Saturday, 14 June 2025
NewsFeed

'สี จิ้นผิง' เตรียมกวาดล้าง 'ปัญหาที่ซุกไว้ใต้พรม' เพื่อพลิกโฉมสังคมจีน

กระแสความสนใจคำว่า 'เปี้ยนเก๋อ' หรือ การปฏิวัติสังคมในจีน มันจะปฏิวัติอะไร จะเกิดเมื่อไร และความคิดสีจิ้นผิง คืออะไร 

ปฏิบัติการ 'เปี้ยนเก๋อ' ถูกเร่งขึ้นอย่างจริงจัง หลังจากการประชุมลับที่ Beidaihe ของพรรคคอมมิวนิสต์จีน และถึงเวลาที่สุกงอมมากพอแล้ว right timing ที่จะ 'เปี้ยนเก๋อ' เพื่อปฏิวัติ ให้ถึงแก่นพลิกโฉมสังคมจีน Social Transformation 

#จีนกวาดบ้าน ล้างบาง ชำระล้าง กวาดล้างในวงการต่าง ๆ ที่จีนเคย #ปิดตาข้างเดียว ปล่อยให้ตักตวงประโยชน์มานาน และ #ปัญหาที่เคยซุกไว้ใต้พรม ด้วยการทำ Social Governance ตามแนวทาง 14 ด้าน Xi Jinping Thought 

#ความคิดสีจิ้นผิง คืออะไร สำคัญถึงขั้นที่มีการระบุไว้ในรัฐธรรมนูญจีน ตั้งแต่ปี 2018 และจีนได้ผ่านกฎหมายสำคัญหลายฉบับเพื่อติดอาวุธให้กับหน่วยงาน regulator มือฉมังทั้งหลาย ในการทำปฏิบัติการปฏิวัติเปลี่ยนโฉมสังคมจีน #จีนเปี้ยนเก๋อ ได้หรือไม่ อย่างไร ส่องเลยค่ะ 

Note: นี่คือส่วนหนึ่งของ my Talk #อ่านเกมสีจิ้นผิง เพื่อทำความเข้าใจทิศทางจีน และผลกระทบที่สั่นสะเทือนแผ่นดินจีนอยู่ในขณะนี้ รวมทั้งจะมีแรงต้านหรือไม่อย่างไร หาคำตอบเพิ่มเติมได้​ที่นี่ >> https://www.facebook.com/1037140385/posts/10223885692543683/?d=n


ที่มา : รศ.ดร.อักษรศรี พานิชสาส์น อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ อดีตผู้อำนวยการศูนย์วิจัยยุทธศาสตร์ไทย-จีน แห่ง วช. https://www.facebook.com/1037140385/posts/10223885692543683/?d=n

‘เฉลิมชัย’ แจงสภาฯ เคลียร์ปมระบายยาง บริสุทธิ์ - โปร่งใส - สุจริตไม่ผิดกฎหมาย!!

เมื่อวันที่ 3 กันยายน 2564  ที่รัฐสภา นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ชี้แจงเรื่องยางพาราและการระบายยางว่า การประชุมทุกครั้งจะต้องมีองค์ประชุมครบถึงจะดำเนินการได้ จะต้องเป็นมติของที่ประชุม การยางแห่งประเทศไทย เป็นรัฐวิสาหกิจจัดตั้งตามพระราชบัญญัติการยาง 2558 โดยมีบอร์ดการยางเป็นผู้ออกนโยบายกำกับดูแล อนุมัติในกิจกรรมของการยางแห่งประเทศไทย รวม 14 ท่าน จะมีมติได้ที่ประชุมส่วนใหญ่ถือเป็นเอกฉันท์ เป็นความรับผิดชอบร่วม การยางแห่งประเทศไทยมีสถานะเป็นรัฐวิสาหกิจในการควบคุมกำกับของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์

นายเฉลิมชัย กล่าวว่า ตนเข้ามารับตำแหน่งรัฐมนตรีเมื่อวันเดือนกรกฎาคมปี 2562 และรัฐบาลแถลงนโยบายประกันรายได้ราคาพืชผลการเกษตร 5 ชนิด ยางพาราเป็น 1 ในสินค้า 5 ชนิด ที่รัฐบาลดำเนินโครงการประกันรายได้ เพื่อให้พี่น้องประชาชนได้รับการประกันว่าจะมีการรายได้ขั้นต่ำที่สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ เพราะพี่น้องคนไทยส่วนใหญ่ประกอบอาชีพเกษตรกรรม ถ้าเกษตรกรมีความเข้มแข็งประเทศชาติก็มีความเข้มแข็งด้วย ถ้ามีรายได้ที่มั่นคงประเทศชาติก็จะมั่นคงด้วย

“เชื่อว่า วันที่รัฐบาลชุดนี้ประกาศนโยบายประกันรายได้ เกษตรกรมีความสุขและยิ้มทั้งประเทศ เป็นครั้งเดียวที่ได้มีโอกาสได้รับการดูแลภาคการเกษตรจากรัฐบาลอย่างจริงจัง และไม่ใช่ว่าเมื่อประกันรายได้แล้วจะไม่ทำอะไรเลยปล่อยให้ราคายางเป็นไปตามยถากรรม เราทำทุกวิถีทางเพราะเราเข้าใจว่าเกษตรกรไทยคือหัวใจของชาติ จนราคายางพารารัฐบาลไม่ต้องจ่ายชดเชยส่วนต่างจนเรามาประสบวิกฤติโควิดซึ่งภาวะวิกฤตนี้มีผลกระทบไปทั่วโลก ทุกประเทศ ทุกสาขาอาชีพ ภาคการเกษตรก็ไม่เว้น แต่เรามีการบูรณาการการทำงานในทุกภาคส่วน ทั้งกระทรวงเกษตรฯ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงต่างประเทศ บูรณาการร่วมกัน” นายเฉลิมชัย กล่าว

นายเฉลิมชัย กล่าวต่อว่า วันที่ตนเข้ามากำกับดูแลการยางแห่งประเทศไทยมีหน้าที่กำกับมอบนโยบายไม่มีหน้าที่เซ็นอย่างใดอย่างหนึ่ง ได้ให้นโยบายต้องทำงานอย่างสุจริตไม่ผิดกฎหมาย และกำชับอีกว่าถ้าท่านทำในสิ่งที่ถูกต้องตนจะปกป้องท่าน แต่ถ้าท่านทำในสิ่งที่ไม่ถูกต้องตนจะดำเนินการกับท่านโดยเด็ดขาด  เรื่องของยางพารา 104,000 ตัน มียางพาราอยู่ในสต๊อก 104,000 ตันเศษ ซึ่งอย่างที่เก็บไว้เสียค่าเช่าโกดังค่าประกันภัยจะได้รับการชดเชยโดยสัญญาทุกปีจะสิ้นสุดวันที่ 31 พฤษภาคมของทุกปี และเริ่มต้นมิถุนายน การยางแห่งประเทศไทยทำสัญญาเช่าเริ่มตั้งแต่ปี 2555 โครงการพัฒนาศักยภาพเกษตรกรเพื่อรักษาเสถียรภาพราคายาง

