องจากมีความห่วงใยชาวต่างชาติที่ยังตกค้างอยู่ในประเทศและประสงค์ยื่นคำร้องขอยู่ต่อในราชอาณาจักรสืบเนื่องมากจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด19  รวมถึงมาตรการผ่อนผันการอนุญาตให้อยู่ในราชการอาณาจักร  และคนต่างด้าวที่ยื่นคำร้องขออยู่ต่อมีระยะเวลาการอนุญาตสิ้นสุดถึงวันที่ 31 ต.ค.64  ซึ่งจะให้กลุ่มชาวต่างชาติมาติดต่อขอรับบริการเป็นจำนวนมาก จึงได้มีการกำหนดมาตรการเพิ่มช่องทางการเปิดรับบริการในวันหยุดราชการวันเสาร์เพิ่มอีกช่องทางหนึ่ง เพื่อแก้ไขปัญหาและช่วยเหลือกลุ่มชาวต่างชาติ รวมถึงเป็นการช่วยอำนวยความสะดวกในการรับบริการให้ดียิ่งขึ้น

ทางด้าน พ.ต.อ.ภัคพงศ์ สายอุบล รอง ผบก.ตม.1/โฆษก ตม.1  ขอประชาสัมพันธ์ให้ชาวต่างชาติโปรดศึกษาข้อมูลการให้บริการอย่างละเอียด และจัดเตรียมเอกสารให้พร้อม เพื่อที่จะสามารถไปรับบริการได้อย่างถูกต้อง ทางช่องทาง Website http://bangkok.immigration.go.th  และทางช่องทาง Facebook: https://www.facebook.com/immigrationdivision1 และโปรดช่วยแจ้งข่าวและเผยแพร่ตามสื่อแขนงต่างๆ และช่องทางต่าง ๆ ช่วยกันกระจายข่าวให้กับชาวต่างชาติให้ทราบโดยด่วนว่า สามารถไปติดต่อขอรับบริการได้ที่ บก.ตม.1 ศูนย์ราชการแจ้งวัฒนะ และจุดบริการชั่วคราวของ บก.ตม.1  ณ ที่ทำการชั่วคราวเมืองทองธานี ได้ในวันเสาร์ที่ 4 ก.ย. 64 ที่จะถึงนี้

เปิดแล้ว...สายคาเฟ่ห้ามพลาด!! ชิมกาแฟ แนบชิดธรรมชาติ ‘ร้านเบลลินี่ เบค แอนด์ บรู’ สาขาระยอง ริเวอร์ไซด์ ได้แล้ววันนี้!

เมื่อวันที่ 3 ก.ย.2564 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ว่าที่ร้อยตรี พิรุณ เหมะรักษ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดระยอง / นางนิลวรรณ เหมะรักษ์ รองนายกเหล่ากาชาดจังหวัดระยอง / พล.ต.ต.มานะ อินพิทักษ์ รอง ผบช.ภ.2 รรท.ผบก.ภ.จว.ระยอง / นายชรัส ลิขิตคุณวงศ์ ที่ปรึกษาคณะเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ซีพี ออลล์ ผู้บริหารเซเว่น อีเลฟเว่น และเซเว่น เดลิเวอรี่ ร่วมแสดงความยินดีและเปิดร้านเบลลินี่ เบค แอนด์ บรู สาขาระยองริเวอร์ไซด์ ตั้งอยู่ริมแม่น้ำระยอง ต.เนินพระ อ.เมืองระยอง จ.ระยอง อย่างเป็นทางการ

โดยมี นายวัชรินทร์ นางรัตนา นายวสินธ์ และนายธนภัทร ล่องดุริยางค์ ผู้บริหารเบลลินี่ เบค แอนด์ บรูสาขาระยอง ริเวอร์ไซด์ ให้การต้อนรับ พร้อมได้รับเกียรติจากบุคคลสำคัญในจังหวัดระยอง อาทิ นายอินทรีย์ เกิดมณี ปลัดจังหวัดระยอง คุณดารณี เกิดมณี รองนายกเหล่ากาชาดจังหวัดระยอง นายวรฉัตร ทีงาม อดีต ปลัดจังหวัดระยอง คุณมะลิวัลย์ ทีงาม ประชมรมแม่ดีเด่นจังหวัดระยอง พันตำรวจเอก วรวุฒิ ชัยเจริญ รองผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดระยอง นายกิตติ เกียรติมนตรี รองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดระยอง นายวิชิต ศรีชลา นายกเทศมนตรีนครระยอง ดร.อนุชิดา ชินศิรประภา ประธานกิตติมศักดิ์หอการค้าจังหวัดระยอง คุณประชิด ชินราช ประธานคณะกรรมการพัฒนาสตรีจังหวัดระยอง ดร.จารุณี ตันติเวชวุฒิกุล นายกสมาคมผู้ปกครองโรงเรียนระยองวิทยา คุณพิศมัย ศุภนันตฤกษ์ กรรมการผู้บริหารโรงแรมโนโวเทล สตาร์ คอนเวนชั่นระยอง นายสุพจน์ ต่ออาจหาญ นายอำเภอเมืองระยอง พ.ต.ท.อธิวัฒน์ อภิวุฒิชัยกิตติ์ สว.จร.สภ.เมืองระยอง ฯลฯ

Bellinee’s Bake & Brew (เบลลินี่ เบค แอนด์ บรู) ร้านเบเกอรี่ เฮ้าส์ ระดับพรีเมียม เอาใจสายคาเฟ่เมืองระยองเปิดร้านเบลลินี่ เบค แอนด์ บรู แห่งล่าสุด  สาขาระยองริเวอร์ไซด์ พร้อมเสิร์ฟเบเกอรี่อบสดใหม่ทุกวัน พร้อมอาหารและเครื่องดื่มหลากหลาย ริมแม่น้ำระยอง สุดชิลล์

นายชรัส ลิขิตคุณวงศ์ ที่ปรึกษาคณะเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ซีพี ออลล์ ผู้บริหารเซเว่น อีเลฟเว่น และเซเว่น เดลิเวอรี่ กล่าวถึงแนวคิดและจุดเด่นของ ร้าน เบลลินี่ เบค แอนด์ บรู (Bellinee’s Bake & Brew) ว่า “เบลลินี่ เบค แอนด์ บรู เป็นร้านเบเกอรี่เฮ้าส์ระดับพรีเมียม ที่มีความโดดเด่นด้านเบเกอรี่อบสดและอาหาร ผ่านการคิดค้นและสร้างสรรค์เมนู อันมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว โดยมีครัวซองเฮอริเทจที่นำเข้าจากฝรั่งเศสมาอบเสิร์ฟทุกวัน รวมถึงเครื่องดื่ม กาแฟสดระดับพรีเมียม ซึ่งทั้งหมดนี้ได้รับการถ่ายทอดมาจากแรงบันดาลใจสู่ความอร่อยและคุณภาพที่ได้มาตรฐาน สอดคล้องกับชื่อนักประพันธ์เพลงชาวอิตาเลียน ‘Vincenzo Bellini’ ผู้ถ่ายทอดเพลงบรรเลงด้วยหัวใจ และส่งมอบความสุขให้กับผู้ฟังในทุกช่วงเวลาและเพื่อเป็นการมอบประสบการณ์แห่งความสุขและเพื่อมอบสุนทรียภาพในการรับประทานเบเกอรีและเครื่องดื่มระดับพรีเมียมให้กับพี่น้องชาวไทย”

ล่าสุด Bellinee’s Bake & Brew (เบลลินี่ เบค แอนด์ บรู) ได้เตรียมเปิดสาขาแห่งใหม่ ระยองริเวอร์ไซด์ เปิดจำหน่ายเบเกอรี่อบสด พร้อมเครื่องดื่มระดับพรีเมียม โดยเฉพาะครัวซองต์ที่ได้นำเข้าจากฝรั่งเศสมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว แป้งบางกรอบ หอม ฉ่ำเนย สไตล์ต้นตำรับแท้ ๆ ที่มีความแตกต่างและโดดเด่นในราคาที่จับต้องได้ เพื่อเอาใจนักชิม สายคาเฟ่ ชาวเมืองระยอง

นายชรัส เพิ่มเติมว่า “เช่นกัน…ความสุขของเรา คือ ความสุขที่ได้ใส่ใจในสินค้าและการบริการ พร้อมส่งต่อความสุขที่แท้จริงให้กับลูกค้า  และความสุขของลูกค้า คือ ความอร่อยจากสินค้าที่มีคุณภาพ เราจึงคัดสรรวัตถุดิบที่มีคุณภาพ รังสรรค์เมนูใหม่โดยเชฟและบาริสต้ามืออาชีพ พร้อมทั้งออกแบบให้ร้านมีบรรยากาศสไตล์ยุโรปร่วมสมัย(Contemporary European)ให้ความรู้สึกอบอุ่น เป็นกันเอง ดั่งคอนเซ็ปต์ที่ว่า “Happiness Brings Us Together”

ด้านนายวสินธ์  ล่องดุริยางค์ ผู้บริหารร้าน Bellinee’s Bake & Brew (เบลลินี่ เบค แอนด์ บรู) สาขา ระยองริเวอไซด์ กล่าวว่า เรามีความตั้งใจนำเสนอประสบการณ์ใหม่ในการรับประทานเบเกอรี่และกาแฟระดับพรีเมี่ยมให้กับพี่น้องชาวจังหวัดระยองและจังหวัดใกล้เคียง ด้วยการคัดสรรวัตถุดิบที่ดีมีคุณภาพ เพื่อรังสรรค์ให้เป็นเบเกอรี่แสนอร่อยอบสดใหม่ทุกวัน บริการพร้อมเครื่องดื่มมีทั้งกาแฟ และเมนูหลากหลาย

สำหรับร้านเบลินี่ฯ สาขาระยองริเวอร์ไซด์ ได้เลือกทำเลสุดพิเศษ มอบเป็นความสุขที่จับต้องได้ตั้งอยู่ริมแม่น้ำระยอง เพื่อให้ลูกค้าได้จิบกาแฟท่ามกลางธรรมชาติในบรรยากาศสบาย ๆ มีให้เลือกทั้งแบบ Indoor และ Outdoor พร้อมมุมถ่ายภาพไม่ซ้ำใคร

ร้าน เบลลินี่ เบค แอนด์ บรู สาขา ระยองริเวอร์ไซด์ แห่งนี้ พร้อมให้บริการตั้งแต่เวลา 07.00 - 20.00 น. และเพื่อให้เป็นไปตามมาตรการของภาครัฐในการลดความเสี่ยงในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 ทางร้านจึงได้เปิดบริการให้นั่งรับประทานในร้าน หากเป็น Indoor (ห้องปรับอากาศ)เปิดให้นั่งได้ 50% ของที่นั่ง และ ภายนอก Outdoor เปิดให้นั่งได้ 75% ของที่นั่ง โดยหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะได้รับความสนใจและสร้างความประทับใจให้กับพี่น้องชาวระยอง นายวสินธ์ ล่องดุริยางค์ กล่าวทิ้งท้าย


ภาพ/ข่าว  ธีรวัฒน์ อินธิพันธ์ รายงาน

สถานทูตจีนในไทย​ เรียกร้อง!! ยุติด้อยค่า​ 'วัคซีนจีน'​ หลังบางกลุ่ม มุ่งทำร้ายความหวังดีจีนไม่เลิก

ไม่นานมานี้​ ทางเฟซบุ๊ก Chinese​ Embassy Bangkok​ สถานเอกอัคราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีน​ ประจำประเทศไทย​ ได้โพสต์ข้อความว่า... 