โดยการซื้อยางเข้าสู่สต๊อก เพื่อให้ยางในตลาดมีปริมาณน้อยลง เพื่อรักษาเสถียรภาพ เพราะขณะนั้นราคายางตกมาก จาก กิโลกรัมละ 180 บาทเหลือ 90 บาท เมื่อวันที่ 24 มกราคม 2555 จึงรับซื้อยางเข้ามา ปริมาณทั้งหมด 213,492 ตันในราคาเฉลี่ย 98.96 บาทต่อกิโลกรัม งบประมาณ 22,782 ล้านบาท และในปี 2557 มีโครงการมูลพันธ์กันชนเพื่อรักษาเสถียรภาพราคายางพาราเพื่อให้ยางในตลาดขณะนั้นมีราคาไม่ต่ำจนเกษตรกรไม่มีจะกิน  ที่ซื้อยางเข้าสต๊อกทั้ง 2 ครั้ง ปี 2555 กับ 2557 เพื่อตัดปริมาณยางในตลาดรักษาสถานภาพราคายางเมื่อมีการนำยางเข้ามาในสต๊อก มีการระบายยางโดยครั้งแรกในปี 2557 มีการลงนามสัญญา 278,000 ตัน เมื่อทำสัญญาแล้วราคายางตกลงอย่างมากบริษัทรับยางเพียง 37,602 ตัน เนื่องจากราคาตกมากจึงไม่ได้รับครบจึงเป็นไปสู่การกำหนด TOR ในการประมูล

นายเฉลิมชัย กล่าวต่อว่า การประมูลครั้งที่ 2 ประมูลในรอบปี 2559-2560 ซึ่งเป็นการประมูลแบบคละเหมาคุณภาพแยกโกดัง ให้พ่อค้าเข้าไปตรวจสอบคุณภาพหากพอใจโกดังไหนที่ประมูลโกดังนั้น พ่อค้าก็เลือกยางดีดีไปหมด การประมูลครั้งที่ 2 เหลือยางในสต๊อกจนถึงปัจจุบัน 104,000 ตันเศษ 9 ปีเต็ม เป็นยางที่ถูกคัดเลือกของดีไปเรียบร้อยแล้ว ยางในสต๊อกนี้คือฝันร้ายของพี่น้องเกษตรกร ตนมาช่วยคลายล็อกให้พี่น้องเกษตรกรไม่ต้องฝันร้ายต่อไปอีก จะได้ไม่ถูกยางในสต๊อกเป็นข้ออ้างของพ่อค้าบางกลุ่มกดราคา อ้างว่ายางไม่ขาดมีในสต๊อก ทั้งที่ยางในสต๊อกไม่มีสภาพที่พร้อมใช้แล้ว  ยางแผ่นดิบปกติเก็บ 6 เดือนสีก็เปลี่ยน ระหว่างปี 2555-2559 ค่าใช้จ่ายในการซื้อยางเข้ามาในสต๊อก ค่าเช่าโกดัง ค่าประกันภัยยางพาราใช้เงินทั้งสิ้น 2,317 ล้านบาท และปี 2559 ถึงปี 2564 ยาง ค่าใช้จ่ายรวมกัน 925 ล้านบาท โดยเป็นเงินงบรายจ่ายการยางแห่งประเทศไทยจากเงินกองทุนพัฒนายางพาราซึ่งใช้ดูแลพี่น้องชาวเกษตรกร จึงเป็นฝันร้ายที่ 2 ของพี่น้องเกษตรกรชาวสวนยาง

"คณะกรรมการการยางธรรมชาติจึงได้มีมติเมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 2563 ให้ระบายยางในสต๊อกนี้ให้หมดโดยเร็ว และนำเข้า ครม.วันที่ 3 พฤศจิกายน 2563 การระบายต้องดูจังหวะที่เหมาะสมและไม่กระทบกับราคายางในตลาดมากนักเมื่อ ครม.ได้รับทราบ ตนในฐานะกำกับดูแลการยางแห่งประเทศไทย ให้นโยบายการยางแห่งประเทศไทยในการระบายอย่างสต๊อก 1.ให้การยางแห่งประเทศไทยดูช่วงเวลาที่เหมาะสมในการระบายเพื่อไม่ให้กระทบราคายางในตลาด

2.พี่น้องเกษตรกรต้องได้รับประโยชน์

3.ต้องรักษาผลประโยชน์ภาครัฐเพราะเป็นเงินภาษีของพี่น้องประชาชน

4.ต้องทำโดยสุจริตโปร่งใสตรวจสอบได้ และถูกต้องตามระเบียบ

ที่เน้นย้ำที่สุดคือห้ามทุจริตคอรัปชั่นโดยเด็ดขาด ถ้าเขาทำทุจริตผิดกฎหมายผมไม่ละเว้นอยู่แล้วและนอกจากผมไม่ละเว้นแล้วยังมีหน่วยงานมากมายที่รอการตรวจสอบท่านสามารถฟ้องได้เลย เพราะถ้าไม่ถูกต้องผมก็ไม่ชอบ อยู่ประเทศไทยทำร้ายประเทศผมก็ไม่เอา " นายเฉลิมชัย กล่าว

สคบ.เตือนซื้อสินค้ากันโควิดผ่านออนไลน์ ระวังเจอโกง

นายสุวิทย์ วิจิตรโสภา รองเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) เปิดเผยว่า สคบ.ขอแจ้งเตือนผู้บริโภคให้ระมัดระวังการซื้อสินค้าหรือผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการป้องกันการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ทั้งหน้ากากอนามัยชนิดต่าง ๆ ปืนฉีดพ่นแอลกอฮอล์ ยาฟ้าทะลายโจร รวมทั้งชุดตรวจหาเชื้อโควิดด้วยตัวเอง หรือ แอนติเจนเทสคิท ต้องศึกษาข้อมูลให้รอบคอบก่อนทำการสั่งซื้อสินค้า โดยเฉพาะการสั่งซื้อสินค้าผ่านทางออนไลน์ เพราะที่ผ่านมามีผู้บริโภคหลายรายเจอการหลอกลวงโอนเงินซื้อสินค้าแล้วไม่ได้สินค้า และในด้านการติดตามตรวจสอบกับทางผู้ขายนั้นก็ทำได้ยากอีกด้วย 

ทั้งนี้ สคบ. ได้มีการตรวจสอบการลักลอบขายผลิตภัณฑ์ในลักษณะนี้ผ่านออนไลน์ ในช่วงที่ผ่านมา พบว่า มีเจ้าของบริษัทหลายแห่งที่ตัดสินใจซื้อแอนติเจนเทสจากช่องทางออนไลน์เพื่อเอาไปใช้ตรวจให้กับพนักงานในบริษัทของตัวเอง ซึ่งการซื้อแต่ละครั้งจะเป็นล็อตใหญ่ เมื่อตกลงซื้อ-ขายกันเสร็จแล้วก็โอนเงินไปยังผู้ขายบางรายเป็นเงินหลายหมื่นบาท ปรากฏว่า ผู้ขายกลับไม่ส่งสินค้าให้ จึงทำให้เกิดปัญหาการหลอกลวง หรือฉ้อโกงเกิดขึ้น ขณะเดียวกันในบางรายตกลงซื้อ-ขายกันเสร็จ ได้รับสินค้าเรียบร้อย แต่สินค้ากลับไม่มีคุณภาพ หรือไม่มีมาตรฐานตามข้อกำหนดของกระทรวงสาธารณสุขด้วย