คัดค้านการกล่าวหาวัคซีนจีนโดยไร้เหตุ
โดย โฆษกสถานทูตจีนประจำประเทศไทย

ปีนี้ ประเทศจีนได้ส่งมอบวัคซีนให้กับประเทศไทยในโอกาสแรก เพื่อเป็นการสนับสนุนประเทศไทยในการต่อสู้กับโรคโควิด-19 โดยได้พยายามเอาชนะกับความยากลำบากที่ความต้องการในการใช้วัคซีนภายในประเทศยังสูงอยู่ และจำนวนวัคซีนที่ผลิตยังไม่เพียงพอ ซึ่งวัคซีนจีนทุกโดสก็เป็นมิตรไมตรีจิตรอันจริงใจที่รัฐบาลและประชาชนจีนมีต่อรัฐบาลและประชาชนไทย

วัคซีนที่ฝ่ายจีนส่งมอบให้ฝ่ายไทยนั้น ได้รับการอนุมัติโดยองค์การอนามัยโลกให้ใช้ในภาวะฉุกเฉินได้ และได้ผ่านการวิจัยและทดลองในมนุษย์ในระยะต่างๆ ตามข้อกำหนดของคณะกรรมการอาหารและยาของไทยอย่างเคร่งครัด เป็นวัคซีนที่มีความปลอดภัย มีประสิทธิผลและมีการรับรองคุณภาพ

การกลายพันธุ์ของตัวไวรัสโคโรนาเป็นเรื่องวิทยาศาสตร์ที่บริษัทผลิตวัคซีนของจีนติดตามโดยตลอด บริษัทซิโนแวคได้ทำการทดสอบแอนติบอดีชนิดลบล้างฤทธิ์ระหว่างเซรั่มของผู้ฉีดวัคซีนซิโนแวคกับไวรัสกลายพันธ์ุต่างๆ ซึ่งก็ได้ผลออกมาอย่างดี 

ข้อมูลจากกระทรวงสาธารณสุขของประเทศชิลีเมื่อวันที่ 3 สิงหาคมที่ผ่านมาแสดงให้เห็นว่า ประสิทธิผลของวัคซีนซิโนแวคในการป้องกันการรักษาที่โรงพยาบาล อาการหนักและเสียชีวิตไม่น้อยกว่า 86% 

ผลการวิจัยของรัฐบาลอินโดนีเซียเมื่อวันที่ 6 สิงหาคม แสดงให้เห็นว่า ประสิทธิผลของวัคซีนซิโนแวคในการป้องกันการรักษาที่โรงพยาบาลและเสียชีวิตได้ถึง 92% และ 95% ซึ่งข้อมูลดังกล่าวพิสูจน์ได้ว่าวัคซีนซิโนแวคมีประสิทธิผลในการป้องกันไวรัสกลายพันธ์ุเป็นอย่างดี ไม่ใช่วัคซีน “คุณภาพต่ำ” ตามที่กล่าวหาอย่างแน่นอน

เมื่อเร็วๆ นี้ บางคนและบางองค์การของประเทศไทยได้ด้อยค่าและใส่ร้ายวัคซีนจีนโดยไม่มีเหตุผลใดๆ ซึ่งเป็นการกล่าวหามุ่งร้ายที่ไม่เคารพข้อมูลวิทยาศาสตร์และความเป็นจริง และเป็นการทำร้ายความหวังดีของฝ่ายจีนในการสนับสนุนประชาชนไทยต่อสู้กับโรคระบาด

>> สถานทูตจีนจึงขอคัดค้านอย่างเด็ดขาด และเรียกร้องให้บุคคลและองค์การที่เกี่ยวข้อง​ ยุติการกระทำผิดอย่างร้ายแรงเช่นนี้

ฝ่ายจีนยินดีที่จะร่วมมือกับฝ่ายไทยต่อไป โดยยึดมั่นในความจริงใจและความหวังดีอย่างมากที่สุด ให้ความช่วยเหลือกับฝ่ายไทยในการต่อสู้กับโรคระบาด หวังเป็นอย่างยิ่งว่า ประเทศไทยจะเอาชนะกับโรคโควิด-19 โดยเร็ว และกลับคืนสู่ภาวะปกติในการดำรงชีวิตและทำงานในเร็ววัน

ที่มา: https://www.facebook.com/846555798724560/posts/4352763731437065/

“แรมโบ้” เย้ย “เต้น - บก.ลายจุด” คนร่วมชุมนุมน้อยเพราะคนรู้ไส้ รู้พุง ไม่ตกเป็นเครื่องมือคนที่สู้แล้วรวย สู้เพื่อนายใหญ่ทางไกล สู้เพื่อรับโบนัส เดินตามแกนนำสามนิ้วที่คิดล้มสถาบัน เตรียมแจ้งความเอาเข้าคุกเพิ่มที่สน.ทองหล่อและสน.บางเขน วันที่ 8 กันยายนนี้

นายเสกสกล อัตถาวงศ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรีกล่าวถึงนายณัฐวุฒิ ใสเกื้อ แกนนำ นปช.ไม่ยอมรับสิ่งเกิดขึ้นในสภาฯ และนายกฯไม่ใช่นายกฯอีกต่อไป พร้อมกับ ยอมรับว่ามีความกังวลเรื่องโรคระบาด ที่เป็นข้อจำกัดในการชุมนุม การปักหลักค้างแรม โดยนายเสกสกลระบุว่าก่อนหน้านี้ตนเองเคยเตือนนายณัฐวุฒิและนายสมบัติไปหลายครั้งแล้วว่าไม่ควรที่จะออกมาเคลื่อนไหวในขณะที่มีการระบาดเชื้อโควิด-19 เพราะอาจจะเกิดคลัสเตอร์ขึ้นมาใหม่และเป็นภาระให้กับบุคลากรทางการแพทย์ ซึ่งแกนนำอย่างนายเพนกวิน นายอานนท์ นายไมค์ นส.รุ้ง ปนัสยา และอีกหลายคนก็เคยติดเชื้อโควิดจากการชุมนุมมาหมดแล้ว ทำให้เกิดการแพร่กระจายไปสู่ผู้ชุมนุมกว้างมากขึ้น

การที่นายณัฐวุฒิและนายสมบัติออกมากังวลว่าโรคระบาดเป็นข้อจำกัดในการชุมนุม และไม่สามารถการค้างแรมได้ ซึ่งตนเองมองว่าเหตุผลของนายณัฐวุฒิและนายสมบัติฟังไม่ขึ้น แท้ที่จริงควรออกมาพูดมาคิดก่อนการออกมาชุมนุม ตนและทุกฝ่ายก็ย้ำแล้วย้ำอีกว่าไม่ควรออกมาชุมนุม การที่ประชาชนไม่ร่วมการชุมนุมเหตุผลเพราะให้ความร่วมมือต่อรัฐบาลในการแก้ปัญหาโควิดและรู้ว่าเป็นการชุมนุมที่ผิดกฎหมาย และมวลชนส่วนใหญ่รู้เช่นเห็นชาติคนพวกนี้ว่า นายณัฐวุฒิและนายสมบัติเดินตามม็อบ 3 นิ้วที่คิดล้มล้างสถาบันเบื้องสูง ยิ่งนายณัฐวุฒิมวลชนคนเสื้อแดงที่เคยเข้าร่วมชุมนุมปี53 รู้ไส้รู้พุงหมดแล้วว่าหากเข้าร่วมการชุมนุมจะตกเป็นเครื่องมือของนายณัฐวุฒิที่หลอกให้ออกมาต่อสู้เพื่อตัวเอง สู้เพื่อนายใหญ่ ที่อยู่ต่างประเทศและสู้เพื่อพรรคการเมืองของนายใหญ่ หากสำเร็จก็จะได้โบนัสก้อนใหญ่ เหมือนที่เคยได้รับมาแล้วสุดท้ายก็ทิ้งมวลชนคนเสื้อแดง ที่ร่วมต่อสู้ไม่สนใจใยดีเหมือนที่เคยก้าวข้ามศพมวลชนไปเป็นรัฐมนตรีมาแล้ว ไม่ได้สู้เพื่ออุดมการณ์อะไรเลย หวังเพื่อผลประโยชน์ตนเองมากกว่า มวลชนจึงไม่เชื่อถือ เพราะผลจากการกระทำในปี 53 เป็นเครื่องชี้วัดอยู่แล้วว่าสู้เพื่ออะไรกันแน่ จากคำว่า ไพร่กลายไปเป็นรัฐมนตรี เดินทางไปไหนมีรถตำรวจนำหน้า เสื้อไพร่สีแดงไม่ควรนำมาใส่หลอกลวงมวลชน เพราะไม่มีใครเชื่อถือแล้ว

ส่วนการที่นายสมบัติ บุญงามอนงค์ หรือ บก.ลายจุด โพสต์ปลุกระดมมวลชนว่า ถ้าประชาชนล้าก่อน พล.อ.ประยุทธ์จะปิดเกม ตนเองก็มองว่าขณะนี้บ้านเมืองอยู่ระหว่างการแก้ไขปัญหาโควิด-19 และนายกฯก็คงไม่ได้ไปปิดเกมใคร ซึ่งตนเองมองว่าคนที่จะเปิดเกมตัวเองน่าจะเป็นตัวนายณัฐวุฒิ และนายสมบัติมากกว่า เพราะยิ่งเคลื่อนไหวคนเข้าร่วมชุมนุมก็ยิ่งน้อยลงนั้นเป็นเพราะมวลชนรู้ทันหมดแล้วและนายสมบัติก็ไม่ต้องห่วงเรื่องคดี เพราะการเคลื่อนไหวผิดทั้ง พ.ร.ก ฉุกเฉิน พ.ร.บ. โรคติดต่อ ผิดกฎหมายอาญาม.116 และอื่นๆอีกหลายยกระทง

ซึ่งตนและทนายความจะเดินทางไปแจ้งความดำเนินคดีกับนายณัฐวุฒิ นายสมบัติและพวกเพิ่มเติม ที่สน.นางเลิ้ง สน.บางเขน ในวันที่ 8 กันยายนนี้ เพราะความผิดของคนพวกนี้ปล่อยไว้ไม่ได้ บ้านเมืองต้องยึดกฎหมาย ใครทำผิดต้องเอาเข้าคุกให้ได้ ไม่ปล่อยให้คนชั่วลอยนวลเด็ดขาด"

“โฆษกรัฐบาล” ขอบคุณแรงหนุน ”บิ๊กตู่” แจง นายกฯ ไม่อยากเห็นแบ่งแยก-เกลียดชัง

นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า การอภิปรายไม่ไว้วางใจ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหมขอบคุณทุกฝ่าย โดยเฉพาะขอบคุณประชาชนทั่วประเทศที่ต่างให้กำลังใจผ่านช่องทางต่างๆสนับสนุนให้พล.อ.ประยุทธ์ทำงานต่อไป

โดยจะ เร่งทำงานเพื่อให้ประชาชนปลอดโรค ปลอดภัย ซึ่งเห็นได้จากจำนวนตัวเลขผู้หายป่วยที่มีมากกว่าผู้ติดเชื้อใหม่รายวันอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ยอดการฉีดวัคซีนของไทยก็สะสมไปแล้วกว่า 36 ล้านโดส รวมทั้งจะเริ่มกระจายชุดตรวจ ATK จำนวน 8.5 ล้านชุดให้กับประชาชนฟรีโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายตั้งแต่วันที่ 16 ก.ย.นี้ เป็นต้นปีด้วย แต่เมื่อตัดภาพมาที่พรรคเพื่อไทย ซึ่งจัดแคมเปญให้ประชาชนมาลงชื่อ “รวมพลไล่ประยุทธ์” โดยระบุว่ามีล้านกว่าคนมาลงชื่อไว้นั้น ยังน่าสงสัยว่าสามารถที่จะยืนยันตัวตนได้จริงหรือไม่