นายสุวิทย์ กล่าวว่า หากผู้บริโภคต้องการซื้อสินค้าเกี่ยวกับโควิดหลาย ๆ ชนิด รวมไปถึงชุดตรวจแอนติเจน ผู้บริโภคควรไปเลือกซื้อในสถานที่ที่รัฐกำหนด ทั้งสถานพยาบาล หรือร้านขายยาต่าง ๆ ที่มีความน่าเชื่อถือ แทนการไปซื้อผ่านช่องทางออนไลน์ และสามารถตรวจสอบข้อมูลของสินค้าที่เข้าข่ายเป็นอุปกรณ์ทางการแพทย์ทุกชนิดได้ผ่านทางเว็บไซต์ของ อย. ซึ่งนำข้อมูลทั้งหมดมาแสดงไว้ให้ผู้บริโภคตรวจสอบแล้ว โดยเฉพาะรายชื่อบริษัทที่ได้รับอนุญาตให้นำสินค้านี้มาขายให้กับผู้บริโภค เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้บริโภคถูกหลอกลวง เพราะปัจจุบันมีสินค้าปลอมเกี่ยวกับโควิดเกิดขึ้นจำนวนมาก หากผู้บริโภคไม่ได้ตรวจสอบข้อมูลที่ชัดเจนก็อาจทำให้เกิดความเสียหายตามมาทั้งสุขภาพและเงินที่ต้องจ่ายไปด้วย 
 

‘เสกสกล’ ร้อง ‘ชวน’ สอบ 3 ส.ส. ขัดจริยธรรม ปมใช้ข้อมูลเท็จซักฟอก แฉ ขบวนการคนทางไกลใช้ 2 พันล้านล้ม ‘บิ๊กตู่’ เปิดตัวย่อพร้อมเส้นทาง

นายเสกสกล อัตถาวงศ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี ยื่นหนังสือถึงนายชวน หลีกภัย ประธานรัฐสภา เพื่อขอให้ตรวจสอบ 3 ส.ส. โดยมี นายราเมศ รัตนะเชวง เลขานุการประธานรัฐสภา เป็นตัวแทนรับหนังสือ โดยนายเสกสกล กล่าวว่า จะขอให้นายชวนตรวจสอบ นายณัฐชา บุญไชยอินสวัสดิ์ ส.ส.กทม.พรรคก้าวไกล ฐานใช้หลักฐานอันเป็นเท็จในการกล่าวหากองทัพและใช้ไอโอเอกสารประกอบการอภิปรายเป็นเอกสารปลอม ซึ่งได้ไปยื่นแจ้งความไว้เรียบร้อยแล้ว 

คนที่สอง นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส.น่าน พรรคเพื่อไทย ที่อภิปรายด้วยการตกแต่งตัวเลขผู้ป่วยและผู้หายป่วย แล้วนำไปกล่าวหานายกฯ และรมว.สาธารณสุข ทำให้เกิดความเสียหาย 

คนที่สาม นายวิสาร เตชะธีราวัฒน์ ส.ส.เชียงราย พรรคเพื่อไทย ที่ระบุพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และรมว.กลาโหม จ่ายเงิน 5 ล้านให้ส.ส.สนับสนุนลงมติ ซึ่งตนเห็นว่าบุคคลดังกล่าวสติสตังไม่อยู่กับร่องกับรอย 

เพราะคราวก่อนลูกสาวเตรียมลงสมัครนายกฯ อบจ.ที่จังหวัดเชียงรายก็ทำให้เกิดกระแสดราม่าโดยการกรีดเลือดในสภา จนทำให้ประชาชนประณามว่าเป็นส.ส.ที่ไม่ทรงเกียรติ เมื่อมีสติไม่สมประกอบแล้วยังไปพูดในห้องประชุมสภาทำให้ประชาชนรับไม่ได้อีก จึงขอยื่นให้นายชวนตรวจสอบ กรณีฝ่าฝืนข้อบังคับขัดมาตรฐานทางจริยธรรม ฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามข้อบังคับเกี่ยวกับมาตฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรงให้คณะกรรมการจริยธรรมของสภาได้ตรวจสอบ 3 ส.ส. ก่อนที่จะส่งไปดำเนินคดีทางกฎหมายต่อไปยังคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ให้ดำเนินคดีอาญา ขณะเดียวกันก็ได้มีบุคคลไปแจ้งความร้องทุกข์นอกสภาแล้วเพื่อให้ดำเนินคดีเนื่องจากอภิปรายทำให้เกิดความเสียหายส่วนตัว ส่วนเอกสิทธิคุ้มครองนั้นก็คุ้มครองได้เพียงบางเรื่อง 

นายเสกสกล กล่าวว่า การที่นายวิสาร พูดกล่าวหานายกฯ จ่ายเงิน 5 ล้านให้ส.ส. คงเป็นเพราะเคยเห็นมาในอดีต เพราะคนในอดีตเคยมีการกระทำเช่นนี้ ขอถามกลับไปยังนายวิสารว่า นายทักษิณ ชินวัตร น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯ นางเยาวภา วงศ์สวัสดิ์ แกนนำพรรคไทยรักไทย พรรคเพื่อไทย เคยมีพฤติกรรมอย่างนี้ใช่หรือไม่ จึงมากล่าวหานายกฯ พล.อ.ประยุทธ์ ไม่มีทางจะทำการอย่างนี้ เพราะประชาชนทราบดีว่าพล.อ.ประยุทธ์ เป็นคนอย่างไร ไม่เคยมีประวัติด่างพร้อยเรื่องทุจริตคอร์รัปชันหรือเล่นการเมืองสกปรก จึงได้นำมากล่าวหานายกฯ ในสภาฯ ซึ่งเป็นความเสียหายที่ร้ายแรง เป็นการกล่าวหาอันเป็นเท็จ 

‘ผมมีข้อมูลที่มีสายข่าวรายงานว่าคนทางไกลชื่อย่อ ‘ท’ ‘ด’ กำลังเคลื่อนไหวผ่านกลไกพรรค ‘พ’ ให้อดีตรัฐมนตรี ‘ว’ ที่เป็นอดีต ส.ส.ภาคเหนือ ให้นำเงินมาวางให้พรรคเล็กพรรคน้อยแล้ว แต่ส.ส.พรรคเล็กกำลังตัดสินใจว่าจะสนับสนุนพล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกฯ ต่อไปจึงยังไม่กล้าไปรับเงินดังกล่าว โดยวางมัดจำก่อน 2 กิโลกรัม ซึ่งเงินมัดจำทั้งหมดวางที่บ้านส.ส.พรรคเล็กอักษรย่อ ‘พ’ ซึ่งเป็นขบวนการที่ล้มนายกฯ ของคนทางไกลที่เตรียมเงินไว้ล้ม 2,000 ล้าน ประกอบกับความเคลื่อนไหวของม็อบที่สี่แยกอโศกนำโดยอดีตรัฐมนตรี ‘ต’ เพราะคาดว่าเกมนี้จะเดินสำเร็จ เป็นการเคลื่อนไหวนอกประเทศ บนถนน ในสภาฯ เพื่อล้มพล.อ.ประยุทธ์ให้ได้ นี้คือวิธีการเล่นการเมืองด้วยวิธีเดิม ๆ เหมือนในอดีตที่เคยไปลืมถุงขนมที่ศาลมาแล้ว 