นายธนกร กล่าวว่า เพจรักลุงตู่ ที่มีการลงคะแนนสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์กว่า 5.1 ล้านคนด้วยว่า ไม่ทราบว่าใครเป็นผู้จัดทำ ซึ่งที่ผ่านมาตนเคยแจ้งแล้วว่า ไม่ต้องการเห็นภาพความแตกแยก ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีเน้นย้ำถึงพลังความสามัคคีของคนในชาติ ที่จะเป็นแรงขับเคลื่อนบ้านเมืองไปสู่จุดหมายร่วมกัน ดังนั้น นายกรัฐมนตรีจึงไม่ต้องการให้เกิดกระแสแบ่งแยกหรือความเกลียดชังแม้กระทั่งในโลกออนไลน์ก็ตาม

ปชป. นัดประชุม ส.ส. เตรียมลงมติแก้ไขรัฐธรรมนูญวาระสาม

นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ รองหัวหน้าพรรค และประธาน ส.ส. พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงการพิจารณาแก้ไขรัฐธรรมนูญว่า ตนได้นัด ส.ส. ของพรรครวมทั้งรัฐมนตรีและผู้เกี่ยวข้องเข้าประชุมร่วมกันในวันอังคารที่ 7 ก.ย. นี้ เวลา 13.30 น. เพื่อเตรียมความพร้อมในการพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ..) พุทธศักราช .... (แก้ไขเพิ่มเติมมาตรา 83 และมาตรา 91) ซึ่งเป็นการพิจารณาเพื่อลงมติในวาระที่สาม

ในส่วนของพรรคประชาธิปัตย์ เราได้พิจารณาให้ความเห็นชอบตั้งแต่วาระรับหลักการ จนถึงการพิจารณาในวาระที่สอง ไม่ใช่เพราะเป็นร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญที่พรรคเป็นผู้เสนอ และผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภาในวาระรับหลักการเท่านั้น แต่เป็นเพราะการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญครั้งนี้จะช่วยทำให้รัฐธรรมนูญมีความเป็นประชาธิปไตยมากยิ่งขึ้น

ถึงแม้การแก้ไขครั้งนี้จะเกี่ยวข้องกับการเลือกตั้ง ส.ส. ซึ่งมองโดยทั่วไปแล้วดูเหมือนว่า ส.ส. แก้รัฐธรรมนูญเพื่อประโยชน์ของตัวเอง แต่เมื่อมองอย่างถี่ถ้วนแล้วจะเห็นว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งนี้เป็นการแก้ไขเพื่อประโยชน์ของประชาชนเพราะการเลือกตั้งแบบเดิมจะใช้บัตรเลือกตั้งใบเดียว เลือกทั้ง ส.ส. เขต และ ส.ส. บัญชีรายชื่อไปพร้อมกัน แต่เมื่อแก้ไขแล้วจะใช้บัตรเลือกตั้ง 2 ใบ คือ เลือก ส.ส. เขต 1 ใบ เลือก ส.ส.บัญชีรายชื่อหรือเลือกพรรคอีก 1 ใบ เท่ากับเปิดโอกาสให้ประชาชนสามารถแสดงเจตจำนงในการเลือกตั้งได้อย่างเต็มที่โดยไม่มีข้อจำกัด

นอกจากนั้นยังเป็นการเปิดโอกาสให้ประชาชนมีสิทธิเสรีภาพเพิ่มมากขึ้น และทำให้พรรคการเมืองเข้มแข็ง ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการเสริมสร้างให้ประชาธิปไตยเข้มแข็งตามไปด้วย

ส่วนที่บางฝ่ายวิตกว่าการใช้บัตรเลือกตั้ง 2 ใบ จะทำให้พรรคการเมืองขนาดใหญ่ได้เปรียบว่าเราไม่ควรมองการได้เปรียบเสียเปรียบเฉพาะการเลือกตั้งแต่ละครั้ง แต่เราควรมองเรื่องของหลักการพื้นฐานเพื่อสร้างความเข้มแข็งทางการเมืองในระบอบประชาธิปไตยระยะยาวมากกว่าการคิดถึงประโยชน์จากการเลือกตั้งเฉพาะหน้าเท่านั้น

สำหรับการที่พรรคการเมืองบางพรรคจะยื่นเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความวินิจฉัยว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งนี้ทำได้หรือไม่ ก็เป็นสิทธิที่จะยื่นเรื่องให้วินิจฉัย แต่ในส่วนของพรรคประชาธิปัตย์ ขอยืนยันว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งนี้ไม่มีอะไรขัดรัฐธรรมนูญแต่อย่างใด

“โฆษก ปชป.” เชื่อมั่น “เกษตรผลิต พาณิชย์ตลาด” ด้วยยุทธศาสตร์ “ตลาดนำการผลิต” มุ่งมั่นทำประโยชน์ให้เกษตรกรและพี่น้องประชาชนทุกคน

นายราเมศ รัตนะเชวง โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า จากการชี้แจงของรัฐมนตรีของพรรคในการอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งที่ผ่านมา สามารถชี้แจงได้ดี มีเหตุผล และไม่ปรากฎเรื่องทุจริตใดๆ ซึ่งได้ทำให้พี่น้องประชาชนได้เห็นถึงความตั้งใจในการทำงาน ด้วยความมุ่งมั่น คิดถึงประโยชน์ของพี่น้องประชาชนและพี่น้องเกษตรกรเป็นที่ตั้ง  โดยเฉพาะการทำงานร่วมกันอย่างเป็นระบบภายใต้วิสัยทัศน์ “เกษตรผลิตพาณิชย์ตลาด” ใช้ยุทธศาสตร์ “ตลาดนำการผลิต”

ที่นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ร่วมกับนายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รมว.เกษตรและสหกรณ์ จับมือกันทำงานโดยมีจุดมุ่งหมายให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางสินค้าเกษตร รวมถึงเป็นประเทศที่มีอาหารคุณภาพของโลก มีหลักสำคัญเพื่อเพิ่มรายได้เกษตรกรและผู้ประกอบรวมถึงพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันทางด้านการค้าให้กับประเทศ

ทั้ง 2 กระทรวงมีจุดหมายร่วมกันคือการสร้างฐานข้อมูลเพื่อให้มีการใช้ข้อมูลจากฐานข้อมูลเดียวกัน มีระบบฐานข้อมูลกลาง “เกษตรผลิต พาณิชย์ตลาด” เพื่อสร้างความเชื่อมั่นในเรื่องคุณภาพ ความปลอดภัย และควบคุมความสมดุลของจำนวนและคุณภาพการผลิตควบคู่กันไปเพื่อให้เกิดประโยชน์กับทุกภาคส่วนมากที่สุด โดยจะเห็นว่าพืชผลการเกษตรในช่วงระยะเวลาที่ผ่านมามีการปรับปรุงพัฒนาระบบการผลิตและทำการตลาด มีตัวเลขปรากฏผลเป็นไปด้วยดี

นายราเมศ ยังกล่าวต่ออีกด้วยว่า การร่วมกันทำงานของกระทรวงพาณิชย์และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นความตั้งใจที่ยึดเอาผลประโยชน์ของพี่น้องประชาชนและประเทศเป็นหลักสำคัญ โดยสินค้าเกษตรที่พี่น้องเกษตรกรผลิต จากการดูแลของกระทรวงเกษตรฯ จะได้ส่งต่อไปยังช่องทางที่ก่อให้เกิดรายได้โดยกระทรวงพาณิชย์ที่จะดูแลเรื่องการตลาด ทั้งนี้ก็เชื่อมั่นว่าหลัก “เกษตรผลิต พาณิชย์ตลาด” จะก่อให้เกิดประโยชน์กับประชาชนและประเทศอย่างยั่งยืนต่อไป

'ชัยชนะ'  ชี้ 'ณัฐวุฒิ' อ้างเรื่องโควิดทำให้คนไม่ออกมาชุมนุมไล่ 'บิ๊กตู่'  เพื่อกลบเกลื่อนเป้าหมายทางการเมืองของตัวเอง - แนะควรเอาเวลาเดินหน้าหาสมาชิกพรรคฯ เพื่อลงเลือกตั้ง  ดีกว่าสร้างความวุ่นวายให้บ้านเมือง

นายชัยชนะ เดชเดโช ส.ส.นครศรีธรรมราชและรองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่ นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ อ้างว่า การชุมนุมที่แยกอโศก เมื่อวานนี้ (5 กันยายน)  ประชาชนไม่สามารถมาชุมนุมแสดงพลังขับไล่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีได้ เนื่องจากยังมีความกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์การระบาดของไวรัสโควิด - 19 ว่า ถือเป็นเรื่องที่ตนคิดไว้แล้วว่า นายณัฐวุฒิ จะต้องหาข้ออ้างเพื่อกลบเกลื่อนสาเหตุที่แท้จริง เพราะเอาเข้าจริงๆแล้วที่คนออกมาชุมนุมกับนายณัฐวุฒิ และเครือข่าย ไม่เป็นไปตามเป้าหมายนั้น เนื่องจากว่า คนส่วนใหญ่ต่างรู้ทันแล้วว่า นายณัฐวุฒิ ต้องการมวลชนเพื่อเป็นเงื่อนไขและข้อต่อรองทางการเมืองของตนเอง และการไปจัดกิจกรรมย่านใจกลางธุรกิจเหมือนที่เคยทำเมื่อปี 2553 นั้น สะท้อนว่า นายณัฐวุฒิ ยังใช้วิธีการเดิมๆ ที่จะก่อความเดือดร้อนวุ่นวาย

เพื่อหมายของตนเอง โดยไม่สนใจความเดือดร้อนของผู้คนที่ทำมาหากินและดำเนินธุรกิจอยู่ในย่านอโศก รวมทั้ง คนที่เคยหลงลมปากของนายณัฐวุฒิ คงเข็ดขยาดหากจะต้องเดิมพันด้วยชีวิต เพื่อแลกกับโอกาสทางการเมืองของผู้อื่น ดังนั้น ตนทราบมาว่า นายณัฐวุฒิ ได้จับมือกับนายจาตุรนต์ ฉายแสง และนักการเมืองบางส่วน เพื่อจัดตั้งพรรคการเมืองขึ้นมาใหม่ เพราะฉะนั้น แทนที่เอาเวลาที่ก่อความวุ่นวายในบ้านเมือง นายณัฐวุฒิ ควรเดินหน้าเพื่อหาคนที่มีอุดมการณ์เดียวกัน มาร่วมเป็นสมาชิกพรรคฯ เพื่อส่งตัวแทนลงแข่งขันในสนามการเลือกตั้ง มากกว่าการใช้มวลชนลงถนนเพื่อกดดันให้เจ้าหน้าที่บ้านเมืองออกมาใช้มาตรการตามกฎหมายเพื่อควบคุมความสงบเรียบร้อย เพราะเป็นเรื่องที่ทุกฝ่ายไม่อยากให้เกิดขึ้น 

"ยอมรับว่า มีประชาชนจำนวนไม่น้อยที่ไม่พอใจในการบริหารงานของรัฐบาลชุดปัจจุบัน ซึ่งรัฐบาลและทางพรรคประชาธิปัตย์ ก็ได้นำเสียงสะท้อนเหล่านั้น มาเป็นส่วนหนึ่งในการนำเสนอปัญหาและนำมาแก้ไขเพื่อให้ทุกฝ่ายมีความพึงพอใจมากที่สุด ทั้งนี้ การที่นายณัฐวุฒิ ออกมาอ้างเรื่องการระบาดไวรัสโควิด - 19 ทำให้คนออกมาน้อยนั้น ก็ต้องถามกลับไปว่า นายณัฐวุฒิ ได้จัดกิจกรรมที่เป็นการฝ่าฝืนกฎหมายและการควบคุมโรคระบาด ซึ่งสร้างความไม่สบายใจต่อผู้เข้าร่วมหรือไม่ หรือจำนวนคนไม่พอที่จะสร้างเงื่อนไขต่อรองเพื่อประโยชน์ของตนเอง จึงต้องออกอาการหงุดหงิดถึงปัจจัยแวดล้อมที่เกิดขึ้น ดังนั้น ผมเห็นว่า หากนายณัฐวุฒิ ต้องการมวลชนที่สนับสนุนแนวคิดของตนเองจริงๆแล้ว ควรดำเนินการหาสมาชิกพรรคฯ ที่นายณัฐวุฒิ ร่วมก่อตั้งกับนายจาตุรนต์และบุคคลอื่นๆ และคัดเลือกผู้เหมาะสมลงสมัครรับเลือกตั้งในนามพรรคฯ จะดีกว่าการหาวิธีการเพื่อสร้างภาพว่า มีคนมาร่วมกิจกรรมกับนายณัฐวุฒิ และเครือข่าย เพราะนอกจากมีคนจับได้ไล่ทันแล้ว นายณัฐวุฒิ ก็ต้องเหนื่อยที่จะต้องหาเหตุผลอื่นๆ มากลบเกลื่อนความล้มเหลวของนายณัฐวุฒิ ที่ไม่สามารถระดมคนเพื่อเป้าหมายของตัวเองได้"  นายชัยชนะกล่าว