นายกฯ กล่าวถ้อยแถลงในการประชุม EEF เสนอกุญแจสำคัญ 3 ดอก สู่การฟื้นตัวและเติบโตอย่างยั่งยืนภายหลังโควิด-19 

ตามเวลาประเทศไทย (ซึ่งตรงกับเวลา 18.08 น. ของเมือง Vladivostok) ที่มหาวิทยาลัย Far Eastern Federal เมือง Vladivostok สหพันธรัฐรัสเซีย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวถ้อยแถลงในการประชุม Eastern Economic Forum (EEF) ครั้งที่ 6 ในช่วงการประชุมเต็มคณะ (Plenary Session) ภายใต้หัวข้อ “Through crisis towards rejuvenation” A search for ways of growth in a post-pandemic period ผ่านระบบวีดิทัศน์ทางไกล
 
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เป็นเกียรติที่ได้เข้าร่วมการประชุม EEF ในครั้งนี้ ซึ่งเป็นเวทีสำคัญในการแลกเปลี่ยนทัศนะระหว่างผู้นำร่วมกันหาแนวทางสู่การฟื้นตัวและเติบโตอย่างยั่งยืนภายหลังสถานการณ์โควิด-19 ทางออกจากวิกฤตโควิด-19 ที่หลายประเทศกำลังเผชิญรวมทั้งไทยคือ การที่ทุกประเทศสามารถเข้าถึงและมีการกระจายวัคซีนได้อย่างครอบคลุมโดยเร็วที่สุด ซึ่งนายกรัฐมนตรีเน้นย้ำและเรียกร้องให้วัคซีนโควิด-19 เป็นสินค้าสาธารณะของโลก และขอให้ประเทศที่มีวัคซีนเพียงพอแล้ว แบ่งปันและเร่งกระจายวัคซีนให้ทั่วถึงทุกภูมิภาคโดยเร็ว  
 
สำหรับประเทศไทย รัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกำลังดำเนินการอย่างเต็มที่เพื่อจัดหาวัคซีนให้เพียงพอกับประชากรในประเทศ โดยคาดว่าจะสามารถฉีดวัคซีนให้ครอบคลุมประชากรอย่างน้อยร้อยละ 70 ภายในสิ้นปีนี้ นอกจากนี้ ไทยยังอยู่ระหว่างพัฒนาวัคซีนชนิดต่าง ๆ ซึ่งบางโครงการอยู่ในขั้นตอนทดลองในมนุษย์ มีผลที่น่าพอใจ จึงเห็นได้ว่า ไทยมีศักยภาพและความพร้อมในการเป็นฐานการผลิตและศูนย์กลางการกระจายวัคซีนของภูมิภาค 
 
จากสถานการณ์โควิด-19 IMF และธนาคารโลกได้รายงานตัวเลขคนยากจนทั่วโลกเพิ่มขึ้นถึงเกือบ 100 ล้านคนในปี 2020 ตอกย้ำความท้าทายที่กำลังเกิดขึ้นและจะดำเนินต่อไปถึงยุคหลังโควิด-19 โดยเฉพาะประเด็นช่องว่างของการพัฒนาและความเหลื่อมล้ำที่เพิ่มมากขึ้น ด้วยเหตุนี้ ทุกประเทศจึงต้องร่วมกันยึดมั่นระบบพหุภาคีนิยมและเสริมสร้างความเชื่อมโยงระหว่างกันให้มากขึ้นบนพื้นฐานของการพัฒนาที่ยั่งยืน โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีได้เสนอมุมมองของไทยเกี่ยวกับกุญแจสำคัญ 3 ดอก ซึ่งสอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของสหประชาชาติ เพื่อนำไปสู่การฟื้นตัวจากวิกฤตโควิด-19 ภายใต้วิถีปกติใหม่ ดังนี้ 
 
กุญแจสำคัญดอกแรก คือ การส่งเสริมการพัฒนาที่ยั่งยืน โดยการรักษาสมดุลระหว่างการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี ความเท่าเทียมทางสังคม และความยั่งยืนของสิ่งแวดล้อม โดยไทยได้ประยุกต์ใช้ “หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง” และขับเคลื่อนโมเดลเศรษฐกิจใหม่ Bio-Circular-Green Economy (BCG) โดยใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ ๆ ในการต่อยอดความเข้มแข็งของไทยในด้านเกษตรกรรม ความหลากหลายทางชีวภาพ และความหลากหลายทางวัฒนธรรม ซึ่งไทยยินดีแลกเปลี่ยนประสบการณ์กับทุกประเทศ 
 
กุญแจสำคัญดอกที่สอง คือ การเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันในภาคอุตสาหกรรมและแรงงาน รวมถึงการสร้างความเข้มแข็งให้แก่ห่วงโซ่อุปทานระหว่างภูมิภาค โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่ม MSMEs โดยใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีดิจิทัลเปลี่ยนการค้ารูปแบบเดิมให้เป็นการค้าทางอิเล็กทรอนิกส์ภายใต้สภาพแวดล้อมระหว่างประเทศที่เอื้ออำนวย โดยเฉพาะการปรับกฎระเบียบของภาครัฐให้รองรับการค้าแบบดิจิทัล การปรับโครงสร้างภาคแรงงานที่มีความยืดหยุ่นและปรับตัวเข้าสู่ตลาดแรงงานใหม่ได้ ซึ่งรวมถึงการ upskill และ reskill ตลอดจนเร่งจัดทำความตกลงการค้าเสรีระหว่างภูมิภาคเพิ่มเติม รวมถึงสหภาพเศรษฐกิจยูเรเซียซึ่งเป็นตลาดขนาดใหญ่ที่มีศักยภาพ ทั้งนี้ ไทยจะเดินหน้าหารือกับประเทศสมาชิก EAEU รวมทั้งรัสเซีย และคาซัคสถานต่อไป 
 