‘ศรีสุวรรณ’ ร้องเอาผิด 2 พระสงฆ์ไลฟ์ไม่เหมาะ ชี้!! ย่ำยีศาสนา ทำให้เป็นเรื่องตลกขบขัน

เมื่อวันที่ 6 ก.ย. นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย เปิดเผยว่า สมาคมฯ ได้ทำคำร้องส่งไปยังมหาเถรสมาคม (มส.) ผ่าน ผอ.สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) เพื่อขอให้มีบัญชาสอบสวนเอาผิดภิกษุอลัชชี (ผู้ไม่ละอาย) ที่ชอบเล่นโชเขียลมีเดียโดยไลฟ์สดเอาธรรมะมาสอนเป็นเรื่องตลกขบขัน แต่พอมีคนสนใจเข้ามาดูมาก ๆ รวมทั้งมีเพจที่มาคอมเมนท์ขายสินค้า มาโปรโมทแบรนด์ตัวเอง กลับมาทวงถามให้จ่ายค่ามาใช้พื้นที่เพจของตนในขณะไลฟ์สดนั้น

พฤติกรรมดังกล่าว ชี้ให้เห็นว่า พส. ดังกล่าวมิใช่วัตรปฎิบัติของภิกษุ ที่เป็นสาวกของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่มุ่งแสวงหาปรมัติอันเป็นทางหลุดพ้นจากกิเลสสงสาร เพื่อถึงการดับทุกข์ โดยมีพระวินัยบัญญัติที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงให้ภิกษุทุก ๆ รูปที่บวชมาในพระศาสนาต้องปฏิบัติตามหลักพระธรรมวินัยบัญญัติทุกรูป ถ้าทำไม่ได้ก็จะเป็นเพียงคนโกนหัวแล้วเอาผ้ามาห่มตนให้ดูเหลืองคล้ายดั่งพระภิกษุ ที่ไม่สังวรณ์ว่าตนต้องบิณฑบาตเลี้ยงชีพเป็นอาจิณ หาใช่มาแสวงหาเงินทองความร่ำรวยจากการบวชเป็นพระ ที่บ้านไม่ต้องเช่า ข้าวไม่ต้องซื้อเหมือนประชาชนทั่วไปเท่านั้น

ข้ออ้างของการไลฟ์สดเพื่อต้องการเผยแพร่ธรรมะให้เท่าทันยุคสมัยโดยเฉพาะกลุ่มวัยรุ่นคนรุ่นใหม่จะได้เข้าถึงธรรมะได้นั้น เห็นว่าเป็นเพียงข้ออ้างที่ไร้น้ำหนักของเหล่าพระสงฆ์พวกนี้เท่านั้น เพราะคนจะซาบซึ้งในธรรมะต้องมาจากระบบการสั่งสอนอบรมมาตั้งแต่ครอบครัว วัด โรงเรียนร่วมกัน มิใช่มาจากภิกษุที่ทำตนเป็นคณะตลกที่เปลี่ยนหน้าจากหม่ำ เท่ง โหน่ง มาเป็น 2 พระสงฆ์กลุ่มนี้แต่อย่างใด และเชื่อว่าไม่มีใครซาบซึ้งจากข้อธรรมะ ที่นำมาพูดให้ขบขันได้ แต่กลับเป็นการทำให้ศาสนามัวหมองถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือในการแสวงหาผลประโยชน์จากเหล่าพระสงฆ์ดังกล่าว โดยสังเกตดูได้จากการโพสต์ทวงเพจต่าง ๆ ที่มาโปรโมทแบรนด์ของตนในขณะที่พระสงฆ์ไลฟ์โดยให้เบอร์พร้อมเพย์ อย่างไม่ละอายต่อพระธรรมวินัย

ตามพระวินัยปิฎก ได้ระบุเอาไว้ในพระมหาวิภังค์ ว่า “อนึ่ง ภิกษุใด รับ ก็ดี ให้รับ ก็ดี ซึ่งทอง เงิน หรือ ยินดีทอง เงิน อันเขาเก็บไว้ให้ เป็นนิสสัคคิยปาจิตตีย์” อันถือเป็นอาบัติ เป็นโลกวัชชะ หรือการกระทำที่ทำให้ขาวโลกติเตียนได้ และการเผยแพร่ธรรมะด้วยวิธีตลกขบขัน ไม่ปรากฎในพระไตรปิฎกแต่อย่างใด

ก่อนหน้านี้เหล่าพระสงฆ์พวกนี้ก็เคยมีปัญหาจากข้อขัดแย้งเกี่ยวกับค่าตัวที่ไปเป็นวิทยากรในเวทีต่าง ๆ มาแล้ว หรือบางรูปก็ไปช่วยไลฟ์โฆษณาสินค้าต่าง ๆ ด้วย ซึ่งก็เข้าข่ายต้องอาบัตินิสสัคคิยปาจิตตีย์ด้วยเช่นกัน ซึ่งตามหลักพระธรรมวินัยนั้นหากต้องอาบัติลักษณะนี้บ่อยครั้งต้องหลุดจากความเป็นพระดั่งโทษปาราชิกเลยทีเดียว

สมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย ไม่อาจปล่อยให้ภิกษุอลัชชีเหล่านี้กระทำการย่ำยีพุทธศาสนาได้อีกต่อไป จึงส่งคำร้องไปยังมหาเถรสมาคมผ่านสำนักพุทธฯ เพื่อให้มีบัญชาวางกฎเหล็กห้ามภิกษุใด ๆ กระทำเยี่ยงนี้อีกและให้สอบสวนเอาผิดพระสงฆ์ที่ต้องอาบัติซ้ำดังกล่าวเพื่อลงโทษขั้นเด็ดขาด

ประวัติศาสตร์ที่น่าภาคภูมิของทัพพาราลิมปิกไทย 'พงศกร แปยอ' ผู้คว้า 3 เหรียญทองจากการแข่งขัน Wheelchair Racing ในโตเกียวพาราลิมปิก 2020

แม้จะอยู่ท่ามกลางวิกฤตการระบาดของโรคโควิด-19 แต่ทัพนักกีฬาพาราลิมปิกไทย ก็ทำผลงานได้น่าประทับใจในโตเกียวพาราลิมปิก 2020 (Paralympic Tokyo 2020) ตั้งแต่ต้นจนจบ 

เริ่มตั้งแต่การผ่านคัดเลือกเข้าไปร่วมแข่งขันมากถึง 74 คนซึ่งเป็นจำนวนที่มากกว่าพาราลิมปิกทุกครั้งที่ผ่านมา และยังคว้ามาได้ถึง 18 เหรียญ ดันไทยขึ้นไปอยู่ในอันดับที่ 25 ของตารางสรุปเหรียญ

ถึงกระนั้น มหกรรมกีฬาคนพิการที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกอย่าง 'พาราลิมปิกเกมส์' ที่จัดขึ้นครั้งที่ 16 โตเกียว 2020 ที่กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น ก็มักจะทำให้เห็นภาพเดิม ๆ นั่นคือการได้รับความสนใจและชื่นชมจากคนไทยและสื่อไทยน้อยมาก ทั้ง ๆ ที่พวกเขาสามารถสร้างทั้งความภูมิใจในตนเอง ให้รู้สึกว่าชีวิตมีค่า รวมถึงสามารถเป็นตัวแทนประเทศไทยไปสร้างชื่อเสียงได้ในระดับโลก ที่ต้องฝ่าฟันอุปสรรคมากมาย

ดังนั้น การที่ 'พงศกร แปยอ' ได้กลายเป็นนักกีฬาคนแรกของไทยที่คว้า 3 เหรียญทองรวดจาก Wheelchair Racing ระยะ 100, 400 และ 800 เมตร พร้อมทำลายสถิติสำคัญของโลกได้หมดทั้ง 3 รายการ จึงไม่ใช่เรื่องธรรมดา และไม่ควรเป็นเรื่องธรรมดาที่สังคมไทยจะเพิกเฉย 

ต่อจากนี้ไป การหันมามองและให้ความสำคัญแก่พวกเขาที่มิใช่เพียงแค่ พงศกร แต่ยังรวมถึงฮีโร่พาราลิมปิกไทยทุกคนนั้น ควรมีความชัดเจนมากยิ่งขึ้นกว่านี้

สำหรับประวัติพอสังเขปของ 'กร' พงศกร แปยอ เป็นเด็กหนุ่มจากจังหวัดขอนแก่น เกิดวันที่ 1 ธันวาคม 2539 วัย 24 ปี โดยเจ้าตัวเป็นโปลิโอขาทั้งสองข้างตั้งแต่กำเนิด และเริ่มเล่นกีฬาวีลแชร์เรซซิ่งตั้งแต่อายุได้ 13 ปี จากนั้นอาจารย์ สากล ทัพสมบัติ ที่สนิทกันชักชวนให้ไปแข่งขันกีฬานักเรียนนักศึกษาแห่งชาติ ครั้งที่ 30 "นครสุโขทัยเกมส์" เมื่อปี 2552 และประเดิมด้วยการคว้า 2 เหรียญทองแดงรายการ 100 ม. กับ 400 ม. ทันที ก่อนที่เจ้าตัวจะเริ่มคัดติดเป็นนักกีฬาเยาวชนทีมชาติหลังจากนั้น

ส่วนจุดเริ่มต้นบนเส้นทางทีมชาติชุดใหญ่ของ พงศกร นั้นเกิดขึ้นจากการที่ ประวัติ วะโฮรัมย์, เรวัฒน์ ต๋านะ และ อำไพ เสือเหลือง สามนักวีลแชร์เรซซิ่งดีกรีทีมชาติไทยเห็นแววความสามารถและรูปร่างของหนุ่มน้อยที่ตอนนั้นอายุเพียงน้อยนิด จึงตัดสินใจไปขอพ่อแม่ของ พงศกร เพื่อนำมาดูแลสนับสนุนในทุก ๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเล่นกีฬาหรือการกินอยู่ พร้อมทั้งสัญญากับทางบ้านของพงศกรว่าจะพยายามปลุกปั้นให้พัฒนาความสามารถจนประสบความสำเร็จให้ได้ 

อีกทั้ง ประวัติ วะโฮรัมย์ เจ้าของ 2 เหรียญทองพาราลิมปิกเกมส์ปี 2016 ยังได้มอบรถวีลแชร์ที่เคยใช้ และสภาพยังดีอยู่ให้ พงศกร เพื่อเข้าแข่งขันรายการต่าง ๆ จนประสบความสำเร็จในช่วงแรก นั่นคือจุดเริ่มต้นที่ พงศกร จะเริ่มพัฒนาตัวเองหลังจากนั้นและกลายเป็นเบอร์ 1 ของโลกในทุกวันนี้

#ParalympicsTokyo2020


ที่มา : https://www.siamsport.co.th/other/other/view/250086

https://www.facebook.com/story.php?story_fbid=388822782611381&id=100044509866439

https://www.bbc.com/thai/58430656


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top