กุญแจสำคัญดอกที่สาม คือ การสร้างความเชื่อมโยงระหว่างภูมิภาค ทั้งด้านโครงสร้างพื้นฐาน การค้าการลงทุน การท่องเที่ยว และการแลกเปลี่ยนแนวความคิดในการพัฒนาพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษร่วมกัน ซึ่งไทยอยู่ระหว่างพัฒนาโครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ซึ่งมีที่ตั้งเชิงยุทธศาสตร์ เครือข่ายโครงสร้างพื้นฐานที่เชื่อมโยงกันอย่างดีเลิศ และมาตรการส่งเสริมการลงทุนที่ทันสมัย พร้อมเชิญชวนนักลงทุนให้เข้ามาลงทุนใน EEC โดยเฉพาะในสาขาที่ไทยส่งเสริม นอกจากนี้ การเชื่อมโยงด้านการท่องเที่ยวซึ่งได้รับผลกระทบอย่างหนัก ไทยได้ดำเนินโครงการ Phuket Sandbox และ Samui Plus พร้อมเสนอให้มีการหารือเพื่อจัดทำแนวปฏิบัติด้านการเดินทาง และการใช้เอกสารรับรองการฉีดวัคซีนร่วมกัน เพื่ออำนวยความสะดวกและกระตุ้นการเดินทางและการท่องเที่ยวระหว่างประเทศที่จะมีขึ้นในอนาคต 
 
วิกฤตโควิด-19 ทำให้เศรษฐกิจโลกถดถอยรุนแรง การจะกลับมาเข้มแข็งกว่าเดิมได้นั้น ต้องอาศัยการร่วมแรงร่วมใจอย่างจริงจังในทุกระดับซึ่งไทยได้มีส่วนร่วมอย่างแข็งขัน ทั้งในกรอบ UN และองค์กรระดับภูมิภาค โดยในการเป็นเจ้าภาพจัดการประชุม APEC ในปีหน้า ไทยจะผลักดันวาระที่มุ่งไปสู่การฟื้นตัวหลังโควิด-19 โดยเฉพาะการเดินทางและการท่องเที่ยว และการส่งเสริมการเจริญเติบโตที่ยั่งยืนและครอบคลุม ซึ่งต้องขับเคลื่อนโดยเทคโนโลยีดิจิทัลและนวัตกรรม เพื่อให้เกิดผลเป็นรูปธรรมอย่างเต็มประสิทธิภาพ ทั้งนี้ ไทยหวังจะขับเคลื่อนภูมิภาคให้เติบโตอย่างยั่งยืน มีภูมิคุ้มกัน และไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง

จับตาธุรกิจเอสเอ็มอีสายป่านไม่พอเสี่ยงถูกฮุบกิจการ

นายสกนธ์ วรัญญูวัฒนา ประธานกรรมการการแข่งขันทางการค้า เปิดเผยว่า สำนักงานคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้า กระทรวงพาณิชย์ กำลังจับตามองผลกระทบจากการระบาดของโควิดที่ส่งผลกระทบต่อธุรกิจเอสเอ็มอี  หลังพบการควบรวมธุรกิจ โดยมีกว้านซื้อธุรกิจรายใหญ่ทั้งในและต่างประเทศ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการประกอบธุรกิจ ทำให้โอกาสการแข่งขันเอสเอ็มอีรายย่อย และรายกลางลดลง ไม่สามารถแข่งขันได้เนื่องจากไม่มีอำนาจทางการค้าที่มากพอ อาจจะตามมาซึ่งการผูกขาดในระบบเศรษฐกิจ จากธุรกิจรายใหญ่อีกด้วย

ทั้งนี้ จากการจับตามองผลกระทบต่อเอสเอ็มอีนั้น นอกจากปัญหาการขาดสภาพคล่องทางการเงินที่ทำให้เอสเอ็มอีจำนวนมากต้องล่มสลายแล้ว ยังพบปัญหาโครงสร้างทางการตลาดที่เปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะการมีแพลทฟอร์มออนไลน์ ทั้งในและต่างประเทศ เช่น อีเซอร์วิส อีโลจิสติกส์ อีคอมเมิร์ซเข้ามาแข่งขันทำให้ธุรกิจแบบดั้งเดิมไม่สามารถปรับตัวได้ทัน และถูกแย่งพื้นที่ตลาดไปมากเช่นกัน

ทั้งนี้ สำนักงานฯ ขอแนะนำให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ต้องเรียนรู้ด้านต่าง ๆ เพิ่มขึ้น โดยประเมินสถานการณ์การเปลี่ยนแปลงของธุรกิจตนเอง พร้อมกับศึกษาความท้าทายจากเทคโนโลยี รวมถึงต้องเรียนรู้เกี่ยวกับกฎหมายที่เกี่ยวกับแข่งขันทางการการค้าเพื่อป้องกันการถูกเอารัดเอาเปรียบจากผู้ประกอบการรายอื่น โดยจะเร่งสร้างบรรยากาศทางการค้าให้เป็นธรรม ไม่ให้เกิดการเอารัดเอาเปรียบ ผ่านการเร่งออกแนวปฏิบัติที่จะใช้กำกับดูแลการประกอบธุรกิจให้เป็นธรรมกับทุกราย

'หมอยง' แนะ เร่งฉีดวัคซีนกลุ่มเสี่ยง-ตั้งครรภ์ เผยเริ่มคิดสูตรเข้ม 3 สู้เชื้อกลายพันธุ์

นพ.ยง ภู่วรวรรณ หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทาง ด้านไวรัสวิทยาคลินิก คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว 'Yong Poovorawan' ระบุว่า... 

จากการระบาดของสายพันธุ์ Delta กระจายไปทั่วโลกอย่างรวดเร็ว 

ประเทศที่ฉีดวัคซีนเป็นจำนวนมาก 80 เปอร์เซ็นต์ในผู้ใหญ่แล้วเช่น อิสราเอล ซึ่งมีประชากรเพียง 9 ล้านคน ก็มีผู้ป่วยต่อวันเป็นพันและเข้าสู่หลักหมื่นแล้ว เมื่อเปรียบเทียบต่อประชากรแล้ว มากกว่าประเทศไทยเสียอีก 

ในอเมริกาเอง ก็มากกว่าแสนต่อวันแล้ว อัตราการเสียชีวิตลดลง ก็ยังวันละประมาณ 1,000 จากข้อมูล CDC’s COVID Data Tracker วันที่ 2 กันยายน มีผู้ป่วยใหม่ 153,728 คน เสียชีวิต 1,209 ราย

ประเทศไทยเองก็เป็นสายพันธุ์ไวรัส Delta เกือบทั้งหมด มาเป็นเดือนแล้ว 

วัคซีนที่ใช้อยู่ในโลกนี้ จะลดประสิทธิภาพในการป้องกันลง แต่ยังสามารถลดความรุนแรงของโรคได้ และลดอัตราการเสียชีวิต

ขณะนี้ผู้ที่เสียชีวิตส่วนใหญ่เป็นผู้ที่ยังไม่ได้รับวัคซีน เราจึงต้องรีบให้วัคซีนในกลุ่มเสี่ยง และสตรีตั้งครรภ์

เรายังมีความหวังว่า ถ้าอัตราการให้วัคซีนเป็นอย่างขณะนี้ และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น เราก็สามารถที่จะลดอัตราการเสียชีวิตลงได้ 

ทีมของเรายังมุ่งมั่นในการทำการศึกษาวิจัย การใช้วัคซีนตามทรัพยากรที่เรามีอยู่ ให้เกิดประโยชน์สูงสุด 

การศึกษาวิจัยขณะนี้ กำลังศึกษาว่าจะให้เข็มที่ 3 อย่างไร จึงจะมีประสิทธิภาพสูงสุด และใช้ทรัพยากรที่น้อยที่สุด ที่จะป้องกันสายพันธุ์ที่เปลี่ยนไป 

เพื่อเตรียมรองรับการให้วัคซีนเข็มที่ 3 ที่จะต้องใช้ในอนาคตอย่างแน่นอน

ขอโทษด้วยที่หายไปนาน เพราะไปมัวเก็บขยะอยู่

#หมอยง


ที่มา : https://www.facebook.com/story.php?story_fbid=6228387063870525&id=100000978797641

‘สส.ยงยุทธ’ จับมือ ‘นายก อรัญญา’ ผนึกกำลังทีมแพทย์ ลงพื้นที่ฉีดวัคซีนโควิด-19 ให้ผู้ป่วยติดเตียง

ดร.ยงยุทธ สุวรรณบุตร สส.สมุทรปราการ เขต 2 พรรคพลังประชารัฐ  พร้อมด้วย นางอรัญญา สุวรรณบุตร นายกเทศมนตรีตำบลแพรกษา นายเมธากุล สุวรรณบุตร สจ.สมุทรปราการ เขต 14  มีความห่วงใยพี่น้องประชาชน ผู้ป่วยติดเตียง ผู้สูงอายุ ที่ยังไม่ได้รับการฉีดวัคซีน จึงพร้อมด้วยคณะเจ้าหน้าที่ทีมแพทย์ คณะผู้บริหาร หัวหน้าส่วนราชการ  สมาชิกสภาเทศบาลตำบลแพรกษา ลงพื้นที่ฉีดวัคซีนโควิด-19 ให้กับผู้ป่วยติดเตียง ผู้สูงอายุ ในชุมชนเขตพื้นที่เทศบาลตำบลแพรกษา

โดยมี นายศรายุทธ์ ไชยกอง ปลัดอาวุโส อำเภอเมืองสมุทรปราการ นายคำรณ มั่งมี สาธารณสุขอำเภอเมืองสมุทรปราการ และเจ้าหน้าที่ทีมแพทย์ร่วมลงพื้นที่ฉีดวัคซีนให้กับผู้ป่วยติดเตียง ผู้สูงอายุ หญิงตั้งครรภ์ และผู้ป่วย 7 โรคเรื้อรัง ภายในหมู่บ้านพฤกษา 28/2  อ.เมืองสมุทรปราการ พร้อมทั้งให้คำแนะนำหลังจากได้รับการฉีดวัคซีน

อีกทั้งในวันนี้ ทางเทศบาลตำบลแพรกษา โดยนาง อรัญญา สุวรรณบุตร นายกเทศมนตรีตำบลแพรกษา มีความห่วงใยพี่น้องประชาชนในเขตพื้นที่เทศบาลตำบลแพรกษา ประชาชนที่ยังไม่ได้รับการฉีดวัคซีนโดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยง จึงได้ประสานความร่วมมือไปยังสาธารณสุขอำเภอเมืองสมุทรปราการ ศูนย์สุขภาพชุมชนมังกรทอง นำคณะเจ้าหน้าที่ทีมแพทย์บริการฉีดวัคซีนโควิด-19 ให้กับประชาชนที่ยังไม่เคยรับการฉีดวัคซีน (เฉพาะกลุ่มเสี่ยง) Walk in จำนวน 400 คน พร้อมตรวจหาเชื้อโควิด-19 แบบ ATK แก่กลุ่มเสี่ยง (สัมผัสผู้ป่วย) จำนวน 300 คน ภายในอาคาร ชั้น 1 เทศบาลตำบลแพรกษา อีกทั้งยังได้นำคณะเจ้าหน้าที่ทีมแพทย์ร่วมลงพื้นที่ภายในชุมชนนำวัคซีนโควิด-19  ไปฉีดให้กับผู้ป่วยติดเตียง  ผู้สูงอายุ ที่ไม่สามารถออกจากบ้านพักได้รวมถึงฉีดวัคซีนให้กับผู้ดูแลผู้ป่วยอีกด้วย


ภาพ/ข่าว  คิว-ข่าวสมุทรปราการ  รายงาน

'ดร.สันต์' ชี้!! หากไทยติด 5-6 ล้าน ค่าเฉลี่ยตายต้อง 5% แต่กดได้ 1% สะท้อนความจริงคือคนไทยต่างร่วมมือ

ดร.สันต์ ศรีอรรฆ์ธำรง อาจารย์พิเศษคณะบริหารการพัฒนาสิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลัยพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) โพสต์ข้อความทางเฟซบุ๊ก เกี่ยวกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิดสายพันธุ์เดลต้าภายในประเทศ ระบุว่า... 

Covid-19 : บทเรียนจากชัยชนะของไต้หวัน 'สัจพจน์' ที่เราได้จากตัวเลขที่นั่น เพื่อพิสูจน์ความจริงและความลวงในบ้านเรา 

>> เรื่องราวของไต้หวัน:
ไต้หวันเป็นประเทศแรกในโลกที่มีการระบาดของ Alpha อย่างหนักหน่วง และสามารถเอาชนะมันได้แบบลงสู่ Zero New Case ด้วยมาตรการในแบบฉบับ Lockdown ล้วน ๆ ยาวนาน 3 เดือน โดยแทบไม่มีวัคซีนช่วยเลย 

ไม่เคยมีใครทำได้ ประเทศที่สามารถคุม Alpha ได้สำเร็จ คือ คุมไม่ให้ระบาดหนักแต่แรก ในประเทศอื่น ๆ ที่ระบาดหนักแล้วกดลงได้ ก็ไม่เคยกดลงจนเป็นศูนย์ได้เลย 

ข้อมูลที่ไต้หวันมีความสำคัญและเที่ยงตรงมากเพราะ ไต้หวันมีการตรวจเชื้อมหาศาล ในระดับที่เพียงพอที่จะเชื่อได้ว่าไม่มีตกหล่น 

ไต้หวัน Test ไปถึง 5 ล้านครั้งในระดับผู้ติดเชื้อ 16,000 คิดเป็น %Positive แค่ 0.32% เทียบกับไทยเราที่ติดเชื้อไป 1.2 ล้าน เพิ่งตรวจไปได้แค่ 8 ล้านกว่าคนเท่านั้น 

กราฟชัยชนะของไต้หวันจึงเป็น Sample ของ Full Wave ของ Alpha ที่สมบูรณ์และมีขนาดใหญ่เพียงพอที่จะทำให้เราทราบคุณสมบัติต่าง ๆ ของไวรัสครบถ้วน  

>> สัจพจน์:
1.) การลงสู่ Zero New Case เป็นไปได้สำหรับ Alpha ใช้เวลาไม่นานและคุ้มค่าแก่การรอคอย ไต้หวันทำได้ใน 3 เดือนด้วย Lockdown Level 3 โดยที่ยังไม่ได้ใช้ระดับสูงสุดคือ Level 4 เลยด้วย  

2.) ถ้าระบาดวงกว้างแล้วคุมไม่ทัน อัตราการตายจะสูงมากระดับ 5% ไต้หวันล้มเหลวในการคุมการระบาดช่วง 20 วันแรกที่ไม่ยอม Lockdown ทำให้การแพร่ระบาดเป็นวงกว้างไม่ทันตั้งตัว โดยการติดเชื้อตั้งแต่ พ.ค. ประมาณ 15,000 เสียชีวิตถึง 825 คน คิดเป็น 5.5% อัตราการเสียชีวิตสูงมากสำหรับประเทศที่มั่งคั่งแบบไต้หวัน ในขณะที่ Wave ก่อนหน้าที่คุมได้เร็ว ติดเชื้อแค่ 1,130 คน เสียชีวิต 12 คน คิดเป็นแค่ 1% 

3.) Time Constant ของกราฟ %Increase ในการลงสู่ Zero New Case คือ 9.1 เท่ากับที่จีนและไทยเคยทำไว้ใน Wave ของไวรัสอู่ฮั่น หมายถึงการ Lockdown จริงจังยังมีประสิทธิภาพมากกับ Alpha 

บทพิสูจน์ความจริงความลวงในประเทศไทย:
ประเทศไทย ประชากรอายุ 15-64 ปี มี 70.7% ส่วนไต้หวัน ประชากรอายุ 15-64 ปี มี 71.96 % มีโครงสร้างประชากรคล้ายกัน

ปัญหาที่ 1.) ตัวเลขรายงานผู้ติดเชื้อต่ำกว่าความจริงมาก? ของจริงน่าจะติดเชื้อระดับ 5-6 ล้านคนแล้ว?  
>> เฉลย: ถ้ามีการติดเชื้อที่ Undetected ขนาดนั้น ก็จะเป็นการระบาดไปทั่วที่ไม่ได้ควบคุม จะมีอัตราการตายที่มากกว่า 5% คือมีคนตายระดับมากกว่า 300,000 คนภายใน 2 เดือนที่ผ่านมา ซึ่งเห็นชัด ๆ ว่าคงไม่ใช่ เพราะคงเก็บศพไม่ทันแน่นอน จะต้องเป็นภาพของศพเกลี่อนทุกมุมถนน 

ปัญหาที่ 2.) เราอาจจะเข้าใกล้ Herd Immunity แล้วคือติดเชื้อ 30 ล้านคนภายในปีนี้? และที่เหลือก็คือด้วยวัคซีน เหมือนกับไข้หวัดใหญ่ตัวอื่น ๆ 
>> เฉลย: ถ้าติดเชื้อ 30 ล้านคนภายใน 3-4 เดือน ก็คือจะตายกัน 1,500,000 คนขึ้นไป ซึ่งเห็นชัด ๆ ว่าเกิดขึ้นไม่ไหวแน่ และไม่มีไข้หวัดใหญ่ธรรมดาใด ๆ จะฆ่าเราได้เกลื่อนขนาดนี้ 

ปัญหาที่ 3.) ตายด้วยอุบัติเหตุมากกว่า คนจะอดตาย ฆ่าตัวตายมากกว่า จะกลัวโควิดกันมากเกินไปมั้ย เปิดเศรษฐกิจไปเลย Herd Immunity ไปเลยไม่ต้องรอวัคซีน?
>> เฉลย: ต้องจำไว้ว่าอัตราการตายจะคือ 5% โดยที่เกิดจากการใช้ชีวิตปกติ คุณอยู่บ้านเฉย ๆ ไม่ได้ออกไปขับรถซิ่งคุณก็ตายได้ คุณไปกินข้าวในร้านอาหารคุณก็ตายได้ คุณไปทำงาน ไปเดินห้างก็ตายได้ ไวรัสเลือกคุณให้ตายไม่ใช่คุณเลือกที่จะเสี่ยงหรือจะจบชีวิตตัวเอง และจะตายกันมากกว่าเยอะถ้าเล่น Herd Immunity แบบไม่ใช้วัคซีน

บทสรุป
ปัญหาที่ 4.) บุคลากรสาธารณสุขไทย และระบบสุขภาพของไทยเอาไม่อยู่?

>> ต้องบอกตามตรงว่า ประเทศที่ตัวเลขการระบาดมาถึงจุดนี้แล้วและมาเร็วขนาดนี้ แต่ยังสามารถรักษาอัตราการเสียชีวิตไว้ที่ระดับ ต่ำกว่า 1% ได้นี่คือหายากมาก 

เรามีอัตราการเสียชีวิตต่ำมากทั้ง ๆ ที่การระบาดเกิดขึ้นเฉียบพลันภายใน 2-3 เดือน ขณะที่ไต้หวันซึ่งมีคุณสมบัติทางสังคมหลาย ๆ อย่างคล้ายเรา มีอัตราการเสียชีวิตสูงถึง 5.5% ทั้งที่การระบาดไม่มากเท่าเรา 

เราต้องรับรู้จริง ๆ นะครับว่า ถ้าบุคลากรสาธารณสุขไทย ไม่ทุ่มเทสุดตัวขนาดนี้ และความร่วมมือจากทุกภาคส่วนทั้งรัฐ เอกชน รวมทั้งประชาชนทั่วไปไม่มากขนาดนี้ ไม่มีทางที่เราจะช่วยผู้คนเอาไว้ได้มากมายหลายหมื่นชีวิตแบบนี้แน่นอน 

ไม่มีข้อเฉลยใดที่จะสำคัญไปกว่าข้อที่ 4 นี้อีกแล้วครับ มันสำคัญมากที่เราต้องรู้ และต้องขอบคุณพวกเขาจริง ๆ ครับ ซึ่งพวกเขายังไม่ได้พักกันเลยตลอด 4 เดือนแล้ว 

>> และคำขอบคุณที่ดีที่สุด คือ อย่าเพิ่งรีบออกจากบ้านไปเสี่ยงรับเชื้อเพราะอดใจไม่ไหวแล้ว

>> ขอให้อดเปรี้ยวไว้กินหวานดีกว่าครับ อีกไม่นานเกินรอครับ


ที่มา : https://www.facebook.com/100000921874426/posts/6379240792116587/

'3 ปัจจัย' สำคัญที่ทำให้ประเทศ 'เวียดนาม' ก้าวกระโดด

ศ.ดร.สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ (เอ้) อธิการบดีสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัวเรื่อง เวียดนาม (จะ) ชนะไทย? โดยมีเนื้อหาดังนี้

...พี่เอ้สารภาพ คิดอยู่หลายคืน ว่าจะเขียนเรื่องเวียดนามกับไทยดีไหม ขอออกตัวก่อนว่า เขียนให้คิด ให้สู้ ให้เกิดพลัง ให้ฮึกเหิม มิใช่เขียนบ่นหรือเขียนให้ท้อ หรือไม่เขียนเพื่อโทษใคร...

เอาล่ะครับ พร้อมอ่านหรือยัง

ต่อเนื่องจากเหตุการณ์ รองประธานาธิบดีสหรัฐ กมลา แฮริส เยือนอาเซียนอย่างเป็นทางการ ลงเครื่องพบผู้นำสิงค์โปร์ 3 วัน เพื่อกระชับความร่วมมือ สนับสนุนสิงคโปร์เป็นศูนย์นวัตกรรมทางการแพทย์และสาธารณสุขระดับโลก ก่อนบิน (ข้ามประเทศไทย) ไปคุยกับผู้นำเวียดนามอีก 2 วัน แล้วบินกลับกรุงวอชิงตัน

ไม่มาประเทศไทย...

ครั้งนี้ สิงคโปร์ได้ประโยชน์ไปเต็ม ๆ ได้ทั้งความเชื่อมั่นในการเมืองระหว่างประเทศ ว่าคือ "ศูนย์กลาง หรือ ผู้นำชาติอาเซียน" ได้ทั้งกำลังการลงทุน และได้ทั้งกำลังมันสมอง เพื่อยกระดับเศรษฐกิจของชาติ ไม่ว่ากัน เพราะสิงคโปร์กับอเมริกา ผูกพันกันต่อเนื่อง ยาวนาน

แต่...เวียดนาม ประเทศสังคมนิยม เคยทำสงครามกับสหรัฐ วันนี้เป็นพันธมิตรใกล้ชิดกับสหรัฐ และกำลังก้าวขึ้นเป็น "จีน 2"  ในเอเชีย

ทำไมเวียดนามถึงก้าวกระโดด? (ข้ามประเทศไทย) พี่เอ้ตอบตรง ๆ เพราะเขามีปัจจัยหลัก ดังนี้

1.) มีปริมาณ "กำลังคน" ประชากรมากกว่าไทย มีคน 100 ล้าน และไม่ใช่แค่คนระดับใช้แรงงาน แต่ยังมีคนระดับชั้นมันสมองเพิ่มมากขึ้น จากการพัฒนาการศึกษา "เชิงคุณภาพ" ต่อเนื่อง อย่างจริงจัง ขณะที่ไทย...

ลองพิสูจน์จากเด็กเวียดนามที่ได้รับทุน (ของไทย) มาเรียนปริญญาโท-เอก ที่คณะวิศวะลาดกระบัง ทุกคนทั้งเก่งคณิตศาสตร์ (มากกว่าเด็กไทย) ภาษาอังกฤษก็เข้มแข็งกว่า และยังขยันสุด ๆ น่ากลัวมาก แต่อาจารย์ไทยชอบมาก เพราะทำงานวิจัยได้ยอด รับผิดชอบสูง น่าประทับใจ

นี่แค่ เด็กเวียดนามระดับกลาง ๆ เพราะระดับตัวท๊อป จะไปเรียนต่อที่อเมริกา ซึ่งวันนี้มีมากกว่า 24,000 คน!!! ซึ่งเน้นด้านวิศวกรรมศาสตร์ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีขั้นสูง ขณะที่มีเด็กไทยเรียนอยู่ในอเมริกาเพียง 6,000 คน น้อยกว่าเวียดนาม 4 เท่า!!!!

หมายความว่า เวียดนามกำลังมี "คนระดับมันสมอง" โดยเฉพาะทางด้านวิทยาศาสตร์ ซึ่งคือรากฐานของการยกระดับประเทศ มากกว่าไทย (หลายเท่า)

2.) มีเงิน มีงบประมาณ เพราะเศรษฐกิจเวียดนามปีที่ผ่านมา เติบโตที่สุดของโลก! ขณะที่ประเทศอื่น รวมทั้งไทย ติดลบ! และแค่ครึ่งปีนี้ โตไปมากกว่า 5% แล้ว และจะร้อนแรงยิ่งขึ้น...

เพราะเกิดการลงทุนจากต่างประเทศมหาศาล (มากกว่าลงทุนในไทยไปนานหลายปีแล้ว) เพื่อเป็นศูนย์กลางการผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ระดับโลก มีบริษัทเกาหลีมาลงทุน 4,000 กว่าบริษัท ขณะที่มาไทย 400 บริษัท และมีบริษัทชั้นนำของโลกทุกแขนงกำลังมุ่งสู่เวียดนาม

ทำให้เกิดการส่งออกสินค้ามูลค่าเพิ่มมหาศาล ซึ่งตอนนี้เวียดนามส่งออกมากกว่าไทยไปแล้วครับ และกำลังจะทิ้งห่างไปเรื่อย ๆ หากเราไม่คิดสู้!

3.) มีความรักชาติ เป็นชาตินิยมสูง ถือเป็นจุดแข็งของเวียดนาม เด็กเวียดนามทุกคนเรียนรู้ "ประวัติศาสตร์ชาติ" รู้จัก "การต่อสู้ของลุงโฮ" ท่านโฮจิมินห์ บิดาของชาติ (เคยมาอยู่เมืองไทย) รู้เรื่องราว การต่อสู้ ด้วยความทรหด อดทน ไม่ยอมแพ้ ให้ทั้งชีวิตเพื่อสร้างชาติ

ทั้งคนเวียดนาม ปลูกฝังค่านิยม การรักการอ่าน การขยันเรียนแบบสุด ๆ โรงเรียนเวียดนาม แม้ไม่ใหญ่ ไม่สวย เหมือนโรงเรียนไทย แต่คุณภาพไม่แพ้ใครในโลก ลองดูคะแนนมาตรฐาน PISA Score เด็กเวียดนามทำได้คะแนนสูงสุดในอาเซียน เกือบเท่าเด็กสิงคโปร์!

คนอเมริกันเชื้อสายเวียดนามในสหรัฐ ก็เรียนเก่ง (ที่ MIT ที่พี่เอ้เรียนจบมา ก็มีเด็กอเมริกันเวียดนามเยอะมาก) ประสบความสำเร็จสูงมาก แม้แต่คุณหมอ พญ. ดร. พริสซิลลา ชาน ภรรยาคนสวยของมาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ค ผู้ก่อตั้งเฟชบุ๊ค ก็เป็นคนเชื้อสายเวียดนาม คนเหล่านี้ยังสนับสนุนประเทศเวียดนามทุกรูปแบบ เต็มที่

พี่เอ้ไม่อยากให้คนไทยมองข้ามเรื่องนี้ รุ่นพ่อแม่เราเกิดมา ก็ไม่แพ้เกาหลี วันนี้เกาหลีเป็นประเทศชั้นนำของโลกไปแล้ว รุ่นพี่เอ้เกิดมาก็ไม่แพ้สิงคโปร์ ไม่แพ้มาเลเซีย วันนี้เขากระโดดไปไกลแล้ว

และวันนี้ พี่เอ้ยอมรับว่า "ทำใจไม่ได้" ที่เรากำลังเป็นรองเวียดนาม

แม้เราไม่ได้อิจฉาเวียดนาม และก็ไม่ได้ชื่นชมว่าจะดีเก่งกว่าไทยไปซะทุกเรื่อง เพียงแต่อยากให้ คนไทยเรียนรู้ข้อเท็จจริง เพื่อนำมาวางแผนสู้ พัฒนาชาติไทย ต้องไม่ยอมแพ้!!!
เพราะพี่เอ้ยังมั่นใจ #คนไทยไม่แพ้ใครในโลก และ #จะทำก็ทำได้

ขอเป็นกำลังใจ ให้คนไทยทุกคนครับ สู้ ๆ


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top